คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : ทำไม... ถึงมาบอกกันตอนนี้
“ขอบใจนะรันที่วันนี้พาเรามาเลี้ยงหนัง” สลิลนรีเอ่ยขอบคุณระหว่างที่เธอกับดรัณกำลังนั่งรอรอบหนังอยู่ที่ร้านค็อฟฟี่ช็อปแห่งหนึ่ง
“ไม่ต้องขอบใจก็ได้ รันแค่เห็นรินเหนื่อยๆ เพราะต้องทำงานหนักก็เลยพาออกมาคลายเครียดบ้างก็เท่านั้นเอง”
“เราคงหายเครียดไปหลายวันเลยล่ะ เล่นพาเรามาดูหนังสี่เรื่องติดกันแบบนี้”
เนื่องจากหนังแต่ละเรื่องนั้นใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ ถึงจะจบ แถมระหว่างรอดูเรื่องต่อไปก็มีเวลาให้ทั้งคู่เดินหาอาหารกลางวันหรือของว่างรับประทานอยู่นานพอควร ดังนั้นกว่าทั้งสองจะได้กลับบ้าน เวลาก็ล่วงเลยมาเกือบจะสองทุ่มเข้าไปแล้ว ดรัณจึงชวนสลิลนรีไปทานอาหารเย็นกันต่อที่ร้านอาหารใกล้ๆ
ระหว่างรับประทานอาหาร ทั้งคู่ก็นั่งวิพากษ์วิจารณ์หนังกันอย่างออกรส โดยเฉพาะสลิลนรีซึ่งดูท่าว่าจะปลื้มนักแสดงในหนังที่เพิ่งจะดูไปเป็นอย่างมาก เพราะคุณเธอเล่นพูดไปยิ้มไปกรี้ดไปอย่างกับเด็กวัยรุ่นกรี๊ดนักร้องยังไงยังงั้น ขนาดขึ้นรถแล้วเธอก็ยังไม่หยุดพูด
“เราชอบพระเอกคนนั้นจัง น่ารักมากๆ เลย ยิ่งตอนสารภาพรักกับนางเอกนะ เท่มากๆ แล้วก็นะ...”
“รอบที่สามแล้วนะริน รู้แล้วน่าว่าปลื้มพระเอกคนนี้มาก แต่เพลาๆ หน่อยก็ดีนะ ตอนนี้น่ะรินเหมือนเด็กวัยรุ่นกรี๊ดนักร้องเลย” ชายหนุ่มแซวพร้อมกับหัวเราะขำๆ ก่อนจะโดนคนที่พ้นช่วงวัยรุ่นมาหลายปีดีดักเข้าไปแล้วหันมาเขวี้ยงค้อนใส่
“ว่าแต่เรา นายเองก็เอาแต่พูดเรื่องฉากอย่างนี้ เสื้อผ้าอย่างนั้น มุมกล้องอย่างโน้นเหมือนกันล่ะน่า ชิ!!” พูดจบก็หันไปมองนอกหน้าต่างรถที่ตอนนี้กำลังวิ่งผ่านตัวเมืองออกไปด้วยอาการงอนป่อง ขณะที่ดรัณนั้นก็ได้แต่หัวเราะขำๆ อย่างยอมรับแล้วตั้งใจขับรถต่อไป
เมื่อเริ่มออกมานอกตัวเมืองมากขึ้น รถราก็เริ่มเบาบางลงเรื่อยๆ พร้อมๆ กับที่ผู้คนและตึกรามบ้านช่องก็น้อยลงเช่นกัน รอบด้านกลายสภาพเป็นเรือกสวนไร่นาแทน แถมเวลาตอนนี้เย็นมากแล้ว ท้องฟ้ามืดสนิทราวกับเป็นเวลากลางดึก สลิลนรีมองฝ่าความมืดด้านนอกตัวรถอย่างเหม่อลอย ก่อนที่สายตาจะไปปะทะเข้ากับป้ายโฆษณาขนาดใหญ่อันหนึ่งเข้า
‘จะปล่อยให้โลกรอคอยคุณอีกนานแค่ไหน’
และเพราะประโยคนี้เองที่ทำให้เธอนึกถึงข้อความในสมุดบันทึกที่เธอเพิ่งจะอ่านเมื่อเช้าเข้า นั่นซินะ จะปล่อยให้รออีกนานแค่ไหนนะ
“นี่รัน” สลิลนรีเรียกคนข้างตัวขณะที่สายตายังคงเหม่อมองออกไปในความมืดด้านนอก “หืม” ชายหนุ่มส่งเสียงตอบรับ หากสายตายังคงจับจ้องไปยังท้องถนนเบื้องหน้าอย่างมีสมาธิ แต่แล้วเขาก็เกือบจะเหยียบเบรกจนตัวโก่งเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ หากเขาก็ยังคงระงับสติบังคับรถให้วิ่งต่อไปได้อย่างราบรื่นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้ว่าจะแอบมีอาการสะดุดไปเล็กน้อยก็ตาม
“ถ้าสมมติว่ารันแอบชอบใครคนหนึ่งเข้า รันจะบอกความรู้สึกของรันให้เขาได้รับรู้มั้ย” น่าน.... ทำไมถึงมาถามอะไรเอาตอนนี้ล่ะครับคุณสลิลนรีที่เคารพ ยังไม่ทันจะเตรียมใจเลยนะ ชายหนุ่มแอบโวยวายในใจ พร้อมๆ กับรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ยังไงพิกล พร้อมกับคิดไปต่างๆ นานาว่าเหตุใดจู่ๆ สลิลนรีถึงได้มาถามเขาเช่นนี้ หรือเธอจะรู้แล้ว!!
