คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ยอมให้ก็ได้
มาทำงานที่ราชบุรีได้เกือบสี่เดือนเข้าไปแล้ว แม้ว่าจะมีคนไข้มาหาไม่หยุดไม่หย่อนตั้งแต่เข้าเวรจนออกเวรทุกวันแต่สลิลนรีก็ยังคงมีความสุขและรู้สึกสนุกกับการทำงานตลอด ด้วยเพราะคนไข้ที่มาหาเธอนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคุณลุงคุณป้าคุณน้าคุณอาคุณน้องที่แสนจะน่ารัก ไม่เบี้ยวนัด ไม่โวยวายให้ปวดหัว แถมบางคนยังใจดีนำขนมนมเนยติดไม้ติดมือมาฝากเธอเล็กๆ น้อยๆ ให้ชื้นหัวใจอีกต่างหาก
นี่แหละข้อดีของคนไข้ต่างจังหวัด น่ารัก เป็นกันเองและให้ความเคารพเกรงใจหมอ ที่สำคัญตรงต่อเวลา คุณลุงคุณป้าบางคนถึงกับมารอเธอก่อนเวลานัดตั้งสองชั่วโมง บางคนก็มาก่อนแผนกเปิดเสียด้วยซ้ำ ในขณะที่คนไข้ในกรุงเทพบางคนนัดก็ไม่เป็นนัด ให้รอเป็นชั่วโมงๆ หนักหน่อยก็ให้รอเกือบครึ่งวัน แล้วค่อยโทรมายกเลิกนัด ทำให้หมอแบบเธอเสียเวลาไปเปล่าๆ ยิ่งบางรายยิ่งแล้วใหญ่ทำอย่างกับคนที่มีอาชีพแบบเธอนั้นเป็นผู้ประกอบอาชีพรับจ้างซะอย่างนั้น
แต่นอกเหนือจากเหตุผลที่ว่าต้องการมาหาประสบการณ์การทำงานจนเธอยอมมาอยู่ต่างจังหวัดตามคำบัญชาของเสด็จแม่ที่เคารพรัก(ทั้งที่ปกติก็ไม่ค่อยจะทำตามเท่าไหร่นักหรอกนะ) ก็เพราะเธอรู้สึกสบายใจกว่าทำงานในกรุงเทพ ที่สำคัญต่างจังหวัดรถรายังน้อยมากเมื่อเทียบกับกรุงเทพ มลพิษก็น้อยกว่า อากาศก็ดีกว่า แถมเงียบสงบกว่าจนทำเอาเธอแทบจะลืมบ้านตัวเองที่กรุงเทพฯ เสียแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนแต่อนิจจัง เพราะวันนี้ทั้งวัน คนไข้ที่เธอรับมาล้วนแล้วแต่สร้างความปวดหัวให้เธอขนานใหญ่ถึงใหญ่มากแทบทุกคน ดังนั้นเมื่อใกล้เวลาเลิกงาน อารมณ์ไม่ดีทั้งหลายทั้งแหลที่เก็บมาทั้งวันก็แสดงออกมาบนหน้าเธอเสียหมด จนนางพยาบาลทั้งแผนกรวมทั้งภัทราและศรายุทเองก็ยังไม่กล้าเข้ามาใกล้เธอในรัศมีห้าเมตรเสียด้วยซ้ำ
"นี่คุณ ทำหน้าทำตาเหมือนโดนใครเหยียบหางแบบนี้ เดี๋ยวคนไข้ก็กลัวหนีไปกันหมดแผนกหรอก" เสียงทุ้มทักขึ้นมาจากด้านหลังส่งผลให้หญิงสาวหันขวับไปมองเจ้าของประโยคแสลงหูในทันที โอ้จำเริญ ทำไมฟ้าต้องส่งนายมาตอนที่ฉันไม่อยากเจอที่สุดด้วยนะ
"ฉันจะทำหน้ายังไงมันก็เรื่องของฉัน ไม่ใช่เรื่องของคุณซักหน่อย แล้วอีกอย่าง ฉันก็เป็นมนุษย์ ไม่มีหางให้ใครเขาเหยียบเหมือนคุณ” ว่าแล้วเธอก็สะบัดหน้าไปทางอื่นเพื่อระงับอารมณ์เอาไว้ภายในกรอบแก้วอันแสนเปราะบางที่ ณ ตอนนี้พร้อมจะแตกออกได้ทุกเมื่อโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เจอคนตรงหน้าซึ่งมีความสามารถทำให้กรอบแก้วของเธอแตกได้ง่ายดายกว่าใครๆ เสียด้วย
"อ้าวคุณ!! ผมเตือนด้วยความหวังดีนะครับ ไม่เห็นต้องหาเรื่องกันเลยนี่"
ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงบ่งบอกถึงอารมณ์ที่ชักจะกรุ่นๆ ขึ้นมา ปกติแค่คำพูดตอบกลับของเธอเขาคงไม่ฉุนง่ายๆ แบบนี้หรอก แต่เพราะวันนี้เขาต้องอยู่แก้งานที่ไซต์ก่อสร้างทั้งวันเนื่องจากคนงานดันสร้างออกมาผิดแบบโดยไม่ได้พัก แถมวันนี้ทั้งวันอากาศก็ดันแปรปรวนอย่างหนัก เช้าฝนตก พอบ่ายแดดออก แล้วเย็นก็มาตกอีกรอบ จนเขาที่แม้ปกติจะออกกำลังกายเป็นประจำก็แทบจะแย่
ทั้งเหนื่อยทั้งเพลียทั้งวันแบบนี้ เขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมยังจะดั้นด้นนั่งตากแอร์ระหว่างขับรถมาที่นี่ตั้งเกือบสามชั่วโมงจนไข้แทบจับเพื่อมาอารมณ์เสียหนักกว่าเก่าเพราะแม่เด็กตัวแสบคนนี้ที่มีความสามารถทำให้เขาตบะแตกได้ง่ายชนิดที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนด้วย
