คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ปาก (เหมือนจะ) แข็ง
ริมฝีปากอุ่นเริ่มสัมผัสที่บริเวณขมับ ก่อนจะไล้เรื่อยลงมาที่ข้างแก้มและค่อยๆ ต่ำลงมายังลำคอขาวช้าๆ สลิลนรีหลับตาปี๋ ตัวสั่นเป็นลูกนก หัวใจเต้นะรัวราวกับมีใครเอากลองสะบัดชัยมาตีอยู่ในอก
"คุณภพหยุดเถอะ ฉันขอร้อง หยุดเถอะ" หญิงสาวละล่ำละลักออกมาเสียงสั่นทันทีที่รู้สึกลมหายใจอุ่นที่เป่ารดอยู่แถวเนินอก
หากไร้ผล ริมฝีปากหยักลึกของชายหนุ่มยังคงรุกรานร่างของเธอต่อไป แถมตอนนี้มันเริ่มวนกลับขึ้นมาที่คอเธอแล้วด้วยซิ ดูเหมือนอารมณ์ของเขาจะเตลิดไปไกลเสียแล้ว เมื่อเขาบดริมฝีปากเข้าที่ซอกคอของเธอจนเกิดเป็นรอยแดง ก่อนที่ริมฝีปากร้อนระอุนั้นจะเคลื่อนมาที่ใบหูของเธอช้าๆ
“ดูท่ามันสายไปแล้วล่ะครับ” เสียงทุ้มนุ่มที่กระซิบนั้นช่างแหบพร่ากับสัมผัสอุ่นๆ ประหลาดที่ใบหูทำให้สลิลนรีตัวสั่นมากขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ ดวงหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นมองสบตาเธอ ความรู้สึกหวามไหวในแววตาสีน้ำตาลนั้นแสดงความรู้สึกบางอย่างหากเธอไม่ได้สนใจมัน ไม่ใช่ในเวลานี้ที่สติของเธอกำลังจะหลุดออกจากร่างอยู่แล้วเมื่อริมฝีปากของเขาขยับเข้ามาใกล้ริมฝีปากเธอมากขึ้นทุกทีๆ
“หยุดเถอะค่ะ ฉันกลัวแล้ว”
เสียงหวานใสที่ทั้งสั่นทั้งปนสะอื้นจากริมฝีปากบางนั้นส่งผลให้ชายหนุ่มหยุดการเคลื่อนไหวในทันที พร้อมกับที่ความรู้สึกส่วนดีของเขาค่อยๆ กลับคืนมา พิภพลืมตาขึ้นมองดวงหน้าใสที่ตอนนี้ทั้งแดงและร้อนไปหมดราวกับกำลังจับไข้ ที่สำคัญดวงตาทั้งสองที่ปิดแน่นคู่นั้นมีหยดน้ำใสๆ ไหลเรื่อยลงมาเป็นทาง ริมฝีปากอิ่มบางที่เขาหมายจะลิ้มรสเมื่อครู่เม้มเข้ามากันแน่นจนแทบจะห้อเลือด ร่างบางสั่นอย่างหนักด้วยหวาดกลัวต่ออะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นหากเขาปล่อยให้ร่างกายทำตามส่วนลึกในจิตใจ...นี่เขากำลังทำให้เธอร้องไห้งั้นหรือ
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเกือบสิบปี แม้เขาจะโกรธจะมีเรื่องถกเถียงกับเธอมากเท่าไหร่ก็ตามแต่ หากสิ่งหนึ่งที่น่าแปลกก็คือ นอกจากเรื่องของธนากรแล้ว ไม่เคยเลยซักครั้งที่เขาจะทำให้เธอร้องไห้ไม่ว่าจะทะเลาะกันแรงแค่ไหนก็ตาม
สลิลนรีรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวที่สงบลง หญิงสาวค่อยๆ ปรือตาขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วก็สบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่แฝงแววขอลุแก่โทษมาให้เธออย่างจริงใจ ก่อนที่ชายหนุ่มจะถอนใบหน้าขึ้นช้าๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำ ปล่อยให้เธอนอนแผ่อยู่ที่เดิมเพื่อเรียกสติของตัวเองกลับมา
