ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My dear diary...บันทึกรักสุดหัวใจ

    ลำดับตอนที่ #6 : แขกยามวิกาล

    • อัปเดตล่าสุด 19 ธ.ค. 52


                    "ข้าขอโทษแทนยัยรินด้วยนะภพ
                    นี่เป็นครั้งที่สิบห้าเข้าไปแล้วที่เขาต้องมารับคำขอโทษขอโพยของศรายุทแทนแม่ตัวแสบที่ชกเขาเสียเต็มรักจนทานอาหารไม่ค่อยจะลง                                                                                               

    "ไม่เป็นไร ข้าชินแล้ว" ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นกุมตรงบริเวณที่โดนหมัดอีกครั้ง... กะให้ช้ำในตายเลยมั้ยเนี่ย

    "ฮึ!! ผู้หญิงอะไรรุนแรง ไม่มีความเป็นกุลสตรีเอาซะเลย" 
                    รื่นรตีซึ่งนั่งไขว่ห้างโชว์ท่อนขาขาวยาวเรียวที่โผล่พ้นออกมาจากกระโปรงสั้นใต้สะโพกยาวแค่ไม่กี่คืบเข้ารูปสีดำออกความเห็นในขณะที่ยังคงนั่งกอดแขนพิภพไว้ไม่ยอมปล่อย หญิงสาวจีบปากจีบคอว่าสลิลนรีด้วยน้ำเสียงกระแนะกระแหนต่ออีกหลายประโยค จนภัทราที่นั่งฟังอยู่ด้วยรู้สึกฉุนขึ้นมาแทน

                    "อย่างน้อยรินเขาก็เป็นกุลสตรีมากพอที่จะรู้ว่ากุลสตรีไทยควรจะวางตัวและประพฤติปฏิบัติตัวยังไงกับเพศตรงข้ามต่อหน้าธารกำนัลแล้วกันค่ะ เผลอๆ จะรู้มากกว่าผู้หญิงบางคนที่เป็นผู้ญิ้งผู้หญิงซะด้วยซ้ำนะคะ" 
                    รื่นรตีคอแข็ง ชักสีหน้าไม่พอใจใส่ภัทราในทันที หากเมื่อภัทราจ้องตอบไม่ถอยง่ายๆ หญิงสาวก็ทำได้แค่ฮึดฮัดไม่พอใจแล้วสะบัดหน้าเมินไปทางอื่นก็เท่านั้น เช่นเดียวกับภัทราที่มองออกไปยังท้องถนนด้านนอกร้าน คาดหวังในใจว่าจะเห็นร่างของเพื่อนรักก้าวเข้ามาในร้านก่อนที่เธอจะได้วางมวยกับรื่นรตีให้ร้านรวงเขาพังราบ          
                    "ไม่ต้องรอหรอกครับคุณฟ้า เขาคงไม่มาแล้ว" เสียงทุ้มของพิภพเอ่ยขัดขึ้นเบาๆ ส่งผลให้ภัทราหลุดออกจากโลกส่วนตัวแล้วหันมามองหน้าเขาที่ส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้                                                                    

    "นั่นซินะคะเขาคงไม่มาแล้วจริงๆ ป่านนี้คงจะอาบน้ำเตรียมเข้านอนแล้วล่ะมั้ง" หญิงสาวว่าพลางถอนหายใจ                        

    "คงยังหรอกครับ”

    “รู้ได้ยังไงคะคุณภพ” ภัทราถามกลับ อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ที่ชายหนุ่มรู้แม้กระทั่งเวลาเข้านอนของเพื่อนเธอ

    “สังเกตจากตอนที่ไปเที่ยวต่างจังหวัดฉลองที่พวกคุณสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ยังไงล่ะครับ เพื่อนคุณน่ะถ้ายังไม่ถึงสี่ทุ่มครึ่งล่ะก็ ไม่เคยง่วงกับเขาหรอกครับ ยกเว้นแต่จะไม่สบายเท่านั้น ถ้าไม่ใช่ผมยอมให้คุณฟ้าเตะไอ้ซันเลยครับ" ชายหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ ทำเอาคนที่ถูกลากเข้ามาเอี่ยวแบบไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยถึงกับสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่เลยทีเดียว                                                                                                                                                              
                     "ขอบใจนะไอ้เพื่อนบ้า คบกันมาเกือบยี่สิบปี ข้าเพิ่งจะรู้ว่าเอ็งนี่รักข้ามากๆ เลยพับผ่าซิ!!" สิ้นประโยคประชดประชันของศรายุทผู้ร่วมโต๊ะทุกคนก็หัวเราะครืน ยกเว้นแต่รื่นรตีเพียงคนเดียวเท่านั้น ก่อนที่หญิงสาวจะหันไปทางดารารัตน์ที่กำลังนั่งหัวเราะอยู่
                    "พวกเราเองก็ได้เวลากลับบ้านแล้วล่ะดาว เดี๋ยวคุณพ่อจะเป็นห่วง ไปก่อนนะคะคุณภพหญิงสาวหันไปบอกผู้เป็นน้องสาวก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วหันมาหอมแก้มพิภพหนึ่งฟอด ก่อนที่เธอจะส่งสายตาท้าทายมาทางภัทราซึ่งได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันบ่นในใจเงียบๆ

                    "เออ...งั้นดาวคงต้องขอตัวก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ                                                                                                               "ผมขับรถตามไปส่งแล้วกันครับ ผู้หญิงเดินทางกันเองตอนค่ำๆ มืดๆ แบบนี้คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่" พิภัทธเสนอตัวก่อนจะเดินตามสองศรีพี่น้องออกจากร้านไป ทิ้งสองหนุ่มกับอีกหนึ่งสาวไว้เบื้องหลัง       

    "หอมแก้มผู้ชายในที่สาธารณะ ถ้าเป็นลูกฟ้านะจะจับตีซะให้ลายเชียว ทำไมคนพี่กับน้องถึงได้ต่างกันได้ขนาดนี้นะ" ภัทราเอ่ยขึ้นทันทีที่เหลือกันอยู่แค่สามคนที่โต๊ะ ก่อนจะยกแก้วค็อคเทลขึ้นกระดกทีเดียวหมดแก้ว          
                   "ขนาดแฝดแท้นิสัยยังต่างกันได้เลย แล้วจะมาเอาอะไรกับพี่น้องธรรมดาล่ะฟ้า" ศรายุทออกความเห็นพร้อมกับถอดแว่นตามาวางบนโต๊ะแล้วเริ่มนวดที่ระหว่างหัวคิ้วตัวเองเบาๆ                         

