คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ความทรงจำแสนอบอุ่น
"เพิ่งรู้ว่าคุณหมอเขาแต่งตัวแบบนี้มาทำงานกัน"
เสียงทุ้มๆ กับประโยคจิกกัดเหมือนเคยดังขึ้นขณะที่สลิลนรีกำลังจะก้าวขาออกจากคลินิก หญิงสาวหยุดกึกก้มมองเสื้อยืดสีฟ้าตัวยาวถึงสะโพกที่เพ้นท์เป็นรูปทะเลกับกางเกงยีนส์ผ้ายืดขายาวสีดำเรียบร้อยของตัวเองก่อนจะถอนหายใจดังพรืด ฮึ! ช่างสรรหาเรื่องมาว่ากันเหลือเกินนะ
หญิงสาวก้าวฉับๆ มาหาพิภพอย่างรวดเร็วด้วยท่าทีพร้อมรบ ในขณะที่เจ้าของคลินิกซึ่งมีศักดิ์เป็นคุณน้าของสลิลนรีกับศรายุทและเมย์หันมามองทั้งคู่เป็นตาเดียวกัน หญิงสาวหยุดยืนห่างจากชายหนุ่มไปไม่กี่ก้าว ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มให้ด้วยท่าทียียวนกวนอารมณ์
"ถ้าคำว่าเหมาะสมของคุณคือการที่ฉันต้องใส่เกาะอกกับกระโปรงสั้นเต่อแล้วก็โบ๊ะหน้าซะหนาอย่างกับจะไปเล่นงิ้วที่ไหนเหมือนคุณรื่นรตีแฟนคุณล่ะก็ ฉันขอเป็นคนแต่งตัวไม่เหมาะสมแบบนี้ดีกว่า จะได้ไม่มีใครเข้าใจผิดหาว่าฉันเป็นผีต้นมะขามแถวสนามหลวง
แล้วฉันเองก็เพิ่งจะรู้นะว่า คนที่เป็นถึงกรรมการบริหารบริษัทใหญ่โตระดับประเทศน่ะจะว่างงานมากขนาดตามมาหาเรื่องฉันถึงนี่ได้ ไม่รู้ทำไมพี่กรถึงยังเก็บคุณไว้ในบริษัทก็ไม่รู้ เสียดายคนทำงานคนอื่นที่อาจมีน้ำยามากกว่าคุณชะมัด"
หลังจากร่ายยาวจบ หญิงสาวก็สะบัดหน้าพรืดออกจากคลินิกไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่พิภพนั้นก็ได้แต่สะอึกไปกับคำบริภาษอยู่นานหลายวินาทีกว่าจะคิดคำตอบโต้ออก ร่างบางก็หายไปเสียแล้ว
“ไงล่ะเอ็ง ใบ้กินเลยซิ” ศรายุทเอ่ยขึ้นพร้อมตบบ่าเพื่อนรักอย่างเห็นขันกึ่งๆ สมน้ำหน้า ในขณะที่เด็กหญิงตัวน้อยก็พยายามกลั้นหัวเราะอย่างเต็มความสามารถอยู่ด้านหลังของศรายุท ด้วยนานๆ ทีจะได้เห็นคุณอาหนุ่มของตัวเองมีอาการอึ้งกิมกี่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกแบบนี้
"เลิกหาเรื่องยัยรินเถอะวะไอ้ภพ ข้าไม่เคยเห็นเอ็งจะเถียงชนะเขาซักที ดีไม่ดีเจ็บตัวอีกต่างหาก ไอ้ที่เจอเข้าที่คางเมื่อคราวก่อน กับอีกหลายหมัดก่อนหน้ายังไม่เข็ดอีกรึไงวะ"
ศรายุทเตือนสติพร้อมกับมองปลายคางของเพื่อนรักที่ยังคงมีรอยช้ำๆ เขียวๆ จางๆ ปรากฏให้เห็นด้วยสายตากึ่งระอากึ่งสมน้ำหน้า ด้วยคนที่เริ่มเรื่องก่อนนั้นคือตัวของชายหนุ่มเองก่อนที่เรื่องจะจบลงตรงที่คนหาเรื่องโดนหมัดเสยตรงเข้าให้เสียเต็มคาง