ถ้าเขาไม่หยุด เธอจะทำยังไงดี นั่นเป็นคำถามที่เธอถามตัวเอง
จะทำอะไรได้นอกจากปล่อยให้มันเป็นไปตามที่เขาต้องการ ยังไงซะเธอก็เป็นผู้หญิง จะเอาแรงที่ไหนไปสู้เขาที่ตัวใหญ่กว่าเกือบสองเท่าแบบนั้น นั่นคือเสียงของหัวใจที่ตอบกลับมา ถึงตรงนี้สลิลนรีก็ได้แต่ขอบคุณอะไรก็ตามที่ดลใจให้ชายหนุ่มหยุดการกระทำใดๆ ต่อไปของเขาได้
หญิงสาวยันตัวลุกขึ้นนั่งช้าๆ ก่อนจะยกมือขึ้นทาบอกซึ่งขณะนี้เจ้าก้อนเนื้อที่เรียกว่าหัวใจยังคงเต้นระรัวเสียจนแทบจะหลุดออกมาข้างนอก
"คุณรีบไปนอนเถอะ"
เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้นเบาๆ จังหวะเดียวกับที่เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้เท้าแขนที่ห่างไกลจากตัวเธอมากที่สุดด้วยยังรู้สึกผิดและละอายที่เผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปมากมายถึงเพียงนั้น แม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นผลมาจากพิษไข้และฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่เขาได้รับเข้าไปก็ตามที
“ขอโทษด้วยที่เมื่อกี้ผมทำอะไรแย่ๆ ลงไป แล้วก็ขอบคุณมากที่ช่วยให้ผมได้สติ ราตรีสวัสดิ์ครับ”
พิภพพูดกับเธอเพียงแค่นั้น ก่อนที่เขาจะเอนตัวลงนอนบนโซฟาพร้อมกับดึงผ้าห่มผืนหนาขึ้นคลุมถึงลำคอแล้วหลับตาลงเงียบไปในทันที
พูดซิริน เมื่อกี้เขาทำเธอร้ายแรงกว่าที่เธอทำเขา เขายังกล้าขอโทษเธอเลยนะ เสียงเล็กๆ ร้องขึ้นในใจแล้วริมฝีปากบางก็เผยอขึ้นเอ่ยคำที่เธอคิดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อตอนหัวค่ำออกมาช้าๆ เบาๆ หากมันจะตราตรึงในหัวใจของใครคนหนึ่งไปอีกนานแสนนาน
"ฉันเองก็ต้องขอโทษด้วยที่วันนี้ทำตัวงี่เง่าเหมือนเด็กๆ จนทำให้คุณเจ็บตัว ราตรีสวัสดิ์ค่ะ“
เธอพูดกับเขาแค่นั้น ก่อนจะเดินเข้าห้องแล้วปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา หญิงสาวก้าวขึ้นเตียงและนอนหลับไปทันทีด้วยความเหนื่อยอ่อนกับเหตุการณ์ชวนปั่นป่วนหัวใจเมื่อครู่ ในขณะที่คนซึ่งหลับตาพริ้มบนโซฟาด้านนอกนั้นก็ได้แต่นอนอมยิ้มอยู่คนเดียวในความมืด
แปดโมงของเช้าวันใหม่มาเยือน สลิลนรีออกจากห้องนอนเตรียมจะทำอาหารเช้าก่อนไปทำงาน หญิงสาวมองที่โซฟาตัวยาวตรงมุมรับแขกก็พบว่ามันได้ว่างเปล่าลงเสียแล้ว ผ้าห่มและหมอนที่เธอยกมาให้เขาเมื่อคืนถูกเก็บเป็นระเบียบวางไว้ที่ด้านหนึ่งของโซฟา แอร์ก็ถูกปิดไปเรียบร้อย
"ไม่มีบอกลา แต่อย่างน้อยจัดของเข้าที่ให้ก็ถือว่าใช้ได้"
หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องครัว แล้วสายตาของเธอก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ไม้ เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่ามันคือถุงโจ๊กหมูที่ยังร้อนๆ อยู่กับถุงปาท่องโก๋ตัวใหญ่สองตัวกรอบๆ เมื่อเธอหยิบมันขึ้นมาก็พบกับกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ แผ่นหนึ่งซึ่งมีลายมือเขียนด้วยน้ำหมึกสีดำดูไม่ค่อยคุ้นตาเท่าไหร่นักวางอยู่
'ขอรับคำขอโทษด้วยความเต็มใจ ขอโทษอีกครั้งที่เมื่อวานทำเรื่องไม่สมควร และขอบคุณสำหรับที่พักชั่วคราวเมื่อคืนนี้นะครับคนดี
ภพ ปล. ช่วงนี้อากาศเอาแน่เอานอนไม่ค่อยจะได้ คุณเองก็รักษาสุขภาพด้วยล่ะ ^ ^ '
"ใครเป็นคนดีของนายกันยะ" หญิงสาวว่าเบาๆ ก่อนจะนำกระดาษโน้ตใบนั้นไปเก็บไว้ในห้องนอน และออกมาจัดการกับอาหารเช้าที่คนไข้ฉุกเฉินเมื่อคืนอุตส่าห์ขับรถออกไปซื้อมาให้แต่เช้าทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่ค่อยจะหายดีเป็นปลิดทิ้ง
"ขอบคุณสำหรับอาหารเช้านะ นายตัวกวน" หญิงสาวพูดขึ้นลอยๆ ราวกับจะส่งคำพูดนี้ไปให้กับเจ้าของกระดาษโน้ตใบนั้น ซึ่งป่านนี้เจ้าตัวคงกำลังตั้งใจขับรถไปทำงานที่บริษัทในกรุงเทพอยู่เป็นแน่ แค่นึกถึงเท่านั้นความรู้สึกบางอย่างก็ก่อเกิดขึ้นในหัวใจของเธอ พร้อมกับที่ริมฝีปากบางแดงเรื่อแย้มยิ้มออกมาน้อยๆ โดยไม่รู้ตัว
"หน้าบานเป็นจานเชิงเชียวนะ" ภัทราแซวเมื่อเห็นเพื่อนรักเดินเข้ามาในแผนกด้วยท่าทางร่าเริงสดใสราวกับหนูน้อยหมวกแดง หากสลิลนรีไม่สนใจยังคงร้องเพลงฮึมฮัมในลำคอเบาๆ อย่างมีความสุข จนศรายุทอดที่จะแปลกใจไม่ได้
"อารมณ์ดีแบบนี้อย่าบอกนะว่าเราฆ่าเพื่อนพี่หมกห้องไปแล้วน่ะ" ชายหนุ่มถาม พร้อมกับทำหน้าตื่นตกใจเสียจนเกินเหตุ ทำเอาคนที่โดนหาว่าเป็นฆาตกรนึกอยากจะทำการฆาตกรรมคนขึ้นมาจริงๆ
"ถ้าฆ่ากันง่ายขนาดนั้นก็ดีน่ะซิคะ นี่เพื่อนพี่เล่นตัวใหญ่อย่างกับตึก แรงก็เยอะกว่ารินตั้งหลายเท่าแบบนี้ รินจะไปทำอะไรเขาได้ล่ะคะ” เธอหันไปแยกเขี้ยวตอบ
“ถ้างั้นแล้วไปทำอะไรมาเหรอถึงได้อารมณ์ดี ยิ้มหน้าบานไม่หุบแบบนี้” ภัทราถามต่อด้วยอยากรู้อยากเห็นเต็มที หากคำตอบที่ได้รับคือรอยยิ้มน้อยๆ ที่ดูยียวนกวนอารมณ์ที่สุดในสายตาของคนมองและการส่ายหน้าจนหางม้าที่มัดรวบไว้สะบัดกระจายของสลิลนรี
“ก็ไม่มีอะไรนี่" หญิงสาวตอบลอยหน้าลอยตาไปมา ก่อนจะคว้าเสื้อกาวน์มาสวมเดินออกจากห้องไปทำงานอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ภัทราได้แต่กล่าวฝากสายลมกับท้องฟ้าอยู่ภายในใจเงียบๆ คอยดูนะยัยลูกผสมทอร์นาโดสึนามิ ฉันจะง้างปากแข็งๆ ของเธอให้ได้เชียว