"เฮ้ย!! อะไรกันวะภพ เพิ่งจะเจอหน้ากันไม่ทันถึงห้านาทีก็เริ่มแล้วเหรอวะ เอ็งไม่เบื่อทะเลาะแต่ข้าเบื่อจะห้ามแล้วนะโว้ย เลิกหาเรื่องน้องข้าได้แล้ว" ศรายุทพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายเต็มทน
"น้องสาวเอ็งพูดหาเรื่องข้าก่อนนะโว้ย นี่ ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าคุณไปอารมณ์เสียมาจากไหน แต่จะให้ดีล่ะก็อย่ามาพาลใส่คนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างผม นิสัยแบบนี้น่ะมันเป็นนิสัยที่เด็กๆ เขาทำกัน"
ปั้ก!! วัตถุบางอย่างหน้าตาคล้ายๆ กำปั้นพุ่งเข้าใส่กลางอกของเขาเข้าอย่างจัง แม้ว่าจะไม่แรงนักแต่มันกลับเข้าตรงจุดแม่นเสียยิ่งกว่าจับวางทำเอาผู้ชายร่างสูงใหญ่อย่างพิภพถึงกับต้องลงไปนั่งชันเข่าที่พื้นด้วยความจุก ขณะที่ศรายุท ภัทรา พิภัทธ ดารารัตน์และรื่นรตีซึ่งอยู่ใกล้ๆ พากันอึ้งรับประทานไปแล้ว
"คุณ..." ชายหนุ่มพูดเสียงขาดๆ หายๆ ด้วยความจุก ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน จ้องหน้าเธอเขม็ง
"พี่ซัน รินขอตัวก่อนนะวันนี้ เชิญพี่ตามสบายแล้วกัน รินอารมณ์ไม่ดีแล้วก็ยังไม่อยากฆ่าคน"
แล้วหญิงสาวก็เดินออกจากแผนกไปโดยไม่หันกลับมามองใครคนหนึ่งที่มองเธอด้วยสายตา
อาฆาตอีกเลย แล้วทันทีที่ร่างบางเข้ามานั่งบนรถ หญิงสาวก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาใช้งานทันที
"รัน ตอนนี้พอจะมีเวลาว่างมั้ย" หญิงสาวถามเสียงขุ่นทันทีที่ดรัณ เพื่อนชายคนสนิทของเธอส่งเสียงตอบรับกลับมา
"ก็ว่างนะ รินเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมเสียงถึงเหมือนอยากจะฆ่าคนแบบนั้น"
เสียงทุ้มนุ่มถามกลับอย่างสงสัยและเป็นห่วง เท่านั้นเองคนฟังก็ไม่คิดจะเก็บอารมณ์อีกต่อไป แล้วดรัณก็ต้องรีบดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหูในทันทีที่คำแรกของประโยคคำตอบดังขึ้น ด้วยน้ำเสียงของสลิลนรีนั้นดังกัมปนาทจนเขาแก้วหูแทบแตก
"ก็เพราะเรากำลังนึกอยากจะฆ่าคนบางคนอยู่จริงๆ ยังไงล่ะรัน ตอนนี้รันอยู่ไหน"
"อยู่บ้านจ้า" เขารีบตอบกลับเสียงหวานด้วยกลัวว่าหากตอบช้าจะยิ่งเพิ่มองศาเดือดให้กับคู่สนทนา
"งั้นอีกครึ่งชั่วโมงเจอกัน รบกวนขออาหารบ้านรันทานด้วยแล้วกัน" พูดจบสลิลนรีก็วางหูและตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อไป ขณะที่ดรัณก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆ พลางส่ายหัวอย่างระอาแกมเอ็นดูนิสัยของเพื่อนสาวคนสนิท
"ใครโทรมาน่ะรัน" คุณเกสร มารดาของชายหนุ่มถามขึ้นทันทีที่เขาเดินกลับมาที่โต๊ะอาหาร
"รินน่ะครับแม่ บอกว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะมาที่นี่ ท่าทางจะเพิ่งเล่นงิ้วกับพี่ภพมา" ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะรอใครบางคนที่กำลังจะมาร่วมวงทานอาหารเย็นด้วยอย่างใจจดใจจ่อ
"สวัสดีค่ะแม่ สวัสดีค่ะพ่อ"
สลิลนรีเดินเข้ามายกมือไหว้คุณพ่อคุณแม่ของดรัณซึ่งเธอยกให้เป็นพ่อแม่คนที่สอง ก่อนจะเดินเข้าไปสวมกอดทั้งสองอย่างสนิทสนม แล้วเดินมานั่งที่โต๊ะทานอาหารข้างดรัณ ซึ่งกุลีกุจอไปตักข้าวใส่จานมาให้เธออย่างรวดเร็ว
"ว่าไงเรา ตาภพเขาทำอะไรให้อีกล่ะ" คุณกฤษชัยถามเสียงนุ่ม หญิงสาวจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังชนิดไม่มีตกซักช็อต ก่อนจะได้รับโทษเป็นฝ่ามือคุณเกสรตีเข้าที่แขนไม่เบานัก
