ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FIC MARVEL I SPIDER-MAN #แมงมุมแพ้เหยื่อ

    ลำดับตอนที่ #5 : 04. บัดซบ

    • อัปเดตล่าสุด 7 พ.ค. 63


     

     

     

     

    04.

     

     

     

     

    "ไง"

     

    "..."

     

    ฮันน่าปิดประตูดังปึง สาวเคมีเกรด 12 มองบานประตูเหล็กปิดสนิทตรงหน้า ทวนความทรงจำที่เมื่อกี้ที่ว่าเจอใคร ใบหน้าคมสัน หนวดเคราประปาย หน้าตาคับคล้ายคับคลากับคนที่อยู่ในโฮโลแกรมเมื่อคืน

     

    เจ้าไก่นั้นกล้าบุกรุกคอนโดเธอถึงนี่เลย?

     

    ฮันน่า ชาร์ลลอต์ตถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหมือนจะเจอความยุ่งยากตั้งแต่เช้าซะแล้ว ทั้งที่ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยว เธอพอจะรู้ว่าการที่คนอย่างกระต๊ากเข้าหาแสดงว่าต้องการทำธุรกิจร่วมแต่ฮันน่ามีธุรกืจมามากพอแล้ว ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับบริษัทอื่นอะไรมาก

     

    เปล่าหรอก อันที่จริงเธอขี้เกียจจัดการ

     

    ฮันน่าไม่ชอบอะไรยุ่งยากเพราะงั้นอย่าหวังว่าจะเอาเธอไปเอี่ยวกับผู้ชายคนนั้น ใครก็รู้ว่าการอยู่กับคนที่ชื่อโทนี่ สตาร์คมีแต่เริ่องวุ่นวาย แค่ชีวิตตอนนี้มีแค่พวกลัสโซ่กับเกเบรียนเธอก็ปวดหัวพอแล้ว

     

    นิ้วเรียวกดรัวเบอร์ที่คุ้นเคยแม้จะไม่ได้โทรบ่อยนักแต่ฮันน่าก็จำได้ขึ้นใจ

     

    "สวัสดีครับคุณหนู มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ"เสียงทุ้มชราตามวัยลอดออกมาจากปลายสาย ฮันน่ายกหูโทรศัพท์ขึ้นมาแนบ อีกฟากของสายคือหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยของคอนโดนี้ ได้รับความไว้ใจจากเธอมามาก พูดได้ว่าเธอเชื่อใจผู้ชายคนนี้เพราะเขาเองก็อยู่กับเธอตั้งแต่เด็ก

     

    "มีคนบุกรุก ช่วยเอาออกไปหน่อยจะได้ไหมคะ"

     

    โทษนะไก่ แต่เธอไม่อยากยุ่งว่ะ

     

    ทิ้งเวลาไว้สักพักแล้วค่อยเปิดประตูออกไปข้างนอก ภูมิใจกับผลงานของลุงที่ทำงานได้รวดเร็ว ได้ยินแว่วๆว่ามีคนโวยวายแต่นั้นไม่ใช่ประเด็น ฮันน่าเดินผ่านผู้บุกรุกที่ชี้หน้าเธอเหมือนจะแช่งกันไปเข้าลิฟต์

     

    "เฮ้ย เดี๋ยวก่อน!"

     

    โทนี่ สตาร์คร้องเรียก เขาถลาตัวออกจากการกอบกุมของรปภ.หน่วยก้านดีมาทางนี้ ในขณะที่ฮันน่ากดปิดลิฟต์ยิกๆและดูเหมือนว่าตัวเองยังพอมีโชค ประตูลิฟต์ปิดพอดีก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้ามาถึง

     

    ใบหน้าสวยเฉยชา ไม่สนใจเสียงโหวกเหวกโวยวายที่ไล่แว่วมา ฮันน่าหยิบหูฟังขึ้นมา เปิดเพลง ปิดกั้นโลกข้างนอกกับตัวเอง ตัดการรับรู้ทางเสียงออกทั้งหมด จมลงสู้เซฟโซนของตัวเอง ทุกอย่างเป็นไปเหมือนทุกวัน เดินเข้าลานจานรถที่ประจำ ปลดล็อคลูกรักแล้วแทรกตัวเข้าไป พุ่งทยานสู่เส้นทางที่คุ้นเคย

     

    ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงโรงเรียน ฮันน่าหักเลี้ยวรถน่าหวาดเสียวเข้าลานจอดรถของโรงเรียน ถึงจะขับน่าชนคนมากแค่ไหนแต่เธอมั่นใจแน่ว่าตัวเองไม่มีทางพลาด ฮันน่าเซียนเรื่องนี้ดี อีกอย่างเธอดูแล้วว่ามันไม่มีคน

     

    จอดรถเสร็จก็หยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพาย เปิดประตูรถ ล็อคมันเหมือนทุกทีก่อนที่จะเริ่มนับเลขในใจ

     

    หนึ่ง..

     

    สอง..

     

    สาม..

     

    "ฮันน่าจ๋าา"เจ้าของชื่อเซไปข้างหน้าตามแรงของคนที่วิ่งเข้ามากอดคอ เป็นใครไม่ได้นอกจากลัสโซ่ที่ร่าเริงเหมือนเล่นยามา เพื่อนหน้าหล่อทำปากเบะ หูลู่ หางลู่ เตรียมท่าจะฟ้องเต็มที

     

    "เมื่อวานเค้าไปตี้กะเพื่อนๆใช่มะ ละทีนี้ตอนเค้าเมาง่ะ พวกนั้นมันถ่ายคลิปแบล็คเมลเค้าง่ะ"

     

    ฮันน่าก็อยากจะพูดเหมือนกันว่าไอ้ท่าทางบ็องแบ๊วมันไม่เข้ากับหน้าเลยสักนิด

     

    "สมน้ำหน้า"แต่สิ่งที่พูดออกไปก็มีอยู่แค่นี้ สมน้ำหน้าจากใจจริง เมาไม่พอยังโทรมาก่อกวนกันอีก

     

    ลัสโซ่ร้องอ้าว ยิ่งเบะปาก บีบน้ำตามากกว่าเดิม

     

    "ทำไมเตงไม่สนใจเค้าง่ะ รักเรามันเก่าแล้วเหรอ!"ฮันน่ามองหน้าเพื่อนด้วยสายตาเอือมระอา"เป็นเพราะเบี้ยนใช่ไหม! เพราะเตงไปกิ๊กกั๊กกะเบี้ยนใช่ไม๊ เค้ามะยอม"แล้วลัสโซ่ก็งอแง

     

    ส่วนฮันน่าก็"อะไรของมึง"มองด้วยสายตาว่าเป็นบ้าอะไรไปหนึ่งที

     

    เพื่อนสาวส่ายหัวเหนื่อยใจ ฮันน่าเบี่ยงตัวออกจากการกอบกุมของลัสโซ่ ไม่สนใจอาการเรียกร้องความสนใจของเพื่อนตัวเอง เป็นฮันน่ามันก็อย่างนี้ ทุกอย่างดีหมดยกเว้นการคบเพื่อน ประสาทแดกทั้งกลุ่ม

     

    "จัยรั้ย"ไม่รู้ว่าทำไมลัสโซ่ถึงต้องกระดกลิ้นขึ้นด้วย เพื่อนตัวโตวิ่งเยาะตามหลังมาติดๆ ใบหน้ายังคงหมองไม่เปลี่ยนเพราะฮันน่าไม่เล่นด้วย ดูแล้วก็เหมือนลูกหมาตัวโตที่โดนเจ้าของดุ

     

    นึกขำอยู่หรอก ลัสโซ่ไม่เคยมาดีสักวัน หมายถึง ไม่เคยมาแบบสติดีๆสักวัน

     

    "มาแล้วเหรอครับคุณหญิงคุณชายย"เป็นเปเปอร์ที่ทักมาเป็นคนแรกตอนที่ทั้งฮันน่าและลัสโซ่แทรกตัวเข้านั่งที่โต๊ะประจำกลุ่ม เกเบรียนนอนฟุบหน้ากับวงแขน ให้เดาว่ายังคงไม่หายแฮงค์จากเมื่อคืน

     

    ต้องดื่มกันขนาดไหน เกเบรียนถึงได้น็อคได้ หมอนี่เป็นคนที่คอแข็งมากที่สุด

     

    "วันนี้มีทำแล็ปที่ตึก 2 นะ"

     

    ฮันน่าขมวดคิ้วกับคำพูดของเปเปอร์"ทำไมตึก 2?"