นี่ล่ะคือเหตุผลที่เขาอยากให้ไอ้เพื่อนรักคนนี้เลิกหาเรื่องสลิลนรีเสียที เพราะถ้าคราวไหนสลิลนรีเกิดอาการน๊อตหลุดเพราะโดนหาเรื่องอย่างหนัก แม่คุณก็จะงัดเอาวิชาคาราเต้ เทควันโด้ ยูโดแถมด้วยกังฟูที่เคยร่ำเรียนมาตั้งแต่สมัยมัธยมมาซัดพิภพเสียหมอบ จนเขากลัวว่าเจ้าเพื่อนรักของเขาจะได้ไปเกิดใหม่เร็วกว่ากำหนด
แต่ดูเหมือนคำเตือนหรือคำห้ามใดๆ ของเขาจะไม่ได้ทะลุเข้าไปถึงโสตประสาทของคนถูกเตือนซักนิด ด้วยชายหนุ่มยังคงยืนกัดฟันกรอดๆ จนเห็นสันกรามอย่างแค้นเคืองที่ต้องเสียทีให้หญิงสาวคู่แค้นอีกครั้ง
"ตราบใดที่ข้ายังเอาชนะแม่น้องสาวที่รักของเอ็งไม่ได้ ข้าไม่ยอมเลิกหรอก” พิภพตอบกลับด้วยน้ำเสียงหมายมาดพร้อมกับดวงตาวาววับ ซึ่งศรายุทเองก็ได้แต่ส่ายหน้าระอาเพื่อนรักเต็มแก่
"แก่จนจะอายุสามสิบแล้วยังจะหาเรื่องเด็กอายุยี่สิบสี่" ศรายุทบ่น ส่งผลให้พิภพหันมาแยกเขี้ยวใส่
"ก็ใครใช้ให้เมื่อตอนนั้นยัยเด็กนั่นเริ่มก่อนล่ะวะ" นั่นประไร!! เรื่องเก่าเอามาเล่าใหม่ ไม่รู้ทำไมมันถึงเจ้าคิดเจ้าแค้นกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนั้นนักก็ไม่รู้
"ยังจะจำเรื่องเมื่อปีมะโว้ตอนนั้นไว้อีก เอ็งนี่ท่าจะประสาท ข้าว่าเผลอๆ ยัยรินลืมไปแล้วก็ไม่รู้ เอาเถอะเรื่องนี้ข้าไม่ขอยุ่งยังไม่อยากโดนหางเลขอีกคน แต่ในฐานะผู้หวังดียังไงก็ขอเตือนว่าเอ็งอย่าได้คิดลากคุณรื่นรตีของเอ็งมาช่วยก็แล้วกัน ไม่งั้นยัยรินได้จัดการเอ็งราบเป็นหน้ากลองแน่"
"ขอบใจที่เตือน แต่ถ้าเขาเกิดอยากมาร่วมวงเองข้าก็ไม่เกี่ยวเหมือนกัน ข้ากลับก่อนแล้วกันนะ ไปจ๊ะเมย์ กลับบ้านเรากันดีกว่า อ้อ ไอ้ซัน เรื่องวันพรุ่งนี้เดี๋ยวข้าจัดการให้ เอ็งไม่ต้องห่วง" สิ้นคำของคุณอาหนุ่ม เด็กหญิงก็ยกมือไหว้ลาศรายุท ก่อนจะเดินเข้าไปลาเจ้าของคลินิกที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์แล้วเดินตามผู้เป็นอาออกจากคลินิกไป
"ถ้าคุณภพกับยัยรินรักกันได้ก็คงจะดีนะ" คุณจิตราว่ายิ้มๆ ก่อนจะเดินไปเก็บเครื่องมือต่อ ทิ้งให้คุณจุลจักรและศรายุทที่อยู่ใกล้ๆ คิดถึงวันที่คู่อาฆาตทั้งสองจะหันมารักกันเองเหมือนในละครต่อไป นึกไม่ออกจริงๆ ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อชาติไหน
ร่างบางในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีน้ำตาลกับกางเกงเลสีครีมเดินสำรวจความเรียบร้อยทั่วห้อง ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องนอนแล้วคว้าสมุดบันทึกที่นอนสงบนิ่งบนโต๊ะเครื่องแป้งเมื่อตอนกลางวันมานอนบนเตียงนอนหนานุ่มอย่างสบายอารมณ์