"เรานะเรา โตเป็นผู้ใหญ่แล้วเรื่องการควบคุมอารมณ์น่ะสำคัญมากรู้มั้ย แล้วเราก็เป็นผู้หญิงทำไมไปทำพี่เขาอย่างนั้นล่ะลูก" คุณเกสรดุ ขณะที่สลิลนรีนั้นได้แต่ยกมือขึ้นลูบแขนที่ถูกตีพร้อมกับนิ่วหน้า
"รินก็ไม่ได้ตั้งใจนะคะ แต่ใครใช้ให้เขาพูดจาไม่ดูตาม้าตาเรือก่อนล่ะ" หญิงสาวตอบแก้ตัวแบบน้ำขุ่นขลัก ทำเอาคุณกฤษชัยนั้นอดที่จะหัวเราะท่าทีของหญิงสาวที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากวันแรกที่ท่านพบกับเธอ ซึ่งเป็นเพียงเด็กสาวแสนซนตัวเล็กเมื่อเกือบสิบปีก่อนไม่ได้
"เหตุผลฟังขึ้นมากเลยนะเรา เอาเถอะตอนนี้ทานข้าวกันก่อนดีกว่า พ่อหิวข้าวจนตาลายแล้วเนี่ย"
ระหว่างที่ทานอาหาร คุณเกสรกับคุณกฤษชัยก็ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบของเธอเป็นพักๆ ในขณะที่ดรัณนั้นก็แหย่เธอเล่นเป็นการคลายเครียด เรียกค้อนวงงามจากหญิงสาวได้หลายวง อยู่คุยกันอีกพักใหญ่จนสลิลนรีเหลือบไปเห็นนาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มนั่นแหละ เธอจึงไหว้ลาผู้อาวุโสเพื่อขอตัวกลับโดยมีดรัณเดินมาส่งที่รถ
"ไว้วันหลังจะมาใหม่นะ" รอยยิ้มของคนตรงหน้าบ่งบอกชัดเจนว่ากลับมาอารมณ์ดีเป็นปกติแล้ว ทำให้ดรัณอดที่จะรู้สึกสบายใจไปด้วยไมได้ หากก่อนที่ประตูรถจะปิดลง ชายหนุ่มก็ทำใจกล้าเอ่ยประโยคที่คิดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อตอนเย็น
"ริน รันว่ารินควรจะไปขอโทษพี่ภพเขานะ" ชายหนุ่มกลั้นใจพูด ขณะที่สลิลนรีนั้นถึงกับชะงักมือที่กำลังจะปิดประตูรถ
"เรื่องอะไรเราต้องไปขอโทษเขา ต่อให้รันขู่จะเชือดเรา เราก็ไม่ไปหรอก” เธอเถียงอย่างดื้อดึง
"แต่พี่เขาไม่ได้ตั้งใจหาเรื่องรินนี่ เขาก็แค่ชวนคุยตามแบบของเขาเองไม่ใช่เหรอ" ดรัณให้เหตุผลเสียงนุ่ม
"รันไม่ต้องมาเข้าข้างคุณภพลยนะ ไม่งั้นเราจะโกรธรันจริงๆ ด้วย" หญิงสาวขู่กลับ หากนั่นกลับไม่ทำให้ชายหนุ่มสงบปากลงได้อย่างที่คิด
"ริน แบบนี้มันพาลกันนี่น่า รินทำไมถึงไม่มีเหตุผลอย่างนี้ล่ะ"
ประโยคเดียวให้ผลชะงัด สลิลนรีปิดปากฉับ เห็นดังนั้นดรัณจึงรีบฉวยโอกาสพูดต่อในทันที ด้วยกลัวว่าถ้าแม่คนดื้อคนนี้นึกคำโต้เถียงหรือทำอะไรก็ตามตอบโต้เขาได้ล่ะก็เขาคงไม่มีทางได้พูดในสิ่งที่ต้องการเป็นแน่ เพราะจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาเกือบสิบปี เขาไม่เคยเถียงชนะเธอคนนี้เลยซักครั้งไม่ว่าจะเรื่องมีสาระหรือไม่มีสาระก็ตาม
"ริน รันไม่เคยเข้าข้างพี่ภพเลยนะ จำไม่ได้เหรอว่าทุกครั้งที่รินโดนพี่ภพแกล้ง รันอยู่ฝ่ายไหน แต่ตอนนี้สิ่งที่รันต้องการจะบอกรินก็คือ เมื่อตอนหัวค่ำนั่นพี่ภพเขาไม่ได้มีเจตนาจะแกล้งริน พี่ภพเขาก็แค่แหย่เพราะอยากให้รินอารมณ์ดีขึ้นก็เท่านั้นเอง แล้วรินไปต่อยพี่เขาแบบนี้มันดีแล้วเหรอ"
"ก็...."
“รินเป็นคนยอมรับการกระทำของตัวเองเสมอนี่" เสียงทุ้มเอ่ยประโยคแทงใจ ทำให้หญิงสาวหุบปากเงียบไปอีกรอบ
"ถ้ารินรู้ตัวว่าตัวเองผิด รินจะยอมพูดคำว่าขอโทษแต่โดยดีไม่ใช่เหรอ แล้วครั้งนี้รินก็เป็นฝ่ายผิดนะ รินจะไม่พูดขอโทษจริงๆ เหรอ ถ้ารินไม่ขอโทษ พี่ภพจะยิ่งมองว่ารินทำตัวพาลเหมือนเด็กๆ เอานะ รินยอมได้เหรอ" ดรัณเอ่ยเสียงนุ่ม และนั่นทำให้สลิลนรีถอนหายใจยอมแพ้ได้ในที่สุด
"ยอมแพ้แล้วก็ได้ แต่จะให้เราเริ่มยังไงล่ะรัน อย่าว่าแต่ขอโทษเลย แค่คำว่าสวัสดีเรายังไม่เคยพูดกับเขาด้วยซ้ำ รันก็น่าจะรู้" หญิงสาวตอบเสียงอุบอิบ นึกไปถึงภาพที่เธอกับเขาคุยกันในทุกครั้งที่พบกัน ให้ตายเถอะ อย่าเรียกว่าคุยเลย เรียกว่ากัดกันท่าจะเหมาะกว่า!!