"ริน
รินจ๋า"
เสียงออดอ้อนที่ฟังแล้วน่าสยองสุดๆ สำหรับคนถูกเรียกส่งผลให้เท้าของสลิลนรีสาวเร็วขึ้นโดยอัตโนมัติด้วยเรียนรู้มาจากประสบการณ์ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ภัทราใช้น้ำเสียงแบบนี้แถมเรียกเธอซะหวานจ๋อยประมาณนี้ นั่นหมายความว่าภัทราต้องการอะไรบางอย่างจากเธอ และไอ้อะไรบางอย่างนี่แหละที่จะทำให้เธอต้องมานั่งกุมขมับปวดหัวทุกครั้งไป
“บอกฉันมาซะดีๆ นะว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้น เช้านี้เธอถึงได้หน้าบานเป็นกระด้งมอญมาทำงานแบบนี้” ภัทราถามพร้อมกับคล้องแขนตนเข้ากับแขนของสลิลนรีอย่างออดอ้อน สลิลนรีปรายตามามองแวบหนึ่งก็หันไปมองทางเดิม เสียใจย่ะ คราวนี้ต่อให้มาง้างปากกันยังไงก็ไม่บอกเด็ดขาด
แต่ดูท่าว่างานนี้เธอคงต้องใช้ขันติขั้นสูงเลยทีเดียว เพราะเมื่อมองไปทางขวาก็เจอแม่เพื่อนตัวดีกำลังส่งสายตาวิบวับใสซื่อราวกับเด็กน้อยช่างอ้อนมาให้ พอหันไปทางซ้ายก็เจอใบหน้าหล่อเหลาของศรายุทกำลังจ้องมองเธออย่างคาดคั้นเอาจริงจนเธอชักจะเริ่มเกิดอาการหวั่นๆ งานนี้ฉันจะรอดมั้ยเนี่ย ฮือๆๆ
“รินบอกว่าไม่มีก็ไม่มีอะไรซิคะพี่ซัน ทำไมต้องมาคาดคั้นกันแบบนี้ด้วยล่ะ” หญิงสาวว่าเสียงสะบัดแล้วหลบตาไปมองทางอื่น หน้าตาแบบนี้เนี่ยนะไม่มีอะไร อย่ามาหลอกกันซะให้ยากเลยน้องรัก
"ริน พี่เป็นห่วงรินนะ ที่ถามเนี่ยเพราะพี่รู้สึกไม่ดีที่เอาไอ้ภพมันไปฝากให้เราช่วยดูเมื่อคืน เลยอยากถามเพื่อความแน่ใจและเพื่อความสบายใจว่ามันไม่ได้ทำอะไรเรา ว่าไงล่ะริน"
ทีตอนเอามาฝากล่ะไม่นึกห่วง เพิ่งจะนึกมาห่วงเอาอีตอนนี้เนี่ยนะ ช่างเป็นพี่ชายที่แสนดีจริงๆ !!.. หญิงสาวต่อว่ารุ่นพี่ที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายร่วมสาบานของเธอในใจแม้จะรู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอจริงๆ ก็ตามทีเถอะ ขณะที่อีกใจหนึ่งก็กระหวัดไปบ่นคนที่เป็นสาเหตุให้เธอต้องมาโดนสอบปากคำ คราวหน้าต่อให้มีไข้จะเป็นจะตายยังไงก็อย่าได้หวังว่าจะได้มานอนที่ห้องฉันอีกเลยนะคุณ
"นี่หรือว่า... โธ่!! ไม่นะ” ภัทราเริ่มส่งเสียงครวญคราง พาให้สลิลนรีและศรายุทเริ่มเกิดอาการงง “เป็นอะไรไปอีกล่ะฟ้า” หญิงสาวถาม ชักเริ่มรู้สึกสังหรณ์ไม่ค่อยดีขึ้นมาตะหงิดๆ
"แน่ๆ แล้วล่ะค่ะพี่ซัน ระหว่างยัยรินกับเพื่อนพี่มันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ" ภัทราพูดรัว ขณะที่คนโดนหาว่ามีอะไรกับ ’เพื่อนพี่’ คนนั้นยืนนิ่งค้างไปแล้ว เอาแล้วมั้ยล่ะ จินตนาการสุดบรรเจิดของคุณนายภัทรา!!