"ไหนมาดูซิว่า บันทึกอะไรไว้บ้าง"
มือบางพลิกหน้าปกสีดำให้เปิดออก เผยให้เห็นหน้ากระดาษเขียนจดหมายไล่สีขมพูส้มเหลืองอ่อนๆ สวยหวานตลอดทั้งหน้าแปะอยู่บนกระดาษสมุดสีขาว ตรงมุมด้านล่างขวาของกระดาษมีเครือดอกไม้และเถาไม้เล็กๆ สีขาวๆ น่ารักประดับอยู่ ดวงตาสีน้ำตาลไล่ไปตามตัวอักษรสีดำเป็นระเบียบอย่างตั้งอกตั้งใจ
'ฉันไม่เคยเชื่อว่าความรักสามารถหาได้ตามริมทาง และไม่เชื่อว่าคนเราจะมีความรู้สึกดีๆ และลึกซึ้งให้กับใครซักคนที่เพิ่งจะพบกันได้ภายในครั้งแรกที่สบตา แต่มาในวันนี้ความคิดของฉันก็มีอันต้องเปลี่ยนไปเมื่อพบกับเขาคนนั้นที่ทำให้ฉันได้รู้ว่า การตกหลุมรักใครซักคนนั้นเวลาไม่ใช่สิ่งจำเป็นเลยซักนิด
เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อฉันตัดสินใจใช้เวลาช่วงปิดเทอมฤดูร้อนกับการเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่งแถวบ้าน และนั่นทำให้ฉันได้พบกับเขาคนนั้น เขาก็ไม่ได้เป็นคนหน้าตาดีอะไรนักหนาหรอก เป็นแค่เด็กม. ปลายธรรมดาๆ เหมือนกับฉันก็เท่านั้น แต่ไม่รู้ทำไมเวลามองเขาทีไร ฉันถึงได้รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างดลใจให้ฉันอยากจะเข้าไปพูดคุยทำความรู้จักกับเขาเสียเหลือเกิน แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่เขาบังเอิญมานั่งติดกับฉัน ทำให้เวลาทำงานอะไรฉันต้องทำคู่กับเขาเกือบทุกงานและต้องเป็นแบบนี้ไปจนกว่าจะจบการเรียนเสียด้วยซิ
'ชอบวาดรูปเหรอ วาดสวยดีนะ'
นั่นเป็นประโยคแรกที่เขาพูดกับฉันตอนช่วงเวลาพักสิบนาทีในวันแรกของการเรียน แล้วเราก็ได้คุยอะไรกันอีกมากมาย ฉันค้นพบว่าเราสองคนชอบอะไรคล้ายกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องหนังสือ พวกคุณคงนึกภาพออกนะว่าเวลาที่เราได้พบเจอใครซักคนที่ชอบอะไรเหมือนๆ กับเราน่ะ เวลาคุยกันแล้วมันจะติดลมขนาดไหนแถมยังรู้สึกดีมากเพียงใดที่ได้รู้ว่ามีคนที่ชอบอะไรเหมือนๆ เราอยู่ใกล้ๆ แค่นี้เอง และเพราะมีเรื่องให้เล่าให้แลกเปลี่ยนเยอะแยะ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เราสองคนจะสนิทกันได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว
'ใส่กระโปรงแบบนี้เจก็น่ารักดีนะ'