     

    ปกติแล้วถ้าทำแล็ป เอกเคมีของเราก็จะมีห้องอยู่ที่ตึกเราเอง ส่วนตึก 2 เป็นตึกของพวกเด็กเกรดอื่นๆ จริงๆแล้วโรงเรียนนี้มันแบ่งอยู่สองอย่างคือแบ่งเป็นแบบไฮสคูลทั่วไปที่เรียนทุกอย่างทั่วถึงกับสายเฉพาะที่เน้นทางใดทางนึงมากกว่าปกติ พวกเธอเป็นอย่างหลัง บางครั้งก็มีบ้างที่เรียนรวมกับสายปกติแต่มันเป็นส่วนน้อยซะมากกว่า

     

    "ไม่รู้แฮะ เห็นจารย์บอกว่าตึกเรามันใช้ไม่ได้"

     

    "เหรอ"ฮันน่าเท้าคาง ถ้าไปตึก 2 จริงๆมันคงวุ่นวายไม่น้อย ตึกนั้นส่วนใหญ่จะเป็นพวกเด็กเกรด 10-11 เกรด 12 ส่วนใหญ่ก็อยู่ที่ตึก 1

     

    ให้ตาย พอนึกว่าต้องไปเรียนตึกนั้น หน้าของเจ้าลูกหมาโกลเด้นก็ลอยขึ้นมาในหัวทันที ลืมไปสนิทว่าน้องมันอยู่เกรด 10

     

    "ฉันเองก็อยากเรียนกะพวกนายบ้างจัง"คราวนี้เป็นลัสโซ่ที่เข้าสู่โหมดเง้างอน น้อยใจ บรรดาที่สามารถเข้าสู่ดราม่าได้"เรียนเอกฟิคนเดียวมันเหงาง่ะ แง"

     

    "พอสักทีเถอะลัสโซ่ ทำตัวแบ๊วไปก็ไม่มีใครเห็นใจนายหรอกนะ"

     

    บวกหนึ่งให้กับเปเปอร์

     

    "ใจร้าย! วันนี้มีแต่คนใจร้ายกับฉัน!"เพื่อนตัวดีเบะปาก ทำท่าจะร้องไห้จริงๆ ฮันน่าหัวเราะแผ่วเบา ผลักหัวยุ่งๆของเพื่อนไปอีกทางเป็นการเง้าง้อ

     

    "ไม่ต้องร้อง นายน่าจะชินได้แล้ว"

     

    "โฮฮ"

     

    แล้วทั้งฮันน่ากับเปเปอร์ก็หัวเราะออกมา ไม่รู้ว่ามันดังไปถึงขนาดรบกวนการนอนของใครบางคนเข้ารึเปล่า เกเบรียนโผล่หน้ามาจากแขนที่ใช้หนุน ใบหน้าดุดันนิ่งเรียบ

     

    พวกเธอเงียบสนิท มันจะดูน่ากลัวอยู่หรอกถ้าไม่ติดว่าบนหน้าผากของเกเบรียนไม่มีรอยแดงเป็นเส้นๆของริชแบน

     

    "กร๊ากกก เป็นรอยเหมือนไซอิ้วเลยว่ะ"ลัสโซ่ปล่อยก๊ากออกมาเป็นคนแรกแล้วตามด้วยเปเปอร์

     

    "หมดกันความหล่อเท่ของกัปตันเกเบรียน ฮ่าๆ"

     

    ฮันน่ายิ้มขบขัน มองเพื่อนตัวเองที่ลูบหน้าไล่ความง่วงออกไป

     

    "บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าหนุนข้างที่ใส่ริชแบน"เธอว่า ยกมือขึ้นลูบหน้าผากที่เป็นรอย ถูเบาๆให้รอยแดงจางลง เกเบรียนไม่ได้ขัด เพื่อนตัวโตยังคงหนุนแขนตัวเองให้เธอนวดไปอยู่แบบนั้น

     

    "..."ลัสโซ่เหล่ตามองเปเปอร์เหมือนรู้กัน มุมปากยกยิ้มแซวเพื่อนสนิททั้งสองคนที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าสร้างโมเม้นคู่ขึ้นมาอีกแล้ว

     

    "สุดท้ายเตงก็กิ๊กกะเบี้ยนจริงๆใช่มะฮันน่า! มิน่าล่ะถึงไม่สนใจเค้าเรย"ลัสโซ่จีบปากจีบคอ พูดเสียงขึ้นจมูก"ใช่ซี่ คนอย่างลัสมันไม่มีอะไรดีเลยใช่ไหมล๊า เค้ามันไม่น่าสนใจเท่าเบี้ยนล่ะซี่"

     

    "คนแพ้ก็ต้องยอมรับความจริง"เปเปอร์พยักหน้าเห็นใจ ตบบ่าลัสโซ่ปุๆ"ไม่เป็นไรนะลัส เตงยังมีเค้ายุนร๊"

     

    ฮันน่าละมือออกจากหน้าผากมน หันมาดูการแสดงของคู่หู่ไร้สติ

     

    "งือออ เปอร์ใจดีที่สุดเรยง่า เค้าจะหันไปช่บเปอร์แทนฮันละ"ลัสโซ่แสร้งทุบอกเปเปอร์ไปหนึ่งที ทำท่าทางเขินอายเหมือนสาวน้อยแรกแย้ม แต่ดูเหมือนจะแสดงออกมากเกินไปหน่อยมันเลยดูเหมือนการสะดีดสะดิ้งมากกว่า

     

    "เดี๋ยวพี่ดูแลเองครับน้องลัสโซ่ โอ๊ะ มีรอยแดงตรงหน้าผากด้วยอ่าา มาๆเดี๋ยวพี่นวดให้หายน้า"

     

    "งุ้ยยย พี่เปอร์คนบ้า เค้าเขินนร้าา"แล้วทั้งคู่ก็สะดีดสะดิ้งเลียนแบบท่าทางของเธอเมื่อกี้ ฮันน่ายกมือกุมขมับ น่าเหนื่อยใจอยู่หรอกแต่ตัวเองก็ดันตลกกับท่าทางปัญญาอ่อนของคู่หูสองคนนี้

     

    ไม่รู้จะสรรหาอะไรมาด่าดี นึกไม่ออก

     

    "เป็นบ้าอะไรของพวกมึงเนี่ย"เกเบรียนที่ดูเหมือนจะด่าคู่โอ้ก็ยังหลุดหัวเราะออกมา"ล้อเก่งนักนะพวกมึง เดะขอให้ได้กันเอง"

     

    "ขอโทษค้าบ อย่าแช่งเลยค้าบ"เปเปอร์ยกมือยอมแพ้ ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มที่ดูจะ..เขินอายหน่อยๆ?"ผมยังอยากได้เมทาเป็นแฟนอยู่ค้าบ"

     

    "ฮันแน่~"เปิดการแซวด้วยคนที่ไม่มีสติมากที่สุดในกลุ่ม ลัสโซ่ยิ้มกริ่ม กระแหนะกระแหนนแขนเปเปอร์เป็นการใหญ่"อะไรยังไงเนี่ย"

     

    ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าเพื่อนตัวเองแอบปิ๊ง แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าความสัมพันธ์จะคืบหน้าเร็วขนาดนี้ "ไวไฟจริงๆ"

     

    "สรุปมันเป็นมายังไงเปเปอร์ พูดให้หมด"เกเบรียนก็หูผึ่ง ทั้งลัสโซ่กับเกเบรียนต่างพาทำตัวเป็นตำรวจสอบสวนคดีกับผู้ต้องหา มีฮันน่าเพียงคนเดียวเท่านั้นแหละที่นั่งเสือกอยู่เงียบๆ

     

    "ก็ไม่ยังไง ก็แค่..คุยๆกันอยู่"

     

    "ฮิ้วววว"

     

    เปเปอร์ยกมือขึ้นมาปิดปาก ฟังจากโทนเสียงก็รู้ว่าเพื่อนกำลังยิ้ม ไม่รู้ว่าเขินเพราะคนที่อยู่ในหัวข้อสนทนาหรือเสียงโห่แซวของลัสโซ่กับเกเบรียน

     

    "ความสัมพันธ์เริ่มตั้งแต่ตอนไหนครับคุณ ทำไมผมที่รอบรู้ทุกอย่างถึงไม่รู้อะไรเลย"ลัสโซ่คว้ากล่องนมตรงหน้าเปเปอร์ขึ้นมาจ่อถามเจ้าของ สลัดคาบคุณตำรวจกลายเป็นนักข่าวจอมเผือก

     

    "อ่ะแฮ่ม ก็เมื่อไม่นานมานี้เองครับ ตอนที่ทำวิจัยคราวนั้นก็ได้แลกไลน์กันนิดหน่อย"

     

    ฮันน่าร้องโห่ ไม่อยากเชื่อว่าเพื่อนจะเริ่มปูทางตั้งแต่วันนั้น จำได้แค่ว่าตอนนั้นเพื่อนชมว่าน่ารักแต่ไม่คิดว่าจะรุกเร็วอะไรขนาดนี้ แถมยัง(เกือบ)ติดอีกต่างหาก

     

    "เด็กมันร้าย"เธอแซวบ้าง อดไม่ได้ที่จะยิ้มกรุ่มกริ่มแซวเพื่อนตัวเอง

     

    "ลูกเราโตแล้วนะฮันน่า งือ อย่างนี้เราต้องเหงาคู่แน่เรยอร่า"ฮันน่าเบี่ยงตัวหลบอ้อมกอดของลัสโซ่ที่ถลาเข้ามา จริงๆก็แค่เอนตัวออกห่าง ยังไงก็ต้องโดนกอดอยู่แล้ว พื้นที่เองก็มีอยู่แค่นี้ หลบตรงไหนก็ไม่พ้น ฮันน่าไม่ได้ว่าอะไรถ้าเพื่อนจะสกิฟชิฟด้วยการกอดแต่เธอค่อนข้างที่จะไม่ชอบตอนที่ลัสโซ่เอาหน้ามาถูกับไหล่

     

    มันจักจี้..

