คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : สับสน
เข้าเดือนพฤศจิกายนแล้ว อากาศตอนเช้าตรู่และตอนกลางคืนเริ่มเย็นขึ้นเป็นลำดับ บ่งบอกให้รู้ว่าหน้าหนาวได้มาเยือนแล้วในที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในต่างจังหวัดที่อากาศจะยิ่งหนาวเร็วกว่าและมากกว่าในเมืองหลวงราวกับจะประกาศว่าเมืองไทยนั้นยังมีฤดูหนาวอยู่ ไม่ใช่มีแค่ฤดูร้อนและฤดูร้อนมากอย่างที่ใครๆ เขาว่ากัน
และเมื่อพูดถึงหน้าหนาว ก็ต้องนึกไปถึงวันหยุดปลายปีแสนสุขสันต์ของครอบครัว ซึ่งแต่ละบ้านคงจะเริ่มวางแผนไปเที่ยวกันในช่วงวันหยุดกันเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นช่วงพฤศจิกายนนี้จึงเป็นเดือนหนึ่งที่ทุกคนต่างเร่งสะสางงานที่ยังคั่งค้างอยู่เพื่อที่จะได้ไปเที่ยวอย่างมีความสุข ไม่ต้องมาคอยนั่งกังวลถึงกองงานที่จะต้องกลับมาจัดการพร้อมกับอีกหลายงานที่จะตามมาหลังวันหยุดให้หมดสนุก
ซึ่งนอกจากเรื่องงานแล้ว ก็ยังมีเรื่องการเตรียมความพร้อมของสุขภาพอีกด้วย หลายคนถึงกับเลื่อนนัดหมอเร็วขึ้นกว่ากำหนดเดิมหลายวัน หลายอาทิตย์ก็มี เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพใดๆ ตามไปรังควานถึงที่เที่ยวให้หมดสนุก งานนี้พวกหมอๆ ทั้งหลายจึงต้องมาคอยสะสางงานตามไปด้วย
ภัทรากับสลิลนรีต้องรับงานหนักจนแทบสลบทุกวัน ส่วนศรายุทนั้นก็ใช่ว่าจะรอดตัว เพราะความเสน่ห์แรงเกินห้ามใจของเขาเป็นสิ่งดึงดูดบรรดาคนไข้สาวๆ ทั้งสาวน้อย สาวมาก สาวแท้ สาวเทียม ไม่ว่าจะโสดหรือไม่โสดได้เป็นอย่างดี ทำเอาตารางนัดของเขานั้นแน่นเอี้ยดทุกวันตั้งแต่เข้าเวรยันปิดแผนกกันเลยทีเดียว
ยังไม่หมดแค่นั้น หลายครั้งเขายังเจอโปรโมชั่นชวนเที่ยวจากบรรดาคนไข้สาวๆ รวมแล้วหลายสิบโปรโมชั่น บางโปรโมชั่นนั้นเรียกได้ว่าแทบจะลดแลกแจกแถมกันเลยทีเดียว ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ทุกวัน ซึ่งถ้าไม่ได้ภัทรา สลิลนรีหรือคุณผู้ช่วยคนสวยแม่ลูกหนึ่งของเขามาคอยช่วยเหลือแล้วล่ะก็ เขาคงโดนรุมกินโต๊ะแน่ เพราะเขาไม่อยากทำร้ายจิตใจผู้หญิงเลยได้แต่ยิ้มแหยๆ พูดไม่ออกบอกไม่ถูกอยู่นั่น
นอกจากประโยชน์ในการเป็นยันต์กันผู้หญิงชั้นเยี่ยมแล้ว ภัทรากับสลิลนรียังเป็นหน่วยเสบียงส่งอาหารให้อีกด้วย โดยทั้งสองจะผลัดกันเอาข้าวเอาน้ำมาส่งให้ศรายุททุกวันช่วงพักลางวัน ทำให้เขาซึ่งแทบจะไม่มีเวลาแม้แต่จะทานข้าวกลางวันนั้นมีชีวิตรอดมาได้จนถึงวันนี้... ขอบใจนะน้องรัก ชีวิตนี้พี่จะไม่ลืมบุญคุณของพวกน้องเลย
“ยังไม่เสร็จอีกเหรอคุณ” น้ำเสียงคุ้นเคยถามขึ้นมาจากด้านหลังของสลิลนรีซึ่งกำลังเดินจ้ำเข้าห้องเพื่อทำงานต่อ
"ยังค่ะคุณภพ ยังไงไปกันเลยดีกว่านะคะเพราะกว่าฉันจะทำงานเสร็จคงอีกนาน" หญิงสาวตอบรัวก่อนจะผลุบเข้าห้องทำงานไป
"น่าสงสารรินเขาเหมือนกันนะคะ ดูซิ ซูบไปเยอะเลย" ดารารัตน์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงเป็นใย ในขณะที่คนอื่นๆ นั้นก็อดที่จะเห็นใจเธอไม่ได้
จะมียกเว้นก็รื่นรตีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เกาะแขนพิภพพร้อมกับร้องเร่งยิกๆ ให้รีบไปด้วยท่าทีอารมณ์ดีเสียเหลือเกิน ซึ่งใครๆ ก็คงจะเดาได้ว่าเป็นเพราะช่วงนี้ไม่มีคนมาคอยนั่งขวางหูขวางตาหรือขัดใจเธอยังไงล่ะ ภัทราเองก็อดที่จะบ่นอุบอิบแช่งชักหักกระดูกเธอเสียยาวเหยียดหลายกิโลแม้วไม่ได้
อีกอย่าง เมื่อขาดคู่กัดคนสำคัญอย่างสลิลนรีไปเสียคนหนึ่งแล้ว ไม่ว่าพิภพ ศรายุท ภัทราและดรัณ จะทำอะไรก็ดูมันจะฝืดไปเสียหมด ดารารัตน์กับพิภัทธก็แทบจะช่วยอะไรไม่ได้เลย เพราะคนหนึ่งก็ไม่เคยขัดใจพี่สาวได้ ในขณะที่อีกคนนั้นก็เอาแต่ยิ้มแหย ทำให้ภัทรานั้นเจ็บใจขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว
ส่วนบุคคลที่ดูจะน่าสงสารที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นศรายุท ซึ่งต้องมารับฟังประโยคจิกกัด เสียดสี กระแนะกระแหนจากรื่นรตีอยู่ตลอดเวลา ทำเอาผู้ร่วมโต๊ะคนอื่นๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่า เมื่อชาติที่แล้วเขาต้องทำกรรมอะไรบางอย่างเอาไว้กับรื่นรตีเป็นแน่ ชาตินี้เขาถึงต้องมานั่งรับกรรมอยู่แบบนี้
