คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ผิดแผน
กริ๊ง........ กริ่งหน้าประตูรั้วไม้สีเข้มขนาดใหญ่ส่งเสียงร้องดังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ประตูไม้เล็กๆ ด้านข้างจะเปิดออก เผยให้เห็นร่างบางของหญิงสูงอายุคนหนึ่งซึ่งเธอจดจำได้เป็นอย่างดียืนส่งยิ้มมาให้
“สวัสดีค่ะป้าอุ่น ไม่เจอกันนานเลย รินคิดถึงป้าอุ่นจัง” หญิงสาวยกมือไหว้ก่อนจะตรงเข้าสวมกอดหญิงชราไว้แน่น อุ่นเรือนหัวเราะน้อยๆ มือบางเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบศีรษะของหญิงสาวรุ่นหลานเบาๆ อย่างเอ็นดู
“ป้าเองก็คิดถึงหนูรินเหมือนกันจ๊ะ ไม่มาเยี่ยมกันซะนาน นึกว่าจะลืมยายแก่ๆ คนนี้ซะแล้ว” หญิงชราว่าด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจเรียกรอยยิ้มจากคนอ่อนวัยกว่า
“ป้าอุ่นไม่เห็นแก่เลยแค่เจ็ดสิบนิดๆ เอง อีกอย่างยังแข็งแรงกระฉับกระเฉงกว่ารินอีก”
“ไม่ต้องมาทำปากหวานเอาใจคนแก่หน่อยเลยป้ารู้ทันหรอกน่า ยังไงป้าก็ไม่หายโกรธหรอกที่หนูรินไม่มาเยี่ยมป้าที่บ้านนี้เลยตั้งแต่งานวันเกิดของหนูวีเมื่อหลายปีก่อนนั้นน่ะ” หญิงชราพูดเสียงกระเง้ากระงอด
“โถๆๆ ป้าอุ่นก็ หนูน่ะอยากมาใจจะขาดอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดที่ว่าคนบ้านนี้บางคนไม่ต้อนรับหนูล่ะก็นะ ว่าแต่วันนี้ที่นี่มีงานอะไรกันรึเปล่าคะ ทำไมดูบนเรือนสว่างผิดปกติ” หญิงสาวทัก ก่อนจะชะเง้อไปยังเรือนไทยหลังใหญ่ที่เห็นอยู่ไกลๆ ด้านหลังของหญิงชรา
“งานเลี้ยงวันเกิดคุณหนูผักบุ้งไงล่ะจ๊ะ ไปกันเถอะจ๊ะ คุณๆ เขากำลังรอหนูรินอยู่นะจ๊ะ”
แล้วหญิงชราก็ออกเดินนำไปพร้อมกับหิ้วถุงใส่ของใช้ของเจ้าสีฝุ่นไปให้ด้วย ไม่เปิดโอกาสให้สลิลนรีได้ถามหรือปฏิเสธนอกจากก้มหน้าก้มตาหิ้วกรงใส่สีฝุ่นตามไป ทั้งสองผ่านสวนกว้างที่บัดนี้ตะเกียงบนยอดเสาดินเผาสูงระดับเอวซึ่งตั้งกระจายอยู่ตามสวนและทางเดินกำลังส่องสว่างให้พอมองเห็นรอบข้างได้เพียงลางๆ
“สวนนี้ไม่เปลี่ยนไปเลยนะคะ เห็นแล้วนึกถึงเมื่อห้าปีก่อนที่หนูมาที่นี่เลย” หญิงสาวเอ่ย
“ถ้าจะเปลี่ยน ก็คงมีแต่เจ้าต้นลีลาวดีที่หนูรินกับพ่อซันให้มาเป็นของขวัญวันเกิดคุณหนูวีนั่นแหละจ๊ะ ที่โตเอาๆ แถมออกดอกซะทั่วต้นเลย” หญิงชราชวนคุยไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทั้งสองขึ้นมายืนอยู่กลางลานบ้านบนเรือนไทยหลังใหญ่
“รอตรงนี้ก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวป้ามา”
แล้วป้าอุ่นก็ผละจากไป ปล่อยให้สลิลนรียืนมองนั่นมองนี่ไปเรื่อยๆ ก่อนจะตัดสินใจเดินตรงไปยังเก้าอี้หวายบุด้วยเบาะหุ้มผ้าดิบสีขาวตัวหนึ่งที่มุมนั่งเล่น หากยังไม่ทันที่เธอจะได้นั่ง เสียงร้องกับเสียงวิ่งตึงตังก็ดังเข้ามาใกล้ตัวอย่างรวดเร็ว และก่อนที่เธอจะทันได้เห็นว่าต้นเหตุของเสียงอึกทึกนั้นคืออะไร ร่างเล็กๆ สองร่างก็โถมเข้าใส่เธอเต็มแรง ส่งผลให้เธอเสียหลักลงไปนอนหงายท้องกับพื้นไม้กลางลานบ้านเสียงดังสนั่น พร้อมกับเสียงใสๆ สองเสียงแข่งกันยิงคำพูดใส่เธอเป็นชุดจนเธอฟังไม่รู้เรื่อง