     

    "โห่ยไรอ่ะ ทำมาเปงหวงอ่อ"ลัสโซ่บ่นอุบ ถึงได้รู้ว่าเกเบรียนอ้อมแขนมาดันหน้าเพื่อนออกจากไหล่เธอ และถึงลัสโซ่จะพูดแบบนั้น เจ้าตัวก็พยายามดื้อดึงที่จะเอนหน้ามาซบให้ได้ เกเบรียนก็ออกแรงดันหน้าเพื่อนไปอีกจนยับยู่หยี

     

    เฮ้อ มีวันไหนบ้างที่จริงจังครบทั้งกลุ่ม

     

    เกเบรียนกับลัสโซ่เถียงกันด้วยเรื่องอะไรบางอย่างที่ฮันน่าไม่ได้สนใจมากนักและออกจะรำคาญหน่อยๆเพราะตัวเองนั่งกลางฟังทั้งคู่เถียงกันไปมาส่วนเปเปอร์ก็ได้แต่พูดปรามๆทั้งคู่ว่าอย่าทะเลาะกันแต่พอมีเสียงแจ้งเตือนจากแชทก็เงียบไป กลายเป็นตั้งหน้าตั้งตาตอบแชท ไม่สนใจรอบข้างแทนซะงั้น

     

    คนมีความรักมักไม่สนใจรอบข้างเป็นแบบนี้นี่เอง

     

    ฮันน่าไม่เคยมีความรัก เธอไม่เคยตกหลุมรักใครมาก่อนแม้แต่คำว่าสนใจก็ไม่มี เป็นคนที่เฉื่อยชากับเรื่องแบบนี้ ไม่เคยแสวงหาและไม่สนใจ เธอคิดว่ามันไม่จำเป็นนัก

     

    "โฮ่ยยยย ลัสโซ่"

     

    เจ้าของชื่อเลิกแยกเขี้ยวใส่คู่อริที่กัดกันไม่เลิก ฮันน่ามองไปตามเสียงเรียก เธอไม่คุ้นกับเสียงนี้ เจ้าของเสียงเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่แต่น้อยกว่าเกเบรียน ดูจากสัดส่วนแล้วเป็นนักกีฬา มีกล้ามเนื้อแต่ไม่เยอะไปจนน่าเกียจ

     

    เอกฟิสิกส์?

     

    "อ้าว ไอแซคมาทำไมวะ"

     

    ฮันน่าเลิกสนใจคนที่มาใหม่ จะยังไงก็ไม่ได้เกี่ยวกับเธอ ฮันน่าหันกลับมาสนใจโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ ตอนนี้มันกำลังบอกเวลาเข้าเรียนอยู่ จะยังไงก็แล้วแต่เธอควรเข้าเรียนได้แล้ว ถึงจะไม่ใช่เด็กเรียนที่ต้องเข้าเรียนตรงเวลาเป๊ะๆก็เถอะแต่ฮันน่าเองก็ต้องการเกียรนิยมว่าตัวเองเป็นนักเรียนดีเด่นเหมือนกัน

     

    แค่คิดว่าได้มาก็รู้สึกทึ่งแล้ว

     

    จริงๆมันก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น จะมีเกียรนิยมหรือไม่มี ฮันน่าก็ไม่ได้เดือดร้อน งานมี เงินมี ทุกอย่างเพรียบพร้อม เพราะมันสมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง ฮันน่าเองก็อยากได้อะไรยากๆบ้างอย่างเกียรนิยมที่เด็กคนอื่นๆเองก็ต้องการบ้างเป็นไง? เห็นใครบอกว่าถ้าได้มาก็ถือว่าเป็นเกียรติกับตัวเองและครอบครัวเหมือนกัน ก็โรงเรียนนี้มันง่ายซะทีไหนล่ะ

     

    มันก็ต้องพยายามกันบ้าง

     

    "เดี๋ยวฉันจะเข้าตึกละนะ พวกนายจะไปเลยปะ"

     

    "ไปเลย"ฮันน่าเป็นคนตอบคำถามของลัสโซ่ คนอื่นเองก็เตรียมเก็บของกันแล้ว คนที่ชื่อไอแซคนั้นมาตามลัสโซ่เข้าตึกจริงๆด้วย น่าจะเป็นเพื่อนกลุ่มที่อยู่นู่นแล้วฮันน่าก็เพิ่งรู้ว่าไอแซคไม่ได้มาคนเดียว

     

    ข้างหลังเลยไปอีกหน่อยมีคนที่ลัสโซ่แนะนำมาทีหลังว่าชื่ออิล นาธาณและคอนเนอร์

     

    อิลเป็นเด็กผู้ชายที่ไม่ได้สูงมากนัก เขาสูงราวๆกับฮันน่า ใบหน้าดูนิ่งๆนิดหน่อยแต่พอคุยกันได้

     

    นาธาณ ผู้ชายคนนี้เป็นกัปตันชมรมรักบี้ พูดถึงชมรมรักบี้ หุ่นก็คงนึกออก สูงใหญ่ กล้ามแน่น หน้าติดดุๆเหมือนเกเบรียนแต่ลัสโซ่บอกว่านาธาณเป็นคนขี้โวยวายและไม่มีสติ

     

    ฮันน่าเองก็คิดนะว่ามีคนไม่มีสติมากกว่านายอีกเหรอ

     

    คนสุดท้ายคือคอนเนอร์ ผิวเขาขาวซีดแต่ไม่ได้ดูขี้โรค ลัสโซ่(อีกแล้ว)บอกว่าคอนเนอร์มีกระเพาะเป็นหลุมดำ ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องบอก

     

    ทุกคนที่กล่าวมาอยู่เอกฟิสิกส์หมด เป็นกลุ่มเดียวกันกับลัสโซ่ที่อยู่ตึกนู้น ถึงฮันน่าจะเพิ่งรู้จักแต่โดยรวมแล้วเธอคิดว่าคนพวกนี้พึ่งพาได้ อย่างน้อยก็ทนความบ้าของลัสโซ่ได้ล่ะนะ

     

    ก็รู้สึกดีเหมือนกันที่ลัสโซ่มีเพื่อนดีๆกับเขา

     

    และเพราะแบบนั้น การเดินเข้าตึกครั้งนี้ กลุ่มเลยใหญ่ผิดปกติ เอกเคมีกับฟิสิกส์ไปทางเดียวกันแค่ตึกแต่ละตึกเท่านั้น พูดให้ถูกก็คือตึกมันอยู่ข้างกัน

     

    ตึกของเอกเฉพาะจะมีเป็นตึกๆไป อย่างฟิสิกส์ที่มีคนเรียนเยอะก็จะมีตึกฟิสิกส์กับตึก 1 ที่เรียนตึกร่วมกับเด็กเกรด 12 ทั่วไปส่วนเอกเคมีที่มีคนหยิบมือก็เรียนแค่ตึกเดียว ในตึกก็จะมีห้องทดลองกับห้องกิจกรรมเป็นส่วนใหญ่ เดินกลางคืนก็คงมีหลอน

     

    แต่ละตึกก็มีทางเชื่อมถึงกัน บางครั้งก็มีเด็กภาคปกติมาเรียนที่ตึกเฉพาะ บางครั้งก็มีเด็กเฉพาะเอกไปเรียนที่ตึกภาคปกติ ห้องบางห้องก็ใช้ร่วมกัน บางครั้งก็เรียนร่วมกันก็มี

     

    "ฮันน่าจ๋าาาา"

     

    ปึก

     

    ลัสโซ่ที่อยู่ๆก็คลุ้มคลั่งขึ้นมาก็ทำท่าจะเข้ามากระโดดกอดแต่ก็ถูกเกเบรียนขัดขวาง(อีกแล้ว) เพื่อนตัวโตสุดในกลุ่มอยู่ๆก็เบี่ยงตัวไปรับอ้อมกอดแทน หน้าลัสโซ่เลยชนเข้าเต็มๆกับหน้าอกของเกเบรียน

     

    "อะไรเนี่ยเบี้ยน! ฉันจะกอดฮันน่าต่างหากไม่ใช่นาย!"