ซึ่งศรายุทเองก็ดีแสนดี จะหือก็แค่ในกรณีจำเป็นเท่านั้น นอกนั้นก็จะนิ่งเฉยทำไม่สนใจไปเสียอย่างนั้น จนเป็นภัทราเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายออกโรงปกป้องชายหนุ่มจนแทบจะเปิดศึกมวยวัดกับรื่นรตีอยู่รอมร่อ
ส่วนพิภพนั้นก็ต้องนั่งกล้ำกลืนฝืนทนกับแววตาหวานเยิ้มของรื่นรตีที่ส่งมาให้เขาด้วยความลำบากใจสุดๆ หันไปทางดรัณก็ได้แต่รอยยิ้มแหยๆ ตอบกลับมาราวกับจะให้กำลังใจเพียงแค่นั้น หันไปทางเจ้าน้องชายที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม เจ้าตัวดีก็ดันหลบตาไปมองทางอื่นเสียนี่ สุดท้ายเขาก็เลยได้แต่นั่งถอนใจและอดคิดไปด้วยความเซ็งในอารมณ์ลึกๆ ไม่ได้ว่า หากคนที่กำลังนั่งเกาะแขนพร้อมกับส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้เขาเป็นใครอีกคนที่กำลังนั่งทำงานหลังขดหลังแข็งอยู่ในเวลานี้ มันคงจะดีกว่ากันมากมายหลายเท่านัก
ทางดรัณก็ใช่ว่าสุขสบาย ด้วยทั้งเห็นใจและสงสารพี่ชายตัวเองและพิภพอย่างสุดซึ้ง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะไม่เคยประสบปัญหาแบบนี้มาก่อน ที่ทำได้จึงมีแต่คอยช่วยเหลือภัทราเป็นครั้งคราวเพียงเท่านั้น
ในครั้งแรกๆ ทั้งสี่คนก็หวังว่าแม่นางฟ้านางสวรรค์ของพวกเขาจะตามมาในที่สุด หากไม่ว่าจะนานเท่าไหร่และไม่ว่าเข็มบนนาฬิกาจะหมุนไปเป็นเวลาอะไร ก็ไม่เคยปรากฏเงาของคนที่รออยู่ซักที สุดท้ายจึงเลิกหวังและรอให้เหตุการณ์มมาจบลงตรงที่พิภัทธอาสาพาสองสาวพี่น้องกลับไปก่อนซ้ำไปซ้ำมาทุกคืนเพียงแค่นั้น
“พอเข้าใจแล้วล่ะครับว่าทำไมพี่ซันถึงห่อเหี่ยวทุกครั้งที่กลับมาจากทานข้าวกับทุกคนแบบนี้” ดรัณเอ่ยกับพี่ชายด้วยน้ำเสียงและท่าทีเห็นอกเห็นใจอย่างสุดซึ้ง
“อยากได้น้องสาวเขามันก็ต้องเหนื่อยกันหน่อยล่ะรัน ว่าแต่ยัยรินเถอะ บอกว่าจะตามมาทุกทีแต่สุดท้ายก็มาปล่อยพี่ไว้ซะงั้น” ศรายุทบ่น แต่ก็ต้องยอมรับว่าสลิลนรีนั้นติดงานอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ
“ก็ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ซันมัวแต่โอ้เอ้อยู่ล่ะก็ ป่านนี้พวกเราคงไม่ต้องมานั่งปวดเศียรเวียนเกล้ากันแบบนี้หรอกค่ะ” ภัทราเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองหน้าศรายุทด้วยอารมณ์หงุดหงิด ขณะที่คนโดนว่านั้นก็ถึงกับเหวอ จะอ้าปากถามว่าเกี่ยวอะไรกับเขาด้วยก็ได้รับการเฉลยขึ้นมาเสียก่อน
“แทนที่พี่จะสารภาพกับคุณดาวให้มันจบๆ เรื่องไป ก็ยังอุตส่าห์ชักช้าอืดอาดอยู่นั่นแหละ นี่ดีนะที่ยัยรินยังไม่ว่างมาถาม ถ้าว่างเมื่อไหร่พี่เจอของแข็งแน่” ภัทราบ่นให้เป็นชุด ขณะที่ศรายุทนั้นได้แต่นั่งกระพริบตาปริบๆ พิภพกับดรัณนั้นแม้จะรู้สึกสงสารศรายุทแค่ไหนแต่ก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“จ้าๆๆ พี่จะพยายามลองคิดหาวิธีดูแล้วกัน เดี๋ยวพี่ขอตัวไปห้องน้ำหน่อยนะ” พูดจบชายหนุ่มก็รีบลุกหนีไปในทันที ขณะที่ทางฝ่ายพิภพนั้นก็ขอตัวไปโทรศัพท์เรื่องธุระของทางบริษัทต่อเช่นเดียวกัน เหลือไว้แค่เพียงภัทราและดรัณเท่านั้น
" นายเองก็เหมือนกัน จะได้ฤกษ์บอกรินบ้างรึยัง" หญิงสาวถามขึ้นเรียบๆ หากทำเอาดรัณถึงกับกลืนน้ำลายลงคอด้วยรู้ว่านับจากนี้ไปเขาเองนั่นแหละที่จะกลายเป็นเหยื่อของหญิงสาว
"เฮ้อ... ให้ตายเถอะ ทำไมพี่น้องตระกูลนี้ถึงได้ชักช้าอืดอาดอย่างนี้นะ" หญิงสาวบ่น ส่วนดรัณนั้นได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ ให้กับเธออย่างขอลุแก่โทษ
"พูดจริงๆ นะฟ้า เราน่ะอยากบอกรินนะ แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงดี แล้วอันที่จริงถ้าเราบอกรินไปแล้วทำให้อะไรๆ มันเปลี่ยนไปในทางที่เลวร้ายจากที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ เราก็ไม่ขอบอกตลอดไปเลยจะดีกว่า" ชายหนุ่มตอบด้วยท่าทางสลด หากก็ต้องสะดุ้งจนเกือบตกเก้าอี้ เมื่อจู่ๆ นิ้วเรียวยาวของภัทราพุ่งเข้ามาหาจนเกือบจะทิ่มเข้าไปในลูกตาพร้อมกับรู้สึกอยากให้มีอะไรซักอย่างมาใช้อุดหูได้จริงๆ
"ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่ารันจะเป็นคนขี้ขลาดแบบนี้ ทำไมถึงคิดแบบนี้ล่ะรัน รู้มั้ยว่าการที่รันคิดแบบนี้น่ะ มันเป็นการไม่เชื่อมั่นในตัวของรินเลย รันคิดว่าอย่างรินน่ะ จะเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงเพียงเพราะว่ารันไปบอกว่ารักเขาแค่นี้น่ะเหรอ” หญิงสาวหยุดหายใจครู่หนึ่งก็พูดต่อด้วยเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย
“อย่าคิดอะไรในทางที่ไม่ดีก่อนที่จะเริ่มซิรัน กังวลไปก่อนแบบนี้ มีแต่จะทำให้ตัวเองรู้สึกท้อเองนะ”
“ขอบคุณนะฟ้าที่คอยเป็นที่ปรึกษาแล้วก็เป็นกำลังใจให้เราเสมอ ขอบคุณมากๆ เลยนะ” รอยยิ้มสดใสของชายหนุ่มพาให้ภัทรารู้สึกหวิวๆ ขึ้นมาในอกอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่เป็นไรหรอก ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่” หญิงสาวเน้นคำว่า ‘เพื่อน’ กับหัวใจของตัวเองดังๆ อย่างกล้ำกลืนฝืนทน... ใช่ เพราะไม่ว่ายังไง ตราบใดที่เขายังมีเพื่อนรักของเธออยู่ในหัวใจ ตราบใดที่เธอยังไม่มีความมั่นใจในเรื่องหัวใจของสลิลนรีมากพอ และที่สำคัญ ตราบใดที่เธอยังไม่สามารถเข้าไปอยู่ในใจของดรัณได้ เธอก็คงเป็นได้แค่เพื่อนสำหรับเขาเท่านั้น
ในเวลานี้เธอค่อนข้างมั่นใจความรู้สึกของพิภพที่มีต่อเพื่อนรักของเธอแล้ว และรู้ด้วยว่าในเวลานี้ชายหนุ่มเองแม้จะอยากทำอะไรมากแค่ไหนแต่ก็ไม่อาจทำได้ ด้วยติดที่ดรัณซึ่งเขาอยากจะเผชิญหน้ากันในสนามรักอย่างเปิดเผย ในขณะที่สลิลนรีเองก็ชักจะมีท่าทีแปลกๆ กับพิภพมากขึ้นทุกทีโดยที่สลิลนรีเองก็ไม่รู้ตัว
ตอนแรกเธอคิดว่าการที่เพื่อนรักของเธอย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านอัศวกุล จะเป็นการกระตุ้นให้ดรัณคิดที่จะทำอะไรในเรื่องเพื่อนของเธอมากขึ้น แต่ที่ไหนได้ เขากลับยังเหมือนเดิมเกือบทุกประการ จะมีเปลี่ยนไปบ้างก็ตรงที่เขาหมั่นไปหาสลิลนรีที่เรือนไทยหลังนั้นบ่อยขึ้น แต่นั่นคงไม่พอที่จะสะกิดใจของคนซื่อในเรื่องความรักอย่างสลิลนรีได้แน่นอน เพราะขนาดพิภพซึ่งแสดงออกให้สลิลนรีเห็นซะชัดขนาดนี้ เพื่อนรักของเธอยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย
ใจจริงเธอเองอยากจะเล่าเรื่องที่พิภพรุกสลิลนรีแถมสาวเจ้าเองก็มีทีท่าว่าจะโน้มเอียงไปทางนั้นให้ท่านชายใจเย็นดุจภูเขาน้ำแข็งข้างๆ เธอได้รับรู้ เผื่อว่าเขาจะรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ และเริ่มคิดทำอะไรจริงจังและชัดเจนขึ้นมาบ้าง แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ทำ คงเพราะความเห็นแก่ตัวที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ในใจของเธอเองก็เป็นได้
และเพราะความรู้สึกเห็นแก่ตัวเล็กๆ นี่แหละที่ทำให้เธอรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาจับใจและพยายามปัดความคิดนั้นทิ้งไปซะ.... สิ่งที่ฉันทำได้ก็มีแค่คอยบอกนายทางอ้อมและกระตุ้นนายให้ทำอะไรบ้างเพียงเท่านั้น ขอโทษนะรัน
"วันนี้ดึกอีกแล้วเหรอจ๊ะหนูริน"
เสียงอ่อนโยนของหญิงชราทักขึ้นเมื่อหญิงสาวก้าวเท้าเข้ามาในบริเวณบ้าน สลิลนรีพยักหน้าพร้อมกับพยายามฝืนยิ้มให้ด้วยสีหน้าอิดโรยก่อนจะเดินตรงไปที่เรือนไทยด้วยท่าทางเหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง
เป็นเวลาเกือบสองสัปดาห์มาแล้วที่เธอทำงานหนักแบบนี้ และเธอก็คงจะต้องทนรับสภาพอย่างที่เป็นอยู่นี้ไปอีกซักระยะจนกว่าจะพ้นช่วงปีใหม่
จะว่าไปแล้วตอนนี้เธอก็มาอาศัยอยู่ที่บ้านทรงไทยหลังนี้มาได้เกือบสองเดือนเข้าไปแล้ว รู้สึกคุ้นชินกับบ้านหลังนี้และคนในครอบครัวนี้มากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว ซึ่งทุกคนล้วนแต่ดีกับเธอมากจนทำให้เธอรู้สึกเหมือนว่าได้อยู่บ้านจริงๆ