“น้องบุ้งน้องเมย์ ไปนั่งทับน้าเขาอย่างนั้นได้ยังไงกันคะ” เสียงใสกังวานราวระฆังแก้วดังขึ้น ส่งผลให้ร่างสองร่างที่สลิลนรีเพิ่งจะได้เห็นชัดๆ ว่าเป็นเมย์กับผักบุ้งลุกออกจากตัวหญิงสาวในทันที พร้อมกับขอโทษขอโพยเธอยกใหญ่ก่อนจะวิ่งไปกอดบิดามารดาซึ่งกำลังก้มหน้ามองสลิลนรีที่นอนแผ่หลาอยู่
“เจ็บมั้ยนั่น ล้มลงไปเสียเสียงดังสนั่นขนาดนั้น” หนุ่มใหญ่ร่างสูงกำยำ หน้าและผิวเข้มคมหล่อบาดใจสาวเอ่ยขึ้น พร้อมกับยื่นมือมาตรงหน้า
“ไม่มากค่ะ หนักกว่านี้เคยมาแล้ว ขอบคุณค่ะพี่กรที่ช่วย” หญิงสาววางมือบนมือใหญ่แข็งแรงนั้นก่อนจะฉุดตัวเองลุกขึ้นยืนแล้วหันไปคว้าสีฝุ่นออกจากกรงที่กลิ้งโคโล่อยู่ใกล้ๆ เท้าเธอขึ้นมา เจ้าแมวน้อยซุกใบหน้าเข้ากับอกเธอในทันทีด้วยความตกใจ
“รู้สึกว่าจะหนักขึ้นมาหน่อยนะเรา” ธนากรเย้า ส่งผลให้สลิลนรีซึ่งกำลังปลอบสีฝุ่นหันมาค้อนตากลับ
“หยาบคาย!!”
แต่คำพูดนี้หาใช่มีแค่เสียงของเธอคนเดียวเท่านั้น แต่มีคนที่ร่วมประสานด้วยคือนพิดา หรือพี่น้ำหวาน ภรรยาวัยสามสิบกลางๆ ของธนากรอีกคน แล้วคุณสามีหนุ่มก็ได้รับฝ่ามือจากภรรยาที่รักฟาดเข้าให้ที่ท่อนแขนแข็งแกร่งเสียงดังสนั่น
“พูดอย่างนี้กับผู้หญิงได้ยังไงกันคุณนี่”
“โหคุณ พอเจอน้องสาวสุดหวงหน่อยล่ะลงไม้ลงมือกับผมเลยนะ อย่างนี้มันต้องเอาคืน”
“อย่าเชียวนะพี่กร ไม่งั้นรินเอาคืนแทนพี่น้ำหวานนะ” สลิลนรีขู่แบบไม่จริงจังนักก่อนจะวิ่งเข้าไปกอดนพิดาแน่น หนุ่มใหญ่จึงทำได้แค่ชี้หน้าคาดโทษภรรยาของตัวเองยิ้มๆ เพียงเท่านั้น ก่อนจะจูงเด็กๆ เข้าบ้านไป ปล่อยให้สองสาวพูดคุยกันตามลำพัง
ถามสารทุกข์สุกดิบกันพอหอมปากหอมคอแล้ว นพิดาก็พาสลิลนรีมาที่ห้องรับประทานอาหารขนาดใหญ่ ซึ่งตอนนี้สมาชิกทุกคนในบ้านต่างมาอยู่รวมกันอย่างพร้อมหน้า
สลิลนรีเดินเข้าไปไหว้คุณเกรียงไกรและคุณทิพย์ศิณีซึ่งดูจะดีใจมากที่ได้เห็นเธอ ก่อนที่เธอจะผละไปทักทายพิภัทธและวิภาวี จงใจละเลยใครบางคนในที่นั้นซึ่งมองเธอตาไม่กระพริบไปเสียเฉยๆ ซึ่งฝ่ายถูกลืมนั้นก็คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าจะต้องเจอแบบนี้ จึงทำเพียงแค่มองเธอยิ้มๆ เท่านั้น
“แล้วนี่เราทานข้าวมารึยังล่ะ” คุณเกรียงไกรถามขึ้น
“ยังเลยค่ะคุณลุง กะจะมาจัดการธุระกับคนแถวนี้ให้เสร็จแล้วค่อยกลับไปทานที่หอน่ะค่ะ” หญิงสาวตอบก่อนจะปรายตาไปมองพิภพที่ยังคงจ้องมองเธอแวบนึง ก่อนจะหันกลับมาหาผู้อาวุโสทั้งสอง
“แหมๆๆ หนูรินล่ะก็ ไหนๆ ก็มาแล้ว อยู่ทานข้าวทานปลาคุยกันก่อนซิจ๊ะ หอเราก็อยู่แค่นี้เองไม่ใช่เหรอ” คุณทิพย์ศิณีออกปากเชิญ