"เฮ้ย!! ไม่จริงใช่มั้ยริน บอกพี่ซิว่าไอ้ภพมันไม่ได้ทำอะไรรินอย่างที่พี่คิดเอาไว้จริงๆ น่ะ" ศรายุทถามพร้อมกับเขย่าตัวสลิลนรีอย่างแรงด้วยท่าทีตกอกตกใจจนหน้าซีดไปหมดหากสลิลนรียังคงเงียบด้วยไม่อยากตอบอะไรออกไปให้เข้าทางภัทรา
“ไม่ต้องถามแล้วล่ะค่ะพี่ซัน ฟ้าว่าชัวร์เลย คุณภพนะคุณภพ ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะกล้าทำรินถึงขนาดนี้ ไม่ต้องห่วงนะริน ฉันจะต้องลากคอคุณภพมารับผิดชอบที่ทำให้เธอมัวหมองแน่ ไม่ต้องกลัวนะ"
เพล้ง!!
เสียงขันติในจิตใจของหญิงสาวแตกแหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นดีในทันที และแล้วปากบางได้รูปสวยที่สู้อุตส่าห์เม้มให้มันปิดสนิทมาได้ตลอดทางก็เปิดออกพร้อมกับเสียงแหวแว้ดดังวินาศสันตโร
"จะบ้าเหรอฟ้า นี่ฟ้าคิดว่าคนอย่างเราจะยอมให้เขาทำอะไรได้จริงๆ เหรอ”
“อ้าว!! แล้วถ้าคุณภพไม่ได้ทำอย่างนั้นแล้วเขาทำยังไงล่ะ” ภัทราถามกลับทำหน้าเหลอหลาสมบทบาท “ก็แค่จับเรากดกับโซฟาน่ะซิ” สลิลนรีตอบด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“เดี๋ยว!! เมื่อกี้เราว่าไอ้ภพมันจับเรากดกับอะไรนะ” ศรายุทถามขึ้นบ้างด้วยน้ำเสียงตกอกตกใจสุดขีด
มาถึงตรงนี้สลิลนรีก็ยอมเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีทางเลือก ด้วยไม่อยากให้แม่เพื่อนรักคิดอะไรเป็นตุเป็นตะจนเธอกลายเป็น ‘ผู้หญิงมัวหมอง’ และอดสงสารศรายุทที่หน้าซีดสลับกับสลดด้วยเพราะเป็นห่วงเธอไม่ได้
"ถามจริง!! ไอ้บ้านั่นกล้าทำแบบนั้นกับเราด้วยเหรอ" ศรายุทร้องถามอย่างไม่อยากจะเชื่อหูว่าไอ้เพื่อนรักเพื่อนเลิฟของเขาจะกล้าทำกับรุ่นน้องคนสำคัญของเขาได้ถึงขนาดนี้ ผีบ้าซาตานตัวไหนมันเข้าสิงวะเนี่ย!!