ช่วงแรกที่เธอต้องทำงานกลับมาดึกๆ นั้น ดูทุกคนจะเป็นห่วงเธอแถมยังรอทานข้าวพร้อมเธออีก เห็นแล้วเธอก็ทนไม่ไหวที่คุณทิพย์ศิณีและคุณเกรียงไกรซึ่งเธอให้ความเคารพนับถือรวมทั้งป้าอุ่นต้องมารอเธอ จนเธอต้องอธิบายให้ทั้งสามคนเข้าใจและเลิกรอเธอ และแม้ว่าท่านทั้งสามจะค้านยังไง แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ ด้วยรู้ดีว่าการเปลี่ยนใจคนอย่างเธอนั้นมันยากเย็นแค่ไหน
“ป้าอุ่นไปนอนเถอะค่ะ เดี๋ยวรินทานข้าวเสร็จแล้วจะล้างจานเก็บให้เอง ไม่ต้องห่วงนะคะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเมื่อเดินคู่กับหญิงชรามาถึงบริเวณทางเข้าโรงครัวแล้ว
“ทำงานก็เลิกดึกแถมต้องไปทำงานตั้งแต่เช้าทุกวันจนแทบจะไม่มีเวลาทานข้าว เวลาพักผ่อนก็ไม่ค่อยจะมีแบบนี้ ป้ากลัวว่าหนูจะไม่สบายเอานะจ๊ะ” อุ่นเรือนเอ่ยด้วยความเป็นห่วง สลิลนรีส่งยิ้มน้อยๆ ตอบกลับด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจของหญิงชราที่มีให้เธอราวกับว่าเธอเป็นลูกเป็นหลานคนหนึ่งก็ไม่ปาน
“ป้าอุ่นไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เพราะปกติหนูก็เป็นคนทานข้าวเช้าน้อยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แล้วอีกอย่างถ้าตอนเช้าหนูทานที่บ้านไม่ทัน หนูก็ไปหาทานเอาที่แผนกได้ค่ะ ส่วนเรื่องพักผ่อน ช่วงนี้น้าจิตกับน้าจักรก็อนุญาตให้หนูหยุดพักงานที่คลินิกได้จนกว่าจะผ่านเลยช่วงปีใหม่ไปแล้วด้วย ดังนั้นหนูใช้เวลาพักในวันอาทิตย์ได้ทั้งวันเลยล่ะค่ะ" หญิงสาวตอบ
“จ้า งั้นป้าขอตัวก่อนนะจ๊ะ รีบทานข้าวแล้วเข้านอนเถอะนะ จานเจินน่ะ ค่อยล้างวันพรุ่งนี้ก็ได้” แล้วหญิงชราก็เดินแยกไปทางด้านเรือนคนรับใช้
“ผมอุ่นกับข้าวให้คุณแล้วนะ นั่งทานได้เลย” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นทันทีที่เธอก้าวเข้ามาในห้องครัว พร้อมกับที่สีฝุ่นซึ่งดูจะตัวโตขึ้นมากวิ่งเข้ามาร้องเหมียวๆ พันแข้งพันขาเธอราวกับจะทักทาย
หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะทานอาหารซึ่งตั้งอยู่กลางห้องแล้วลงมือทานอาหารเงียบๆ อย่างรวดเร็วก่อนจะรวบรวมภาชนะทั้งหมดไปล้าง โดยมีพิภพคอยช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ
นี่ก็ดูจะเป็นเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่งสำหรับเธอเลยทีเดียวที่จู่ๆ พิภพ คู่กัดตลอดกาลของเธอ เกิดกลับกลายเป็นคนดีน่ารักกับเธอได้อย่างน่าใจหาย ทุกวันที่เธอกลับมาดึกๆ เธอจะต้องพบเขานั่งรอเธออยู่ที่นี่พร้อมกับสีฝุ่นทุกวัน คอยอยู่เป็นเพื่อนคุยพร้อมกับเล่านั่นเล่านี่ให้เธอฟังระหว่างที่เธอทานข้าวราวกับว่ากลัวเธอจะเหงายังไงยังงั้น แถมยังช่วยเธอล้างจานทำความสะอาดเสียอีกต่างหาก ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยทำอย่างนี้กับเธอเลยตลอดสิบปีที่รู้จักกันมา
หลังจากทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว สลิลนรีก็อุ้มสีฝุ่นขึ้นมาแนบอก ก่อนจะเดินหาวหวอดๆ กลับขึ้นเรือนไปโดยมีชายหนุ่มเดินเคียงมาด้วย
“ขอบคุณที่มาส่งค่ะ” หญิงสาวพูดขึ้นก่อนจะเปิดประตูห้อง หากก็โดนมือใหญ่คว้าที่ข้อมือแล้วรั้งตัวเธอไว้ก่อนที่เธอจะผลุบเข้าห้องไป ร่างบางชะงักเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ หันหลังกลับมามองเขา ความง่วงงุนดูเหมือนจะมลายหายไปในอากาศทันที
"อย่าหักโหมมากนะครับ ผมเป็นห่วง”
เสียงทุ้มนุ่มแฝงไปด้วยความห่วงใยและ... ความรู้สึกอะไรบางอย่างที่เธอยังไม่อาจและไม่กล้าแม้แต่จะนึกถึงแฝงมาพร้อมกับที่นัยน์ตาสีน้ำตาลคมเข้มคู่นั้นทอดมองมาที่เธออย่างอ่อนโยน ทำให้เธอรู้สึกหายเหนื่อยและอบอุ่นใจขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด
“ฉันจะพยายามดูแลตัวเองค่ะ คุณไม่ต้องห่วงหรอก” เธอตอบด้วยเสียงที่ไม่ได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบก่อนจะหลบตาเขาด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายถูก ถึงแม้ ณ เวลานี้เธอจะรับรู้แล้วว่าความห่วงใยที่เขาส่งมาทางดวงตาคู่นั้นไม่ใช่ของปลอมอย่างที่เธอนึกกลัวก็ตาม แต่ความรู้สึกบางอย่างที่แฝงมาด้วยนั้นก็ยังคงประสิทธิภาพในการทำให้เธอไม่กล้าสบตาเขาอีกแล้ว ทางฝ่ายพิภพเองเมื่อได้คำตอบรับแล้วก็ส่งยิ้มให้ก่อนจะปล่อยแขนสลิลนรีให้เป็นอิสระ