“อย่าดีกว่าค่ะคุณป้า หนูเกรงใจ แล้วอีกอย่างงานนี้งานเลี้ยงวันเกิดของผักบุ้ง เป็นงานในครอบครัว หนูเป็นคนนอกค่ะ” หญิงสาวตอบอย่างเกรงใจ
“คนนอกอะไรกันล่ะเราก็ คิดมากไม่เข้าเรื่องจริงๆ“ ธนากรว่าพร้อมกับยกมือขึ้นยีหัวเธอเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยวเหมือนในอดีตที่เคยทำ
“นั่นซิจ๊ะริน ในเมื่อซันเป็นลูกชายของบ้านนี้ เราซึ่งเป็นน้องสาวร่วมสาบานของซันก็ถือว่าเป็นลูกสาวของบ้านนี้เหมือนกัน แล้วอันที่จริงคุณพ่อกับคุณแม่เองก็เคยบอกให้เราน่ะเรียกท่านว่าพ่อกับแม่มาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอจ๊ะ” นพิดาว่า
“ก็มีคนขี้หวงแถวนี้บางคนห้ามรินเรียกนี่คะพี่น้ำหวาน อันที่จริงไม่ต้องบอกก็ได้ รินเองก็ไม่ได้อยากมีพี่ชายนิสัยเสียแบบนายขี้หวงคนนั้นเหมือนกันล่ะค่ะ”
หญิงสาวลอยหน้าลอยตาแขวะ ‘คนขี้หวง’ ในระยะเผาขน ส่งผลให้คนโดนพาดพิงถึงสำลักน้ำที่เพิ่งจะยกขึ้นดื่มในทันที.... เรื่องผ่านมาตั้งเกือบแปดปีเข้าไปแล้ว ยังอุตส่าห์จำได้อีกหรือเนี่ย เรื่องอื่นมีให้จำตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมต้องมาจำเรื่องแบบนี้นะ
“นี่ยังไม่นับวีรกรรมวีรเวรอีกสารพัดเรื่องที่เขาสรรหามาแกล้งรินอีกนะคะพี่น้ำหวาน ถ้าให้ฟ้องล่ะก็สามวันสามคืนรินก็ยังฟ้องไม่จบ” หญิงสาวได้ทีฟ้อง พาให้ชายหนุ่มโดนคนทั้งบ้านหันมามองเป็นตาเดียว... ไปทำเรื่องเขาไว้เองแบบนี้ มันน่าตกปากช่วยเหลือมั้ยเนี่ย!!
“เอาล่ะๆ ช่างนายขี้หวงนั่นไปก่อนแล้วกันนะริน รับรองว่าวันนี้เขาไม่คัดค้านขัดขวางอะไรรินแล้วล่ะเรารับรอง อยู่ทานข้าวด้วยกันเถอะนะ แม่เราอุตส่าห์ลงมือทำเองแถมเอ่ยปากชวนรินเองอีกด้วยนะ รินจะหักหาญน้ำใจแม่เราได้ลงคอเชียวเหรอจ๊ะ” วิภาวีปรายตามามองเธอด้วยสายตาออดอ้อน
“คือ เราก็อยากอยู่นะวี ถ้า
“
“ถ้าอะไรเหรอ” วิภาวีย้อนถาม ทำให้สลิลนรีนั้นมีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจขึ้นมาในทันใด
“เออ
ถ้า” ถ้าพี่ภพของวีไม่มองเราด้วยสายตาแปลกๆ แบบนั้นตลอดเวลาน่ะซิ หญิงสาวแอบต่อประโยคในใจ ก่อนจะปรายหางตาไปมองคนที่ส่งสายตาเป็นประกายแปลกๆ มาให้เธอ ชวนให้เธอรู้สึกขนลุกยังไงชอบกล ส่งผลให้พิภพซึ่งนั่งมองเธออยู่เดินเข้ามาพูดพึมพำข้างๆ หูเธอเร็วๆ
“ถ้าไม่ตกลง ผมจะถือว่าสัญญาเราเป็นโมฆะนะครับ”
หญิงสาวมองเขาอย่างตกตะลึง ชายหนุ่มยักคิ้วพร้อมกับส่งยิ้มให้เธออย่างจงใจจะกวนอารมณ์ ก่อนจะเดินผ่านเธอไป สลิลนรีได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างนั้นพร้อมกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไปบ่นแช่งชักหัก
กระดูกเขาอยู่ในใจไป...กรี๊ดดดดดดดดด พูดออกมาอย่างนี้ได้ไงตาบ้า!! มันน่าจับไปฆ่าหมกสวนซะจริงๆ ให้ตายเถอะ ในที่สุดเธอก็ต้องตกปากรับคำในที่สุด เห็นแก่สีฝุ่นหรอกนะยะ!!