    "เครียดมากขนาดนั้นเลยรึไงวะไอ้ซัน" พิภพแหย่ศรายุทที่มีท่าทางเหมือนเพิ่งจะคิดเมกกะโปรเจ็คต์ระดับโลกเสร็จซักสี่โปรเจ็คต์มากกว่ามาทานอาหารเย็นในร้านที่ติดแอร์เย็นฉ่ำ                                          

    "ใครจะไปเหมือนเอ็งล่ะที่มีสาวมาคอยตาม คอยเอาอกใจ ข้านี่ตั้งแต่ออกจากแผนกยันคุณเธอออกจากร้านโดนไปไม่รู้กี่ดอกแล้วเนี่ย ไม่รู้คุณเธอจะตั้งป้อมอะไรกับข้านักหนา" ชายหนุ่มบ่นก่อนจะยกน้ำขึ้นดื่ม                       
                    "อย่าว่าแต่พี่ซันเลยค่ะ ฟ้าเองก็เครียดเหมือนกันแหละ ผู้หญิงอะไรน่าปวดหัวที่สุด" ภัทราบ่น

    “แต่ผมว่าผมรู้จักผู้หญิงที่น่าปวดหัวกว่านะครับ” พิภพออกความเห็นด้วยท่าทีสบายอารมณ์พร้อมกับรินเบียร์ใส่ลงในแก้วทรงสูงของตัวเอง

    “ยังจะมีใครน่าปวดหัวกว่าคุณรื่นรตีอีกเหรอคะเนี่ย”

    “ก็เพื่อนคุณฟ้าที่ชื่อว่าสลิลนรีไงล่ะครับ คนนั้นล่ะผมว่าน่าปวดหัวที่สุดในโลกเลย” ว่าแล้วก็ยกเบียร์ขึ้นดื่มหมดไปอีกแก้วอย่างรวดเร็ว 
                    “ขนาดเจ้าตัวไม่อยู่ยังจะอุตส่าห์หาเรื่องเขาได้อีกนะเอ็ง” ศรายุทว่าก่อนจะหัวเราะหึๆ ในลำคอ “อยากรู้นักถ้าแม่ตัวแสบนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยจะว่าไง”

    “ข้าก็อาจจะได้กินขนมตุ้บตั้บอีกซักครึ่งโหลไง” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับหัวเราะขำๆ ก่อนจะรินเบียร์ให้ตัวเองอีกแก้ว

    "คุณภพคะ ฟ้าขอถามอะไรคุณหน่อยได้มั้ยคะ คืออย่าหาว่าฟ้าชอบเอาเรื่องเก่ามาคิดมากเลยนะคะ แต่ฟ้าสงสัยมานานแล้วว่าทำไมคุณภพถึงชอบหาเรื่องทะเลาะกับรินอยู่เรื่อย ทั้งที่ปกติคุณภพก็ออกจะเป็นคนใจเย็น ไม่ชอบมีเรื่องมีราวกับใครโดยเฉพาะถ้าคนๆ นั้นเป็นผู้หญิงด้วยนี่คะ"

    คำถามของหญิงสาวทำให้แววตาของชายหนุ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อยพร้อมกับที่หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ หากเขาก็สามารถซ่อนมันเอาไว้ได้อย่างแนบเนียนจากผู้ร่วมโต๊ะทั้งสอง แล้วนั่งฟังหญิงสาวพูดต่อไปโดยไร้พิรุธใดๆ                            

    "ตามตรงนะคะคุณภพ ฟ้าสงสารคุณที่ต้องมาโดนรินทำร้ายร่างกายแล้วก็ว่านั่นว่านี่สารพัด ฟ้าไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงยังทนและหาเรื่องรินต่อได้ ทั้งที่ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงเลิกยุ่งกับรินไปนานแล้ว"

    “...” นั่นซินะทำไมถึงไม่ยอมเลิกยุ่งกับเธอซะ ทำไมกันนะ                

    สิบปีที่ผ่านมา ทั้งที่เขาต้องเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจด้วยการกระทำและวาจาที่แสนแสบสันร้ายกาจของเธอคนนั้นเสมอ แต่ทำไมเขาถึงเดินหนีจากยัยเด็กสาวตัวแสบคนนั้นไม่ได้เสียที เขาเคยหนีไปเรียนต่อเมืองนอกเพราะกะว่าจะได้ไม่ต้องพูดไม่ต้องเจอเธอซักพักแล้วอะไรๆ มันคงจะดีขึ้น แต่สุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหวต้องต่อสายกลับมารังควานเธอที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งเกือบทุกวันเสียเอง ทำไมกัน 

    "อาจเป็นเพราะผมยังติดใจเรื่องในอดีตล่ะมั้งครับ ผมอยากเอาคืนเธอให้ได้ อีกอย่างนะครับ โดยส่วนตัวผมว่าเพื่อนคุณฟ้าเป็นคนที่น่าแกล้งดี ผมเลยรู้สึกสนุกเวลาแกล้งเขา

    "แล้วไอ้กำปั้นที่เสยเข้าลิ้นปี่ไปนั่นสนุกด้วยรึไง เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าข้ามีเพื่อนเป็นพวกชอบความรุนแรง ระวังไว้เถอะเอ็งวันไหนเจอยัยรินองค์ลงจริงๆ ล่ะก็อย่ามาให้ข้าฝากเอ็งกับหมอคนไหนเชียว เพราะถึงตอนนั้นหมอที่ไหนก็เอาไม่อยู่ ส่งไปศาลาวัดได้อย่างเดียว" ศรายุทว่า

    “เคยเห็นรึไงวะนั่น ตัวเล็กแค่นั้นคงไม่หนักไปกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้เท่าไหร่นักหรอก” ชายหนุ่มว่าด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่นัก

    “ก็เพราะเคยเห็นน่ะซิ บอกได้คำเดียวเลยนะเอ็งว่าน่ากลัวชิบเป้ง” ศรายุทสวน

    “ยัยรินน่ะ ถ้าโกรธจริงๆ ล่ะก็เขาจะไม่พูดเลยค่ะ จะเงียบอย่างเดียวแล้วถ้าคุณไปสะกิดอะไรเข้าอีกหน่อยล่ะก็... ตูม ทุกสิ่งทุกอย่างในรัศมีสิบเมตรราบเป็นหน้ากลอง เหมือนโดนทอร์นาโดกับสึนามิถล่มในเวลาเดียวกันเลยค่ะ” ภัทราเล่า ภาพเมื่อตอนที่สลิลนรีอาละวาดกลุ่มเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงที่มารุมแกล้งน้องสาวของตนนั้นเธอยังจำได้ติดตา