คิดไปแล้วก็ชักจะหายใจหายคอไม่คล่องยังไงชอบกล หากเขาก็ยังใจกล้าพอที่จะตอบคำถามของเธอด้วยเพราะทนกับดวงตาใสๆ ซื่อๆ ที่มองมาทางเขาไม่ได้
“ก็ต้องบอกซิ” เสียงยังคงเรียบประดุจเดิม หากหัวใจนั้นเต้นรัวเป็นจังหวะชะชะช่าเรียบร้อยแล้ว
“เหรอ”
“อืม” ชักรู้สึกร้อนๆ ทั้งที่ในรถนั้นเปิดแอร์เสียเย็นฉ่ำ
“แล้วคิดจะบอกเมื่อไหร่ล่ะ” “!!!” ดรัณเหยียบเบรกหยุดรถในทันที ก่อนจะหันมามองคนนั่งข้างๆ ด้วยดวงตาเบิกโพลง ดวงหน้าของเขาเริ่มซีดกับแดงสลับกัน ส่วนสลิลนรีเองก็หันมองเขาด้วยความตกใจปนกับรู้สึกงงๆ ที่จู่ๆ เขาก็หยุดรถกะทันหัน และนั่นทำให้เธอสังเกตเห็นความผิดปกติบนสีหน้าของชายหนุ่ม
“รัน ไม่สบายรึเปล่าน่ะ ทำไมเหงื่อแตกแบบนี้ล่ะ” พร้อมกันนั้นมือบางก็เอื้อมมาแตะหน้าผากของเขาเพื่อวัดอุณหภูมิในทันที โดยไม่รู้เลยว่าสัมผัสเบาๆ เหมือนไม่มีอะไรนั่นทำอารมณ์ของชายหนุ่มวิ่งหนีไปไหนต่อไหนแล้ว ไม่ถึงสิบวิสลิลนรีก็ชักมือกลับเมื่อไม่รู้สึกถึงความร้อนที่ผิดปกติจากตัวของชายหนุ่ม ก่อนจะนั่งมองเขาด้วยความสงสัย
“ก็ไม่เห็นมีไข้อะไรนี่นา แล้วนี่รันจอดรถทำไมเหรอ” หญิงสาวถามหน้าซื่อ ทำให้ดรัณระลึกได้ รีบออกปากปฏิเสธว่าไม่มีอะไรก่อนจะออกรถต่อ
“ที่รินถามรันว่าถ้ารันชอบใครคนหนึ่งแล้วรันจะบอกเขามั้ยนั่นน่ะ ทำไมรินถึงถามแบบนั้นล่ะ” ชายหนุ่มถามเสียงเบาอย่างกล้าๆ กลัวๆ สายตายังคงจับจ้องไปเบื้องหน้าเหมือนอย่างเคย
“ก็เปล่าหรอก แค่อยากจะรู้เฉยๆ น่ะ”
แล้วเรื่องราวในไดอารี่ที่เธอเพิ่งจะอ่านเมื่อเช้าก็ถูกถ่ายทอดให้เขาฟัง ทำเอาดรัณหน้าสลับสีหนักกว่าเดิม นี่ดีว่าเขาเป็นคนผิวคล้ำหน่อยๆ สลิลนรีจึงไม่เห็นอาการเปลี่ยนสีบนใบหน้าของเขาชัดเจนนัก แล้วก็เป็นโชคดีของเขาที่สามารถประคองรถมาจอดที่หน้าประตูรั้วไม้ขนาดใหญ่ของเรือนไทยที่หญิงสาวพักอาศัยอยู่พอดีกับที่สลิลนรีเล่าเรื่องจบ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกโล่งอกจนอยากจะระบายลมหายใจออกมาแรงๆ
“ขอบใจนะรัน วันนี้สนุกมากๆ เลย กลับบ้านดีๆ นะ”
สลิลนรีทำท่าจะเปิดประตูลงจากรถไป หากเธอก็ต้องชะงักเมื่อมือหนาๆ ของคนที่นั่งเงียบมานานคว้าหมับเข้าให้ที่ไหล่ของเธอ สลิลนรีหันกลับไปมองดรัณด้วยสายตาเป็นคำถาม
“แล้วรินคิดยังไงกับเรื่องที่อ่านนั่นล่ะ” เขาถาม ดวงตาจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอราวกับต้องการจะสื่อความหมายอะไรบางอย่าง หากคนโดนถามกลับไม่รู้ถึงความหมายนั้นซักนิด
“ถ้าให้พูดตรงๆ เราว่าเราเสียดายนะ” เธอตอบ ตายังคงมองตาเขาไม่มีหลบ แววตาสื่อความหมายเสียดายตามคำพูดชัดเจน “เพราะถ้าเป็นเรา เราคงจะเจ็บใจมาก ถ้ามารู้ทีหลังว่าเรากับคนที่เราแอบชอบมานานใจตรงกันเมื่อสาย แล้วก็คงเสียใจจนร้องไห้เลยล่ะที่ไม่ได้บอกเขาตั้งแต่แรก”
“ริน” ชายหนุ่มเรียกชื่อเธอเสียงเบา “รันมีเรื่องอยากจะพูดกับริน ขอเวลาหน่อยจะได้มั้ย” ...คุณพระคุณเจ้าช่วยผมด้วยเถอะ!!
“กลับมาแล้วเหรอหนูริน ทานข้าวมารึยังจ๊ะ ตอนนี้พวกท่านกำลังรอหนูอยู่เลย” อุ่นเรือนเอ่ยเสียงอ่อนโยน แต่เมื่อนางเห็นหญิงสาวเดินเข้ามาในบริเวณบ้านด้วยท่าทีเหม่อลอยก็ชักจะเอะใจ
“เรียบร้อยแล้วล่ะค่ะป้าอุ่น หนูขอตัวก่อนนะคะ รู้สึกเพลียๆ ยังไงก็ไม่รู้ ฝากป้าอุ่นไปขอโทษคุณลุงคุณป้าแทนด้วยนะคะ” แล้วสลิลนรีก็เดินผละจากไป อุ่นเรือนมองตามร่างบางไปด้วยสายตาพินิจพิจารณาและด้วยความที่อาบน้ำร้อนมาก่อนจึงเดาถึงสาเหตุของอาการเหม่อลอยของสาวน้อยคนคุ้นเคยได้ไม่ยาก ก่อนจะมุ่งตรงไปรายงานเจ้าของบ้านอย่างรวดเร็ว
เมื่อกลับมาถึงห้อง สลิลนรีก็ตรงเข้าห้องอาบน้ำชำระร่างกายอย่างรวดเร็ว แต่กระแสน้ำอุ่นที่ไหลรินตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้านั้น หาได้ช่วยให้จิตใจปลอดโปร่งได้อย่างทุกครั้งไม่ ในหูของเธอยังคงแว่วเสียงของชายหนุ่มผู้ซึ่งได้ขื่อว่าเป็นเพื่อนรักของเธอชัดเจนราวกับว่าเจ้าของเสียงกำลังยืนกระซิบอยู่ข้างๆ หูเธอยังไงยังงั้น
หลังจากเธอกลับมานั่งอยู่กับเขาในรถ ความเงียบก็เข้าปกคลุม มันเป็นความเงียบที่ชวนให้รู้สึกอึดอัดอย่างไรพิกล แล้วในที่สุดเธอก็ทนกับความเงียบต่อไปไม่ได้ จึงเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้น
’ถามจริงๆ เถอะนะรัน รันมีคนที่ชอบแล้วใช่มั้ย’ เธอถามเขาเบาๆ ส่งผลให้เงาสะท้อนของเขาในกระจกที่เธอกำลังลอบมองอยู่เกิดสะดุ้งน้อยๆ ก่อนจะกลับมานิ่งสงบดังเดิม