“ราตรีสวัสดิ์ครับสาวน้อย"
แล้วร่างสูงก็ผละจากไป ประตูห้องถูกปิดลงพร้อมกับที่หัวใจของสลิลนรียังคงเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะต่อไป หญิงสาวรีบผลุบเข้าห้องน้ำโดยหวังว่าน้ำเย็นๆ จะช่วยให้อาการใจเต้นของเธอนั้นสงบลงบ้าง หากก็ไม่เลย จนตอนนี้เธอกำลังจะเข้านอนแล้ว มันก็ยังไม่สงบ
จากที่ง่วงๆ อยากจะหลับมันตั้งแต่เดินเข้ามาในบ้านพอมาเจอคนที่ ’เคย’ เป็นคู่กัดกัน ก็ทำให้ความง่วงมันหายไปเสียแล้ว... ให้ตายซิ ทั้งที่เขาก็พูดแบบนี้ทุกคืน แต่ทำไมใจมันถึงได้เต้นโครมครามแบบนี้ทุกทีเลยล่ะ
หญิงสาวบ่นในใจ สุดท้ายเมื่อไม่อาจที่จะข่มตาหลับลงได้ เธอจึงลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงแล้วเอื้อมมือมาเปิดไฟที่โต๊ะเสีย ก่อนที่มือบางจะหยิบไดอารี่เล่มเดิมมาวางบนตัก อันที่จริงเธอก็ไม่ได้คิดว่าเรื่องราวในสมุดบันทึกเล่มนี้เป็นนิทานก่อนนอนหรอกนะ เพียงแต่ว่าหลายครั้งหลายคราเธอพบว่า ทุกครั้งที่เธอนอนไม่หลับ หงุดหงิดหรือไม่สบายใจ มันจะทำให้ความรู้สึกไม่ดีทั้งหลายทั้งมวลนั้นหายไปได้อย่างน่าประหาลาดก็แค่นั้นเอง
' เรื่องราวที่ฉันจะเล่าให้คุณฟังต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่ฉันรักราวกับน้องสาวแท้ๆ ผู้หญิงคนนี้ได้ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความรักที่มีให้ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งไม่ได้คู่ควรกับความรักนั้นเลยซักนิดเดียว และสุดท้ายสิ่งที่เธอได้กลับมาก็มีแค่เพียงความว่างเปล่า ความเสียใจและบทเรียนราคาแพงสำหรับเธอและคนรอบข้างที่เธอรักและรักเธอเพียงเท่านั้น
ฉันกับน้องมิวรู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ฉันเป็นรุ่นพี่เธอหนึ่งปี เราเจอกันเพราะบังเอิญมาอยู่ชมรมเดียวกัน และด้วยความที่ชมรมของเรามีคนน้อย เราสองคนจึงได้พูดคุยกันบ่อยๆ คุยกันไปคุยกันมาก็รู้สึกถูกชะตากันและกัน สุดท้ายก็ลงเอยเป็นว่าฉัน เธอและรุ่นพี่ผู้ชายที่แก่กว่าฉันอีกคนสนิทกันจนแทบจะเป็นพี่น้องกันจริงๆ
เวลาผ่านไปจนถึงวันที่ฉันและน้องเขาอยู่ม. ปลาย ดูเหมือนมิวจะเนื้อหอมมากขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น มีหนุ่มๆ มากหน้าหลายตามาคอยตามจีบทุกวันแต่ฉันก็ไม่เห็นน้องเขาจะสนใจใครซักคน ซึ่งฉันคิดว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากคุณพ่อของมิวที่ไม่อยากให้ลูกสาวของท่านมีคนรักขณะที่ยังเป็นเด็กแถมยังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ ทำเอามิวแอบมาบ่นเรื่องคนที่มาจีบกับคุณพ่อขี้หวงให้ฉันกับพี่ฟังไปก็นั่งขำไปอยู่บ่อยๆ
แต่สุดท้ายดูเหมือนเรื่องแบบนี้คงจะห้ามกันไม่ได้ ในที่สุดน้องมิวก็มีคนรักจนได้และผู้ชายคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นคนรู้จักของพี่ชายพวกเราเอง เมื่อฉันเห็นว่าคนๆ นี้เป็นคนรู้จักของพี่ ฉันจึงไม่คิดจะยุ่งเพราะคิดว่าพี่น่าจะดูแลได้ดีกว่า ในขณะที่พี่เองก็ค่อนข้างจะไว้ใจเพื่อนคนนี้พอสมควร เราสองคนจึงปล่อยไปโดยหารู้ไม่ว่า มันเป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเรา
วันฝนตกวันหนึ่งในปีที่ฉันกำลังจะอำลาชีวิตมัธยม พี่มาหาฉันที่บ้านด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เขาถามหาน้องมิวกับฉัน ซึ่งคำตอบของฉันก็คือไม่รู้พร้อมกับอาการยืนงงเป็นไก่ตาแตก จับต้นชนปลายไม่ถูก
ฉันถามพี่ว่าเกิดอะไรขึ้นพี่ก็ได้แต่อึกอักจนฉันชักจะใจไม่ดี ตอนแรกพี่เขาก็ทำท่าจะไม่เล่าให้ฉันฟัง แต่พอเจอฉันคะยั้นคะยอเข้ามากๆ สุดท้ายก็ยอมบอกจนได้ว่า น้องมิวหนีออกจากบ้านมาได้เกือบอาทิตย์โดยที่ยังตามตัวไม่พบ แถมที่ร้ายกว่านั้น น้องมิวกำลังท้อง!!