"ก็ถ้ารินไม่อยากพูดต่อหน้าพี่เขา ก็โทรไปหาแล้วพูดว่า ‘ขอ-โทษ-ค่ะ‘ สามคำแค่นี้แล้ววางสายไปก็จบแล้วจริงมั้ย"
ดวงหน้าอ่อนโยนหล่อเหลาไม่ต่างจากศรายุท หากคมเข้มกว่าทั้งเครื่องหน้าและสีผิวด้วยชายหนุ่มเคยเป็นนักกีฬาของคณะมาก่อนส่งยิ้มให้จนหญิงสาวต้องเบือนหน้าหนี เพราะรอยยิ้มแสนสดใสอ่อนโยนเหมือนดวงอาทิตย์ยามเช้านั่น มักทำให้เธอใจเต้นแบบไร้เหตุผลทุกที เฮ้อ... ให้ตายซิไม่เคยแข็งใจกับรอยยิ้มของนายได้เลยนะรัน เอาเถอะครั้งนี้จะยอมให้ก่อนก็ได้
"ก็ได้ๆๆ เรายอมขอโทษเขาก็ได้ แต่ขอเรากลับไปให้ถึงหอก่อนแล้วกันนะ เพราะถ้าขืนพูดที่นี่ เราอาจเปลี่ยนใจเบนรถไปเชือดเขาแทน" คำตอบของหญิงสาวทำให้ดรัณแอบถอนหายใจเบาๆ ด้วยความโล่งอก เอาน่ะ อย่างน้อยก็รับปากแล้วนี่นะ
"พูดแล้วนะริน ถ้ารินไม่ทำตามที่พูดล่ะก็...."
"ไม่ต้องมาแช่งเราเลยนะรัน เราพูดคำไหนคำนั้นไม่คืนคำหรอกน่า"
เมื่อได้ยินคนตรงหน้ารับปากสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว ชายหนุ่มจึงยอมถอยออกมาปิดประตูรถให้เธอในที่สุด สลิลนรีหันมาโบกมือลาเขาหยอยๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้ ก่อนจะขับเคลื่อนพาหนะคู่ใจจากไป ทิ้งให้ชายหนุ่มมองตามด้วยสีหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเพียงคนเดียว
"เห็นคุยกันอยู่ตั้งนาน แม่นึกว่าเราจะสารภาพเลยซะอีก รันนะรันไม่ได้ดั่งใจแม่เลย เสียแรงอุตส่าห์ตามมานั่งลุ้น" เสียงบ่นกระปอดกระแปดของคุณเกสรดังขึ้น ส่งผลให้ดรัณที่กำลังจะเดินเข้าบ้านหยุดกึกหันมามองต้นเสียงในทันที
"นี่แม่กับพ่อลงทุนมานั่งฟังผมคุยกับรินเลยเหรอครับ" ชายหนุ่มถามกึ่งขำกึ่งเขิน ก่อนจะเดินมาทรุดตัวลงนอนหนุนตักมารดาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ม้าหินกับบิดา
"นึกว่าจะได้หนูรินมาเป็นลูกสาวจริงๆ ซะที เสียเส้นหมดเลย" คุณเกสรว่าก่อนจะยกมือขึ้นหยิกแก้มของลูกชายคนเล็กอย่างหมั่นเขี้ยวโทษฐานที่ไม่ได้ดังใจตน
"โธ่แม่ครับ ไม่เร็วไปหน่อยเหรอครับ" ชายหนุ่มตอบอุบอิบ ใบหน้าแดงนิดๆ ด้วยความเขิน
"ถ้าที่เราสองคนที่รู้จักกันมาตั้งแต่ยังเรียนอยู่มัธยมมาจนตอนนี้เกือบสิบปีเรียกว่าเร็ว แล้วพ่อกับแม่ที่รู้จักกันแค่สามปีเขาเรียกว่าอะไรฮึ ระวังเถอะเจ้ารัน ถ้าหนูรินโดนคนอื่นเอาไปรับประทานจะหาว่าพ่อไม่เตือน" คุณกฤษชัยเอ่ยขึ้นก่อนจะได้รับฝ่ามือของศรีภรรยาตีเข้าที่ไหล่เบาๆ
"คุณนี่ล่ะก็ จะไม่ให้กำลังใจลูกกันบ้างเลยรึไงกันคะ” เธอดุสามี หากคุณกฤษชัยกลับยักไหล่ด้วยท่าทียียวนกวนอารมณ์แบบเมื่อตอนสมัยที่เขายังหนุ่มมาให้
"ก็เล่นเอาแต่อายนี่คุณ ยากตรงไหนกันแค่คำๆ เดียว ตอนผมพูดกับคุณยังไม่เห็นเป็นถึงขนาดนี้เลย" ว่าแล้วก็จับมือคุณเกสรมากุมแล้วยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองเบาๆ เย้ยลูกชายที่นอนหนุนตักศรีภรรยาของเขาอยู่
"แล้วใครกันนะที่หน้าแดงเป็นลูกตำลึงมัวแต่ติดอ่างจนฉันทนไม่ไหวชิงพูดก่อนน่ะ" คุณเกสรจีบปากจีบคอถามกลับ ทำเอาชายวัยกลางคนถึงกับทำหน้าเมื่อยที่โดนเผาต่อหน้าลูกชายสดๆ ร้อนๆ
"โธ่คุณก็ เล่นเผาผมให้ลูกฟังอย่างนี้เลยเหรอ" กระเง้ากระงอดจบก็หันหลังให้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาในทันที จนคุณเกสรต้องเป็นฝ่ายชะโงกหน้าไปหอมแก้มให้ซักฟอดนั่นแหละถึงจะยอมหันกลับมานั่งยิ้มหน้าบานได้เหมือนเดิม
"อ้าว! แล้วนั่นจะไปไหนน่ะรัน" คุณเกสรทักเมื่อลูกชายคนเล็กของเธอลุกพรวดเดินไปทางประตูเข้าบ้าน
"ไปหาดีดีทีมาฉีดที่ระเบียงครับแม่ ท่าทางวันนี้ยุงกับมดจะชุมเป็นพิเศษ" ชายหนุ่มว่าก่อนจะหายเข้าบ้านไป