     

    "หยุดความคิดมึงเลย เอะอะกอด เอะอะกอด"

     

    "ทำมะ ทำไมจะกอดเพื่อนตัวเองไม่ได้อ่ะ ละนายล่ะ เอะอะปกป้อง เอะอะหวง เป็นไรกะฮันน่าเอ้าะะ"ลัสโซ่ปิดปาก จิ้มนิ้วเข้ากับหน้าอกของเกเบรียน ฮันน่าถอนหายใจเหนื่อยหน่าย ขนาดเรื่องแค่นี้ก็ยังโยงเข้าเรื่องนี้ได้ ไม่รู้ทำไมต้องชงเรื่องเธอกับเกเบรียนด้วยทั้งที่มันก็เป็นเรื่องปกติที่เพื่อนเขาทำกัน

     

    "เข้าตึกเถอะเปเปอร์"พอคาดเดาได้ว่าทั้งคู่จะพุ่งกัดกันอีกก็หันไปเรียกเพื่อนที่เอาแต่แชทไม่หยุดให้เดินตาม เปเปอร์อืออืม กดโทรศัพท์หยิกๆอีกรอบก็เก็บเข้ากระเป๋า

     

    "งั้นพวกฉันสองคนขอตัวนะ ฝากหมาบ้าสองตัวนั้นด้วย"ระหว่างที่จะเดินผ่านไปก็หันไปบอกเพื่อนกลุ่มลัสโซ่ ฮันน่าตบไหล่ไอแซคเป็นเชิงให้กำลังใจ(จริงๆคือโยนขี้)

     

    "อ..อ่า"

     

    ถือเป็นอันรับรู้ ฮันน่าปิดประสาทการรับรู้ด้วยหูฟังอีกครั้ง

     

     

     

     

    เกิดมาทั้งชีวิต ไม่เคยพบเจอความบังเอิญติดต่อกันหลายครั้งขนาดนี้มาก่อน

     

    อย่างที่เปเปอร์เคยพูดไว้ วันนี้ห้องฮันน่าต้องทำแล็ปที่ตึก 2 เธอไม่ได้คิดอะไรสักอย่างเดี่ยวกับเรื่องนี้ ถึงคาบก็แค่ลุกไปเรียนเหมือนทุกที เก็บของใส่กระเป๋าแล้วย้ายตึก

     

    มันเป็นสองคาบสุดท้าย ฮันน่าไม่มีเหตุผลที่จะเรียนเสร็จแล้วต้องอยู่ต่อ ทั้งเกเบรียน เปเปอร์ เมทาก็คิดเหมือนกัน

     

    ดีที่มีทางเชื่อมอยู่บนชั้น 3 ฮันน่าเลยเดินลัดไปได้ง่ายๆ ตามทางไม่มีอะไร เป็นเพียงกระจกกั้นกับพื้นข้างล่างเท่านั้น เอกเคมีหลายคนดูตื่นตากับตึก 2 มาก เพราะนานๆทีเราถึงจะเข้ามาเรียนที่นี่กัน

     

    ฮันน่ามั่นใจว่าตัวเองไม่ได้สอดส่องสายตาหาใครบางคนระหว่างที่เดินผ่านห้องเรียนเด็กเกรด 10 เธอมั่นใจว่าตัวเองเดินไปตามทางเหมือนกับคนอื่นๆ แต่เพียงแค่เสี้ยวเดียว เสี้ยวเดียวจริงๆที่เผลอหันไปมองบรรยากาศในห้องเรียน เธอดันไปสบตากับเจ้าลูกหมานั้นได้

     

    นั้นเป็นเรื่องบังเอิญที่ 1

     

    และเรื่องบังเอิญที่ 2 คือห้องแล็ปที่จะทำการทดลองกันอยู่ข้างห้องเด็กคนนั้น

     

    โอเค ก็แค่บังเอิญ

     

    บังเอิญที่ขนาดเดินไปเข้าห้องน้ำก็เจอน้องมันออกจากห้องน้ำพอดีหรือแม้แต่ตอนที่ทำการทดลองเสร็จเรียบร้อยกำลังจะออกจากห้องแล็ปพร้อมคนอื่นก็ดันออกพร้อมกับน้องมันอีก

     

    ดวงตาลูกหมานั้นมองเธออีกแล้ว

     

    "อ้าว ปาร์คเกอร์ นายเรียนห้องนี้เหรอ"เกเบรียนเหมือนเพิ่งเห็นน้อง กัปตันทีมบาสทักทายรุ่นน้องกันสองคนส่วนฮันน่าขอปลีกวิเวกอยู่คนเดียวดีกว่า เปเปอร์ออกไปพร้อมกับเมทาแล้ว ได้ยินแวบๆว่าจะไปที่คาเฟ่กันต่อ คู่นี้น่าจะไปกันรอด

     

    "ฮะ เพิ่งจะเคยเห็นเอกเฉพาะมาเรียนที่ตึกเราเป็นครั้งแรก"ปาร์คเกอร์ลูบสันคอ"เพื่อนๆตื่นเต้นกันใหญ่เลยตอนที่พวกพี่เดินมา"

     

    น่าตื่นเต้นตรงไหนกัน ฮันน่าคิดในใจ

     

    เอาเถอะ ปล่อยน้องมันไป เธอไม่อยากเสวนาอะไรมาก นาฬิกาหน้าจอโทรศัพท์ตอนนี้ก็บอกเวลาเลิกเรียนแล้ว งั้นก็ออกจากโรงเรียนเลยแล้วกัน เกเบรียนเองก็ไม่ได้บอกว่าจะกลับด้วย เธอเองก็ไม่จำเป็นต้องรอ

     

    "หือ จะกลับแล้วเหรอฮันน่า"เธอหันไปหาเพื่อนสนิท ไล่สายตามองหน้าเด็กตากลม

     

    ฮันน่าพยักหน้า "อืม"

     

    เกเบรียนร้องโอ้ โบกมือให้เธอเป็นการบอกลา ฮันน่ามองมันเฉยชา แค่พยักหน้าเป็นการรับรู้เท่านั้น ไม่ได้โบกมือกลับอะไร จังหวะที่จะหันตัวกลับ เด็กที่ไม่ได้พูดอะไรออกมานานก็พูดขึ้นมาบ้าง

     

    "กลับดีๆนะครับ"แล้วปาร์คเกอร์ก็สะดุ้งตัวโหยง ลูบสันคอตัสเองด้วยความประหม่าอีกครั้งที่ฮันน่าหันกลับไปมอง

     

    เด็กนี่..รำคาญชะมัด

     

    ฮันน่าเดินไปแล้ว ทิ้งให้ทั้งคู่คุยอะไรกันต่อ เธอปิดกั้นโลกภายนอกด้วยเสียงเพลงอีกครั้ง ไม่สนใจคนที่กำลังยืนคุยกันตรงทางเดิน หรือแม้แต่คนที่กำลังมองมาทางตัวเอง

     

    พวงกุญแจรถถูกโยนขึ้นเล่นเมื่อตอนที่ฮันน่าเดินมาถลานจอดรถ ตรงนี้ค่อนข้างเงียบ ไม่ค่อยมีใครเอารถมาโรงเรียนกันนัก ส่วนใหญ่จะเป็นแค่จักรยานและมอเตอไซน์ที่ไม่กินพื้นที่มาก

     

    ดวงตาเธอเหลือบไปเห็นลานจอดที่ห่างกันไปอีก มันถูกครองที่ด้วย ROYAL ENFIELD สีดำสนิท ก็ว่าทำไมวันนี้เกเบรียนไม่อาสาขับรถมาส่ง ที่แท้ก็เอาคู่หูมาด้วยนี่เอง ตัวรถเองก็ออกจะเด่นทำไมเมื่อเช้าเธอถึงไม่ทันสังเกตุมันนะ

     

    มือเรียวยกขึ้นมาบีบสันจมูกตัวเองเป็นการคลายเครียด พักนี้ฮันน่ารู้สึกแปลกๆ เธอเหมือนจะอารมณ์แปรปรวนง่ายกว่าปกติ การคิดการอ่าน การสังเกตุเองก็เริ่มลดลง หงุดหงิดง่ายขึ้นแถมยังเริ่มขี้รำคาญด้วย

     

    แค่คิดหน้าของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ก็โผล่ขึ้นมาในหัวอีกครั้ง

     

    อะ-ไร-อีก!

     

    เธอชักเบื่อขี้หน้าเด็กนี่แล้วนะ ทำไมถึงได้ผุดๆโผล่ๆหน้าน้องมันมาได้ทุกครั้ง เธอไม่ได้อินเลิฟแน่ๆ

     

    หรือว่าประจำเดือนจะมางั้นเหรอ จะว่าไปก็ยังไม่ได้นับวัน ถ้าเป็นแบบนี้เพราะมันก็คงไม่แปลกใจอะไร ฮันน่าผ่อนลมหายใจ ตั้งสติตัวเองดีๆ ถ้าขับรถด้วยสติเตลิดเตลิงแบบนี้มีหวังได้ไปอยู่ในคุกแทนคอนโดแน่

     

    ฟึ่บ

     

    !!