’อืม แล้วรินอยากรู้มั้ยว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร’ เขาย้อนถาม ก่อนจะหันมามองเธอด้วยสีหน้าจริงจัง ดวงตาสื่อความหมายที่มองมาทำให้หัวใจของเธอเกิดอาการกระตุกอย่างประหลาดจนเธอต้องก้มหน้าหลบตาเขา ก่อนจะตอบกลับเสียงเบาราวกับเสียงกระซิบ
‘นั่นก็คงขึ้นอยู่กับว่ารันว่าอยากจะบอกเรารึเปล่า เฮ้อ... น่าใจหายนะ ที่จู่ๆ รันก็มีคนที่ชอบแล้วแบบนี้ รู้สึกใจหายยังไงชอบกล’ เสียงถอนหายใจกับแววเศร้าเหมือนกับน้ำเสียงของเธอ ส่งผลให้ดรัณเริ่มจะใจชื้นขึ้นเล็กน้อย
‘จะบอกยังไงดีล่ะ คือผู้หญิงคนนั้นสำหรับรันแล้วคงเป็นสิ่งมหัศจรรย์หนึ่งเดียวบนโลกใบนี้เลยก็ได้นะ’ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงมีความสุข ก่อนจะชายตามองเธอที่ตอนนั้นเอาแต่นั่งก้มหน้า หากหัวใจนั้นจดจำคำพูดของเขาไว้ทุกถ้อยคำ
‘เธอเป็นคนที่มีหลายบุคลิกอยู่ในตัว บางเวลาก็เหมือนพายุที่สามารถทำลายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง บางครั้งก็มั่นคงเข้มแข็งเหมือนภูเขาแต่บางครั้งก็อ่อนไหวเหมือนสายน้ำ แต่รันว่าเธอคนนั้นเหมือนแสงแดดที่ให้ความอบอุ่นในใจของรัน เป็นแสงไฟเวลาที่รันเหงาหรือมีปัญหา เป็นคนที่อยู่ข้างๆ เสมอเวลาที่รันต้องการใครซักคน และก็เป็นสายฝนที่ช่วยปลอบโยน ให้ความสดชื่นกับรัน’
‘ฟังดูเป็นคนที่มหัศจรรย์จริงๆ นะ แล้วเธอคนนั้นรู้ตัวแล้วรึยังล่ะว่ารันคิดยังไงกับเขา’ เธอถามกลับเสียงเบา แล้วคำตอบที่ได้ก็คือการถอนหายใจกับรอยยิ้มอ่อนๆ พร้อมดวงตาพราวระยับที่มองเธออย่างอ่อนโยนและ... หวานซึ้ง
‘ยังหรอก น่าแปลกนะ ทั้งที่อยู่ใกล้กันขนาดนี้มาเกือบสิบปี แต่เธอกลับไม่เอะใจเลยซักนิดว่ามีใครคนหนึ่งใกล้ๆ มองเธอและรักเธอเสมอ แต่ตอนนี้รันว่าถึงเวลาที่เธอคนนั้นจะต้องรู้ตัวแล้วล่ะ ว่าไงริน รู้ตัวแล้วรึยัง’ สัมผัสอันอบอุ่นที่หลังมือส่งผลให้เธอละสายตาจากตักมามองมือหนาของดรัณที่วางบนมือของเธอก่อนที่เขาจะพลิกมือขึ้นแล้วจรดริมฝีปากของเขาที่หลังมือของเธอช้าๆ เนิ่นนานกว่าที่เขาจะถอนริมฝีปากออกมาแล้วมองสบตาเธอด้วยดวงตาสื่อความหมายลึกซึ้ง อ่อนโยนและปลอบประโลมเธอที่กำลังตกใจและตื่นตระหนก
‘รัน...’ เธอเรียกเขาเสียงแผ่วเบาราวกับกระซิบ รู้สึกว่ามือไม้สั่นไปหมด ไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้อีก ดรัณยิ้มละมุนให้เธอก่อนที่เขาจะวางมือของเธอลงแต่ยังคงกุมมันเอาไว้หลวมๆ ด้วยสัมผัสที่อ่อนโยนและสุภาพหากเต็มไปด้วยความอบอุ่น
‘รันจะรอคำตอบของรินนะ ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ก็ตาม’
ห้วงความคิดทั้งหลายหยุดลง ดวงตาของหญิงสาวทอดมองไปยังเพดานห้องอย่างไร้จุดหมาย ราวกับว่าจะสามารถค้นพบคำตอบที่ต้องการได้บนนั้น หากไม่ว่าเธอจะมองเท่าไหร่หรือคิดยังไง ก็ไร้ซึ่งเสียงใดๆ ตอบกลับมาและหัวสมองของเธอก็ยังคงว่างเปล่าดังเดิม สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างหนักหน่วงเป็นรอบที่สิบห้าแล้วพลิกตัวนอนคว่ำหน้ากับหมอน
“ทำยังไงดีล่ะเนี่ย” แล้วสายตาเจ้ากรรมก็เหลือบไปมองสมุดบันทึกเล่มเดิมที่นอนสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ครุ่นคิดอยู่ครู่เดียวมือบางก็เอื้อมไปฉวยมันมา
“ไหนๆ ก็บันทึกเรื่องรักๆ ไว้อยู่แล้วก็ช่วยๆ กันทำมาหากินหน่อยแล้วกันนะ” มือบางเปิดหน้าที่ขั้นไว้ หน้ากระดาษสีน้ำตาลอ่อนซึ่งมีใบไม้เล็กๆ กระจายอยู่ทั่วก็ปรากฏขึ้น
‘การสารภาพความในใจกับใครซักคน ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายแต่มันก็ไม่ได้ยากเย็นอย่างที่คิด สำคัญตรงที่มันไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะบอกความรู้สึกของเราให้ใครซักคนได้รู้ (เฉพาะความรู้สึกดีๆ นะ) เพราะยังไงซะมันก็ดีกว่าการไม่บอกแล้วสุดท้ายต้องมาเจ็บใจเสียใจภายหลังอย่างที่ฉันกำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้
ไม่รู้สวรรค์บันดาลหรือนรกมาดลใจให้วันนั้นฉันรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจอยากไปนั่งเล่นบน ดาดฟ้าตึกทั้งที่ควรจะเป็นเวลากลับบ้านของฉันแล้วเลยทำให้ฉันไปเจอนายไฟที่ดันเกิดอาการอกหักรักคุดต้องไปนั่งเป็นพระเอกมิวสิควีดีโอบนดาดฟ้าเดียวกัน