ตอนนั้นฉันช็อคมาก แต่ก็สู้อุตส่าห์มองโลกในแง่ดีแล้วหันไปปลอบพี่ว่าเรื่องที่ได้ยินมาว่าน้องเขาท้องอาจเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้ หลังจากนั้นฉันก็ตัดสินใจที่จะไปช่วยพี่หาอีกแรง แต่ก่อนที่พวกเราจะทันได้ก้าวออกจากบ้าน โทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น
ที่ปลายสาย เสียงสะอื้นฮักของคนที่ฉันกำลังเป็นห่วงพร่ำพูดอะไรสารพัดจนฟังไม่ได้ศัพท์ จนฉันต้องบอกให้น้องเขาพูดช้าๆ และนั่นก็ทำให้ฉันเกือบจะเป็นลม เมื่อสิ่งที่ฉันกับพี่กำลังช่วยกันภาวนาว่าไม่ให้มันเป็นจริงนั้นถูกบอกเล่าออกมาด้วยน้ำเสียงสะเทือนอารมณ์อย่างที่สุด
‘พี่ซี มิวขอโทษที่ไม่เชื่อพี่ มิวท้องค่ะพี่ พี่ซี มิวจะทำยังไงดีคะ’
เสียงพูดปนกับเสียงสะอื้นยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่ฉันกับพี่ได้แต่ช่วยกันปลอบมิว ซึ่งคนที่จะทำเรื่องแบบนี้กับมิวจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าหมอนั่นคนเดียว!!
ฉันกับพี่พยายามถามที่อยู่น้องเขา แต่ก็ไม่ได้ผล สุดท้ายมิวก็วางหูไป ฉันกับพี่ก็เลยต้องพากันแล่นไปบ้านน้องเขา เผื่อว่าจะได้ข้อมูลที่พอจะช่วยบอกได้บ้างว่าน้องเขาอยู่ที่ไหนและเพื่อไปบอกข่าวให้ทางบ้านของมิวทำใจไว้ล่วงหน้า
แต่ฉันกับพี่ก็ต้องคว้าน้ำเหลว สิ่งที่มิวทิ้งไว้มีเพียงแค่จดหมายถึงพ่อเท่านั้น ซึ่งในจดหมายก็เขียนคำอยู่เพียงคำเดียวเท่านั้น นั่นคือคำว่าขอโทษ และคำพูดทั้งหลายทั้งแหล่ที่ฉันกับพี่เตรียมมาเพื่อบอกกับครอบครัวมิวก็เหมือนจะหายไปทันทีที่ฉันเห็นคุณพ่อของมิว
ผู้ชายค่อนข้างเรียกได้ว่าสูงอายุคนหนึ่งที่มักจะดูสดใสร่าเริง ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มตลอดเวลา ตอนนี้กำลังนั่งกอดหมอนที่มิวใช้หนุนนอนทุกคืนไว้แน่น ใบหน้าที่เคยสดใสเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ดวงตาโหลลึกและสีหน้าซึดเซียวแถมยังซูบตอบจนดูน่าเป็นห่วง บ่งบอกว่าท่านคงไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาหลายคืนเพราะออกตามหามิวปรากฎชัด ภาพนั้นมันช่างชวนสังเวชจนฉันแทบจะร้องไห้
พ่อของมิวเล่าว่าช่วงหลายเดือนก่อนที่มิวจะหายไป มิวได้ขอไปทำงานพิเศษที่ร้านค้าแห่งหนึ่งซึ่งท่านก็อนุญาตด้วยคิดว่าจะได้มีประสบการณ์การทำงานมาดูแลกิจการของทางบ้านด้วย โดยไม่รู้เลยว่าผู้ชายคนนั้นก็ทำงานอยู่ที่นั่นเหมือนกัน
หลายเดือนต่อมา ท่าทางของมิวก็แปลกไป มีหลายคนทักว่าเขาดูท้วมขึ้นและมีอาการอาเจียนเวลาได้กลิ่นอาหารและนั่นทำให้พ่อของมิวเอะใจ แต่ก่อนที่ท่านจะได้ถามอะไรมิวก็หนีออกจากบ้านไปเสียแล้ว
'ถ้ามิวโทรกลับมาหาหนูอีก ฝากหนูบอกมิวด้วยว่าพ่อไม่โกรธเขาหรอกนะ ขอแค่ว่าตอนนี้เขาปลอดภัยและยอมกลับบ้านมาให้พ่อได้เห็นหน้าและคอยดูแลเขากับลูกของเขาแค่นั้นก็พอแล้ว '
นั่นคือสิ่งที่ท่านฝากเราสองคนไว้ หลังจากวันนั้น ฉันก็คอยติดต่อพี่ตลอด เผื่อว่าจะได้ข่าวคราวอะไรบ้างแต่ก็ไม่มีเลยซักนิด รอแล้วรอเล่าจนฉันเกือบจะเลิกรอแล้ว พี่ก็โทรมาตามให้ฉันไปพบกันที่บ้านมิวในที่สุด
ข่าวล่าสุดที่ได้มาในตอนนี้ก็คือ มิวอาศัยอยู่กับครอบครัวของผู้ชายคนนั้น ในขณะที่ผู้ชายคนนั้นหนีไปเสียแล้ว
ฉันกับพี่มารู้ที่หลังว่าเบื้องหน้าผู้ชายคนนั้นอาจเป็นคนดูดี มีชาติตระกูล นิสัยดี แต่เบื้องหลังเขากลับเป็นอันธพาล และติดหนี้พนันมากมาย ทั้งโต๊ะบอล เกมและอะไรอีกหลายอย่างแถมตอนนี้ก็กำลังหนีเจ้าหนี้อยู่ด้วย แต่นั่นยังไม่เลวร้ายเท่ากับที่ได้ฟังว่า มันกับเพื่อนเลวๆ ของมันเล่นพนันอุบาทว์กันอยู่เกมหนึ่ง โดยเอาชีวิตของลูกผู้หญิงเป็นเดิมพัน
การเล่นนั้นก็ง่ายแสนง่าย แค่ว่าภายในช่วงระยะเวลาที่กำหนด ใครที่สามารถหาผู้หญิงมาร่วมเตียงด้วยได้มากที่สุดก็เป็นฝ่ายชนะ!!
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามิวคงเป็นหนึ่งในบรรดาผู้หญิงโชคร้ายที่โดนไอ้สารเลวนั่นหลอก แล้วพ่อของมิวยังเล่าต่อมาอีกว่า ตอนแรกไอ้ผู้ชายสารเลวคนนั้นไม่ยอมรับผิดชอบมิว มันหาว่ามิวใจง่ายไปมีอะไรกับคนอื่นแล้วมาโบ้ยว่าเป็นมัน คิดดูซิว่ามันเลวขนาดไหน!!