“ว่าแต่เราดีกว่า ตอนนี้เป็นยังไงบ้างล่ะ ใช้ทุนเหนื่อยมั้ย” ธนากรหันมาถามสลิลนรีที่บนตักมีสีฝุ่นนอนแหม่ะให้ลูบอย่างสบายอารมณ์หลังจากที่เมย์พาผักบุ้งออกไปเล่นกับเจ้าหมาน้อยน่ารักที่เพิ่งซื้อมาเมื่อตอนบ่ายที่ลานโล่งกลางบ้านโดยมีป้าอุ่นตามไปคอยดูแล
“เหนื่อยกายแต่ไม่เหนื่อยใจค่ะพี่กร คนไข้ที่นี่น่ารักค่ะเลยมีกำลังใจทำงานเยอะเลย”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะจ๊ะ เออใช่ ป้าจะถามหนูมาตั้งนานแล้ว นั่นแมวของหนูเหรอจ๊ะ” คุณทิพย์ศิณีถามขึ้นก่อนจะชี้ไปยังสีฝุ่นที่เงยหน้าขึ้นมองหน้าคนนั้นคนนี้ตาแป๋ว
“ใช่ค่ะ เจ้านี่ของหนูเองชื่อสีฝุ่น” หญิงสาวว่าก่อนจะอุ้มมันขึ้นมาแนบอก
“น่ารักจังเลยริน ไปได้มาได้ไงจ๊ะเนี่ย” นพิดาถามขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบหัวสีฝุ่นเล่นอย่างเอ็นดู
“พอดีตอนไปเดินตลาดนัดเมื่อบ่ายวันนี้ เจ้าตัวแสบนี่เดินเข้ามาหารินน่ะค่ะ พอรินอุ้มขึ้นมามันก็กางเล็บเกาะเสื้อรินแน่นไม่ยอมปล่อยเลย ขนาดให้คุณภพกับเจ้าของร้านช่วยกันแงะ มันยังไม่ยอมหลุดเลยล่ะค่ะ รินก็เลยต้องรับมันมาเลี้ยงอย่างที่เห็นนี่แหละ”
“แล้วนี่เราน่ะอยู่หอไม่ใช่เหรอ แล้วอย่างนี้จะเลี้ยงสัตว์ได้ยังไงกันล่ะ” ธนากรถามขึ้น
“ก็เพราะเลี้ยงไม่ได้ไงครับ เขาถึงมาที่นี่” พิภพเอ่ยขึ้น
“หมายความว่ายังไงกันครับพี่ภพ” พิภัทธถามขึ้น (ตามบทที่ได้รับมอบหมายไว้)
“ก็หมายความว่า เขาจะขอเอาสีฝุ่นมาฝากไว้ที่บ้านหลังนี้ ส่วนตัวเองก็จะกลับไปอยู่ที่หอ แล้วจะคอยมาป้อนข้าวป้อนน้ำสีฝุ่นเองทุกวันไงล่ะ” ชายหนุ่มตอบ
“ทำไมต้องทำอะไรให้วุ่นวายด้วยล่ะลูก มาอยู่ด้วยกันที่นี่เลยก็ได้นี่จ๊ะ” คุณทิพย์ศิณีเอ่ยขึ้น ทำเอาสลิลนรีตกใจจนเกือบทำสีฝุ่นตกจากตัก
“ไม่ดีมั้งคะคุณป้า หอรินเองก็อยู่แค่นี้เองขับรถไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงที่นี่แล้ว ไปกลับเช้าเย็นสบายมากค่ะ แล้วอีกอย่าง นามสกุลคุณป้าก็ออกจะดังในวงสังคม ขืนมีข่าวออกมาว่าหนูเข้ามาอยู่ในบ้านนี้ด้วยมันจะดูไม่ดี” หญิงสาวให้เหตุผลที่เธอเห็นว่าน่าจะฟังขึ้นที่สุด
“เราเองนั่นแหละที่คิดมาก ที่นี่ต่างจังหวัดนะ จะมีปาปารัซซี่แถวไหนมาคอยตามถ่ายรูปเราไปลงข่าวกัน ถ้าพ่อแม่พี่ชวนเราไปอยู่บ้านที่กรุงเทพ หรือเป็นพี่ เจ้าภพ หรือเจ้าภัทธชวนเราไปอยู่ที่คอนโดค่อยว่ากันไปอย่าง” ธนากรค้านขึ้น
“แต่มันก็ดูไม่ดีอยู่ดีนั่นแหละค่ะพี่กร พ่อแม่รินจะว่ายังไงถ้ารู้ว่ารินจู่ๆ ก็ออกจากหอมาอยู่ที่นี่ พวกท่านได้ตามมาสวดรินถึงนี่แน่ๆ ที่ทำอะไรไม่เกรงใจคุณลุงคุณป้าแบบนี้”
“งั้นแสดงว่าถ้าพ่อแม่เราอนุญาต เราก็จะยอมมาอยู่ที่นี่งั้นใช่มั้ยล่ะ” พิภัทธถามขึ้น สลิลนรีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก นั่นทำให้ทุกคนที่นั่งรายล้อมเธออยู่นั้นยิ้มกว้างขึ้นมาในทันที