"ก็แล้วจะให้รินโกหกพี่หาพระแสงของ้าวอะไรล่ะ" สลิลนรีบ่นอุบอิบใบหน้าแดงเรื่อขึ้นเมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ยังติดตรึงอยู่ในใจของเธอไม่หายไปไหน
"ไม่โกรธมันรึไง" ศรายุทถาม สลิลนรีเองก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือกหนักๆ
“โกรธซิคะ แต่พอคิดไปว่าที่เขาทำไปเพราะมีฤทธิ์แอลกอฮอล์และพิษไข้เข้ามาเกี่ยวข้อง แถมสุดท้ายแล้วเขาเองก็ยังมีสติพอที่จะยับยั้งตัวเองไว้ได้ รินก็ไม่รู้จะโกรธเขาไปทำไมเหมือนกันค่ะ”
“แล้วสรุปว่าไอ้สิ่งที่ทำให้รินยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งมอญมาแต่เช้านี่คือ โจ๊กหมูที่เขาอุตส่าห์ตื่นแต่เช้าขับรถย้อนไปซื้อมาให้กับกระดาษโน้ตที่แนบข้อความของเขาเอาไว้แค่นั้นเนี่ยนะ” ภัทราถามอย่างไม่อยากจะเชื่อปนเสียดายนิดๆ
“ไม่ใช่ ‘แค่นั้น’ นะต้องบอกว่า ‘ตั้งขนาดนั้น’ ต่างหาก ฟ้าก็รู้ว่าถ้าเขากับเราเวลาพบกันปกติเหมือนชาวบ้านชาวเมืองทั่วไป แค่เขามาพูดดีๆ มันไม่ทำให้เรารู้สึกดีอย่างนี้หรอก แต่มันเป็นเพราะไม่เคยที่จะคุยกันดีๆ เลยต่างหาก พอมาเจอเขียนข้อความดีๆ ให้ ซื้อข้าวเช้ามาให้ทานแบบนี้มันก็อดที่จะดีใจไม่ได้นี่”
“ไม่เกิดอะไรมากกว่านี้จริงๆ นะ” ภัทราถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ส่งผลให้สลืลนรีหันมามองด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ
“นี่เธออยากให้เขาทำอะไรเรามากกว่านี้จริงๆ รึไงยะยัยฟ้า พูดตามตรงนะ ถ้าเกิดสมมติว่าเขาทำอะไรเราขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ เราคงไม่มานั่งยิ้มหน้าบานทำตัวเป็นปกติอยู่อย่างนี้หรอก" เธอย้ำซึ่งก็ทำให้ภัทรารู้สึกสบายใจขึ้นอีกเป็นกองเมื่อมั่นใจแน่แล้วว่าเพื่อนของเธอยังคงอยู่ดีครบสามสิบสอง
“สรุปว่าดีใจเพราะมันทำดีด้วยว่างั้น? แล้วไม่ยอมเล่าแต่แรกจนพี่เป็นห่วงไปหมด“ ศรายุทบ่น
“โธ่... ก็รินอายนี่คะพี่ซัน เพราะถ้าขืนรินเล่าเรื่องโน้ต มันก็ต้องเล่าเรื่องนั้นด้วย รินอายเป็นเหมือนกันนะคะพี่” หญิงสาวตอบเขาเสียงเบา ก่อนจะเดินแยกไปซื้ออาหารมานั่งทาน
“จะถามอะไรก็ถามมาเลยดีกว่าฟ้า มองหน้าเราแบบนี้มันรู้สึกยังไงไม่รู้” สลิลนรีกอดอกมองตาภัทราทันทีที่ศรายุทเดินแยกเข้าไปทำงานแล้ว
“โอเค งั้นขอถามคำถามสุดท้าย รินแน่ใจนะว่าที่รินยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งมอญแต่เช้าเนี่ยเพราะแค่กระดาษโน้ตอย่างเดียว ไม่ใช่เพราะเรื่องที่... “ เธอพูดละไว้ในฐานที่เข้าใจ สลิลนรีหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกเมื่อเข้าใจความหมายที่เพื่อนรักต้องการสื่อกับเธอ แล้วมือบางก็ฟาดเข้าให้ที่ต้นแขนของเพื่อนรักไม่เบาแต่ก็ไม่แรงนัก พอให้รู้สึกแสบๆ คันๆ
"บ้าแล้ว!!" ว่าแล้วก็เดินลิ่วๆ เข้าห้องทำงานของตัวเองไป ปล่อยให้ภัทรายืนยิ้มอยู่เพียงผู้เดียว