ร่างบางในชุดเสื้อแขนกุดสีเข้มและกางเกงผ้ายืดขายาวนั่งกอดเข่าเงียบๆ เพียงคนเดียวบนเตียงนอนหนานุ่ม
“เฮ้อ...” นี่เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่เธอหันไปมองโทรศัพท์เครื่องเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงแล้วเอาแต่ถอนหายใจ
“เอาน่า แค่นี้เองจะยากอะไรนักหนาเล่า” แล้วในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเอื้อมมือออกไป แต่ก่อนที่มือเธอจะทันแตะโทรศัพท์ เป้าหมายก็เปลี่ยนไปเป็นสมุดบันทึกแทนในวินาทีสุดท้าย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มยาวเรียวเหลือบมองนาฬิกาสีเงินที่วางอยู่บนโต๊ะ
"สามทุ่ม อีกครึ่งชั่วโมงค่อยโทรไปแล้วกัน ป่านนี้คงยังอยู่ที่ร้านอาหารกับพี่ซันแน่ๆ"
แล้วบันทึกก็ถูกเปิดไปยังหน้าที่คั่นเอาไว้ หน้ากระดาษสีเทาอ่อนปรากฏขึ้นมาให้เห็น ก่อนที่สลิลนรีจะลากนิ้วไปบนมุมหนึ่งของหน้ากระดาษที่มีรอยจางเหมือนเคยมีหยดน้ำหรือของเหลวบางอย่างหยดลงไปอย่างเบามือ หญิงสาวลองพลิกหน้ากระดาษสีเทาหม่นๆ ซึ่งมีเพียงแค่เส้นบรรทัดสีดำหยึกหยักเล็กน้อยอยู่บนหน้ากระดาษกับลายมือที่เขียนด้วยหมึกสีดำอย่างเป็นระเบียบไปทีละหน้าและพบว่าในทุกหน้ากระดาษของบันทึกบทนี้ล้วนแต่มีรอยหยดน้ำปริศนาทั้งสิ้น
"จะเป็นรอยหยดน้ำตารึเปล่านะ" หญิงสาวถามตัวเอง ขณะที่มือยังคงลูบกระดาษบริเวณที่เป็นรอยย่นนั้นเบาๆ
' ตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ใครคนหนึ่งได้ทำให้ฉันได้รู้ว่าความสุขจากการที่มีใครซักคนคอยดูแลห่วงใยใส่ใจเหมือนในความฝันนั้นเป็นเช่นไร และใครคนนั้นก็ยังสอนให้ฉันได้รู้อีกเช่นกันว่า โลกแห่งความฝันยังไงก็เป็นโลกแห่งความฝันเพียงเท่านั้น ไม่มีทางที่จะเป็นโลกแห่งความจริงได้
ฉันรู้จักกับผู้ชายคนนี้ในงานนิทรรศการดนตรีและศิลปะในมหาวิทยาลัยของฉัน มันเป็นงานประกวดดนตรีและศิลปะที่ทุกคณะจะต้องส่งผลงานเข้าประกวด แล้วฉันกับเพื่อนๆ ก็โดนเลือกเป็นตัวแทนของคณะ
ก่อนจะขึ้นเวที ฉันจำได้ว่าฉันยืนเกาะผ้าม่านด้านหลังเวทีไว้แน่น รู้สึกตื่นเต้นจนตัวสั่นไปหมด เพราะนั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันต้องมาเล่นดนตรีให้คนมากมายฟังแบบนี้ ที่สำคัญยิ่งได้รู้ว่านอกจากนักศึกษากับอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแล้ว ยังมีพวกมืออาชีพในสาขางานบันเทิงเข้ามาขมกันตั้งเยอะตั้งแยะก็ยิ่งทำให้ฉันสั่นหนักเข้าไปอีกจนอยากจะร้องไห้เลยล่ะ
'ตื่นเต้นเหรอ ไม่ต้องกลัวนะครับ ทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยดี เชื่อผมซิ'
เสียงทุ้มๆ ของเขาซึ่งเป็นแค่เพียงคนแปลกหน้าสำหรับฉันดังขึ้นใกล้ๆ มันน่าแปลกนะที่ประโยคสั้นๆ ง่ายๆ และแสนจะธรรมดานั่นทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจแล้วก็สบายใจขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แล้วการแสดงก็ผ่านไปได้ด้วยดีแม้ว่าฉันจะจำเหตุการณ์บนเวทีไม่ได้เลยก็ตาม
'แล้วพบกันใหม่นะครับ'
ดอกกุหลาบสีขาวดอกหนึ่งถูกยื่นมาให้ฉันพร้อมกับรอยยิ้ม แล้วผู้ชายคนนั้นก็จากไป
หนึ่งสัปดาห์ต่อมาทางมหาวิทยาลัยจะส่งวงดนตรีไปประกวดที่ต่างประเทศแต่ชมรมดนตรีของมหาวิทยาลัยขาดคนอยู่ค่อนข้างมาก ทางวงเลยติดต่อวงดนตรีของคณะต่างๆ ที่เคยได้รางวัลจากการแข่งภายในคราวนั้นให้มาร่วมแสดงด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือคณะฉันเองนั่นล่ะและแน่นอนก็ต้องพบกับเขา สมาชิกวงดนตรีที่ได้รางวัลชนะเลิศวงนั้น
เราซ้อมดนตรีกันทุกวันหลังเลิกเรียนจนถึงดึกดื่นค่ำมืด เขามักจะเป็นฝ่ายเข้ามาชวยฉันคุยตอนพักและคอยอยู่เป็นเพื่อนฉันระหว่างที่ฉันรอคนที่บ้านมารับกลับทุกวันจนคนอื่นๆ ในวงแซว