ได้ยินแค่นั้นก็เกินพอที่จะทำให้ฉันสาปส่งผู้ชายเลวๆ นั่นปได้หลายปีหลายชาติแล้ว มันคิดแบบนี้เข้าไปได้ยังไงกันฉันอยากจะรู้นัก ยิ่งมารู้ว่าพอมันหนีไปแล้วพ่อแม่ของมันต้องมาออกหน้ารับผิดชอบแถมต้องไถ่โทษแทนลูกเลวๆ อย่างมันอีกฉันยิ่งอยากจะลากคอมันมาเชือดตรงนี้เดี๋ยวนี้เสียจริงๆ
พี่ก็เอาแต่โทษตัวเองว่ามองคนผิดไป ขณะที่พ่อมิวก็โทษตัวเองว่าดูแลลูกสาวไม่ดี แต่สำหรับฉัน ฉันว่าคนที่ควรรับโทษและต้องชดใช้ก็คือไอ้บ้านั่นต่างหาก!! งานนี้ต่อให้มิวยกโทษและอโหสิให้มันยังไง แต่ฉันกับพี่ ไม่มีวันยอมเด็ดขาด!!
เพราะมัน อนาคตของเด็กดีๆ คนหนึ่งที่ควรจะไปได้ดีต้องจบลง
เพราะมัน น้องฉันจึงต้องมีประวัติด่างพร้อยให้คนอื่นตราหน้าว่าเป็นเด็กใจแตก
และเพราะมันอีกนั่นแหละ ที่ทำให้คนอื่นซึ่งไม่เกี่ยวข้องด้วยต้องมาเดือดร้อน
จากวันนั้นถึงวันนี้ผ่านมาเกือบจะสี่ปีเข้าไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครตามหาไอ้บ้านั่นพบ ก็หวังว่าจะมีใครพบมันและลากคอมันมาก้มกราบน้องฉันเข้าซักวัน
สุดท้ายก็ขอฝากเรื่องราวนี้ให้กับใครหลายๆ คน ฟังไว้เป็นอุทาหรณ์ว่าอย่าได้ปล่อยตัวปล่อยใจให้กับคนที่รักมากจนเกินไป เพราะของบางอย่าง เมื่อได้เสียไปแล้วก็ไม่สามารถที่จะย้อนเวลาเอามันกลับคืนมาได้อีก
อย่าให้ความรักมาทำให้คุณตาบอด เพราะถ้าหากเราขาดดวงตาแล้ว ก็คงจะหนีไม่พ้นการหลงทางและอาจไม่สามารถกลับมาสู่ทางเดินสายเดิมได้อีก
ซี '
"น่าสงสารเด็กคนนั้น" มือบางปิดสมุดบันทึกลงก่อนจะนำมันกลับไปไว้ที่เดิมแล้วปิดไฟ ห้องทั้งห้องมืดสนิทลงอีกครั้ง สลิลนรีกระถดตัวนอนหงายพร้อมกับยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก
เรื่องราวคล้ายๆ กันนี้เคยเกิดขึ้นในชีวิตเธอมาก่อน ซึ่งคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องก็ไม่ใช่ใครนอกจากนายพิภพคนเดียวคนนั้นนั่นล่ะ
เมื่อสมัยที่เธอยังเรียนอยู่ปีสาม มีเพื่อนรุ่นเดียวกับเธอคนหนึ่งชื่อเหมียว เหมียวเป็นคนที่จัดได้ว่าสวย ทำให้ไม่มีใครแปลกใจเลยหากเหมียวจะมีหนุ่มๆ จากหลายคณะมาคอยเอาใจแถมตามเทียวรับเทียวส่งทุกวันไม่ซ้ำหน้า แต่คนที่ดึงดูดความสนใจของเหมียวกลับเป็นพิภพ ซึ่งไม่ได้สนใจเหมียวเสียด้วยซ้ำ
เหมียวพยายามใช้ทุกวิถีทางให้ได้เข้าใกล้พิภพ เคยแม้แต่พยายามจะใช้เธอเป็นสะพานด้วยเห็นว่าเธอนั้นสนิทสนมกับชายหนุ่ม แต่ตัวเธอไม่เล่นด้วยและยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่มีวันเข้าไปยุ่งวุ่นวายในเรื่องนี้เป็นอันขาด สุดท้ายเหมียวจึงตัดใจที่จะใช้เธอ หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้สนใจใส่ใจอะไรเรื่องนี้อีก
หลายวันต่อมาเธอ ภัทรา ศรายุทและพิภพได้ไปอุดหนุนร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่งในย่านสีลมซึ่งเป็นของเพื่อนศรายุทแล้วบังเอิญไปเจอเหมียวเข้า พิภพนั้นถูกเหมียวกับเพื่อนลากไปนั่งด้วยที่อีกฟากหนึ่งของร้าน ขณะที่เธอ ภัทราและศรายุทแยกไปอีกทาง
หลังจากที่นั่งสังเกตการณ์อยู่พักหนึ่ง เธอกับภัทราก็ต้องขอตัวกลับก่อนโดยมีศรายุทพาไปส่งถึงบ้าน ทิ้งพิภพไว้ที่นั่นเพียงคนเดียวด้วยคิดว่าคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่พวกเธอคิดผิด...