    ปีศาจ นั่นเป็นเพียงคำนิยามเดียวที่เธอ พิชานันท์ จีราภาและวิภาศิณีสามารถบรรยายถึงสลิลนรีในตอนนั้นได้  
                    "ขอบคุณนะครับที่เตือน ถ้าวันไหนเข้ากิดเงียบขึ้นมา ผมจะหนีให้พ้นจากรัศมีทำลายล้างนั่นให้ไกลที่สุดก็แล้วกันนะครับ" คนได้รับคำเตือนตอบก่อนจะยกแก้วบรรจุน้ำสีอำพันขึ้นกระดกหมดไปอีกแก้วอย่างรวดเร็ว 

    ครืด...ครืด...เสียงอวัยวะชิ้นที่สามสิบสามแผดเสียงดังขึ้นพร้อมกับอาการสั่นอย่างรุนแรงส่งผลให้ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของมันต้องขอตัวเดินออกมาด้านนอกร้านที่ตอนนี้ฝนกำลังตก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์เครื่องเล็กแต่ราคาไม่เล็กตามตัวขึ้นมาดูหมายเลขที่โทรเข้า แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อชื่อ 'แม่จอมแสบปรากฏอยู่บนหน้าจอ

    "ครับคุณสลิลนรี ไม่ทราบว่าสิ่งมหัศจรรย์อะไรดลบันดาลให้คุณโทรมาหาผมครับ" ชายหนุ่มเผลอพูดออกไปด้วยความเคยชินโดยไม่กลัวว่าจะเจอสาวอารมณ์ผสมทอร์นาโดกับสึนามิถล่มใส่เลยแม้แต่น้อย ขณะที่ปลายสายนั้นก็แทบอยากจะวางหูไปซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ยังยั้งตัวเองเอาไว้ได้ด้วยขันติอันแรงกล้า
                    "ฉันอยากโทรก็โทร แต่ถ้าคุณยังไม่ว่างเพราะติดธุระสำคัญอะไรอยู่ล่ะก็ฉันวางก็ได้ ไม่อยากรบกวนเวลาอันแสนมีค่าของคุณเท่าไหร่นักหรอกแล้วคนพูดก็ทำท่าจะกดตัดสัญญาณตามที่ว่าจริงๆ จนชายหนุ่มต้องร้องห้ามเธอเอาไว้                                                                                                                

    "เดี๋ยวซิคุณ!! เรื่องเมื่อเย็นยังไม่ได้ชำระความกันเลยนะ" เขาพูดขึ้นเสียงเครียด ก่อนที่เสียงแหลมใสจะร้องแว้ดๆ ตอบกลับมาในทันควัน                                                                                                                                                
                    "คุณหาเรื่องฉันก่อนนะ" หญิงสาวแก้ตัวส่งเดช ริมฝีปากหยักลึกแย้มยิ้มออกมานิดๆ ด้วยรู้ว่าสามารถยื้อคู่สนทนาเอาไว้ได้สำเร็จ

    "นี่คุณ อย่างนั้นน่ะเขาไม่ได้เรียกว่าหาเรื่อง ผมตั้งใจจะชวนคุณคุยแก้เครียด คุณกลับสวนหมัดใส่ผมซะงั้น อย่างนี้ใครหาเรื่องกันแน่ครับ" เขาโต้กลับเสียงเรียบ
                    "คุณจะเอายังไงก็ว่ามา สลิลนรีกัดฟันถามกลับเสียงลอดไรฟันพยายามข่มอารมณ์เอาไว้ ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ของตัวเองนั้นค่อนข้างจะเป็นต่ออยู่เล็กน้อย
                    "ก็ไม่เอายังไงทั้งนั้นแหละครับ เอาแค่คำขอโทษดีๆ เพราะๆ ประโยคเดียวเท่านั้นพอ" เสียงหัวเราะกระแทกกระทั้นในลำคอของคนปลายสายดังขึ้น ก่อนเสียงหวานๆ ซึ่งฟังดูก็รู้ว่าแกล้งดัดจะตอบกลับมา
                    "ตอนแรกรินก็ว่าจะพูดหรอกนะคะคุณภพขา แต่พอเจอประโยคทักทายของคุณเข้า รินก็เกิดหมดอารมณ์ขึ้นมาซะเฉยๆ น่ะค่ะ เพราะฉะนั้นคงต้องรอไปก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ"

    ทันทีที่เสียงหวานเจี๊ยบชนิดน้ำตาลแทบจะตกผลึกบนโทรศัพท์จบลง สัญญาณการสื่อสารก็ถูกตัดไปในทันที ชายหนุ่มมองโทรศัพท์ตัวเองยิ้มๆ อยู่ครู่หนึ่งก็กลับเข้ามาในร้าน ด้วยไม่เห็นเหตุผลที่ตนจะยืนตากละอองฝนต่อไป                               

    "ใครโทรมาวะภพ" ศรายุทถามขึ้นด้วยอดสงสัยไม่ได้ที่เห็นเพื่อนเดินยิ้มกริ่มกลับเข้ามา

    "น้องสาวสุดที่รักของเอ็งไง" สิ้นประโยคของชายหนุ่ม ภัทราก็แทบสำลักน้ำที่เพิ่งดื่มเข้าไปก่อนจะละล่ำละลักถาม

    "เขาว่าอะไรคุณภพอีกรึเปล่าคะ" หากชายหนุ่มยังคงยิ้มกริ่มอยู่เช่นเดิม ทำเอาศรายุทรู้สึกขนลุกยังไงชอบกล                                                                                                                                                                        
                    "เฮ้ย!! อย่าทำหน้าอย่างนั้นได้มั้ยวะ มันให้ความรู้สึกเหมือนยัยรินโทรมาสารภาพรักเอ็งยังไงยังงั้นแหละ"                                                                                                                                                                                     
                    "เอ็งรู้ได้ไงวะ
                    "ว่าไงนะ!!" สองเสียงร้องประสานกันจนพนักงานและแขกที่นั่งอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นพากันหันมามองพวกเขาเป็นตาเดียวกัน ก่อนคนแกล้งหยอกจะหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่
                    "เอ็งกับคุณฟ้านี่หลอกง่ายชะมัด เชื่อจริงๆ รึเนี่ยว่าน้องนุชสุดที่รักของเอ็งจะพูดแบบนั้นจริงๆ” ชายหนุ่มถามกลับ ทำเอาศรายุทอยากจะประเคนกำปั้นให้กินซักทีสองที

    “ไอ้นี่นี่วอนโดนต่อย แล้วว่าไงยัยรินโทรมาเรื่องอะไร” ศรายุทถามอีกครั้ง หากคราวนี้เขากลับได้รับเพียงแค่รอยยิ้มน้อยๆ จากพิภพ

    “ความลับ”