     

    ดวงตาเธอเบิกกว้าง ปฎิกิริยาร่างกายขับเคลื่อนไปตามอัตโนมัติ ฮันน่าบิดข้อมือของคนที่เอือมมาปิดปากด้วยผ้าอะไรบางอย่างออก ตวัดท่อนขาเข้าใส่ช่วงคออย่างจัง ทุกอย่างไวมากจนเธอเองก็ตกใจกับปฎิกิริยาตัวเอง

     

    คนที่บุกเข้ามาไม่ใช่ลัสโซ่ที่ชอบเล่นอะไรเพี้ยนๆแต่เป็นใครไม่รู้ที่อยู่ในชุดสูทสีดำสนิท เขาน็อคไปแล้ว ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน มีเพียงอกเท่านั้นที่ขยับขึ้นลง โอเค อย่างน้อยฮันน่าก็ยังไม่ได้พลั้งมือฆ่าใครตายเพราะตกใจ

     

    ผ้าเช็ดหน้านี้ใส่บางอย่างไว้ มันเปียกชื้นชุ่มด้วยน้ำ คาดว่าน่าจะเป็นยาสลบ ฮันน่าคลี่ผ้าเชฌดหน้าออก มันชุ่มเกือบไปทั้งผืน คาดว่าจะให้เธอหลับเป็นตายแล้วได้พาตัวไปแน่ๆ

     

    แต่เหตุผลคืออะไรล่ะ ไม่ใช่ว่าฮันน่าไม่มีศัตรู ทั้งคู่แข่ง ทั้งคู่อริไม่น่าจะกระจอกง้อยขนาดนี้ ถ้าจะโจมตีก็น่าจะรุนแรงและเลือกสถานที่เงียบมากกว่านี้ แต่นี่--โรงเรียน โรงเรียนที่กำลังเลิกเรียน คนกำลังพลุพล่านเนี่ยนะ? ใช้อะไรคิดกันอยู่

     

    "..!!?"

     

    แขนทั้งสองข้างถูกไขว้หลังอย่างไม่ทันตั้งตัว ฮันน่าเบี่ยงตัวนิดหน่อย ตั้งใจจะตั้งท่าใช้ลูกเตะอีกครั้งแต่ทุกอย่างก็เริ่มพร่ามัวอีกครั้งที่ถูกผ้าเช็ดหน้าป้ายมาที่จมูก

     

    ยาสลบ.. ชนิดที่โคตรจะรุนแรงซะด้วย

     

    ถึงจะเป็นช้างขนาดไหนก็ต้องสยบ ร่างเพรียวทรุดลงไร้เรี่ยวแรง ฮันน่าตาพร่ามัว พวกมันมากันหลายคนแถมยังเริ่มขยุกขยิกกับร่างกายเธออีก สิ่งสุดท้ายที่เห็นคือผ้าสีขาวที่เริ่มผูกเข้ากับข้อมือทั้งสองด้วยกัน

     

     

     

     

    ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน ผลของยาสลบเองก็เริ่มหมดฤทธิ ฮันน่าเปิดเปลิอกตาขึ้นมาช้าๆ เธอปรับโฟกัสสายตาด้วยการกระพริบตาสองสามครั้ง ผลของความปวดเมื่อยเป็นเวลานานโจมตีเข้ามาเพราะการนั่งผิดท่า

     

    ฮันน่ายันตัวขึ้นนั่งดีๆ ไล่ความปวดเมื่อยออกไป มือทั้งสองข้างไม่ได้ถูกมัดแล้ว สิ่งแรกที่เห็นคือเบาะรถกับวิวภายนอกหน้าต่าง รถคันนี้กำลังขับอยู่ในเมือง ไม่รู้ขับมานานแค่ไหนและไกลมากเท่าไร เธอไม่คุ้นชินกับเส้นทางนี้เลยสักนิด

     

    "โอ๊ะ ตื่นแล้วเหรอคุณหนู"

     

    ฮันน่าหันไปมองต้นเสียง ผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่เบาะข้างๆ ไขว้หางอ่านหนังสือ จิบกาแฟกระป๋องอย่างสบายใจ ดวงตาคู่คมหันมามอง ยื่นกระป๋องกาแฟมาให้เหมือนไม่ได้เพิ่งจับตัวเธอมา

     

    "เอากาแฟไหม อร่อยนะ"

     

    ไอ้ ไก่ เวร

     

             เหมือนคนที่โดนคาดหัวไว้จะรู้ตัว โทนี่ สตาร์คเหงื่อตกแต่ยังแอ๊บไม่กลัวเกรง ยกชดแก้วตาบัคขึ้นจิบไปอึกนึงแก้เก้อในขณะที่สาวเจ้าเพียงคนเดียวจ้องเขม็งทุกการกระทำ

     

             แค่ไม่รับโทรศัพท์ ไม่คุยด้วยถึงขนาดต้องลักพาตัวเธอเลยงั้นเรอะ

     

             "มีอะไร"ไม่รอช้า ฮันน่าเข้าประเด็นทันที เจ้าแม่เอกเคมีกอดอก นั่งไขว้หาง ปล่อยออร่าถมึงทึง พูดอะไรไม่เข้าหูแม่พร้อมถอดรองเท้าฟาดแน่

     

             "เรื่องธุรกิจนิดหน่อย--"

     

             "ไม่ทำ"

     

    ยังพูดไม่ทันจบประโยคเธอก็พูดแทรกทันที ใบหน้าสวยไม่มีคำว่าล้อเล่น อย่างที่เคยพูดไป เธอมีธุรกิจเยอะแล้ว ไม่อยากหาอะไรมาเพิ่มเป็นภาระ เธอไม่อยากจัดการอะไรหลายอย่าง แค่นี้ก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว

     

    แล้วจะมาให้ทำงานร่วมกับ..อะไรนะ? หมอนี่ชิ่ออะไรนะ

     

    "ฉันยังพูดไม่จบเลยนะคุณหนู"

     

    ฮันน่าปัดเรื่องชื่อคนข้างตัวออก ไม่สำคัญอะไร เธอไม่จำเป็นต้องจำก็ได้ "ยังไงก็ไม่ทำ" เธอยืนยันเสียงหนักแน่น

     

    แล้วก็ได้รับเสียงถอนหายใจออกมาเป็นการตอบรับ

     

    "ไม่เห็นเหมือนกับแม่เธอเลยนะ"

     

    แล้วก็นั้นแหละ ปฎิกิริยาเลยเปลี่ยนเป็นแบบกะทันหัน ดวงตาเรียวคมตวัดมองแทบจะทันที หัวใจด้านซ้ายกระตุกวูบ ใช่ เธอไม่เหมือนกับแม่ เธอไม่ได้ใจดีและอ่อนโยนต่อทุกสิ่งแบบนั้น เธอไม่ใช่นางฟ้าเหมือนหล่อนแต่เธอน่ะเป็นนางมาร

     

    เธอเป็นตัวร้ายขั้นสุด ผิดกับผู้เป็นแม่ที่เหมือนเป็นสีขาวบริสุทธิ์

     

    และเธอเองก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนั้น

     

    "มีคนเกิดมาเป็นล้าน คิดว่าจะมีคนเหมือนกันขนาดไหนล่ะ?"เสียงแข็ง แอบเห็นว่าคนที่ขับรถอยู่เหล่มองตรงกระจก ดูแล้ว ผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นบอดิการ์ดของสตาร์ค ฮันน่าแค่นหัวเราะ เธอจำได้ดี หมอนี่เป็นคนที่เดียวกับที่มัดมือ เผลอๆคงเป็นคนเดียวกับที่โป๊ะยาสลบ

     

    เฮงซวย

     

    "ปากร้ายไม่สิ้นสุด"สตาร์คผิวปาก"ฉันชอบนะ คนแบบนี้ เขาเรียกว่าอะไร ปากร้ายแต่ใจดีงั้นเหรอ--ใช่ ฉันว่ามันเป็นงั้น"

     

    ผิดแล้ว

     

    ริมฝีปากที่แต้มด้วยลิปสติกแย้มยิ้มเหนือร้าย

     

    "งั้นมั้ง"สิ้นเสียง ร่างกายขยับไหวเกินกว่าที่อีกฝ่ายจะทันตั้งตัว ฮันน่าพุ่งไปจับตัวของนักธุรกิจชื่อดัง ดึงตัวเข้าหา สอดแขนใต้ลำคอ ล็อคมันอย่างสมบูรณ์แบบ แก้วน้ำสตาบัคหกกระจายพร้อมกับเสียงล้อยนต์บดถนนดังเอี๊ยด

     

    "แค่ก"สตาร์คสำลัก เธอโน้มใบหน้าเข้าใกล้ กระซิบเสียงน่าขนลุกข้างหู

     

    "ฉันอาจจะใจดีกว่านี้หน่อยถ้านายร้องขอชีวิต"เพียงแค่ออกแรงนิดหน่อย ลำคอแข็งแกร่งก็จะหมุนตามแรงที่บังคับ โชคดีก็แค่ตาย

     

    รอยยิ้มหุบลง เหลือไว้เพียงใบหน้านิ่งเรียบ ฮันน่าสบตายอดิ้การ์ดของสตาร์คที่ชะเง้อคอมาแล้วออกคำสั่ง