อันที่จริง ฉันก็ไม่ค่อยจะชอบยุ่งอะไรกับใครมากนักหรอกนะถ้าไม่จำเป็นโดยเฉพาะกับบุคคลหน้าตาไม่รับแขกอย่างนายไฟด้วยแล้วยิ่งไม่อยากจะเข้าไปยุ่งใหญ่เลย แต่เพราะท่าทางเหมือนอยากจะฆ่าตัวตายของนายนั่นต่างหากที่ทำให้ฉันต้องหาเรื่องเข้าไปยุ่ง (ฉันยังไม่อยากไปงานศพเพื่อนก่อนเวลาอันสมควรน่ะ)
ถ้าคุณได้อ่านบันทึกก่อนหน้านี้ก็คงจะรู้แล้วว่าเราคุยกันว่าอย่างไรบ้าง ไฟเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อน อาจเพราะหน้าตาของเขาไม่รับแขกและนิสัยไม่พูดไม่จาของเขาเองนั่นแหละ แต่ยังไงซะ หลังจากวันนั้นเราสองคนก็สนิทกัน ไปไหนก็ต้องไปด้วยกันเหมือนกับว่าตัวเราสองคนติดกันยังไงยังงั้น แล้วไฟก็เริ่มคุยมากขึ้น ยิ้มมากขึ้น แล้วก็เริ่มมีเพื่อนมากขึ้น พร้อมๆ กับที่ฉันรู้สึกชอบอดีตคนไร้ความรู้สึกคนนี้มากขึ้นทุกทีเหมือนกัน
แต่คนอย่างฉัน ถึงจะได้ชื่อว่าเก่งกล้าก๋ากั่นยังไงก็ตามแต่ ฉันก็ยังไม่คิดจะเป็นฝ่ายสารภาพความในใจก่อนอยู่ดี แม้ว่าบางครั้งฉันจะสงสัยว่าเขาคิดแบบเดียวกับฉันก็เถอะ สิ่งที่ฉันทำเลยมีแต่แสดงออกพอให้เขารู้นิดหน่อยเท่านั้น แล้วหวังว่าเขาจะเป็นฝ่ายบอกก่อน แต่ก็ไม่เคยเกิดอะไรขึ้นเลย จนหลายครั้งกลายเป็นฉันเองที่ต้องถอยออกมาห่างๆ เพราะชักจะไม่แน่ใจความคิดของตัวเอง
แล้วในที่สุดเราก็แยกย้ายกันไป มาเจอกันอีกทีก็ตอนที่ไฟมีแฟนไปแล้ว ตอนนั้นพูดจริงๆ ว่ารู้สึกช็อคเหมือนกัน แต่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้แล้วนี่นอกจากทำใจ (เศร้าชะมัด)
ก่อนหน้าที่จะเรียนจบไม่กี่วันมีค่ายไปต่างจังหวัดสามวันสองคืน เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ฉันเห็นไฟยืนอยู่ข้างๆ จักรยานคันเก่าคันนึง ฉันจึงเดินไปหาแล้วก็หลุดปากชวนเขาให้มาด้วยกันซะนี่ เป็นเหตุให้ฉันต้องใช้ขันติสุดๆ ในการสะกดกลั้นความรู้สึกที่อยากจะบอกความในใจของตัวเองที่มีให้ไฟได้รู้ตลอดเวลาที่อยู่ค่ายและพยายามทำตัวอย่างที่เพื่อนสนิทคนหนึ่งพึงมีให้กัน บอกตามตรงว่ามันยากจริงๆ นะ
หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้เจอไฟอีกเลย มีโอกาสได้กลับมาคุยกันอีกครั้งก็หลังจากที่เรียนจบมาแล้วสองปีให้หลัง (รู้สึกว่านายไฟต้องใช้กำลังภายในน่าดูกว่าจะได้เมล์ของฉันมา) เราไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบของกันและกันอยู่นานมาก แล้วนั่นก็เป็นโอกาสที่ทำให้ฉันได้พูด (ก็ฉันไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่นะ)
ฉันบอกกับเขาตามตรงว่าตลอดเวลาที่เรียนด้วยกันมา ฉันรู้สึกกับเขายังไง มันเริ่มตั้งแต่ตอนไหนและเพราะอะไร ยังไง ฉันบอกเขาทุกอย่าง แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบอะไรกลับมาเน็ตของไฟก็หลุดไป ฉันรอแล้วรออีกแต่ไฟก็ไม่กลับเข้ามา ฉันจึงยอมแพ้แต่โดยดี ไฟคงโกรธฉันแล้ว
วันต่อมาก็มีเมล์ลูกโซ่จากเพื่อนคนหนึ่งของฉัน มันเป็นเมล์ที่ให้ตอบอะไรขำๆ ลงในคำถามแต่ละข้อ(เหมือนการทำข้อสอบเติมคำนั่นแหละ) ฉันก็ตอบมันทุกข้อและส่งไปให้เพื่อนหลายคนรวมไปถึงไฟด้วย หนึ่งอาทิตย์ต่อมาไฟก็ส่งเมล์นั้นกลับมาหาฉัน
‘อยากบอกอะไรถึงคนที่ส่งเมล์นี้มาให้มั้ย : ทำไมถึงมาบอกกันตอนนี้ล่ะ’
คืนนั้นฉันรอไฟเกือบค่อนคืนแล้วก็ต้องซักไซ้ไล่เรียงกันนานมากกว่าไฟจะยอมอธิบายอะไรออกมาให้กระจ่าง ไฟคิดแบบเดียวกันกับฉัน เหตุผลที่เขาไม่เคยบอกฉันก็เหมือนกับฉัน คือพอคิดจะเดินหน้า ฉันก็กลับเป็นฝ่ายถอยห่างจากเขาเสียก่อนทำให้เขาไม่แน่ใจจนต้องถอยออกมา แล้วสุดท้ายก็ไม่มีโอกาสได้บอกในที่สุด
ฟังแล้วอยากจะหัวเราะและร้องไห้ในเวลาเดียวกันจริงๆ ให้ตายซิ มันเหมือนกับเราสองคนเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกันอยู่ยังไงชอบกล แล้วสุดท้ายก็ไม่ได้อะไรเลยทั้งคู่ มันน่าขำมั้ยล่ะ ‘เชื่อมั้ยอิน เราก็เพิ่งจะมาแน่ใจเอาตอนเข้าค่ายนั่นแหละว่าอินก็ชอบเราเหมือนกัน ตอนที่สบตากันน่ะ ตาอินฟ้องทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เรายังแอบภาวนาตลอดเลยตอนอยู่ค่าย ว่าขอให้อินมาบอกเรา อุตส่าห์ไปอยู่กันสองต่อสองตั้งหลายครั้ง แต่อินกลับไม่บอกเสียนี่ ผิดคาดชะมัด’
เหอๆๆ ให้ตายเถอะ สาบานว่าถ้าตานี่มาพูดแบบนี้ต่อหน้าฉัน คงเจอกำปั้นสวนเข้าให้แล้ว ก็ถ้ามองตาแล้วรู้ใจ แล้วทำไมไม่จ้องตาฉันให้เร็วกว่านี้ล่ะยะตาบ๊อง!! แถมยังมีหน้ามาภาวนาให้ฉันเป็นฝ่ายบอกก่อนอีก เฮ้อ...