นี่เป็นคำชมคำแรกจากปากของเขา อันที่จริงแล้วฉันน่ะชอบกางเกงขายาวและเสื้อยืดตัวใหญ่ๆ มาเรียนมากกว่าเสื้อผู้หญิงหวานๆ กับกระโปรงสวยๆ แบบที่ผู้หญิงทั่วๆ ไปใส่กัน ไม่ใช่ว่าฉันไม่ชอบนะ เพียงแต่คิดว่ามันไม่ค่อยเหมาะกับฉันเท่าไหร่ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะฉันไปรับคำท้าของเพื่อนที่โรงเรียนที่หาว่าฉันแต่งตัวแบบผู้หญิงไม่เป็นล่ะก็นะ ฉันคงไม่มีวันแต่งตัวแบบนี้มาให้เห็นเป็นอันขาด
'แต่งแบบนี้มาเรียนทุกวันซิ น่ารักดี'
เจอประโยคนี้เข้าไปประโยคเดียว ความกล้ำกลืนฝืนทนของฉันก็มลายหายไปเลย ก็แหม ได้รับคำชมจากผู้ชายที่ไม่ใช่พ่อหรือญาติเป็นครั้งแรกเนี่ย มันก็อดที่จะรู้สึกดีไม่ได้นี่นะ
เวลาผ่านไป ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคอยชำเลืองไปทางเขาบ่อยขึ้นและรู้สึกว่าเขาเองก็ชำเลืองมองฉันบ่อยครั้งเช่นกัน อย่างนี้จะแปลว่าฉันกับเขากำลังคิดอะไรเหมือนกันอยู่ได้รึเปล่านะ
ฉันรู้ว่าเวลาที่จะได้อยู่ใกล้ๆ กับเขาเหลือน้อยลงทุกที แต่ตราบใดที่ฉันยังพอมีเวลาอยู่ ฉันก็ควรที่จะตักตวงความสุขเอาไว้ เพื่อที่ว่าวันหนึ่งเมื่อฉันกับเขาต้องจากกัน ฉันจะได้ไม่รู้สึกเสียใจที่ปล่อยให้เวลาผ่านเลยไปอย่างสูญเปล่า
ในที่สุดวันสุดท้ายของการเรียนก็มาถึง วันนี้ทั้งฉันและเขาแทบจะไม่ได้คุยกันเลย เพราะโดนคนอื่นๆ ในห้องลากไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันตลอด คำเดียวที่เราสองคนพูดให้กันและกันก็คือ ‘สวัสดี’ เท่านั้นเอง แล้วกว่าจะได้คุยกันอีกทีก็ปาเข้าไปตอนเลิกเรียนแล้ว
เราสองคนเดินมาที่ป้ายรถที่พวกเรามักจะมาเพื่อกลับบ้านกันเป็นประจำทุกวันเหมือนเดิม ช่วงเวลาสุดท้ายเพียงสิบนาทีที่ฉันจะได้คุยกับเขาโดยที่ไม่มีใครมารบกวน
ก็แปลกดีนะที่วันนี้ฉันรู้สึกอยากให้ทางเดินจากห้องเรียนมายังป้ายรถยาวออกไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด แต่สิ่งที่ฉันหวัง มันคงไม่มีทางเป็นไปได้หรอกใช่มั้ย
เราต่างคนต่างยืนกันเงียบๆ ไม่พูดคุยอะไรกันเลย ฉันว่ามันตลกดี ทั้งที่ทุกวันแทบจะหาเวลาที่เราสองคนเงียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมพอถึงช่วงเวลาสุดท้ายนี้เราสองคนกลับเงียบกันได้ก็ไม่รู้
ฉันเหลือบตามองเขาแล้วเขาก็เหลือบตามองฉัน คำพูดมากมายที่อยากจะพูดแต่กลับพูดไม่ออกเมื่อได้สบกับดวงตาของเขา ฉันว่าฉันท่าจะอาการหนักแล้วนะเนี่ย
'เจ'
เขาเรียกชื่อฉันในเวลาเดียวกับที่ฉันเองก็เรียกชื่อเขา พวกเราสองคนมองหน้ากัน ก่อนจะหัวเราะให้กันทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังหัวเราะอะไรกันอยู่
'เราดีใจมากนะที่ได้รู้จักเจ เจเป็นคนดีและน่ารักมากนะ เราไม่เคยเจอใครเหมือนเจเลย อันนี้เราให้เจนะ'
สร้อยคอสีทองที่มีจี้รูปหัวใจห้อยอยู่ถูกยื่นมาตรงหน้าฉัน มันเป็นจี้ที่เมื่อเปิดฝาขึ้นก็จะเห็นหน้าปัดนาฬิกาเข็มขนาดเล็กฝังอยู่ จำได้ว่าตอนนั้นฉันรู้สึกดีใจสุดๆ เลยล่ะ
‘เราไม่รู้ว่าเจจะเชื่อเรามั้ย แต่ตอนที่เราเดินผ่านมันตอนมาเรียนวันนี้ เรานึกถึงเจนะและเผื่อเจไม่รู้ เราก็อยากจะบอกว่าเราชอบเจมากนะ ’
สุดท้ายเราสองคนก็แลกเบอร์โทรศัพท์กันก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน แปลกนะที่ตอนนี้ฉันชักรู้สึกโหวงๆ ข้างในและรู้สึกใจหายขึ้นมายังไงก็บอกไม่ถูก
แล้วฟ้าก็เล่นตลกกับฉันอีกจนได้ เมื่อหลังจากวันนั้นไม่นาน น้องชายของฉันเอามือถือของฉันไปเล่นและเผลอกดลบเบอร์โทรศัพท์ของเขาไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนนั้นฉันโกรธน้องมาก แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อทางเดียวที่ฉันจะได้เบอร์โทรของเขากลับมาก็คือรอการติดต่อจากเขาเท่านั้น
แต่ว่า... จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ผ่านมาเป็นปีแล้ว เขาก็ไม่เคยติดต่อกลับมา
ถ้าใครบางคนเป็นแบบฉันคงจะเสียใจน่าดูเลยใช่มั้ย แต่ฉันกลับไม่รู้สึกอย่างนั้น เพราะอย่างน้อยฉันก็รู้สึกว่า ช่วงเวลาแค่ไม่กี่เดือนที่ฉันได้ใช้ร่วมกับเขา มันมีความทรงจำและความรู้สึกดีๆ เกิดขึ้นมากจนเกินพอที่จะชดเชยความรู้สึกเสียใจในวันที่เราสองคนต้องจากกัน และที่สำคัญ สำหรับฉันแค่ได้รู้ว่าฉันกับเขา เราสองคนใจตรงกันเท่านี้ก็พอแล้ว
ดีใจที่ได้รู้จักกันและได้พูดคุยกัน ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะยังจำฉันและเรื่องราวในช่วงเวลานั้นได้หรือเปล่า แต่ฉันอยากบอกให้เขาได้รู้ว่าฉันยังจำมันได้ และยังคงรู้สึกดีและอบอุ่นในหัวใจทุกครั้งเมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้นเสมอ
ไม่ได้หวังว่าเขาจะติดต่อกลับมาหรือเราจะได้พบกันอีก เพียงแค่หวังว่าเขาจะจดจำเรื่องราวของความรู้สึกดีๆ ในตอนนั้นไว้ไม่ลืมเลือน เพื่อที่ว่าทุกครั้งเวลาที่เขานึกถึงช่วงเวลานั้นที่มีฉันอยู่ เขาจะรู้สึกดีเหมือนกับฉันและสามารถยิ้มได้ทุกครั้งที่นึกถึงเท่านั้นก็พอแล้ว
ฉันจะไม่มีวันลืมช่วงเวลาแสนสั้นและความรู้สึกดีๆ ของ ‘รักครั้งแรก’ ของฉันตลอดไป
เจ '
"อย่างกับนิยายเกาหลีเลยแฮะ เพราะอย่างนี้แหละฉันถึงได้ไม่ชอบนิยายเกาหลี" หญิงสาวบ่นพร้อมกับยกนิ้วขึ้นมาปาดน้ำตาที่เริ่มไหลออกมาคลอหน่วย อดรู้สึกเห็นใจเจ้าของบันทึกไม่ได้