     

    "เดี๋ยวพี่ไปส่งฟ้าเอง ไว้เจอกันอาทิตย์หน้าว่ะภพ อย่าลืมที่ยัยเมย์นัดกับรินวันอาทิตย์นี้ด้วยล่ะ ไม่งั้นแม่ตัวดีไปตามเอ็งถึงบ้าน เดือนร้อนพ่อแม่พี่น้องเอ็งมาคอยเป็นคนห้ามทัพแน่" ศรายุทกำชับด้วยความหวังดี
                    "อืม...!!" ชายหนุ่มตอบเพียงแค่นั้นก็เสียหลักทรุดลงไปนั่งกับพื้น ทำเอาภัทราและศรายุทตกใจไปตามๆ กัน ก่อนที่ทั้งสองรีบวิ่งมาพยุงชายหนุ่มขึ้นมา

    “พี่ซันคะ คุณภพตัวร้อนนิดๆ ค่ะ” ภัทราบอก

    “สงสัยเพราะวันนี้ผมทำงานตากแดดตากฝนทั้งวันมั้งครับ” ชายหนุ่มตอบ

    “แล้วยังอุตส่าห์ดื่มเบียร์เข้าไปอีกสามขวดเนี่ยนะ จอดเลยมั้ยล่ะเอ็ง”                                                           
                    "ฟ้าว่าอย่างนี้คงปล่อยให้ขับรถกลับเองไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ" ภัทราบอกอย่างเป็นห่วงโดยมีศรายุทพยักหน้าเห็นด้วย                    

    "ผมไม่ได้เป็นอะไรมากขนาดนั้นหรอกครับคุณฟ้าไม่ต้องเป็นห่วง ถ้ายังไงผมจะขับช้าๆ ก็แล้วกันนะครับ" ชายหนุ่มตอบพร้อมทั้งพยายามยืนด้วยตัวเอง แต่ก็ทรุดลงไปนั่งอีกรอบ

    ข้าว่างานนี้เอ็งไม่รอดแล้วว่ะ แค่ยืนยังไม่ได้เลยขืนขับรถมีหวังได้ไปพบพระยายมราชก่อนแน่ศรายุทว่าและนั่นก็ทำให้พิภพยอมแพ้แต่โดยดีด้วยตอนนี้ชักจะเริ่มปวดหัวตุ้บๆ ขึ้นมาแล้ว                            

    ถ้างั้นเอ็งคงต้องไปส่งข้ากับคุณฟ้าแล้วล่ะว่ะ                                                                               

    “ตอนนี้ที่บ้านเอ็งเข้ากรุงเทพฯ กันไม่ใช่เหรอ นายภัทธก็ขับรถไปส่งคุณดาวกับคุณรื่นรตีนู่นกว่าจะกลับคงนานพอควร”

    “ข้าโตนะโว้ยไอ้ซัน ไม่ใช่เด็กๆ ดูแลตัวเองได้น่า แค่กินยาแล้วนอนพักซักหน่อยก็แค่นั้นเอง ไม่เห็นยากตรงไหน” พิภพตอบตาใกล้ปิดเต็มที

    “ข้ากลัวเอ็งจะสลบก่อนมากกว่า จะให้ข้าไปจัดการเอ็งก่อนแล้วค่อยไปส่งฟ้าก็ไม่ไหว เพราะพรุ่งนี้ข้ากับฟ้าต้องเข้าเวรแต่เช้า หรือจะให้ข้าส่งฟ้าก่อนแล้วค่อยไปส่งเอ็งผลก็เท่ากัน”                                                                     
                    “งั้นถ้าให้คุณภพไปค้างที่บ้านพี่ซันล่ะคะ ภัทราเสนอขึ้น

    ตอนนี้บ้านพี่มีเพื่อนของคุณพ่อกับคุณแม่มาค้างน่ะ ไม่มีที่ให้ไอ้ภพมันแล้ว                                                            
                    “งั้นเอางี้ ไอ้ซัน เอ็งพาข้าไปส่งโรงแรม พิภพเสนอความเห็นอีกครั้ง                                   

    เอ็งก็รู้ว่าจังหวัดนี้ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว โรงแรมใหญ่ที่ยังเปิดรับแขกในเวลานี้ที่ใกล้ที่สุดน่ะอยู่ห่างจากนี่ตั้งหลายกิโล กว่าข้าจะขับรถพาเอ็งไปถึง กว่าจะจัดการอะไรเสร็จ ข้าก็ไม่ต้องหลับต้องนอนแล้ว ศรายุทตอบ

                    เอาล่ะ ฟ้าว่าฟ้ารู้แล้วล่ะค่ะว่าจะเอาคุณภพไปไว้ที่ไหนดี พี่ซันขับรถตามฟ้ามาแล้วกันนะคะ หญิงสาวเอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะหันมาช่วยศรายุทประคองพิภพขึ้นรถของศรายุท ก่อนที่เธอจะขอกุญแจซีรี่ส์เจ็ดคันงามของพิภพมา แล้วออกรถนำไปยังจุดหมายที่เธอคิดเอาไว้อย่างรวดเร็ว

     

    ห้าทุ่มกว่า เสียงกริ่งหน้าประตูห้องที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นส่งผลให้ร่างบางที่กำลังนอนหลับอย่างมีความสุขขมวดคิ้วฉับ ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาจากหมอนใบโตอย่างงัวเงีย

    "ใครมาดึกดื่นป่านนี้นะ" สลิลนรีบ่นด้วยน้ำเสียงงัวเงีย รู้สึกหงุดหงิดเล็กๆ ที่โดนรบกวนเวลานอนอันแสนสุข "ถ้าเป็นไอ้โรคจิตมากดกริ่งเล่นล่ะก็ แม่จะด่าให้จิตกลับมาเป็นปกติเลยคอยดู" 
                    หญิงสาวบ่นเบาๆ ก่อนจะเดินไปแง้มประตูหน้าห้องออกดูทั้งที่ยังคล้องสายโซ่เอาไว้อย่างระมัดระวัง แล้วทันทีที่สายตาของเธอปะทะเข้ากับดวงตากลมโตสีดำสนิทและใบหน้าที่แสนคุ้นเคยของภัทรา สลิลนรีก็ตื่นเต็มตา มือบางรีบจัดการคลายโซ่ประตูออกอย่างรวดเร็ว
                    "มีเรื่องอะไรรึเปล่าฟ้าถึงได้มาหาเราเวลานี้" หญิงสาวถามเพื่อนรักด้วยความเป็นห่วง                              