“ถ้างั้นพี่ก็ขอต้อนรับเรามาอยู่ที่นี่เลยแล้วกันนะ” นพิดาพูดยิ้มๆ แต่สลิลนรีนั้นงงเป็นไก่ตาแตกไปเรียบร้อยแล้ว
“ต้อนรับ? หมายความว่าไงคะพี่น้ำหวาน”
“ก็หมายความว่าตอนก่อนที่เธอจะมาถึงที่นี่น่ะ แม่เราจัดการโทรไปขอแม่เธอให้เธอมาอยู่ที่นี่เรียบร้อยแล้วน่ะซิ” วิภาวีตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“อะไรนะคะ!! คุณป้าโทรไปหาคุณแม่หนูแล้วเหรอคะ” หญิงสาวร้องเสียงหลงด้วยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“คุณจะลองโทรกลับไปถามคุณแม่คุณเองก็ได้นะครับ” พิภพท้า ซึ่งหญิงสาวก็ทำตามนั้น
จริงๆ เธอเอ่ยขอตัวออกมาจากห้องอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบกดโทรศัพท์ต่อสายไปที่บ้านที่กรุงเทพในทันที รอไม่นานเสียงของหญิงวัยกลางคนที่เธอคุ้นเคยมาตลอดชีวิตก็ส่งเสียงตอบกลับมา
“แม่!! นี่แม่จะให้หนูมาอยู่ที่บ้านคุณป้าทิพย์จริงๆ เหรอคะ” หญิงสาวยิงคำถามใส่ทันทีทำเอาคนที่เพิ่งจะรับโทรศัพท์งงไปครู่หนึ่งที่อยู่ดีๆ ลูกสาวคนโตของบ้านโทรมาโวยวายแบบนี้
“อ้าว!! นั่นรินเองเหรอ เป็นยังไงบ้างล่ะ สบายดีใช่มั้ย แล้วนี่ตอนนี้อยู่ที่ไหน ทำไมไม่โทรกลับมาที่บ้านบ้างเลย รู้มั้ยว่าแม่กับพ่อน่ะเป็นห่วงเราจะตายอยู่แล้วนะ กะจิตกะใจจะให้แม่คอยฟังข่าวจากน้าจิตกับน้าจักรตลอดสามปีที่เราไปใช้ทุนรึยังไงกัน...”
“เดี๋ยวแม่หยุดก่อน ตอบหนูมาก่อน แม่ให้หนูมาอยู่ที่บ้านคุณป้าทิพย์จริงๆ ใช่มั้ย” หญิงสาวร้องแทรกขึ้นก่อนที่คุณแม่ของเธอจะร่ายจบ เพราะถ้าขืนให้เธอรอจนแม่ของเธอพูดจบ คืนนี้เธอคงยังไม่ได้รับคำตอบในสิ่งที่ต้องการเป็นแน่
“ก็ใช่น่ะซิ!! ตอนแรกแม่ก็ไม่เห็นด้วยหรอกนะที่คุณทิพย์ศิณีมาขอให้เราไปอยู่ด้วยน่ะ แต่เห็นว่าเราน่ะสมัยเรียนอยู่เนี่ยสร้างความเดือดร้อนให้ทางนั้นไว้มากพอดู โดยเฉพาะกับตาภพ แม่เลยคิดว่าเราน่าจะไปไถ่โทษกับทางนั้นเขาซักหน่อยน่าจะดี
แล้วแต่ไหนแต่ไรแม่ก็ไม่อยากให้เราไปอยู่หอคนเดียวอยู่แล้วด้วย กลัวห้องจะรกเป็นรังหนู ไม่ก็เราลืมล็อคประตูห้องให้โจรมันเข้าไปยกเค้าหมดทั้งห้อง เพราะฉะนั้นมาอยู่กับคุณป้าเขานี่แหละดีแล้ว” เธอเน้นประโยคหลังให้บุตรสาวคนโตของเธอฟังอีกครั้งอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ดีตรงไหน นี่แม่ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าคุณภพกับพี่ภัทธก็อยู่ที่นี่ด้วย แม่อยากให้ลูกสาวแม่มีข่าวว่าเป็นอะไรๆ กับหนุ่มๆ บ้านนี้นักรึไง” หญิงสาวโวยวายกลับอย่างไม่ลดละ