ถ้าเป็นเธอ เธอก็คงรู้สึกเศร้าไม่น้อย เพราะเพียงแค่การจากลาชนิดที่ว่าไม่รู้จะได้พบได้เจอกันอีกเมื่อไหร่นี่ก็มากแล้ว แต่นี่ยังไม่สามารถติดต่อ พูดคุยหรือแม้แต่รับรู้ข่าวสารของคนที่ตนมีความรู้สึกดีๆ ด้วยได้แม้แต่น้อยนี่ยิ่งแล้วใหญ่
แค่คิดว่าการได้พบแล้วรู้สึกดีกับใครซักคนมากขนาดนี้มันยากแค่ไหนก็อดเสียดายไม่ได้ที่คนสองคนซึ่งมีความรู้สึกดีๆ ให้กันต้องมาจากกันแบบนี้ แต่มาคิดอีกที นี่ก็อาจเป็นบททดสอบสำหรับสองคนนั้นก็เป็นได้ เพราะถ้าหากชะตาฟ้าลิขิตให้ทั้งสองเป็นคู่กัน ต่อให้ห่างกันคนละซีกโลกมันก็ต้องมีวันที่จะวนกลับมาเจอกันได้จริงมั้ย
มาย้อนถึงนิยายเกาหลี อันที่จริงเธอเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไรมันนักหนาหรอกนะ เพียงแต่เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ที่เธอเคยดูหรือเคยอ่าน ถ้ามันไม่หวานชนิดที่ว่าภูมิต้านทานของเธอทนรับไม่ได้ มันก็จะออกมาเศร้าสุดๆ จนทำให้เธอเสียน้ำตาเป็นปี๊บๆ
แล้วยิ่งเธอไม่ชอบร้องไห้ให้ใครเห็นด้วยแล้ว จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมเวลาภัทราชวนเธอไปดูหนังหรือละครเกาหลีด้วยกัน เธอจึงไม่ลังเลเลยที่จะปฏิเสธ ยิ่งเมื่อผู้ร่วมอุดมการณ์คือศรายุท ผู้โชคร้ายที่ติดโรคหนังเกาหลีลิซึ่มจากภัทราเข้าอย่างจังด้วยแล้ว เธอยิ่งไม่ต้องคิดหนักเข้าไปใหญ่ เพราะเป็นที่รู้กันว่าที่ไหนมีศรายุทที่นั่นต้องมีพิภพอยู่ด้วย ฉะนั้นเธอขอยอมตายเสียดีกว่าให้ผู้ชายคนนั้นมาเห็นเธอร้องไห้น้ำตาร่วงเป็นเถาเต่าเพียงเพราะหนังรักเพียงเรื่องเดียวแค่นั้น
มันจะเป็นการเสียฟอร์มครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเธอแล้วนายตัวกวนนั่นก็จะมีเรื่องเหน็บเธอไปได้อีกนานหลายปี แล้วเรื่องอะไรเธอต้องไปด้วยล่ะจริงมั้ย ยังดีที่ภัทราเข้าใจเลยไม่เซ้าซี้และไม่โกรธที่เธอปฏิเสธคำชวนทุกครั้งแบบนั้น ไม่งั้นคงได้เลิกคบกันแน่
คิดมาถึงตรงนี้ สลิลนรีก็เริ่มถดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มอุ่นพร้อมกับนึกถึงอดีตเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งถ้าจะให้เธอพูดถึงประสบการณ์อุ่นๆ หัวใจแบบเจ้าของบันทึกเรื่องนี้เธอคงไม่มีกับเขาหรอก แต่ถ้าเป็นประสบการณ์โดนลบเบอร์โทรศัพท์จากมือถือล่ะก็มีแน่นอน ต่างกันก็ตรงคนที่มาลบน่ะเจตนาทำกันเห็นๆ ต่างหากล่ะ!!