แต่ไม่ว่าวันเวลาจะเปลี่ยนไปเท่าไหร่ สำหรับฉันอดีตก็เป็นได้แค่อดีตที่คอยย้ำเตือนให้ฉันก้าวต่อไปข้างหน้าและทำวันนี้รวมทั้งวันข้างหน้าให้ดีขึ้น ไม่ให้ผิดพลาดเดิมๆ อีก ทุกวันนี้ฉันก็ทำได้แค่เก็บความรู้สึกดีๆ นั้นของฉันที่มีให้ไฟลงกล่องแห่งความทรงจำที่สวยงามของฉันต่อไป
และสำหรับใครก็ตามที่ได้อ่านบันทึกบทนี้ของฉัน ฉันหวังว่าเรื่องราวของฉันกับไฟ จะเป็นบทเรียนทางอ้อมให้กับคุณบ้าง
เรื่องของหัวใจ หากเอาแต่เงียบปล่อยให้อีกฝ่ายรู้เองคงไม่ดีนัก เพราะแน่นอนว่าคนๆ นั้นของคุณคงไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของคุณได้ทั้งหมดหรอก
อย่าให้เรื่องราวความรักของคุณต้องจบลงเหมือนกับฉันที่ต่างฝ่ายต่างมีความรู้สึกดีๆ ให้แก่กัน แต่กลับไม่สามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้และต้องจบลงอย่างน่าเสียดายเพียงเพราะขาดซึ่งความกล้าหาญเพียงแค่นั้น
ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องผิดหวัง เพราะอย่างน้อยคุณก็ได้บอกความรู้สึกดีๆ ซึ่งคุณมีให้ใครคนหนึ่งได้รับรู้แล้วและไม่ว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง คุณจะไม่มีอะไรติดค้างอยู่ในใจอีก ลองดูซิ ไม่แน่นะ บางทีคุณอาจจะได้เจอกับคำตอบที่ดีๆ ตอบกลับมาก็ได้ อิน’
“เฮ้อ... จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย” สลิลนรีถอนหายใจระบายความอัดอั้นตันใจ ก่อนจะปิดสมุดบันทึกและหงายหลังนอนแผ่ไปบนเตียงอีกครั้ง
ก๊อกๆๆ
“ใครคะ” เธอถามออกไปทั้งที่ยังคงนอนแผ่หลาอยู่บนเตียง “ผมเอง” เสียงทุ้มคุ้นหูตอบกลับมา ส่งผลให้คิ้วของหญิงสาวขมวดเข้าหากันในทันใด ก่อนที่เธอจะตัดสินใจเดินไปแง้มประตูออกน้อยๆ
“มีอะไรรึเปล่าคะคุณภพ” หญิงสาวถามด้วยความแปลกใจระคนสงสัยที่เขามายืนอยู่หน้าประตูห้องของเธอยามวิกาลแบบนี้
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่อยากจะถามว่าคุณพอจะมีเวลาคุยกับผมรึเปล่า”
แทนคำตอบ หญิงสาวแทรกตัวออกจากห้องมายืนกอดอกมองเขา ก่อนที่เธอจะเดินตามเขามายังบริเวณลานบ้านที่เปิดโล่งมองเห็นท้องฟ้าเบื้องบนได้ถนัดตา พิภพทรุดตัวลงนั่งกลางลานนั่นด้วยท่าทีสบายๆ แล้วค่อยๆ เอนตัวลงนอนหงายไปบนพื้นแหงนมองดาวบนฟ้าด้วยสีหน้าเรียบๆ ปล่อยให้สลิลนรียืนห่อตัวตากลมหนาวอยู่เพียงคนเดียว
เสียงกระดิ่งลมส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งใสแจ๋วดังแว่วมาดั่งดนตรีแห่งรัตติกาลที่ขับกล่อมไม่ให้ค่ำคืนนี้เงียบเหงาจนเกินไป เปลวไฟในโคมไม้รอบๆ ลานกำลังส่ายไหวไปมาราวกับกำลังเริงระบำก่อเกิดเป็นแสงสลัวรางวูบไหวไปมา
“ไหนคุณว่ามีอะไรจะคุยกับฉันไม่ใช่เหรอ” สลิลนรีถาม บังคับเสียงไม่ให้สั่นด้วยความหนาว ในขณะที่ใจนั้นกำลังแช่งชักหักกระดูกคนที่นอนดูดาวสบายใจเฉิบเงียบๆ ด้วยเหตุว่าเขาลากเธอให้ออกมายืนตากลมกลางดึกโดยไม่บอกให้หยิบเสื้อกันหนาวออกมาด้วย ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเธอแพ้อากาศเย็นอย่างที่สุด... ถ้าเรื่องที่จะคุยคือการเรียกให้ฉันออกมาตากลมดูดาวเป็นเพื่อนล่ะก็ ฉันจะทำให้คุณนอนนับดาวไปอีกสามวันเลยคอยดู!!
“นั่งก่อนซิคุณ” เขาชวนพร้อมกับตบเบาๆ ที่พื้นข้างตัวทั้งที่ยังคงนอนมองท้องฟ้าอยู่เช่นเดิม สลิลนรีทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าไว้ ร่างบางสั่นน้อยๆ ด้วยความหนาวก่อนจะแหงนมองท้องฟ้าเงียบไปอีกคน
“เราสองคนตีกันมานานเท่าไหร่แล้วนะ” ชายหนุ่มทำลายความเงียบขึ้นด้วยเสียงเรียบเรื่อยราวกับกำลังละเมอ ส่งผลให้สลิลนรีหันไปมองร่างหนาที่กำลังนอนหนุนแขนตัวเองอยู่ข้างๆ เขม็งเพื่อหยั่งให้ถึงเจตนาลึกๆ ของเขาที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด หากก็ไม่พบอะไรจึงแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีดำตามเดิม
“ก็ตั้งแต่ฉันยังอายุสิบห้าจนตอนนี้ฉันยี่สิบห้าแล้วไงคะ ถามทำไมล่ะ”
“นานขนาดนั้นเชียว แล้วคุณเคยคิดที่จะเลิกทะเลาะกับผมบ้างมั้ย” พูดจบเขาก็ชันศอกหันมองเธอด้วยใบหน้าที่ปรากฏรอยยิ้มละมุน สลิลนรีจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลคู่คมคู่นั้น
“เคยซิ ตั้งหลายครั้ง แต่ไม่เห็นคุณจะอยากเลิกทะเลาะกับฉันซักทีเลยเลิกคิด อีกอย่าง มาคิดๆ ดูแล้วทะเลาะกับคุณมันก็สนุกไปอีกแบบ ถือซะว่าเป็นการลับสมองกับฝีปาก” เธอตอบหน้าตาเฉย ขณะที่พิภพนั้นได้แต่หัวเราะกับคำตอบที่ได้รับ
“ผมเพิ่งจะรู้นะว่าการทะเลาะกับผมมันสนุก” พูดจบเขาก็ลุกขึ้นมานั่งกอดเข่าในท่าเดียวกันกับเธอ ขณะที่สายตายังคงจับจ้องใบหน้าของเธอไม่วางตา