พูดตามตรง ฉันไม่คิดว่าเขาจะมาสนใจคนอย่างฉัน ก็เพราะฉันเป็นผู้หญิงประเภทที่ผู้ชายส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าไม่น่าจีบเลยน่ะซิ และที่สำคัญจบงานนี้พี่เขาก็คงจะไม่มาให้ฉันได้เห็นอีกแล้วแน่ๆ ที่เขาทำอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะว่าเขาหวังดีและเป็นห่วงฉันในฐานะสมาชิกวงคนหนึ่งก็เท่านั้นแหละ
แต่ฉันคงต้องคิดใหม่ เพราะเมื่อจบการแข่งแล้วฉันพบว่าไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็ต้องเจอเขาทุกที แถมวันดีคืนดีเขายังมานั่งทานข้าวติดกับฉันในโรงอาหารของคณะฉันที่อยู่ห่างจากคณะเขาเกือบคนละฟากมหาลัยเนี่ยซิ
จากเจอกันแค่ตอนพักกลางวัน เขาก็เริ่มโทรหาฉันทุกคืน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปเอาเบอร์โทรศัพท์ฉันมาจากใคร แต่ก็เอาเถอะ เพราะตอนนั้นฉันกำลังรู้สึกดีมากๆ เลยนี่นา
แล้ววันวาเลนไทน์ก็มาถึง ตรงๆ นะ มันเป็นวันที่ฉันเลิกคาดหวังอะไรมานานมากแล้ว เพราะทุกทีจะเป็นฉันซะมากกว่าที่เอาของไปให้คนอื่น แต่คราวนี้มันกลับแตกต่างจากปีที่ผ่านๆ มาอย่างสิ้นเชิง
มีคนเอาดอกไม้มาให้ฉัน!! ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก เขาคนนั้นนั่นแหละ แต่ว่านะ พี่แกเล่นร้องเพลงประสานเสียงกีตาร์ให้ฉันด้วยเนี่ยซิ!! แถมยังมาร้องในห้องเรียนฉันต่อหน้าเพื่อนเกือบทั้งชั้นปี แล้วแถมด้วยการสารภาพว่าชอบฉันอีก โอ้พระเจ้า!! อยากจะแทรกแผ่นดินหนีจริงๆ นะตอนนั้น
ยอมรับว่าชอบพี่เขาอยู่หรอกนะ แต่ไม่อยากรีบร้อน เขาเองก็คิดเหมือนกันดังนั้นเราสองคนจึงคบกันในฐานะที่มากกว่าเพื่อนสนิทแต่ก็ไม่ใช่แฟน ช่วงเวลานั้นฉันรู้สึกดีนะ ถึงแม้ว่าความรู้สึกจะไม่ใช่แบบที่คนรักเขารู้สึกกัน แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าการมีใครคนหนึ่งคอยเป็นห่วงเป็นใย คอยใส่ใจฉันทำให้ไม่รู้สึกเหงาเหมือนอย่างที่ผ่านๆ มานั้นมันดีแค่ไหน
'สัญญานะ ว่าถ้าวันนึงเราสองคนมีใครที่รักต้องบอกให้อีกคนรู้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราสองคนจะยังมีความรู้สึกดีๆ ให้กันต่อไปนะ'
เราให้สัญญากันไว้ หลังจากนั้นความสัมพันธ์ของเราดำเนินต่อมาเรื่อยๆ จนครบปี ฉันคิดว่าความรู้สึกที่ฉันมีให้เขานั้นมันมาไกลเสียแล้ว แต่เรื่องเลวร้ายก็เกิดขึ้นจนได้...
'ฝน นั่นใช่พี่แทนรึเปล่าน่ะ'
เพื่อนที่คณะซึ่งไปแข่งด้วยกันถามพร้อมกับชี้มือไปยังถนนฝั่งตรงข้าม แล้วก็โป๊ะเชะ เป็นพี่เขาแน่ๆ แต่ผู้หญิงที่เดินอยู่ข้างๆ นั้นฉันไม่รู้จัก รู้อย่างเดียวว่าท่าทางที่สองคนนั้นแสดงออกต่อกัน มันมากกว่าเพื่อนธรรมดา ตอนนั้นมันไม่ได้รู้สึกช็อคเหมือนกับในละครหรอกนะ แต่มันรู้สึกหวิวๆ ยังไงชอบกล แล้วสุดท้ายฉันก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไร เพราะอยากได้ยินความจริงจากปากพี่เขาเองมากกว่า
ฉันรอๆๆ แล้วก็รอ จนผ่านไปเกือบอาทิตย์ เขาก็ยังไม่พูดไม่เล่าอะไร พอฉันถามตรงๆ เขาก็ปฏิเสธ แต่ไม่ว่าปากของฉันจะบอกว่าเชื่อเขาเท่าไหร่ แต่ใจมันกลับไม่รู้สึกอย่างนั้นเลยซักนิด
แล้วฉันก็ติดสินใจพิสูจน์ ฉันเดินตรงเข้าไปหาเขาที่กำลังเดินอยู่กับผู้หญิงคนนั้น คุณลองนึกภาพดูนะ ว่าเวลาที่คุณเดินสวนกับใครแบบจังๆ หน้าคุณจะไม่เห็นคนที่คุณเดินสวนเลยงั้นเหรอ แต่คุณเชื่อมั้ยว่าเขาไม่เห็นฉัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ขนาดฉันยืนอยู่ที่ระเบียงตึกห่างจากเขาไปหลายสิบเมตรกลางกลุ่มคนเป็นสิบๆ คนเขายังเห็นฉันได้เลย!!