เรื่องมันมีอยู่ว่าสมัยมัธยมปลายตอนที่เธอไปเข้าค่าย บังเอิญเธอไปสนิทกับผู้ชายจากต่างโรงเรียนที่บังเอิญได้มาอยู่กลุ่มเดียวกับเธอเข้า วันสุดท้ายเธอกับเขาก็แลกเบอร์โทรศัพท์กันแล้วแยกย้ายกันไป เธอไปเล่าเรื่องที่ค่ายและผู้ชายคนนี้ให้ศรายุทฟัง โดยมีนายพิภพตัวแสบนั่งอยู่ด้วย
แล้วจู่ๆ พิภพก็เอาโทรศัพท์ของเธอไปกดนั่นกดนี่อยู่พักนึง โดยที่ตอนนั้นเธอกับศรายุทก็ไม่ได้สนใจอะไร จนกระทั่งเขาโยนโทรศัพท์คืนให้เธอ
‘ไม่มีใครสอนรึไงว่าเป็นเด็กเป็นเล็กไม่ควรแลกเบอร์กับผู้ชายแปลกหน้าน่ะ’
เขาพูดเพียงเท่านั้นแล้วก็เดินจากไป ตอนแรกเธอก็คิดว่าเขาแค่อยากหาเรื่องขัดคอเธอ ที่ไหนได้เขาแอบลบเบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนใหม่คนนั้นของเธอไปเรียบร้อยแล้ว!! แต่นายพิภพนั่นปากแข็งอย่างกับอะไรดี มีหรือจะยอมรับง่ายๆ ต่อให้เธอมีศรายุทเป็นพยานยืนยันด้วยก็ไม่มีทางทำอะไรเขาที่เอาแต่ยิ้มเย็นๆ ดูยียวนกวนอารมณ์เธอได้แน่ งานนี้เลยต้องมีแก้แค้น!!
วันหนึ่งพิภพไปเที่ยวกับศรายุทที่ผับแห่งหนึ่งแถวเอกมัย ศรายุทเล่าว่ามีแม่สาวนางหนึ่งสวยขาวอวบหน้าตาเหมือนอั้ม พัชราภา เดินเข้ามาโปรยเสน่ห์ใส่พิภพแถมยังทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้เขาดูต่างหน้านั่นแหละ
แต่ว่าแค่การลบเบอร์โทรศัพท์แม่สาวโนตม (ตามคำบอกเล่าของศรายุทและการคิดเอาเองของเธอ) คนนั้นคนเดียวคงไม่ทำให้พิภพเจ็บใจอะไรได้นักหนาหรอก เพราะงั้นเธอเลยฉวยโอกาสตอนที่เขาเผลอวางโทรศัพท์ทิ้งไว้โดยไม่ได้ตั้งใจไปจัดการล้างเครื่องของเขาเสียเลย!!
โชคดีที่ว่านอกจากเบอร์โทรศัพท์ของแม่สาวคนนั้นแล้ว หมายเลขอื่นๆ ในเครื่องนายพิภพได้จดเก็บเอาไว้ในสมุดแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องทำจึงมีเพียงการบันทึกหมายเลขเหล่านั้นใหม่ซึ่งนับๆ ดูแล้วก็มีเกือบสองร้อยหมายเลขนั่นแหละนะ งานนี้เธอสะใจสุดๆ ตรงที่เขาเอาผิดอะไรเธอไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐานว่าเธอเป็นคนทำ แต่ต่อให้เขามีก็ทำอะไรเธอไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ ดังนั้นเขาเลยได้แต่นั่งสรรเสริญเจริญพรเธอไปสามวันก็เท่านั้น
สลิลนรีหันไปมองนาฬิกาปลุกเรือนเล็กที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเตี้ยๆ ข้างเตียงซึ่งชี้บอกว่าสี่ทุ่มพอดิบพอดี ก่อนจะก้มลงมองสมุดบันทึกในมืออีกครั้ง
"อ่านต่ออีกซักบทคงไม่เป็นไรหรอก"
มือบางพลิกหน้าต่อในทันที หน้ากระดาษสีขาวสะอาดเรียบๆ ที่มีเพียงเส้นบรรทัดขีดตรงสีดำสนิทจนสุดหน้าปรากฏขึ้นพร้อมกับลายมือหวัดๆ ที่เขียนด้วยหมึกสีน้ำเงิน
ความคิดเห็น