“โอ๊ย!! ถ้ามันจะเป็นข่าวน่ะ มันไม่นเป็นข่าวมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วเหรอยะ ช่วงที่เราเข้าออกบ้านโน้นบ่อยๆ แถมไปสนิทสนมกับคนบ้านโน้นซะอย่างกับเป็นญาติกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน ไปเดินเที่ยวกับพี่ๆ เขาสองต่อสองก็ออกบ่อย ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับครอบครัวนั้นก็หลายครั้ง อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้นะ ดังนั้นไม่ต้องกลัวจะมาเป็นข่าวเอาอีตอนนี้หรอก”
“แต่... “
“หยุดเลยนะ ไม่ต้องมางอแงเลย ในเมื่อแม่พูดออกไปกับป้าเขาแล้ว แม่ไม่มีวันเปลี่ยนใจเด็ดขาด แล้วเราไปอยู่บ้านเขาก็ทำตัวดีๆ ล่ะ ช่วยงานเขา ดูแลคุณป้าเขาดีๆ ด้วย อย่าไปทำอะไรซุ่มซ่าม เปิ่นเป๋อเอ๋อให้เสียชื่อมาถึงแม่เข้าล่ะ”
จบประโยคสั่งเสียยาวเหยียด สายก็ถูกตัดไปในทันที ซึ่งไม่ว่าสลิลนรีจะเพียรโทรศัพท์กลับไปกี่ครั้งก็ไม่สำเร็จ เธอจึงได้แต่เดินคอตกกลับเข้ามาตามระเบียบ พาให้ทุกคนที่นั่งรอเธออยู่นั้นแทบจะร้องเฮออกมาเลยทีเดียวที่ทุกอย่างสำเร็จ ด้วยเพราะกว่าที่พวกเขาจะหาเหตุผลสารพัดสารเพมาอ้างกับคุณแม่ของหญิงสาวจนนางโอนอ่อนได้ก็ต้องช่วยกันพูดอยู่นานใช่ย่อย... เหนื่อยยิ่งกว่าวิ่งรอบสนามฟุตบอลสิบรอบเสียอีก
“ก็ได้ค่ะ รินจะมาอยู่ที่นี่ แต่ยังไงคงต้องขอรินจัดการย้ายของมาให้เรียบร้อยก่อน งั้นรินขอตัวกลับเลยแล้วกันนะคะ ทุกคนจะได้พักผ่อนกัน” หญิงสาวเอ่ยขอตัว ก่อนจะเดินลงจากเรือนกลับมาที่รถซึ่งจอดอยู่ด้านนอกโดยมีคนอื่นๆ เดินตามมาส่งด้วย แต่ทันทีที่เธอเดินมาถึงก็แทบจะกรี๊ด
“ใครมาเจาะลมยางรถเนี่ย!!”
ดีที่ว่าซอยแห่งนี้บ้านแต่ละหลังปลูกอยู่ห่างกันค่อนข้างมากด้วยเพราะเนื้อที่ของแต่ละบ้านค่อนข้างกว้าง ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าชาวบ้านชาวเมืองจะพากันตกใจตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร้องของเธอ หญิงสาวก้มลงสำรวจล้อทั้งสี่อย่างรวดเร็วก็พบว่ามันแบนติดพื้นถนนทั้งสี่ล้อ ทำเอาสลิลนรีอยากจะร้องไห้ ขณะที่คนอื่นๆ นั้นก็ได้แต่เหลือบตามองใครบางคนที่เดินรั้งท้ายสุดเป็นตาเดียวกัน
“เล่นแรงไปรึเปล่าภพ” คุณทิพย์ศิณีกพูดกับลูกชายเสียงเบา ซึ่งคนโดนว่านั้นกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแต่แววตากลับฟ้องออกมาอย่างชัดเจนว่างานนี้คงจะเป็นฝีมือใครไปไม่ได้นอกจากเขาที่แอบสั่งให้คนสวนจัดการปล่อยลมยางรถของสลิลนรีเอง
“คุณลุง คุณป้าพอจะมียางรถสำรองไว้บ้างมั้ยคะ” สลิลนรีเดินเข้ามาถาม ซึ่งทุกคนก็ส่ายหน้ากันอย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดกันไว้
“แล้วนี่จะให้รินทำยังไงดีล่ะคะเนี่ย” หญิงสาวถามขึ้นมาลอยๆ
“ก็คงต้องค้างที่นี่แล้วล่ะหนูริน” คุณทิพย์ศิณีเอ่ยขึ้นเสียงอ่อยราวกับจะขอโทษแทนลูกชายตัวดี
“เรื่องเสื้อผ้าไม่ต้องห่วงนะ ยืมของเราไปก่อนก็ได้” วิภาวีเสนอ