“บางครั้งมันก็สนุกน่ะนะ แต่บางครั้งคุณก็รวนจนฉันอยากจะส่งคุณไปนอนในโรงพยาบาลอยู่เหมือนกัน” เธอตอบเสียงเรียบ แต่ก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมายังไงชอบกล
“แล้วทำไมไม่ทำซะล่ะครับ”
“เพราะฉันไม่อยากมีเรื่องกับยัยวิน่ะซิ รายนั้นเอาฉันตายแน่ถ้ารู้ว่าฉันเป็นคนส่งคุณเข้าไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มในโรงพยาบาลน่ะ” เธอตอบ ก่อนที่ชายหนุ่มจะหัวเราะอย่างขบขันเมื่อนึกถึงวิภาศิณีที่ดูว่าจะชอบเขาอย่างแรงก่อนจะเงียบไปอีกครั้ง
สายลมหนาวพัดโชยมาอีกครั้ง ร่างบางของสลิลนรีสั่นเทิ้มหนักขึ้นไปอีก ชายหนุ่มจึงถดตัวไปนั่งข้างๆ จนชิดแล้วจัดการถอดเสื้อกันหนาวของตัวเองมาคลุมที่ไหล่ของเธอ หญิงสาวพึมพำขอบคุณก่อนจะกระชับเสื้อตัวนั้นแน่นเข้า
“แล้วคุณจะว่ายังไง ถ้าผมจะเป็นฝ่ายขอเซ็นสัญญาสงบศึกกับคุณซักที”
“จะมาแผนไหนอีกล่ะคุณ”... ไม่ว่าจะแผนไหน แต่รับรองว่าแผนดีแน่ครับผมรับรอง หากเขาก็ได้แต่คิดในใจเท่านั้น
“ผมเพียงแต่รู้สึกว่าในเมื่อผมกับคุณยังต้องอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปอีกนาน แล้วทำไมเราจะต้องมาทะเลาะกันให้เสียอารมณ์และความรู้สึกกันทั้งคู่ด้วย อีกอย่างผมคิดว่าเราสองคนพลาดอะไรดีๆ หลายๆ อย่างที่อาจเกิดขึ้นถ้าเราสองคนหันมาดีกันมามากพอแล้ว”
“แหม ดีใจจังที่ในที่สุดคุณก็คิดได้ซักที ฉันยอมสงบศึกกับคุณก็ได้ ดีเหมือนกันเพราะฉันก็ชักจะหมดมุกมาตอบโต้คุณแล้ว”
แล้วต่างฝ่ายต่างก็ยื่นมือมาจับกันเบาๆ และยิ้มให้กัน เป็นอันว่าการทำสนธิสัญญาสงบศึกนั้นประสบความสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี แล้วต่างฝ่ายก็แหงนหน้ามองดูดาวต่อไปด้วยอารมณ์ที่แจ่มใสขึ้นเป็นเท่าตัว
“จะหาว่าผมยุ่งไม่เข้าเรื่องมั้ย ถ้าจะถามว่าทำไมเมื่อเย็นคุณถึงได้ซึมไป”
บทสนทนาที่เริ่มขึ้นนั้นทำเอาคนที่กำลังเคลิ้มๆ อยู่สะดุ้งน้อยๆ ...จะเล่าดีมั้ยนะ หญิงสาวถามตัวเองซ่ำนี้อยู่นานแล้วสุดท้าย ความต้องการใครซักคนฟังมารับฟังซึ่งอาจจะทำให้เธอสบายใจขึ้นบ้างไม่มากก็น้อยก็เป็นฝ่ายชนะ
“รันเขามาสารภาพรักกับฉันน่ะ” เธอเริ่มเรื่องขณะที่พิภพนั้นเงียบไป สายตาที่จับจ้องเธอนั้นกระตุกวูบไปครู่หนึ่งก่อนที่มันจะกลับมาเป็นปกติดังเดิม
“แล้วคุณรู้สึกยังไงล่ะ”
“ฉัน... ฉันเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน มันงงๆ รู้สึกเหมือนโลกหมุนเร็วเสียจนฉันเวียนหัว มันสับสนไปหมด ถ้าสมมติว่าวันหนึ่งเพื่อนสนิทของคุณที่อยู่ด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันมานานหลายปีมาบอกความในใจกับคุณแบบนี้คุณจะรู้สึกยังไงคะ” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มสุกใสฝายแววสับสน ทำให้เขารู้สึกเห็นใจเธออย่างที่สุด แน่ล่ะถ้าเป็นเขาโดนเพื่อนสนิทมาสารภาพรักแบบไม่ให้ตั้งตัวแบบนั้นก็ต้องทำอะไรไม่ถูกเป็นธรรมดาเหมือนกันล่ะ
“ถ้าจะบอกว่าผมไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงจะไม่ใช่ และผมเชื่อว่าสุดท้ายไม่ว่าผมจะอยู่ในอารมณ์ความรู้สึกไหนก็ตามผมก็จะหาคำตอบจากหัวใจของตัวเองจนได้อยู่ดี ไม่ว่ามันจะต้องใช้เวลาแค่ไหนก็ตาม ผมขอถามอะไรคุณหน่อย คุณรู้มาตลอดใช่มั้ยครับว่ารันชอบคุณ”
“ค่ะ ฉันรู้ เพียงแต่ฉันไม่คิดว่าความชอบนั้นเป็นในแง่ของคนรัก ฉันคิดแต่ว่ามันเป็นในแง่ของเพื่อนรักคนหนึ่งมาตลอด เพราะฉันไม่คิดว่าฉันจะเป็นผู้หญิงแบบนี้รันจะชอบแบบคนรัก ฉันควรจะทำยังไงดีคะ” เธอถาม แววตาเหมือนเด็กหลงทางขอความช่วยเหลือจนชายหนุ่มรู้สึกอยากลากร่างบางตรงหน้ามากอดเพื่อปลอบประโลม แต่เขาก็คงได้แค่คิดเท่านั้น
“สำหรับเรื่องนี้ผมว่าคุณควรจะหาคำตอบของหัวใจตัวเองให้เจอแล้วบอกรันเขาไปครับ ไม่ว่าคำตอบนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ผมเชื่อว่ารันจะรับได้และจะไม่มีทางเปลี่ยนไปแน่นอน เพราะสำหรับเขาแล้ว คุณคือคนสำคัญที่เขาจะไม่ยอมเสียไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”
“แล้วคำตอบ.... “
“เรื่องคำตอบ ผมคงบอกไม่ได้หรอกครับ” พิภพรีบตอบทันทีก่อนที่สลิลนรีจะทันได้ถามจบ ส่งผลให้ริมฝีปากบางปิดลง ดวงตาคู่สวยหม่นแสงลง
“ที่ผมบอกไม่ได้ก็เพราะผมไม่รู้ แต่คนที่รู้ก็คือตัวคุณเอง คำตอบนั้นอยู่ในหัวใจของคุณอยู่แล้ว สิ่งที่คุณต้องการในเวลานี้ก็มีแค่เวลาที่คุณจะใช้ค้นหามันก็เท่านั้น ซึ่งผมก็อาจจะพอช่วยให้เวลานั้นเร็วขึ้นได้เล็กน้อย”
“ยังไงคะ” สลิลนรีถามกลับแววตาอยากรู้อยากเห็นเต็มที ส่งผลให้ชายหนุ่มอดที่จะรู้สึกเอ็นดูไม่ได้