    "มีแน่ล่ะริน คือเราจะขอฝากใครบางคนให้เธอช่วยดูให้ซักคืนน่ะ
                    พูดจบหญิงสาวก็บุ้ยใบ้ไปทางด้านหลัง ซึ่งภาพที่สลิลนรีเห็นในเวลานี้ก็คือศรายุทกำลังยืนหามปีกชายหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่มีสภาพจะหลับไม่หลับแหล่อยู่แล้ว ชายหนุ่มรุ่นพี่ส่งยิ้มแหยๆ มาให้ แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ถามอะไร คนที่ทำท่าจะลงไปนอนกับพื้นเสียให้ได้ก็เงยหน้าขึ้นมามองเธอ
                    "คุณภพ! พี่ซัน นี่ไปทำอะไรกันมาคะเนี่ย ทำไมหน้าคุณภพถึงได้แดงแบบนี้ล่ะ" เธอถามอย่างตกใจ ก่อนจะก้าวฉับๆ ตรงเข้ามาเอามืออังหน้าผากของเขาอย่างรวดเร็ว และนั่นทำให้หัวใจของคนที่โดนเธอสัมผัสเกิดอาการกระตุกไปวูบหนึ่ง ก่อนที่มันจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว                                                                

    "เจ้านี่ไม่ค่อยสบายน่ะริน แถมยังล่อเบียร์เข้าไปอีกสามขวดเมื่อตอนหัวค่ำเลยยิ่งไปกันใหญ่ ยังไงขอพี่พามันเข้าไปข้างในก่อนได้มั้ย ไอ้บ้านี่ตัวหนักชะมัด"                                                                                                                                                                                                                

    "พี่ขอฝากไอ้ภพไว้กับเราซักคืนได้มั้ย" ศรายุทถามขึ้นทันทีที่พาตัวเองและพิภพมานั่งที่โซฟาตัวใหญ่ในส่วนรับแขกเรียบร้อย ขณะที่สลิลนรีนั้นเหวอรับประทานไปเรียบร้อยแล้ว                                                                                 
                    "แล้วมันเรื่องอะไรที่รินจะต้องมาเป็นพี่เลี้ยงจำเป็นให้เพื่อนตัวดีของพี่ด้วยล่ะคะ ไหนๆ พี่ก็ขับรถมาถึงนี่แล้วจะขับต่อไปอีกแค่ไม่กี่ป้ายรถเมย์เพื่อส่งคุณท่านให้ถึงบ้านหน่อยไม่ได้รึยังไงกัน หรือถ้าไม่งั้นทำไมพี่ไม่เอาไปบ้านพี่แทนล่ะ" หญิงสาวเกี่ยงหน้าที่พี่เลี้ยงกิตติมศักดิ์สุดฤทธิ์ เหนื่อยให้ศรายุทต้องนั่งอธิบายอีกคำรบ  

    ข้อหนึ่งเพราะพรุ่งนี้พี่ต้องเข้าเวรแต่เช้า คงไม่สามารถพามันไปส่ง คอยดูมันให้ทำอะไรให้เรียบร้อยแล้วค่อยเอาฟ้าไปส่งหอหรือถ้าพี่เอาฟ้าไปส่งก่อนกลับไปดูมันอีกรอบ พี่ก็กลัวมันจะสะดุดบันไดขึ้นบ้านตายก่อน

    ข้อสอง ตอนนี้บ้านพี่มีเพื่อนของพ่อกับแม่มาค้างอยู่ ไม่มีที่ให้มันนอนและพี่ก็ไม่อยากให้พ่อแม่พี่ตกอกตกใจ จะพามันไปหาโรงแรมค้าง ก็ต้องขับออกไปซะไกล พี่ไม่ต้องได้หลับได้นอนพอดี เลยต้องมาขอพึ่งเรานี่แหละชายหนุ่มสาธยายยาวยืด                                                                                                           

    "คือ ไม่ใช่ว่ารินเกี่ยงหน้าที่อะไรนะพี่ซัน แต่แบบว่า เออ... "

    หญิงสาวรู้สึกอึดอัดลำบากใจยังไงพิกล ด้วยเพราะเธอนั้นเป็นผู้หญิง ส่วนเขานั้นเป็นผู้ชาย ถึงมันจะเป็นเหตุสุดวิสัย แต่ยังไงมันก็ต้องคิดถึงเรื่องความเหมาะสมกันบ้าง จะมีผู้หญิงดีๆ ที่ยังไม่แต่งงานที่ไหนรับผู้ชายเข้ามานอนค้างอ้างแรมด้วยแบบนี้ ถึงแม้เธอกับเขาจะไม่ได้นอนอยู่ด้วยกัน แต่ยังไงมันก็หนีไม่พ้นการอยู่ในห้องเดียวกันสองต่อสองทั้งคืนอยู่ดี

    แล้วเหตุผลอีกประการที่เธอกลัวที่สุด ก็คือคนที่ศรายุทเอามาฝากนี่แหละ เพราะจากการประเมินคร่าวๆ แล้ว ชายหนุ่มนั้นก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก แถมยังกรึ่มๆ อีกต่างหาก แล้วยังงี้เธอจะแน่ใจได้อย่างไรว่าหลังจากที่ภัทรากับศรายุทออกจากห้องเธอไปแล้ว เขาจะไม่เกิดอาการหน้ามืดทำอะไรเธอเข้าน่ะ

    ไม่ต้องกลัวว่ามันจะทำอะไรเราหรอก ถึงมันจะดื่มไปเยอะ แต่ก็ไม่ได้เมาถึงขนาดนั้น สติสตังยังมีอยู่ค่อนข้างครบถ้วน อีกอย่างมันเองก็มีไข้เดินยังจะไม่ไหว พี่เอาคอเป็นประกันว่ามันไม่ทำอะไรบ้าๆ อย่างที่คิดแน่ ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นลอยๆ เพื่อให้ความมั่นใจกับหญิงสาว

    เออ... ถ้าพี่ซันว่าอย่างนั้น ก็ได้ค่ะ สลิลนรียอมจำนนในที่สุด ทำไมมีแต่ฉันที่ไม่ต้องเข้าเวรเช้าเหมือนสองคนนี้บ้างเนี่ย

    เมื่อปัญหาทุกอย่างหาทางแก้ได้เรียบร้อยแล้ว สลิลนรีก็พาภัทรากับศรายุทไปส่งที่หน้าประตู ก่อนจะเดินกลับมาดูอาการ คนป่วยฉุกเฉิน ที่เธอต้องดูแลชั่วคราวซึ่งกำลังนั่งมองเธอจากโซฟาในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนด้วยสายตาที่ทำให้เธอรู้สึกขนพองสยองเกล้ายังไงชอบกล                     