     

    "จอดรถข้างหน้าแล้วอย่าริอาจตุกติก ไม่งั้นก็เตรียมตัวหาเจ้านายใหม่ได้เลย"เธอออกแรงรัดต้นคอเป็นการขู่ มีเสียงโอดครวญของสตาร์คเป็นเอฟเฟ็ค ในเมื่อเจ้านายก็ทำหน้าเหมือนขาดอากาศหายใจ บอดิ้การ์ดเพียงคนเดียวเลยตัดสินใจทำตามคำสั่งโดยไม่ขัดขืน

     

    รถถูกจอดเทียบฟุตบาทอย่างที่ต้องการ ฮันน่ามองคนใต้วงแขนแล้วผลักออกห่างจากตัว สตาร์คไอคอกแค่กแล้วชี้หน้าคาดโทษในขณะที่ฮันน่าลงจากรถ สาวเอกเคมีไม่ลืมที่จะก้มมองนักธุรกิจชื่อดังเป็นการส่งท้าย

     

    "อย่าตามมา ไม่งั้นได้ไปหาแม่ฉันข้างบนนั้นแน่"น้ำเสียงขึงจัง ใบหน้าและท่าทางส่อออกมาหมดว่าเอาจริง ฮันน่าไม่ใช่คนพูดเล่น เธอพร้อมที่จะลงมือทุกเมื่อ สตาร์คที่เห็นแบบนั้นเลยยอมยกธงขาว เอือมมือมาปิดประตูแล้วบอกให้บอดิการ์ดตัวเองขับรถออกไปโดยดี

     

    รถแล่นออกไปไกลแล้ว มีเพียงฮันน่าที่มอง สตาร์คไม่ใช่คนอ่อนแอ เขาเป็นผู้ชายอกสามศอก ตอนที่จู่โจมทำให้รู้ว่าสตาร์คไม่ใช่ลุงแก่ๆ ที่เอาแต่นั่งทำธุรกิจหาเงินงกๆ ผู้ชายคนนั้นมีกล้ามเนื้อตามประสาคนออกกำลังกาย ภูมิฐานดียิ่งกว่าผู้ชายทั่วไป แค่การรัดคอแค่นั้นก็สามารถปัดออกได้แต่เขากลับไม่ทำ

     

    นั้นแหละที่น่าขัดใจ ฮันน่าพอรู้ว่าโทนี่ สตาร์คเป็นฮีโร่ที่เรียกกันว่าไอรอนแมน เขาเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าอเวนเจอร์ และ--เขาไม่กล้าเอาจริงกับเธอ ไม่แม้แต่จะลงมือ ทำเหมือนเป็นยอม ยั่วโมโหสิ้นดี

     

    เธอคาดโทษ ฝังมันลงในสมองว่ากลับไปเมื่อไรจะจัดการถึงพลิกถึงขิงกับผู้ชายคนนี้

     

    แต่ก่อนที่จะจัดการกับสตาร์คได้ ฮันน่าต้องหาทางกลับบ้านซะก่อน สถานที่ตรงนี้ไม่เคยคุ้นตา ไม่เลย--สักนิดเดียว ไม่คุ้นกับถนนเลนใหญ่ตรงนี้ ร้านค้าที่เรียงตัวกัน แม้แต่คนที่เดินกันขวักไขว่ก็ไม่คุ้นหน้า ไม่รวมถึงเด็กประถมที่เล่นฟุตบอลกันอยู่ตรงทางเดินตรงนั้นด้วย

     

    ไม่คุ้นเลยสักนิด

     

    ดูเหมือนว่าสตาร์คจะขับรถออกมาจากตัวเมืองมาไกลมากโข เธอถึงไม่คุ้นกับอะไรสักอย่าง โชคยังดีที่ตอนนี้ยังไม่เย็นมากนัก ผู้คนยังมีเยอะอยู่พอสมควร ถ้าดึกกว่านี้คงได้ลำบากเป็นเท่าตัว

     

    ฮันน่าล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกง ตั้งใจจะหยิบโทรศัพท์โทรหาหนึ่งในสามเกลอให้มารับ ยอมรับว่าแวบแรกตั้งใจจะโทรหาเกเบรียนเป็นคนแรก เธอมั่นใจเกินร้อยว่าเพื่อนคนนี้จะมาหาแทบทันที แต่ความหวังทุกอย่างก็พังลง สิ่งที่ได้จากการควานหากระเป๋ากางเกงทั้งด้านหน้า ด้านหลังมีเพียงแฟลชไดร์ส่งงานโง่ๆเท่านั้น

     

    เธอยิ่งยืนนิ่งเข้าไปอีกตอนที่รัลรู้ว่าทุกอย่างที่มี ทั้งกระเป๋าตังค์ บัตรเครดิต กุญแจรถหรือแม้แต่โทรศัพท์ล้วนอยู่ในกระเป๋าเป้ทั้งนั้น ลืมไปสักสนิทว่าตัวเองนิยมใส่ของลงในกระเป๋ามากกว่าไว้กับตัวเพราะมันหนัก แฟลชไดร์นี่ก็มาได้เพราะรีบออกจากห้องตอนคาบสาม

     

    บัดซบ

     

    ถ้าสตาร์คไม่ส่งลูกน้องมาพาตัวเธอไป เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้น ฮันน่าจะไม่รู้สึกเฮงซวยกับชีวิตขนาดนี้มาก่อน ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น เก็บเรื่องนี้พับไปทบกับบัญชีชำระแค้นแทบจะทันที

     

    ได้เห็นดีกันแน่ โทนี่ สตาร์ค

     

    แต่ดีที่ตรงนี้ติดกับถนนใหญ่ นั้นเท่ากับว่าป้ายแผนที่เมืองกับป้ายรถบัสอยู่ไม่ไกล แต่มันก็เท่านั้น ฮันน่าไม่มีเงินสักเหรียญขึ้นรถบัสเลยด้วยซ้ำ เป็นนักธุรกิจอายุน้อยที่สุดแล้วยังไง เจ้าของบัญชีหลายล้านดอลล่าแล้วยังไง ตอนนี้ ณ ตอนนี้ เธอไม่มีเงินสักเหรียญเดียว!

     

    แล้วแผนที่นี่อีก ตัวหนังสือเล็กเสียจนแทบมองไม่เห็น ฮันน่าเพ่งแล้วเพ่งอีกก็ไม่ได้รู้อะไรกลับมาสักอย่าง มั่นใจด้วยว่าสายตาตัวเองดีกว่าชาวบ้าน แต่ขอเถอะ แผ่นทีนี่สมควรไปให้แมงมุมดูเถอะ เวรเอ้ย

     

    "ให้ช่วยป่าวคนสวย"

     

    เสือก

     

    ฮันน่าเกือบพูดออกไปแบบนั้นถ้าไม่ติดว่าน้ำเสียงนี่คุ้นหูชอบกล แถมมันยังดังขึ้นเหนือหัว เจ้าแม่เอกเคมีเงยหน้าขึ้นมอง พอดิบพอดีกับที่มนุษย์คอสเพลย์โน้มหน้าลงมา

     

    เฮงซวย

     

    หมอนี่คือสไปเดอร์แมน มนุษย์คอสเพลย์ที่ใส่ชุดรัดติ้วว่อนทั่วเมือง ผู้ชายที่ทำลูกรักเธอพังต่อหน้าต่อตา! ไอ้เวรเอ้ย!

     

    ยิ่งคิดยิ่งโมโหแต่ฮันน่าพยายามไม่เก็บเรื่องวันนั้นมาคิด เธอพอเข้าใจว่ามันคืออุบัติเหตุ ไม่มีใครต้องการให้เป็นแบบนั้น และใช่ เธอไม่รู้ด้วยว่าเขาเป็นใคร เขาเองก็คงไม่ตั้งใจ

     

    แต่มันน่าหงุดหงิดจริงๆ

     

    "หลงทางเหรอครับพี่สาว"น้ำเสียงยียวนนี่ก็น่าหงุดหงิด

     

    "ฉันไม่มีน้องชาย"ฮันน่าตอบกลับ เก๊กมองแผนที่ไปเรื่อยๆถึงจะไม่เห็นสักตัวเดียวว่ามันเขียนว่าอะไรก็ตาม

     

    "แล้วใครอยากเป็นน้องคุณ"คราวนี้สไปเดอร์แมนเป็นฝ่ายตอบกลับชวนหาเรื่อง มนุษย์คอสเพลย์กระโดดลงมาจากป้ายแผนที่ลงมาขนาบข้าง

     

    "ผมบอกทางคุณได้นะถ้าคุณต้องการ"

     

    "ขอบใจแต่ไม่ต้อง ฉันหาทางกลับเองได้"แล้วฮันน่าก็ปลีกตัวออกมาจากมนุษย์น้ำเงินแดง แสร้งเดินไปเหมือนรู้ทาง เธอเลี้ยวเข้าซอยนู้นออกซอยนี้เหมือนรู้ทางลัดนักหนาแต่ผลที่ได้คือสถานที่ที่เริ่มคุ้นตา