มันเหมือนกับว่า ณ ช่วงเวลานั้น ฉันไม่มีตัวตนอยู่เลยสำหรับเขา ที่สำคัญเดินผ่านไปแล้วยังไม่หันกลับมามองอีกด้วย ทั้งที่ฉันและเพื่อนยังอยู่ตรงนั้น เผื่อเขาจะนึกขึ้นได้ว่าเห็นฉัน แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่หันกลับมา
วันรุ่งขึ้น ฉันตัดสินใจพูดกับเขาตรงๆ ตอนแรกเขาก็ปฏิเสธ แต่ฉันคงเชื่อเขาไม่ได้แล้วล่ะ สุดท้ายเมื่อเจอฉันต้อนหนักๆ เข้า ในที่สุดเขาก็ยอมรับสารภาพ มันเป็นความจริงที่แสนโหดร้ายสำหรับฉัน เขากำลังคบกับเธอคนนั้นอยู่อย่างที่ฉันคิดจริงๆ
แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับฉัน ฉันเดินจากมาเงียบๆ แต่เขาก็วิ่งมาคว้าข้อมือฉันเอาไว้
ฉันสะบัดมือเขาทิ้งอย่างแรงพร้อมกับมองเขาอย่างเย็นชา ท่าทางเขาดูแปลกใจและตกใจมากกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของฉัน
'ขอบคุณนะที่อย่างน้อยก็พูดความจริงกับฝน ฝนจะได้รู้ตัวซักที ว่าต่อไปนี้ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฝนกับพี่ต้องมาพบมาเจอกันหรือคุยกันอีกแล้ว'
ฉันเดินถอยห่างจากเขาไปอีกครั้ง แต่เขาก็คว้าข้อมือฉันไว้อีกครั้ง พร้อมกับทวงสัญญาที่เราเคยมีให้กัน ตอนนั้นฉันอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ จริงๆ นะ
'มันคงจะทำได้หรอกค่ะ ถ้าพี่ไม่ใช่คนที่ผิดสัญญาก่อน ดูที่พี่ทำกับฝนซิ สองอาทิตย์ที่ฝนเห็นพี่กับคนนั้น พี่คิดจะบอกฝนซักคำมั้ย ขนาดฝนถามพี่ พี่ก็ปฏิเสธ ขนาดเมื่อวานฝนเดินสวนกับพี่ตรงๆ พี่ก็ทำมองไม่เห็นฝนด้วยซ้ำ ถ้าวันนี้ฝนไม่เรียกพี่มาคุย แล้วเมื่อไหร่คะที่พี่ถึงจะบอกฝน คิดว่าฝนโง่พอให้พี่หลอกได้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอคะ'
ฉันพูดประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่สุดในชีวิตที่ขนาดตัวฉันเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะเย็นยะเยือกสุดขั้วหัวใจได้ขนาดนี้
ถ้าวันนี้ฉันไม่เรียกเขามา เขาก็คงจะปฏิบัติกับฉันเหมือนกับที่ผ่านๆ มา ชวนไปทานข้าวและโทรมาหาทุกวัน โดยที่เขาก็ยังมีคนนั้นอยู่อีกคน สรุปว่าเขาเห็นฉันเป็นตัวเลือกหรือร้ายกว่านั้นก็ตัวสำรองสำหรับเขาเท่านั้นซินะ
'ฝนเคยบอกแล้วนะว่าฝนเกลียดคนไม่รักษาสัญญา แต่พี่ก็ยังทำ ฝนบอกว่าฝนไม่ชอบเป็นตัวเลือกหรือเป็นตัวสำรองของใคร แต่พี่ก็ยังวางฝนไว้ในตำแหน่งนั้น พี่คบกับคนนั้นโดยไม่บอกฝน รู้มั้ยว่าฝนรู้สึกว่าตัวเองโง่แค่ไหน ทีนี้พี่ตอบฝนทีซิ ว่าถ้าพี่เป็นฝน พี่ยังจะให้โอกาสตัวพี่เองมั้ย'
ไม่มีคำตอบใดๆ จากปากเขา มีเพียงการก้มหน้าหลบตาเท่านั้นที่เป็นคำตอบ ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามกลั้นน้ำตาของตัวเองเอาไว้ สัญญากับตัวเองว่าฉันจะไม่มีวันให้เขาได้เห็นน้ำตาของฉันเด็ดขาด
'ในเมื่อความจริงใจและความซื่อสัตย์ในคำพูดในฐานะพี่ชายคนหนึ่งพี่ยังมีให้ฝนไม่ได้ ก็เห็นทีเราคงจะไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณนะคะสำหรับเวลาหนึ่งปีกับอีกสองเดือนที่ทำให้ฝนได้ฝันลมๆ แล้งๆ ว่าพี่เป็นใครคนนั้นที่ฝนรอ หวังว่าพี่จะไม่ทำผิดซ้ำสองกับเธอคนนั้นอีกนะคะ'
ฉันเคยคิดว่าผู้หญิงที่อกหักแล้วร้องไห้เป็นคนที่งี่เง่ามาก กะอีแค่ผู้ชายคนเดียวที่ไม่มีค่าพอจะไปร้องไห้เสียน้ำตาให้ได้อะไรขึ้นมา มาในวันนี้ฉันคงต้องกลืนคำพูดของตัวเอง