ยัยรินเอ๊ย... ท่าทางแบบนี้คงอีกไม่นานแล้วล่ะที่ฝนจะตกลงมาเป็นแมวอย่างที่เธอเคยพูดไว้ แต่ว่านะ... ใบหน้าเปื้อนด้วยรอยยิ้มของหญิงสาวค่อยๆ จางหายไปทันทีที่ดวงหน้าของชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏขึ้นมาในห้วงความคิด
รัน... ชายหนุ่มที่ดีแสนดีอีกคนหนึ่งที่มาหลงรักสลิลนรี โดยที่สลิลนรีไม่เคยรู้และไม่เคยเอะใจมาก่อนเลยว่ามีใครอีกคนข้างๆ ตัวที่ทั้งรักและเห็นเธอสำคัญยิ่งกว่าใคร
แต่ดรัณเองก็ไม่เคยรู้อีกเหมือนกันนั่นแหละว่าข้างๆ กายเขานอกจากสลิลนรีแล้ว ยังมีผู้หญิงอีกคนที่คอยเฝ้ามองและมีเขาอยู่ในหัวใจมานานเต็มที แม้เธอจะรู้อยู่แก่ใจดีว่าดรัณรักสลิลนรีมากแค่ไหนและคงไม่มีวันที่เขาจะหันมามองเธอก็ตาม แต่ว่าอย่างน้อยเมื่อคนหนึ่งคือเพื่อนรักคนสำคัญ ส่วนอีกคนนั้นคือคนที่เธอแอบรัก ดังนั้นขอแค่ให้เธอได้อยู่ใกล้ๆ คนทั้งสอง คอยเป็นที่พึ่ง เป็นคนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับทั้งสองคนแค่นั้น แม้ว่าจะรู้สึกทรมานใจอย่างไรก็ตามก็เพียงพอแล้ว
สำหรับเธอดรัณเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี ใจเย็นและอ่อนโยนเหมือนกับศรายุท หากสิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างก็คือรอยยิ้มที่สามารถทำให้คนรอบข้างยิ้มตามได้ราวกับโดนร่ายมนตร์สะกด ชายหนุ่มสามารถปรับตัวเข้ากับใครๆ ได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง... กับสลิลนรี ที่มีนิสัยแทบจะตรงกันข้ามกับเขาเกือบทุกอย่าง
ทั้งคู่เข้ากันได้ดีมากตั้งแต่วันแรกที่ได้พบหน้ากันเมื่อสมัยที่อยู่ม. ปลาย สลิลนรีกับดรัณถูกเรียกว่าเป็นคู่หูปาท่องโก๋กันเลยก็ว่าได้ เพราะที่ไหนมีดรัณที่นั่นต้องมีสลิลนรี เหมือนกับที่ไหนมีแสงที่นั่นก็ย่อมมีเงาเสมอไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ยิ่งพออยู่กันนานขึ้นทั้งคู่ก็สนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดความสนิทสนมนั้นก็ทำให้ชายหนุ่มรู้ใจตัวเองว่าได้หลงรักผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่ระดับความแสบซ่าไม่ได้เล็กตามตัวคนนี้เสียแล้ว และที่ปรึกษาปัญหาหัวใจในตอนนั้นสำหรับเขา จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเธอ ภัทราคนนี้ไงล่ะ
บอกตามตรงที่เธอไม่คิดจะขวางก็เพราะคิดว่าบางทีสลิลนรีเองก็อาจจะมีใจให้กับดรัณอยู่บ้างจึงปล่อยให้อะไรเป็นไปตามที่พรหมท่านจะลิขิต แต่จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาสิบปีเข้าไปแล้ว เธอก็ไม่เคยเห็นดรัณมีทีท่าจะพูดกับเพื่อนรักของเธออย่างจริงจังซักครั้ง จนตอนนี้ได้มีใครอีกคนก้าวเข้ามาในใจของสลิลนรีอย่างเงียบเชียบจนเธออดห่วงดรัณไม่ได้จริงๆ
ฉันเคยสัญญาว่าจะคอยเปิดทางให้เท่านั้นนะรัน ไม่ได้บอกว่าจะคอยขัดขวางผู้ชายดีๆ คนอื่นที่จะเข้ามาในชีวิตของริน
ความคิดเห็น