“แล้วรถเราล่ะ” สลิลนรียถามด้วยรู้สึกอดเป็นกังวลไม่ได้ด้วยเพราะพรุ่งนี้เป็นวันจันทร์ เธอต้องขับรถไปทำงานแต่เช้า ถ้าไม่มีรถเธอจะทำยังไงกันล่ะ
“เอาอย่างนี้แล้วกันนะหนูริน เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนเช้าลุงจะให้พวกคนงานไปตามช่างจากอู่มาซ่อมให้ วันพรุ่งนี้ตอนเย็นๆ ก็น่าจะเสร็จเรียบร้อย” คุณเกรียงไกรเสนอ ซึ่งหญิงสาวก็ไม่อยากปฏิเสธความมีน้ำใจของผู้อาวุโสให้มากเรื่อง
“แล้วพรุ่งนี้เช้าพอจะมีใครผ่านโรงพยาบาลบ้างมั้ยคะ รินจะขอติดรถไปทำงานน่ะค่ะ”
“มีอยู่คนเดียวเลยริน นายนั่นไง” ธนากรว่าพร้อมกับชี้นิ้วไปทาง ‘นายนั่น’ ที่ยืนยิ้มเผล่รออยู่ ส่วนสลิลนรีนั้นกำลังคิดหนัก ถ้าไปกับเขาตอนเช้า ทั้งวันเธอจะมีอารมณ์ทำงานมั้ยล่ะเนี่ย
“ตอนเช้าๆ ผมกำลังง่วงครับ สมองส่วนหาเรื่องยังตื่นไม่เต็มที่ เพราะฉะนั้นรับรองว่าผมไม่ทำให้คุณอารมณ์เสียแต่เช้าแน่นอน” พิภพตอบตรงราวกับเข้ามานั่งในใจเธอยังไงยังงั้น ก็จะไม่ให้เขารู้ได้ยังไงล่ะ ในเมื่อสีหน้าของเธอนั้นบ่งบอกสิ่งที่เธอกำลังคิดออกมาเกือบหมดอยู่แล้วนี่
เมื่อหาทางออกให้กับปัญหาทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว สลิลนรีก็จัดการเปิดกระโปรงรถเพื่อหยิบเครื่องใช้ส่วนตัวที่เธอมักจะติดรถเอาไว้เสมอออกมา ก่อนจะหันไปหยิบไดอารี่สีดำเข้าบ้านไปด้วย
ไม่กี่นาทีต่อมา ห้องนอนของเธอก็ถูกจัดเรียบร้อย สลิลนรีอุ้มสีฝุ่นเข้าห้องซึ่งทันทีที่วางมันลง เจ้าแมวน้อยก็กระโดดขึ้นไปนอนขดบนเตียงด้านหนึ่งในทันที หญิงสาววางสมุดบันทึกไว้บนโต๊ะไม้เตี้ยๆ ข้างเตียงก่อนจะนั่งลงบนเตียงนอนไม้สีขาวที่ขนาดทั้งใหญ่และนุ่มกว่าเตียงที่เธอนอนอยู่ที่หอเกือบสองเท่า หญิงสาวมองสำรวจรอบๆ ห้องอย่างพึงพอใจอยู่ครู่หนึ่งก็เดินไปหาวิภาวีที่อยู่ห้องตรงกันข้ามเพื่อขอยืมชุดนอน
ไม่นานนักหญิงสาวก็เดินกลับเข้าห้องมาอาบน้ำ ก่อนจะตัดสินใจเข้านอน แต่ไม่ว่าจะพยายามข่มตาหลับขนาดไหนก็นอนไม่หลับด้วยเพราะไม่คุ้นที่ สุดท้ายเมื่อการพยายามข่มตานั้นไม่เป็นผล เธอจึงเอื้อมมือไปเปิดไฟที่โต๊ะข้างเตียงแล้วลุกขึ้นวางหมอนพิงหัวเตียงแล้วนั่งในท่าสบายๆ ก่อนจะหยิบไดอารี่มาวางบนตัก สายตาเหลือบไปมองสีฝุ่นที่นอนขดบนหมอนอีกใบข้างๆ เธออย่างสบายอารมณ์ด้วยความอิจฉา
“เฮ้อ เคยได้ยินแต่ว่าแมวหลับตอนกลางวัน ไหงแกมาหลับอุตุตอนนี้ได้ล่ะเนี่ย” เธอบ่นเบาๆ ก่อนจะหันมาให้ความสนใจสิ่งที่อยู่ในมือเธออีกครั้ง มือบางเปิดหน้ากระดาษที่คั่นไว้ออก หน้ากระดาษสีฟ้าเทาจางๆ ที่มีลายเส้นบรรทัดและเกล็ดหิมะสีขาวกระจายอยู่ทั่วหน้ากระดาษ