     

    ถนนเส้นเดิม ร้านเดิม เด็กกำลังเล่นฟุตบอลเหมือนเดิมแล้วก็มีสไปเดอร์แมนยืนโบกมือให้ นั้นอะไร--เยาะเย้ยเธอรึไง

     

    "หลงทางก็บอกดิคุณ ยอมรับเถอะน่า ผมน่ะช่วยคนหลงทางมาเยอะแล้วนะ ควีนส์น่ะผมเป็นเจ้าถิ่นเลยจะบอกให้"

     

    ไม่ได้อยากรู้เลยสักนิดแล้วเจ้าถิ่นอะไร--เป็นหมารึไง

     

    "โอ๊ะโกลเด้น!"สไปเดอร์แมนดี๊ด๊า ฮันน่ามองสุนัขขนสีน้ำตาลเงางามนั่งแกว่งหางมองการเล่นตลกของมนุษย์แมงมุม ไม่พอเจ้าถิ่นเมืองควีนส์--ที่เขาว่ามาแบบนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทำท่าจะเชลฟี่กับเจ้าหมาขนทอง

     

    หน้าฮันน่ายิ่งนิ่งขึ้นไปอีก

     

    อีกใจก็รู้สึกตะหงิดกับท่าทางของมนุษย์คอสเพลย์

     

    ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนใครสักคน

     

    แชะ!

     

    "ขอบใจมาก ไหนไฟว์!"แล้วฮันน่าก็มองดูแมงมุมกับโกลเด้นไฮไฟว์กัน มันก็ดูเป็นภาพที่--พิลึก เขาดูสนุกจนออกนอกหน้า ดูรู้เลยว่าภายใต้หน้ากากนั้นยิ้มแป้นมากแค่ไหน

     

    เหมือนเด็กชะมัด

     

    ฮันน่าคิดในใจ เธอยืนมองแมงมุมเล่นกับสุนัขเงียบๆจนกว่าเจ้าตัวจะพอใจ ฮันน่าก็คิดว่าเขาจะอุ้มโกลเด้นกลับบ้านไปด้วยถ้าไม่ติดว่าเจ้าของวิ่งมาตาม จนกระทั่งสไปเดอร์แมนโบกมือบ๊าบายเจ้าสุนัขขนทองเสร็จนั้นแหละ หมอนั้นถึงหันมาสนใจ

     

    เกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองหลง นึกว่ามาดูเด็กที่ไหนไม่รู้เล่นกับหมา

     

    "ผมลืมเลยว่าจะพาคุณกลับบ้าน! ว่าแต่ช่วยบอกได่ไหมว่าคุณจะไปที่ไหน ผมจะได้บอกทางถูก"เขากระตือรือร้น

     

    "คอนโดฮันเซล"ส่วนเธอเบื่อหน่าย

     

    "ใกล้จากที่นี่ไม่เท่าไร นั่งสองต่อก็ถึงเดี๋ยวคุณรอรถบัสสาย 87 ลงสุดสายแล้วต่อสาย 34 อีกทีก็ถึงแล้ว นั่งสุดสายทั้งสองคันเลยนะ พอลงจากสาย 34 แล้วจะเป็นย่านแถวคอนโดนั้นพอดี"เขาพูดจ้อในขณะที่ฮันน่าฟังบ้างไม่ฟังบ้าง จะให้ฟังอะไรในเมื่อเธอน่ะ

     

    "ไม่มีเงิน"แล้วสไปเดอร์แมนก็นิ่งค้าง หันมาร้อง"ห๊ะ?"ใส่

     

    "ไม่ มี เงิน"แล้วฮันน่าก็ต้องเน้นย้ำความอัปยศของตัวเองให้คนที่ดูไม่เชื่อหู มีดวงตาที่โตขึ้นเป็นภาพประกอบ นับถือคนที่สร้างชุดสไปเดอร์แมนจากใจจริง ระบบต่างๆดีเยี่ยม ถ่ายทอดลักษณะความรู้สึกของคนใส่ได้ดี

     

    "คนอย่างคุณเนี่ยนะ พระเจ้า ขับรถป้ายแดงแทบทุกวัน พักคอนโดหรู ทั้งเสื้อผ้า ทั้งรองเท้าก็แบรนด์ทั้งนั้นแต่ตอนนี้คุณกลับบอกไม่มีเงิน.."เหมือนเส้นประสาทจะเริ่มกระตุกขึ้นมาหน่อย สไปเดอร์แมนพูดจ้อ ท่าทางไม่เชื่อจนน่าโอเว่อร์แล้วยังมีหน้ามาปิดปากเยาะเย้ยอีก

     

    "แต่ไม่เป็นไร ผมจะช่วยคุณเอง พอจะรู้เส้นทางเดินอยู่แต่มันก็ค่อนข้างอันตรายสำหรับผู้หญิงอย่างคุณ---"

     

    "ต้องไปทางไหน"ฮันน่าแทรกประโยค จะดึกจะมืดก็มาเถอะ ขอให้กลับบ้านได้ก็พอ ตอนนี้เริ่มเบื่อแล้ว เธอต้องการแช่น้ำเย็นๆในอ่างมากกว่ามายืนฟังสไปเดอร์แมนพูด

     

    "เฮ้! แต่มันค่อนข้างอันตรายนะ!"

     

    "แล้วจะยังไง?"ไปนู้นก็ไม่ได้ ไปนี่ก็ไม่ได้ จะอะไรนักหนา

     

    "ผมจะไปส่ง"คราวนี้เป็นฮันน่าที่เกือบจะร้องห๊ะ เธอขมวดคิ้ว ทวนคำพูดคนตรงหน้าอีกทีก็ได้รับการพยักหน้ามาเป็นคำตอบ

     

    อ่า วันนั้นทำรถเธอพัง วันนี้จะมาบุกฐานเธอ?

     

    "ตามใจ"มันคงไม่เสียหายอะไร สไปเดอร์แมนคงไม่ใช่คนที่จะมายุ่งเรื่องธุรกิจเธอแน่ ภายใต้หน้ากากกับชุดคอสเพลย์ห่วยๆนี่คงเป็นคนธรมดาๆ ไม่มีพิษอะไร

     

    เธอคิดแบบนั้น แค่ตอนนี้

     

    แล้วการมาส่งของสไปเดอร์แมนที่ว่าก็แค่เดินตามกันเฉยๆกับระยะทางหลายกิโลเมตรในเวลาเกือบมืดค่ำ อ่าฮะ เส้นทางมันอันตรายอย่างที่เขาพูดแต่ถ้าให้เดินกันแบบนี้ ชาติไหนจะถึงคอนโดกันวะ

     

    "น้องสาวคนสวย มาทำอะไรแถวนี้ค่ำๆมืดๆคะ"

     

    ฮันน่าไม่ได้บื้อถึงขนาดที่ไม่รู้ว่ากลุ่มผู้ชายที่นั่งตามซอก ตามซอยนี่แซวตัวเอง ดวงหน้าเธอนิ่งสนิท ความบัดซบในใจก็มีอยู่เต็มอกถ้าโดนรังควานหน่อย ได้หงุดหงิดออกมาแน่

     

    เธอทำเมิน สถานการณ์แบบนี้ไม่ค่อยอยากจะเข้าไปเอี่ยว สไปเดอร์แมนเองก็คิดแบบนั้น เรากำลังเดินผ่านกลุ่มพวกนั้นไป มันจะเป็นไปได้ด้วยดีอยู่แล้วถ้าหนึ่งในนั้นไม่ลุกพรวดพราดมาจับแขนไว้

     

    "มาเถอะน่าน้องสาว พวกพี่พาไปที่สนุกๆได้นะ"พวกมันหัวเราะเสียงดังน่าสะอิดสะเอียน เสียงโห่แซวมีเป็นกระลอกเป็นลูกเสริม คำหยาบลวงถูกพ่นออกมาให้ได้ยินเหมิอนไม่รู้ว่าใครกำลังยืนอยู่ข้างๆ

     

    สไปเดอร์แมน เพื่อนบ้านผู้แสนดีก็ออกจะดัง? ทำไมพวกนี้ถึงไม่กลัวเกรงแมงมุมตัวนี้

     

    หรือว่า

     

    "เฮ้พวก ไม่เอาน่าปล่อยผู้หญิงคนนี้ไปเถอะ"

     

    "ยุ่งเหี้ยอะไรด้วยวะ"แล้วหมัดหนักๆก็ถูกเสิร์ฟให้กับฮีโร่เมืองควีนส์ ไม่อยากจะพูดหรอกนะแต่ค่อนข้างสะใจนิดหน่อย เหมือนหนี้แค้นที่ทำลูกรักหายไปปลิดทิ้ง

     

    "แต่งตัวอะไรของมัน ห่วยชิบหาย"

     

    อ่ะ เห็นด้วย ไม่เถียง

     

    สไปเดอร์แมนล้มลงไปแล้ว เขาไม่ทันได้ตั้งตัว ก้นเลยลงไปจูบกับพื้นเรียบร้อย พอหมดไปหนึ่งพวกมันก็หันมาละลาบละล้วงเธออีกครั้ง คราวนี้มารุมกันเพิ่มอีกสอง เหม็นกลิ่นตัวจนอยากจะอ้วก

     

    "เอาล่ะน้องสาว มากับพี่ดีกว่ามา"หนึ่งในนั้นทำท่าจะโอบไหล่ ใบหน้าพวกมันยิ้มโสโครกและก่อนที่มือหยาบกระด้างจะแตะลงบนหัวไหล่ ฮันน่าบิดแขนคนที่กอบกุมแขนเธอออก ยกศอกกระแทกเข้าที่เบ้าตาของคนที่หวังจะแตะตัว

     

    "มึงทำเหี้ยไรวะ!"