สี่เดือนให้หลังก็เกิดเรื่องขึ้น เหมียวมาโวยวายกับเธอและศรายุทว่านายพิภพทำให้เธอท้องแถมยังมีพยานบุคคลซึ่งก็คือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าคอนโดของเหมียวเองที่ยืนยันว่าเห็นนายตัวดีไปส่งเหมียวที่คอนโดในเวลาดึกดื่นค่อนคืนเข้าไปแล้ว และที่สำคัญยังเห็นเขาเดินโอบเอวเหมียวที่อยู่ในสภาพเมาจัดเข้าไปในคอนโดนานเป็นชั่วโมงอีกต่างหาก
แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับผลการตรวจของหมอสูติฯ ที่บอกอายุการตั้งครรภ์ของเหมียวอย่างละเอียด ซึ่งเมื่อนำระยะเวลาการตั้งครรภ์ของเหมียวมาคำนวณย้อนกลับไปแล้วก็พบว่าเวลาเกิดเหตุนั้นเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่พิภพไปส่งเธอที่คอนโดฯ พอดิบพอดี งานนี้หลักฐานจึงค่อนข้างชี้ไปที่พิภพอย่างไม่ต้องสงสัย
ตอนนั้นเป็นช่วงชุลมุนวุ่นวายมาก ครอบครัวของพิภพถูกครอบครัวของเหมียวเรียกร้องให้รับผิดชอบโดยการแต่งงาน แม้ว่าพิภพจะยืนยันเสียงแข็งว่าไม่ได้เป็นคนทำเรื่องยังไงก็แต่สุดท้ายก็ไม่อาจที่จะเลี่ยงได้
ในเวลานั้น แม้โดยส่วนตัวแล้วเธอจะมีเรื่องกับพิภพอยู่ แต่อะไรหลายอย่างในตัวของเขาทำให้เธอเชื่อมั่นว่าเขามีความเป็นสุภาพบุรุษ ( กับผู้หญิงอื่นที่ไม่ใช่เธอ ) มากพอ ยิ่งเมื่อเธอกับศรายุทลองไปถามเจ้าของบาร์ที่ไปในวันนั้นก็ยิ่งมั่นใจหนักเข้าไปใหญ่ เพราะในวันนั้นพิภพไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เลยซักนิด มีแต่เหมียวเท่านั้นที่ดื่มเอาๆ จนต้องเดือดร้อนพิภพให้เป็นคนพากลับตามคำขอของเพื่อนเหมียว
สำหรับเธอกับศรายุทแค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เชื่อได้แล้วว่า เขาไม่ใช่พ่อของเด็กในท้องเหมียว แต่นั่นยังไม่พอที่จะช่วยชายหนุ่มให้พ้นข้อกล่าวหาได้ สุดท้ายเธอกับศรายุทจึงแอบไปบอกคุณลุงเกรียงไกรและคุณป้าทิพย์ศิณีออกปากให้เหมียวไปตรวจดีเอ็นเอของเด็กในท้องเสียเพื่อยุติเรื่องทั้งหมด ซึ่งทางฝ่ายพ่อแม่ของเหมียวก็เห็นดีด้วย ด้วยคิดว่าลูกสาวของตัวนั้นเป็นฝ่ายถูกกระทำ
แล้วผลก็ออกมาตามที่เธอคิดไว้ เด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกของพิภพ!! อันที่จริงแค่นี้มันก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะยุติเรื่อง แต่ดูเหมือนเหมียวจะยังไม่ยอมแต่เพียงเท่านี้
แล้วโชคจะไม่เข้าข้างเหมียว เมื่อวันหนึ่งขณะที่ศรายุทและเธอกำลังช่วยกันนั่งหาข้อมูลบางอย่างอยู่นั้น พวกเธอก็ไปเจอเว็บไซต์หนึ่งที่ลงภาพถ่ายและวีดีโอคลิปลับๆ ของเหมียวเข้า แม้จะเป็นวิธีที่โหดร้าย แต่ถ้านั่นจะทำให้พิภพซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์รอดพ้นจากความวุ่นวายครั้งนี้ เธอกับศรายุทก็จำเป็นต้องทำ
เธอกับศรายุทตัดสินใจเอารูปถ่ายกับวีดีโอคลิปซึ่งระบุวันที่ถ่ายไว้อย่างชัดเจนเหล่านั้นไปให้พวกผู้ใหญ่ดูแล้วนั่นก็ทำให้พฤติกรรมเหลวแหลกชอบเที่ยวกลางคืนและมั่วผู้ชายของเหมียวถูกเปิดเผยในที่สุด
สุดท้ายเหมียวก็ต้องไปอยู่เมืองนอกและไมได้กลับมากอีกเลยเพระทนรับความอับอายและการประณามจากสังคมไม่ไหว เนื่องจากช่วงที่มีเรื่อง เหมียวเป็นคนไปโวยวายให้ข่าวกับหนังสือพิมพ์เพื่อหวังจะกดดันครอบครัวของพิภพและเพราะตัวชายหนุ่มเองและครอบครัวของเขานั้นค่อนข้างมีหน้ามีตาในสังคมพอสมควร ข่าวนี้จึงดังครึกโครมและรู้กันไปทั่ว ดังนั้นพอความจริงถูกเปิดเผย ชาวบ้านชาวเมืองก็ต้องรู้อีกเช่นกัน
สรุปแล้วงานนี้พิภพก็รอดตัวไปได้ แถมยังต้องติดหนี้เธอกับศรายุทอย่างมากมาย ตอนนั้นเธอรึก็นึกว่าชายหนุ่มจะทำดีกับเธอและเลิกหาเรื่องเธอซักที แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะเขายังรักษาระดับความยียวนกวนอารมณ์เธอได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน จนเธอเคยคิดจะแอบไปขโมยผลการตรวจดีเอ็นเอในคราวนั้นมาแก้เสียใหม่แล้วเอามาประกาศออกสื่อให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยด้วยซ้ำแต่เธอก็ได้แค่คิดเท่านั้น
นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายสิบเรื่องปวดหัวของเธอที่มีเขาเป็นต้นเหตุ คิดๆ ไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเธอกับเขาทำกรรมร่วมกันมาก่อน ก็คงเพราะฟ้าดินท่านเห็นว่าชีวิตของเธอมันธรรมดาเกินไป จึงได้ดลบันดาลให้มีเขามาคอยตามรังควาญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอย่างนี้เป็นแน่
แถมตอนนี้คู่กรรมของเธอก็กำลังทำเรื่องปวดหัวให้เธอยิ่งกว่าแต่ก่อนเสียอีก เพราะพ่อเจ้าประคุณเล่นเปลี่ยนพฤติกรรมชนิดจากหลังฝ่าเท้ามาเป็นหน้ามืออย่างรวดเร็วเสียยิ่งกว่าลมเพลมพัด จนตอนนี้ทำเอาเธอสับสนไปหมด แถมดูท่าว่าไอ้อาการสับสนของเธอมันจะลามเข้ามาถึงหัวใจเข้าแล้วเสียด้วยซิ ใครก็ได้ช่วยบอกที ว่าตอนนี้นายนั่นกำลังคิดจะทำอะไรฉันกันแน่เนี่ย!!
ความคิดเห็น