“คุณลองถามตัวเองดูซิครับว่ารันสำคัญกับคุณแค่ไหน แล้วถ้าวันหนึ่งคุณจะไม่ได้ไปไหนมาไหนกับเขาบ่อยๆ แบบนี้อีก ไม่ได้คุย ไม่ได้สนิทกับเขาแบบนี้อีกคุณจะรู้สึกยังไง และที่สำคัญคุณจะรู้สึกยังไงถ้าวันนึงมีผู้หญิงคนอื่นมาอยู่เคียงข้างรันในตำแหน่งที่ใกล้ยิ่งกว่าคุณ”
ความเงียบแผ่เข้าปกคลุมคนทั้งสองอีกครั้ง สายลมเย็นยังคงพัดโชยเป็นระยะๆ พร้อมกับที่เสียงกระดิ่งลมลอยละล่องอยู่เบาๆ ราวกับอยู่ในที่ๆ ไกลแสนไกล สลิลนรีค่อยๆ สงบจิตสงบใจของตนลงแล้วหลับตามองเข้าไปในหัวใจของตนเงียบๆ ขณะที่คนซึ่งจุดประกายความคิดให้เธอนั้นชักรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ และเริ่มจะใจหายยังไงชอบกล... เอาเถอะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในเมื่อมันได้ถูกกำหนดโดยสิ่งที่เรียกว่า ‘บุพเพสันนิวาส’ และ ‘พรหมลิขิต’ มาแล้วตั้งแต่ต้น
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า สุดท้ายหญิงสาวก็ลืมตาขึ้น ส่งผลให้หัวใจของคนที่รอคอยอยู่นั้นเริ่มเต้นแรงและเร็วขึ้นเป็นลำดับ
“รันก็เป็นคนที่สำคัญสำหรับฉันมากค่ะ และฉันคงใจหายหากไม่ได้คุยหรือไปไหนมาไหนกับรันเหมือนกับที่ผ่านๆ มาอีก สำหรับเรื่องที่ว่าถ้ารันมีคนรักขึ้นมา ฉันก็บอกไม่ถูกค่ะแต่คงรู้สึกแปลกๆ ยังไงชอบกล ความรู้สึกแบบนี้เรียกว่ารักรึเปล่าคะ” เธอตอบ ขณะที่คนซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ เธอนั้นก็แอบลอบถอนหายใจเงียบๆ
“ผมคงต้องขอโทษด้วยที่ไม่รู้เลยจริงๆ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมถามเป็นเพียงแค่สิ่งที่พอจะช่วยคุณหาคำตอบเท่านั้น แต่เรื่องที่ว่าจะให้ผมสรุปชัดเจนว่าใช่หรือไม่ใช่ความรักนั้นผมตอบไม่ได้หรอกนะครับ คุณต้องค่อยๆ คิดต่อไปเอง เชื่อผมซิครับว่าสุดท้ายคุณจะต้องพบมันแน่ๆ” พูดจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืน
“ดึกแล้ว ผมว่าเราควรจะเข้าห้องได้แล้วล่ะครับ” เขาเอ่ยพร้อมกับส่งมือมาตรงหน้าหญิงสาว สลิลนรีจึงวางมือลงไปบนฝ่ามืออุ่นนั้นแล้วค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืน ก่อนจะตรงกลับห้องโดยมีพิภพเดินตามมาส่ง พอถึงหน้าประตู หญิงสาวก็ถอดเสื้อคืนให้เขาก่อนจะเข้าห้อง
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยรับฟัง ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
“เดี๋ยวครับ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นก่อนจะยกแขนขึ้นขวางประตูเอาไว้ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่ทอประกายอ่อนโยนและแฝงไปด้วยความหวังดีเอาไว้เต็มเปี่ยม รอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปากบางได้รูปของเขา มืออุ่นยกขึ้นวางบนกลุ่มผมนุ่มสลวย
“เรื่องของหัวใจน่ะมันต้องใช้เวลากันบ้างกว่าจะค้นพบคำตอบ เพราะฉะนั้นไม่ต้องรีบร้อนไปหรอกนะครับ ค่อยๆ คิดให้ดีๆ ผมเชื่อว่าไม่ช้าคุณจะต้องหาคำตอบได้แน่นอน แต่ตอนนี้หยุดคิดชั่วคราวแล้วนอนซะจะดีกว่านะครับ”
เสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนนั้นกล่อม ซึ่งก็ได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าหงึกหงักตามอย่างว่าง่าย ชายหนุ่มยิ้มให้ด้วยความเอ็นดูในท่าทีราวกับเด็กน้อยของเธอ ซึ่งช่วงหลังๆ นี้เธอมักจะเผลอแสดงออกมาให้เขาเห็นมากขึ้นทุกขณะ สุดท้ายก็เป็นเขาเองที่อดใจไม่ไหวต้องขอก้มลงจุมพิตที่หน้าผากกลมมนของเธอเข้าจนได้ ขณะที่คนโดนขโมยจูบนั้นก็ได้แต่ยืนแข็งทื่อตาค้างไปแล้ว
“ฝันดี ราตรีสวัสดิ์นะครับ” พูดจบเขาก็ปิดประตูห้องให้เธอแล้วหันหลังเดินจากไป ทิ้งสลิลนรีให้ยืนคว้างอยู่เพียงคนเดียว จนเมื่อเธอรู้สึกตัว เสียงฝีเท้าด้านนอกก็จางหายไปเสียแล้ว จะเดินตามไปโวยเอาตอนนี้ก็รู้สึกจะช้าไป แถมอาจไปทำท่าเปิ่นๆ เอ๋อๆ ให้เขาเห็นเสียอีก สุดท้ายเธอจึงปิดไฟกลางห้องแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง
ไม่แน่ใจว่าเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าเกิดอะไรขึ้น แล้วเหตุใดก้อนเนื้อในอกของเธอมันถึงได้สั่นระรัวถึงเพียงนี้.... แค่รันคนเดียวฉันก็ปวดหัวจะแย่แล้วนะ นี่คุณจะช่วยฉันหรือจะทำให้ฉันปวดหัวหนักกว่าเดิมกันแน่เนี่ย
กึก... เสียงบานประตูปิดลงพร้อมกับที่เจ้าของห้องหันมามองทางต้นเสียง เมื่อพบว่าแขกผู้มาเยือนเป็นใครก็หันกลับไปสนใจงานเขียนแบบที่กำลังทำอยู่ต่อไป ปล่อยให้ผู้มาใหม่เดินหาที่นั่งเอาเอง ซึ่งพิภพนั้นก็เลือกเก้าอี้ริมหน้าต่างก่อนจะมองไปยังดวงดาวที่กำลังกระพริบวิบวับอยู่บนท้องฟ้าสีหมึกเงียบๆ