    "คุณภพ คุณพอจะอาบน้ำไหวมั้ย ฉันไม่คิดว่าคุณจะนอนทั้งๆ ที่ตัวมอมแมมแบบนี้ได้หรอกนะ" เธอเอ่ยขึ้น  ส่งผลให้ริมฝีปากหยักลึกของชายหนุ่มเผยอยิ้มน้อยๆ ... ทำเสียงใจดีเป็นด้วยแฮะ                       

    "ถ้าผมบอกว่าไม่ไหว คุณจะอาบให้ผมรึเปล่าล่ะครับ                                                                                     
                    เขาตอบกลับยิ้มๆ แต่นั่นทำให้หญิงสาวหน้าแดงขึ้นมาทันควัน ก่อนจะต้องมายืนคิดหนัก ไอ้ข้อที่ว่าจะอาบน้ำให้เขาน่ะก็คงพอจะได้หรอก เพราะยังไงเธอไม่เคยคิดอะไรมากเรื่องสรีระร่างกายคนแล้วตั้งแต่เรียนมาทางสายวิทยาศาสตร์การแพทย์ แต่ปัญหาคือเธอไม่เคยทำมาก่อนเนี่ยซิ เกิดเธอทำเขาหัวฟาดพื้นตายจะทำไง

    ขณะที่พิภพนั้นมองเธอไปแล้วก็อดที่จะขำไม่ได้ที่แม่ตัวแสบตลอดกาลของเขาทำท่าคิดหนักราวกับกำลังหาคำตอบของปริศนาขุมทรัพย์ฟาโรว์ยังไงยังงั้น... เฮ้อ ผู้หญิง ต่อให้ห้าว แสบ ซ่าขนาดไหนก็ยังคงเป็นผู้หญิงอยู่วันยังค่ำล่ะนะ แล้วทันทีที่สลิลนรีหันมาเห็นแววตาหัวเราะได้ของเขาเท่านั้นก็เท้าเอวหมับก่อนจะแหวออกมาเสียงเขียว                                   

    ขนาดป่วยอยู่ยังจะมีอารมณ์หาเรื่องอีกนะ เดี๋ยวฉันก็จับคุณโยนออกไปนอนตากยุงนอกห้องให้ไข้ขึ้นตายไปเลยดีมั้ย"
                    "ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอคุณ" ชายหนุ่มตอบพร้อมกับยกมือขึ้นขอยอมแพ้แต่โดยดี แม้ว่าใจจริงอยากแหย่เธอต่อไปก็ตาม แต่เพราะกลัวว่าจะได้ออกไปนอนตากยุงจริงๆ ตามคำขู่ เลยต้องสงบปากสงบคำไปก่อน

    "แล้วนี่คิดยังไงถึงดื่มเบียร์เข้าไปตั้งเยอะทั้งที่รู้ว่าตัวเองอาการไม่ค่อยดีน่ะฮึ"                                               

    "ก็ไอ้ซันมันสั่งมาดื่มแก้กลุ้มแก้เซ็งที่คุณเบี้ยวนัด ผมกลัวว่ามันจะจัดการไม่หมดก็เลยกะจะช่วยนิดหน่อย ที่ไหนได้มันดันทรยศดื่มไปไม่ถึงสองแก้วด้วยซ้ำ ผมเลยต้องรับเละ มีสภาพอย่างที่เห็นนี่ล่ะ เพราะงั้นคุณต้องรับผิดชอบ" ชายหนุ่มตอบโดยจงใจโบ้ยให้เป็นความผิดของเธอที่ทำให้เขามาอยู่ในสภาพนี้ ทำเอาคนโดนโบ้ยอดอดหมั่นไส้ไม่ได้ เออนะคนเรา เข้าใจโบ้ยดีเหมือนกันแฮะ        

    "คุณนี่มันจอมหาเรื่องชะมัด รออยู่นี่แหละ เดี๋ยวฉันเข้าไปหาเสื้อผ้ามาให้คุณเปลี่ยนก่อน" 
                    ว่าแล้วเธอก็เดินหายเข้าไปในห้องนอนอย่างรวดเร็ว ครู่หนึ่งเธอก็กลับออกมาพร้อมกับผ้าขนหนูสีขาวผืนใหญ่ เสื้อยืดและกางเกงขายาวสีเข้มของผู้ชายชุดหนึ่งมาให้เขา         

    "ฉันรู้นะว่าคุณกำลังคิดอกุศลอะไรอยู่ ขอบอกให้รู้ไว้ก่อนเลยนะว่า นี่น่ะมันของน้องชายฉัน แม่ฉันให้เอามาผึ่งไว้ตรงระเบียงหลอกคนอื่นเขา" เธอพูดดักคอ ซึ่งก็ทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งน้อยๆ                                            

    "ผมไม่ได้คิดอะไรซักหน่อย คุณนี่ร้อนตัวชะมัด"
    "หึ!! ตาคุณวาววับขนาดนั้น ให้ตายฉันก็ไม่เชื่อคุณหรอก ว่าแต่คุณอาบน้ำเองไหวแน่นะ”

    “คิดว่าไหวครับ” ชายหนุ่มตอบเสียงนุ่ม

    “งั้นก็เข้าไปอาบน้ำในห้องตรงนั้นแล้วกันค่ะ ถ้าอีกสิบห้านาทีคุณไม่ออกมา ฉันจะเข้าไปตามคุณ อย่าล็อคประตูล่ะ เผื่อคุณล้มหัวล้างข้างแตกจะได้เข้าไปช่วยทัน ไม่ใช่มาพบอีกทีนอนตายในสภาพอนาถคาห้องน้ำให้ฉันโดนสงสัยว่าเป็นฆาตกรให้วุ่นวาย”  

    “เพ้อเจ้อ”

    “ก็อย่าให้ล้มขึ้นมาจริงๆ แล้วกัน ถึงหัวไม่แตก แต่ถ้าลงผิดท่าก็มีสิทธิ์ถึงขั้นกระดูกหักได้นะ รีบไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวฉันเข้าไปเอาหมอนกับผ้าห่มมาให้” ว่าแล้วก็ผลุบเข้าไปในนอนตัวเอง ก่อนจะกลับออกมาพร้อมผ้าห่มและหมอน

    สลิลนรีวางของทั้งหมดไว้บนโซฟายาวก่อนจะเดินไปเปิดแอร์เบาๆ ให้เขา แล้วเข้าครัวไปเอายาแก้ปวด ยาลดไข้และน้ำมาวางให้เขาที่โต๊ะรับแขก

    เกือบยี่สิบนาทีผ่านไปจนเธอเกือบจะเดินไปดูเขาที่ห้องน้ำอยู่แล้วว่ายังปกติดีอยู่หรือเปล่า เธอก็ต้องชะงักค้างอยู่กับที่