     

    พอกันที

     

    คำหยาบคายพ่นออกมาจากปาก หลายคำ หลายประโยคจนไม่ได้ศัพท์ เจ้าแม่เอกเคมีไม่สนใจ ไม่นานต่อจากนี้ก็เกิดการตะลุมบ่อนขึ้น ฮันน่าหลบหมัดที่พุ่งตรงมา เธอเอี่ยวตัวไปด้านข้าง จับลูกหมัดและข้อศอกให้มั่นแล้วทุ่มลงพื้นไม่ทันตั้งตัว!

     

    ไม่สนใจแม้แต่เสียงโอดครวญ เธอแค่นเสียงน่าสมเพช บิดแขนจนได้ยินเสียงดังกร๊อบเป็นของแถม ไม่ทันได้สนุกต่อ ฮันน่าก็ก้มลงหลบลูกเตะของหนึ่งในนั้น ไม่พอยังเบี่ยงตัวหลบคนที่พุ่งมาได้ทัน ร่างบางเอี่ยวตัวหลบได้อย่างคล่องแคล่วก่อนที่จะก้มลงไปหยิบท่อนไม้ที่เผอิญเจอเข้าพอดี

     

    สนุกแล้ว

     

    "จับมันไว้--อั่ก!"

     

    ฮันน่าหวดท่อนไม้เข้าที่หัวคนปากมากไปหนึ่งทีแบบไม่คิด แต่ดูเหมือนจะฟาดแรงไปหน่อย เลือดเลยติดออกมาด้วย พอสร้างบาดแผลให้เป็นเครื่องประดับ มันก็ยิ่งเหมือนเติมเชื้อเพลิงลงบนกองไฟ

     

    แต่น่าเสียดาย ที่ไฟนี่ทำอะไรเธอไม่ได้

     

    ในเมื่อพวกมันทำท่าจะไม่ยอม แน่นอนว่าฮันน่าก็ไม่ยอม ผู้หญิงคนเดียวควงไม้สนุกมือ เดินย่างกายเข้าหาคนที่หาเรื่องใส่ตัว

     

    "ว่าไงพี่ชาย อยากไปสนุกกับฉันไหม?"เธอว่าพร้อมกับหวดท่อนไม้ใส่ซี่โครงหนึ่งในนั้นที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เราแลกหมัดกันไม่มีใครยอม พอเธอมีอาวุธก็ยิ่งได้เปรียบ น่าตลกที่มีชายสี่ห้าคนมารุมผู้หญิงเพียงคนเดียว

     

    แล้วไม่กี่นาทีต่อจากนั้นก็มีคนล้มลงไปหนึ่ง กลุ่มพวกมันกระจัดกระจาย ฮันน่าอยากจะสมเพชให้กับคนพวกนี้ มันยอมทิ้งเพื่อนเพื่อให้ตัวเองรอด

     

    ทุเรศ

     

    น่าสงสารดีเหมือนกันที่คนที่ล้มไปนั้นไม่สามารถหนีได้ เขาเป็นคนเดียวกับที่เธอหวดใส่เข้าที่สีข้าง ไม่รู้ว่ากระดูกซี่โครงจะหักรึเปล่าเพราะคนอย่างฮันน่าไม่เคยทำอะไรยั้งมือ

     

    "อั่ก"ฮันน่านั่งลงกับแผ่นหลัง โน้มหน้าไปหาให้เหลือช่องว่างเพียงนิด วางท่อนไม้ระดับสายตาของผู้เคราะห์ร้าย

     

    "อย่ามาแส่หาเรื่อง"พูดออกมาให้รู้กันแค่สองคน ใช้ปลายท่อนไม้สัมผัสเนื้อแก้มสากแผ่วเบา เสียดสีจนตัวสั่นเทิ้มน่าขำ

     

    "คราวหลังอย่ามาให้เห็นหน้าอีก พวกมึงทุกคน"เธอเน้นย้ำ เขาพยักหน้ารัวเร็ว ไม่กลัวการบาดเสียดสีของเนื้อไม้ที่ทำให้เกิดแผล กว่าจะปล่อยให้คนแส่หาเรื่องหนีไป เธอก็สนุกกับท่าทีกลัวจนตัวสั่นจนพอ

     

    ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ตรงนี้แล้ว นอกจากมนุษย์แมงมุมกับสาวเอกเคมีที่แสนบอบบาง ฮันน่าโยนท่อนไม้ทิ้ง ปัดเศษดิน เศษฝุ่นออกจากตัวจนหมด ยืดเส้นยืดสายคลายกล้ามเนื้อ เมื่อยนิดหน่อย เธอเดินมานานแถมยังต้องออกแรงอีก ไม่เมื่อยก็แปลกแล้ว

     

    "มองไร"พอรู้ว่าถูกมองก็ถาม สไปเดอร์แมนสะดุ้งโหยงเหมือนเด็กถูกจับได้ รู้ว่าคงไม่ได้คำถามน่าพอใจฮันน่าก็เลิกสนใจ ถอดรองเท้าผ้าใบออกจนหมด

     

    เธอถอนหายใจแผ่วเบา ว่าแล้วเชียวทำไมถึงปวดเมื่อยขนาดนี้ เท้าบวมช้ำจากการเดินมานาน ดีเท่าไรที่ไม่เกิดอ่อนแรงตอนตะลุมบ่อนกันเมื่อกี้

     

    "เท้าคุณบวม"สไปเดอร์แมนก้มลงดู เขาย่อตัวลงต่อหน้า พิจารณาเท้าเธอเหมือนเป็นของล้ำค่านักหนาก่อนที่จะถือวิสาสะยกข้อเท้าขึ้น"ดีที่ไม่เกิดอุบัติเหตุเมื่อกี้ ผมขอโทษนะ"

     

    ฮันน่าไม่ได้ตอบกลับอะไร รอดูว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรต่อแล้วมันก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไรที่สไปเดอร์แมนจะหันหลังมาให้ทั้งที่ย่อตัวลงอยู่

     

    "ขึ้นมาเถอะ ผมจะไปส่งคุณ"

     

    "เพิ่งจะคิดได้"จิกกัดพอหนำใจก็ยอมขึ้นหลังฮีโร่เมืองควีนส์อย่างว่าง่าย ฮันน่ากระชับมือที่กอดคอไว้ กลัวผลัดลงตกตอนที่อีกฝ่ายกระชับบอกให้จับแน่นๆแล้วยิงสลิงเส้นใยจากตคกสู่ตึก

     

    คืนนั้นเป็นครั้งแรกที่ฮันน่าได้รับชมวิวยามดึกของเมืองควีนส์ แม้จะอยู่มานานแต่กลับอดทึ่งความสวยงามยามแสงสีนี่ได้ เธอไม่ได้ตกใจกับการโหนตึกนี่ กลับกันกลับรู้สึกสนุกและสบายใจที่ลมมาปะทะหน้ามันเหมือนส่าเธอกำลังเล่นรถไฟเหาะอยูาอย่างนั้น

     

    ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกอดรัดเครื่องเล่นมีชีวิตแน่นมากแค่ไหน ทั้งคู่ต่างพากันส่งกระแสความร้อนจากเนื้อสู่เนื้อ อบอุ่นจนไม่มีใครโต้แย้งกับการใกล้ชิด

     

    ค่ำคืนนี้แมงมุมได้ชักใยใส่เหยื่อแล้ว

     

     

     

     

     

     

     

     

    เช้าวันต่อมา โทนี่ สตาร์คตาแทบถลนเมื่อเลขาคนสวยมารายงานว่าบริษัทเล็กที่เป็นเครือข่ายกับสตาร์คเทาว์เวอร์ถูกเทคโอเวอร์ด้วยฝีมือของใครบางคน

     

    ใครบางคนที่ผุดขึ้นมาในหัวพร้อมกับใบหน้าเยาะเย้ย

     

    ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลย โทนี่เอ๊ย..

     

     

     

     

     

    #แมงมุมแพ้เหยื่อ

     

    50% นี่ก็ยาวอยู่นะคะ คนแพ้ต้องดูแลตัวเองนะคุณกระต๊าก55555555555

    ปล.ยังไม่ได้แกคำผิดนะคะ เดี๋ยวมาแก้♡

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×