“ข่าวร้ายรึเปล่าครับพี่ภพ” เจ้าของห้องเอ่ยถาม สายตายังคงจับจ้องที่แผ่นกระดาษในมือต่อไป “ไม่ร้าย แต่ก็ไม่ดี” เสียงทุ้มตอบอย่างเนือยๆ
“เป็นยังไงกันล่ะพี่ ไอ้ไม่ร้ายแต่ก็ไม่ดีของพี่เนี่ย” พิภัทธถาม ละสายตาจากงานมามองพี่ชายในที่สุด “ก็ดูเหมือนรินจะยังไม่รู้ตัวว่ารู้สึกยังไงกันแน่ แต่พี่ว่าใจเขาคงมีนายรันอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ปัญหาก็คือเขาจะรู้สึกกับรันในแง่ไหนก็เท่านั้น ที่สำคัญคือเขาบอกพี่เองว่ารันเป็นคนที่สำคัญมากสำหรับเขา”
“แล้วพี่จะเอายังไงต่อล่ะครับ จะเดินหน้าต่อหรือจะหยุด”
“พี่คงจะต้องหยุด... ชั่วคราว ตอนนี้พี่อยากให้รินหาคำตอบของหัวใจเขาให้ดีเสียก่อน”
“แต่พี่ ถ้าเกิดว่ารินรักรันแบบ... เอ่อ... แบบว่า” พิภัทธพูดอึกอักด้วยไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาคิดและกำลังจะพูดออกไปนั้นจะแทงใจดำพี่ชายมากเพียงใด หากพิภพก็เดาใจน้องชายถูกชายหนุ่มจึงยิ้มน้อยๆ ซึ่งคนที่โตมาด้วยกันนั้นรู้ดีว่ารอยยิ้มนั้นแฝงแววเศร้าเพียงใด
“ถ้าเป็นแบบนั้น พี่ก็คงได้แต่ทำใจไง” พิภพตอบเสียงขื่น
“เฮ้ยพี่ ไหงงั้นล่ะ ถ้างั้นผมว่าพี่บุกๆ ไปเลยดีกว่า” ชายหนุ่มเสนอหากพิภพกลับส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะหันมาสบตาน้องชาย
“พี่คิดว่าเรื่องแบบนี้ควรให้เวลารินเขาก่อน เพราะถ้าสมมติว่าเขามีพี่อยู่ในใจเขาบ้าง ตอนนี้เขาก็คงจะสับสนไม่น้อย แล้วต่อให้พี่ทำอะไรไปตอนนี้เขาก็แค่เขวไปชั่วครั้งชั่วคราวแต่เขาจะไม่มีทางหยุดคิดเรื่องของรันแน่ๆ พี่เชื่ออย่างนั้น และมันคงทำให้พี่รู้สึกไม่ดีไปด้วยอีกคนดังนั้นพี่เลยคิดว่ามันจะไม่เป็นการดีกว่าเหรอถ้าพี่จะปล่อยให้รินเขาหาคำตอบของนายรันให้มันจบๆ ไปซะก่อนก็เท่านั้น”
“แต่ว่า... “ พิภัทธตั้งท่าจะเถียงหากพิภพก็พูดต่อไป ไม่เปิดโอกาสให้
“แล้วก็เป็นการให้เวลาตัวพี่เองด้วย ถ้าเกิดคำตอบนั้นเป็นข่าวดี พี่จะได้รู้ว่าจะทำยังไงต่อ แต่ถ้าเป็นข่าวร้าย... “ ชายหนุ่มเงียบเสียงไปพร้อมกับที่พิภัทธสังเกตเห็นแววตาของพี่ชายตนนั้นไหววูบจนน่าใจหาย หากมันก็แค่ไม่นานเท่านั้น เพราะเมื่อพิภพกระพริบตามันก็หายไปเสียแล้ว
“พี่ก็จะได้มีเวลาทำใจล่วงหน้าก็แค่นั้น อีกอย่างนะ อีกฝ่ายนั่นก็รัน น้องชายของพี่กับของนายทั้งคนนะภัทธ เป็นนายๆ จะทำน้องลงงั้นเหรอ” คำพูดของพิภพทำให้พิภัทธเงียบกริบ ใช่ ถ้าเป็นเขา เขาก็คงทำแบบพี่ชายเหมือนกัน สุดท้ายเมื่อไม่อาจหาเหตุผลใดมาโต้แย้งได้ ชายหนุ่มจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงตก
“ตามใจพี่ภพแล้วกันครับ ยังไงถ้าต้องการความช่วยเหลือล่ะก็ผมรอรับคำสั่งตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ว่าแต่ผมสงสัยอยู่ ในเมื่อพี่หาคำตอบได้แล้วทำไมต้องมาปรึกษาผมด้วยล่ะ”
“คงเพราะอยากเล่าให้คนฟังล่ะมั้ง พี่ไปนอนล่ะ นายเองก็อย่านอนดึกมากนักนะ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินจากไป แล้วทันทีที่เสียงประตูห้องตรงกันข้ามปิดลง พิภัทธก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ภาพเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นหวนกลับเข้ามาในห้วงความคิดอีกครั้ง
ตอนที่ป้าอุ่นเรือนเล่าท่าทีของสลิลนรีที่เพิ่งกลับเข้ามาพร้อมข้อสันนิษฐานที่ผู้สูงวัยคาดไว้จบลง เขาเห็นพี่ภพของเขานั่งนิ่งแถมยังเห็นรอยอะไรบางอย่างไหววูบในดวงตาของพี่ชายเหมือนเมื่อครู่นี้ไม่มีผิด พอกลับเข้าห้องเขาก็แอบฟังเสียงอยู่หน้าประตูห้องนอนพี่ชายอยู่นานสองนาน ได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมาไม่ได้อยู่นิ่งเกือบสองชั่วโมงเต็ม แล้วสุดท้ายพี่ชายของเขาคงไม่อาจทนกับความอัดอั้นตันใจได้กระมังถึงได้แวบออกจากห้องตรงไปหาสาวน้อยที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของเรือนจนได้
คิดมาถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็ได้แต่หัวเราะท่าทีราวกับวัยรุ่นเริ่มสนใจสาวเป็นครั้งแรกของพี่ชาย น่าแปลกทั้งที่ปกติแล้วเขาเห็นพี่ชายนั้นออกจะสุขุมนุ่มลึก และสามารถหาวิธีการดีๆ มาจัดการกับปัญหาได้ทุกครั้งแบบไม่ยากเย็น แต่คราวนี้เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เขาได้เห็นท่าทีกระวนกระวายอย่างหนักเพราะผู้หญิงของพี่ชาย...ช่วยไม่ได้นะพี่นะ ดันหลงรักคนเนื้อหอมก็ต้องมารับกรรมกันแบบนี้ล่ะ เฮ้อ แล้วพูดมาซะดิบดี สุดท้ายจะทำได้จริงๆ เหรอครับไอ้ทำใจที่ว่าเนี่ย
ความคิดเห็น