    ร่างสูงใหญ่กำยำที่ท่อนบนเปลือยเปล่าเผยให้เห็นแผงอกกว้างกับมัดกล้ามสวยได้รูปชัดถนัดตา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าของเรือนร่างนั้นต้องคอยดูแลเอาใจใส่สุขภาพร่างกายของตัวเองเป็นอย่างดีแน่ ไหล่หนากว้างผึ่งผายด้านหนึ่งมีผ้าขนหนูสีขาวพาดวางอยู่ ผมสีดำเข้มดกหนาเปียกลู่แนบกับศีรษะ หยดน้ำจากปลายผมไหลลงมาเกาะพราวทั่วใบหน้าและแผงอก                                                                                              

    แต่อะไรก็ไม่อันตรายเท่าดวงตาสีน้ำตาลเข้มคมกริบราวกับใบมีดซึ่งมองตรงมาประสานกับดวงตาของเธอคู่นั้นที่ทำให้เธอแทบจะหัวใจวายตายให้รู้แล้วรู้รอด                                                         

    เสื้อมันตัวเล็กไปครับ ผมใส่ไม่ได้ ชายหนุ่มตอบเรียบๆ ก่อนจะยื่นเสื้อยืดมาให้กับเธอ

    “แต่ถ้าคุณไม่ใส่เสื้อเดี๋ยวอาการไข้จะยิ่งหนักขึ้นนะ”

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผ้าห่มนั่นอย่างเดียวก็พอแล้ว เชื่อผมซิ” เมื่อเขายืนยันหนักแน่นประกอบกับที่เธอเพิ่งจะระลึกได้ว่าหากให้เขาฝืนใส่เสื้อยืดของน้องเธอเข้าไปเดี๋ยวเขาจะหายใจลำบากกันเปล่าๆ แถมผ้าห่มที่เธอเอามาให้เขานั้นก็หนาพอควร สลิลนรีจึงยื่นมือไปรับเสื้อมาจากเขา

    ตุ้บ!! หัวใจของสลิลนรีกระตุกวาบในทันใดเมื่อปลายนิ้วของเธอกับเขาสัมผัสกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ดวงหน้าใสแดงเรื่อขึ้นพร้อมกับที่หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ เธอรีบฉวยเสื้อมากอดเอาไว้แนบอกแล้วหันหลังให้เขาในทันที                                       

    "คุณรอตรงนี้นะ เดี๋ยวฉันเอาไดร์เป่าผมมาให้ ขืนปล่อยไว้อย่างนั้นเดี๋ยวไข้จะยิ่งขึ้น คุณก็ทานยาซะล่ะ”  แล้วเธอก็รีบวิ่งเข้าห้องไปเอาที่เป่าผมอย่างรวดเร็ว กลับออกมาอีกทียาและน้ำในแก้วที่เธอวางไว้ให้เขาก็หายไปเรียบร้อยแล้ว

    “คุณเป่าผมเองได้มั้ย”

    “เออ... คุณจะเชื่อรึเปล่าผมไม่รู้นะ แต่ผมไม่เคยใช้ของแบบนี้หรอก” ชายหนุ่มสารภาพเสียงอ่อย ขณะที่สลิลนรีนั้นอยากจะเอาไดร์เป่าผมเคาะหน้าผากตัวเองแรงๆ

    “แล้วใครใช้ให้สระผมเนี่ย เฮ้อ... มานั่งนี่ซิ เดี๋ยวฉันเป่าให้ก็ได้ จะได้นอนซะที” พูดไปแล้วก็นึกอยากจะกัดลิ้นตัวเองที่ดันพูดออกไปแบบนั้น จะกลับคำก็ไม่ทันเพราะร่างสูงเดินมานั่งที่พื้นหันหลังให้เธอเรียบร้อยแล้ว    
                ตึกๆ... นั่นคือเสียงหัวใจของเธอที่ทั้งเร็วและแรงจนแทบจะทะลุออกมาเต้นนอกอกอยู่แล้วหากทำได้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำไมถึงเกิดอาการเช่นนี้ จะว่าเพราะนิ้วมือเธอกำลังสางไปตามเส้นผมสีดำหนาของคนตรงหน้าก็ไม่น่าจะใช่ หรือเธอจะไข้ขึ้นอีกคนซะก็ไม่รู้                                                                        

    "เรียบร้อยแล้วค่ะ" สลิลนรีพูดขึ้น ก่อนจะเดินเอาไดร์เป่าผมไปเก็บที่ห้องแล้วเดินออกมาใหม่พร้อมผ้าขนหนูผืนหนาอีกผืน

    “เอาไปห่มอีกชั้นแล้วกันนะ คือห้องฉันมีห้องนอนแค่ห้องเดียว หวังว่าคุณคงเข้าใจ”

    "ไม่มีปัญหาครับ ผมยังไงก็ได้ ว่าแต่คุณเถอะเป็นอะไรรึเปล่า ผมเห็นหน้าแดงๆ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ไม่สบายรึเปล่าครับ" เขาถามด้วยความเป็นห่วง หากส่งผลให้คนฟังสะดุ้งน้อยๆ                                                                             
                    "ช่างฉันเถอะ เรื่องของฉัน คุณไม่ต้องมายุ่งหรอก" 
                    จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาเดินเร็วๆ จะกลับเข้าห้อง แต่แล้วก็ต้องปะทะเข้ากับแผงอกกว้างของเขาเข้าจนได้ เธอเซไปเล็กน้อยแต่ก็ได้ท่อนแขนกำยำของเขาช่วยประคองไว้ได้ทัน หญิงสาวอุทานเบาๆ ก่อนจะรีบดันตัวออกห่างจากเขาในทันทีราวกับโดนของร้อน

    ถ้าต้องการอะไรก็เคาะประตูเรียกแล้วกันนะคะ ฉันขอตัวล่ะ เธอพูดรัวเเสียจนลิ้นแทบพันกันก่อนจะเดินเลี่ยงกลับเข้าห้อง โดยไม่เงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังจ้องเธอตาไม่กะพริบเลยซักนิด และนั่นเป็นบทเรียนสำหรับเธอว่าการหันหลังให้ผู้ชายที่กำลังจ้องมองเธออยู่ในที่รโหฐาน และถึงแม้ว่าผู้ชายคนนั้นจะมีสภาพร่างกายไม่แข็งแรงเต็มร้อยนัก ก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอยู่ดี!!                                                              