น้ำตาของฉันไหลไม่หยุด เพื่อนของฉันช่วยกันทั้งกอดทั้งปลอบใจต่างๆ นานาอยู่นานสองนาน แต่ฉันไม่อยากรับรู้อะไรหรือถึงรับรู้ก็ไม่อยากจะเข้าใจ รู้แต่เพียงว่าฉันอยากจะร้องไห้ไปเรื่อยๆ จนกว่าน้ำตาจะล้างภาพของเขาให้ออกไปจากใจฉันได้หมดก็เท่านั้น
เสียใจมั้ย...... เสียใจที่หลงเชื่อว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่ฉันรอ
เจ็บใจมั้ย..... เจ็บใจที่เสียน้ำตาให้กับคนที่ไม่ได้มีค่าพอสำหรับน้ำตาเหล่านั้น
โกรธมั้ย...... โกรธตัวเองที่ทำตัวน่าสมเพชได้ขนาดนี้และโกรธเขา คนที่หักหลังความไว้วางใจของฉันโดยการทำผิดสัญญาอย่างไม่น่าให้อภัยที่สุด
ฉันไม่รู้หรอกนะว่าไอ้อาการแบบนี้เรียกว่าร้องไห้เพราะอกหักรึเปล่า แต่ฉันมั่นใจว่าไม่ใช่ แต่เป็นเพราะเจ็บใจและโกรธเพียงเท่านั้นเอง
ฉันร้องไห้ไม่หยุด ดีที่ว่าวันรุ่งขึ้นตาฉันไม่บวมมากนัก แต่ฉันยิ้มไม่ออก ไม่หัวเราะ ทำอะไรก็ไม่รู้สึกสนุกเหมือนแต่ก่อน ฉันได้แต่ซึมอยู่แบบนั้นเกือบอาทิตย์ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะเป็นแบบนี้
หลังจากนั้นเกือบเดือน ฉันก็คิดได้ว่า ฉันจะทำตัวงี่เง่าแบบนี้ให้เขาหัวเราะอีกนานเท่าไหร่ คิดแค่นั้นฉันคนเดิมก็กลับมา ฉันคนที่สดใสร่าเริงคนเดิมคนนั้นกลับมาแล้วในที่สุด ตอนนี้ฉันสามารถมองหน้าเขาได้อย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีกต่อไป
แต่สุดท้าย... เชื่อมั้ย ฉันต้องมาร้องไห้อีกครั้งตอนที่เขียนบันทึกนี้ อย่างนี้มันเรียกงี่เง่าใช่มั้ย ทั้งที่เหตุการณ์นั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้ว แต่มันก็ยังทำให้ฉันร้องไห้ได้เพียงแค่คิดถึงมันเท่านั้น ฉันมันงี่เง่าใช่มั้ย
ฉันสัญญาว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะร้องไห้ให้กับคนๆ นั้นที่ก็เป็นได้แค่คนที่ฉัน ' เกือบรัก ' ก็เท่านั้น ฉันขอสัญญา ฝน’
"คุณไม่ใช่คนงี่เง่าหรอกคุณฝน แต่เป็นคนที่เข้มแข็งมากต่างหาก เพราะคงไม่มีผู้หญิงงี่เง่าคนไหนตัดใจจากคนที่ตัวเองเกือบรักได้ภายในเวลาไม่ถึงเดือนแบบคุณหรอก แล้วก็คงไม่มีผู้หญิงงี่เง่าคนไหนมองหน้าเขาคนนั้นแล้วไม่รู้สึกอะไรแบบคุณเหมือนกัน ดังนั้นคุณไม่งี่เง่าหรอก"
หญิงสาวพูดเสียงเบากับสมุดบันทึกก่อนจะวางมันลงที่โต๊ะข้างเตียงดังเดิม พร้อมกับที่สายตาจับจ้องโทรศัพท์มือถือของตัวเองราวกับว่ามันเป็นวัตถุประหลาดจากนอกโลกยังไงยังงั้น
หนึ่งนาที......
สองนาที.......
สามนาที....
เวลายังคงเดินต่อไปพร้อมกับเสียงเข็มวินาทีจากนาฬิกาสีเงินเรือนเล็กซึ่งดูเหมือนมันจะส่งเสียงดังขึ้นมาถนัดใจ
'ถ้ารินไม่ขอโทษ พี่ภพก็จะมองว่ารินทำตัวพาลเหมือนเด็กๆ รินยอมได้เหรอ' คำพูดของดรัณเมื่อตอนหัวค่ำดังก้องขึ้นในหัวและนั่นทำให้หญิงสาวได้ฤกษ์หยุดเล่นจ้องตากับโทรศัพท์แล้วตัดสินใจคว้ามันขึ้นมาได้ในที่สุด
"เราไม่ยอมง่ายๆ หรอกรัน"
มือบางกดปุ่มรัวหาหมายเลขซึ่งตัวเธอเองก็ไม่รู้และไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะเก็บมันเอาไว้ทำไมให้เปลืองเม็มโมรี่เครื่อง ก่อนจะกดโทรออกที่ชื่อ ‘นายตัวกวน’ ตามนิสัยของเขาที่ชอบทำให้เธอของขึ้นได้ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ
ความคิดเห็น