    มือหนาฉวยข้อมือของเธอไว้อย่างรวดเร็วก่อนจะออกแรงกระตุกเพียงนิดด้วยหวังว่าจะให้เธอแค่หันหน้ากลับมาพูดกันเฉยๆ แต่กลับกลายเป็นว่าร่างบางนั้นเซถลาเข้ามาในอ้อมอกของเขาอย่างง่ายดาย แถมยังเป็นเขาอีกต่างหากที่เสียหลักล้มลงไปนอนแผ่บนโซฟาด้านหลังโดยลากเอาร่างน้อยๆ นั่นล้มไปกับเขาด้วย

    “อึก!! “ หญิงสาวอุทานด้วยความจุกเมื่อร่างหนาที่ล้มลงมาพร้อมๆ กันนั้นทับเธอเข้าเต็มรัก ก่อนที่วินาทีต่อมาจะเริ่มส่งเสียงโวยวายเพียงเบาๆ ด้วยยังจุกไม่หาย                        

    "คุณเล่นบ้าอะไรของคุณเนี่ยคุณภพ!! ”                                                                                                              
                    สลิลนรีแว้ด ก่อนจะพยายามผลักชายหนุ่มให้ลุกออกไปจากร่างของเธอ แต่ดูเหมือนแรงที่เธอมีอยู่นั้นจะไม่มีประโยชน์เลยเมื่ออยู่สถานการณ์แบบนี้ แถมยิ่งดิ้นก็ยิ่งทำให้คนซึ่งทีแรกไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรเริ่มเปลี่ยนใจอยากแกล้งคนขึ้นมาตะหงิดๆ

    พิภพเกร็งมือทั้งสองข้างที่กุมรอบข้อมือของหญิงสาวไว้เพียงนิดแต่กลับส่งผลให้การเคลื่อนไหวของสลิลนรีหยุดชะงักลงในทันใด ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกโพลงด้วยความตกใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่คมของเขาด้วยดวงตาวาวโรจน์น่ากลัว
                    จะเล่นอะไรหัดดูเวลาหน่อยนะคุณภพ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน!!"                          
                    เธอขู่เสียงเขียวทั้งที่ตัวเองนั้นกลัวจนขวัญแทบจะบินออกจากร่างอยู่ร่อมร่อ แต่มีหรือที่ชายหนุ่มจะไม่รู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร ในเมื่อดวงตาคู่สวยสีน้ำตาลเข้มสีเดียวกันกับเขานั้นมันสื่อความรู้สึกกลัวที่อยู่ลึกๆ ภายในใจของเจ้าของร่างที่เขานอนทับอยู่นั่นออกมาให้อ่านจนหมดสิ้น รอยยิ้มน้อยๆ เริ่มแตะแต้มบนใบหน้าคม                          
                    "ถ้าคุณคิดว่าดิ้นหลุดได้ก็เอาเลยครับ ถ้าหลุดผมยอมให้คุณต่อยผมอีกทีฟรีๆ เลยด้วย" 
                    แล้วทันทีที่เขาพูดจบ สลิลนรีก็เริ่มดิ้นอย่างเอาเป็นเอาตาย พยายามใช้ความสามารถด้านศิลปะป้องกันตัวมาช่วยมากมายหลายแขนง หากก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากร่างสูงใหญ่ที่นอนทับเธอได้เลย ดิ้นไปมาอยู่ซักพักเธอก็เริ่มหมดแรงนอนนิ่งหายใจหอบ ขณะที่คนซึ่งเอาแต่มองอาการดิ้นรนกระเสือกกระสนเหมือนปลาดิ้นหาน้ำของเธออย่างนึกขันก็เริ่มดำเนินการสั่นประสาทเธอต่อ            

    ใบหน้าคมเริ่มโน้มต่ำลงมาใกล้ดวงหน้าใสที่ตอนนี้แดงก่ำและเริ่มมีเม็ดเหง็ดผุดขึ้นมาตามไรผมมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้สลิลนรีชะงัก อาการตื่นตระหนกแสดงออกมาทางแววตาและสีหน้าอีกครั้ง
                    "คุณจะทำอะไรน่ะ!! อย่านะ ไม่งั้นฉันฆ่าคุณจริงๆ ด้วยหญิงสาวขู่ละล่ำละลัก ร่างบางเริ่มสั่นน้อยๆ

    ใบหน้าคมที่ก้มต่ำลงมาช้าๆ หยุดลง ชายหนุ่มส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับเธอ ดวงตาคมทอประกายประหลาดแบบที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน และนั่นทำให้สลิลนรีรู้สึกเหมือนเลือดในตัวได้แข็งไปเสียแล้ว
                    "ทำอะไรดีล่ะครับสาวน้อย ผมกับคุณ บนโซฟาในสภาพแบบนี้น่ะ" คำพูดชวนให้คิดลึกนั้นทำให้สลิลนรีเย็นวาบขึ้นมา แล้วทันทีที่พิภพเริ่มก้มหน้าเข้ามาใกล้หมายรุกรานมากขึ้นเท่านั้น เธอก็สติกระเจิงไปเรียบร้อย "ไม่นะ!!" สิ้นคำร่างบางก็เริ่มดิ้นอีกครั้ง หากด้วยแรงและสรีระร่างกายที่ผิดกันมากรวมทั้งตำแหน่งร่างกายของเธอ ก็แทบจะบอกได้เลยว่าการดิ้นรนของเธอนั้นมันไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง และเพราะการดิ้นอย่างเอาเป็นเอาตายของเธอนี่เองที่ทำให้เจตนาของชายหนุ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง                                                                                 
                    พิภพจ้องมองดวงหน้าเนียนใสที่แดงซ่านไปหมดอย่างล่องลอย ผิวกายเปลือยเปล่าท่อนบนของเขาสัมผัสได้ถึงผิวเนียนนุ่มที่ดูเหมือนจะร้อนขึ้นเรื่อยๆ ของเธอ กลิ่นหอมอ่อนๆ จากร่างบางค่อยๆ เพิ่มทวีขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ และยิ่งหญิงสาวดิ้นมากเท่าไหร่ร่างของเธอก็ยิ่งเสียดสีกับร่างของเขามากขึ้นเท่านั้น

    และในที่สุดอารมณ์บางอย่างที่เคยอยู่อย่างสงบภายในใจของเขามาเกือบสิบปีก็ปะทุขึ้น มาถึงตรงนี้คำตอบที่เขาเฝ้าหามานานเกี่ยวกับเธอก็ชัดแจ้งขึ้นและไม่อาจที่จะปฏิเสธมันได้อีกต่อไป ไม่ใช่ในเวลานี้ที่ร่างของเขากับเธอแนบชิดจนเกือบจะรวมเป็นร่างเดียวกันแบบนี้... ให้ตายซิ!! เขาต้องการเธอ ต้องการมาโดยตลอด!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×