'สำหรับผม 'ความรัก' คือสิ่งสำคัญและสวยงามที่สุดที่ผมสามารถมอบให้กับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งแม้ว่าเธอจะผ่านเข้ามาในชีวิตของผมไม่ถึงปี แต่เธอก็ได้เข้ามาสถิตในใจของผมตั้งแต่นาทีแรกที่เราได้คุยกัน แม้ว่าสุดท้ายแล้วความรักของผมจะเป็นสิ่งที่เธอคนนั้นจะไม่สามารถตอบรับได้ก็ตามที
สำหรับผู้หญิงคนนั้น ผมอยากบอกให้เธอได้รู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของเธอที่ตอบรับความรู้สึกของผมไม่ได้ และไม่ใช่ความผิดของเธออีกเหมือนกันที่ทำให้ทั้งผมหรือแม้แต่ตัวเธอเองต้องเจ็บปวด
ผมยอมรับ ว่าผมอาจจะตีความรู้สึกที่ผมมีให้เธอนั้นผิดไป เพราะผมไม่เคยสนิทกับใคร หรือมีเพื่อนเป็นผู้หญิงมาก่อนอย่างที่เธอบอกผมจริงๆ แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ผมจะขอฝากผ่านสมุดเล่มนี้ไปถึงเธอ
แซน คือชื่อของผู้หญิงคนแรกที่ผมมั่นใจที่จะให้นิยามของคำว่าคนรักแก่เธอ วันแรกที่ผมได้พบเธอ พูดตามตรงผมเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าผู้หญิงห้าวๆ ที่เข้ามาในห้องเรียนด้วยสภาพหางม้าหลุดรุ่ยไปคนละทิศละทาง หน้าแดงอย่างกับลูกตำลึงสุกเพราะวิ่งกระหืดกระหอบมาเข้าเรียน แถมยังคาบขนมปังคาอยู่ในปากคนนั้นจะสามารถเข้ามานั่งในใจของผมได้
ตลอดเวลาที่ผมได้พูดคุยและอยู่ใกล้ๆ เธอ เธอมักจะมีเรื่องราวและประสบการณ์สนุกๆ มาเล่าให้ผมได้ยิ้มและหัวเราะทุกครั้งไป และแม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนสวย ไม่ใช่คนดีเลิศเลอ ออกจะกระโดกกระเดกแบบผู้ชายด้วยซ้ำ แต่เธอก็ร่าเริง สดใสและตรงไปตรงมา ใบหน้าของเธอมักจะมีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอซึ่งสำหรับผมแล้ว ผมว่านั่นแหละที่เป็นความน่ารักของเธอ
จากวันแรกที่ไม่มีเธออยู่ในหัวใจ... นานวันเข้าเธอก็ค่อยๆ เข้ามาอยู่ในใจของผมทีละนิดๆ
จากไม่เคยคิด... ผมก็เริ่มคิดถึงและคิดถึงเธอมากขึ้นทุกวันๆ จนบางครั้งในเวลาเรียนผมก็เรียนไม่รู้เรื่องเพราะคิดถึงแต่เธอ
แล้วผมก็เริ่มรู้สึกชอบเธอมากขึ้นๆ จนเมื่อมารู้สึกตัวอีกที มันก็เปลี่ยนเป็นรักไปซะแล้ว สุดท้ายผมก็ตัดสินใจที่จะขอเธอเป็นแฟนในที่สุด
ผมรู้ตัวว่าผมนั้นเป็นคนดื้อแสนดื้อและไม่ยอมใครง่ายๆ แต่ผมได้ให้สัญญากับตัวเองตั้งแต่วันที่เธอบอกว่าเธอชอบผมและยอมเป็นแฟนกับผม (ไม่ว่าตอนนั้นเธอจะตอบรับเพราะโดนเพื่อนยุหรือไม่เต็มใจยังไงก็ตามแต่ ) ว่าผมจะยอมทำทุกอย่างเพื่อเธอและจะทำทุกทางเพื่อให้เธอหันมามองและรักผมให้ได้
แต่แล้ววันที่ผมไม่อยากให้มาถึง แม้ว่าผมจะพยายามอธิษฐานยังไงมันก็ไม่มีอะไรที่จะสามารถมาเปลี่ยนแปลงมันได้ วันที่เธอเอ่ยประโยคที่กรีดลึกลงมาในหัวใจของผม ได้อย่างเจ็บปวดและทรมานแสนสาหัสที่สุด
'เราชอบบอลนะ แต่เราคงรักบอลอย่างที่บอลต้องการไม่ได้'
ข้อความจากเธอทำเอาผมนั้นแทบล้มทั้งยืน พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบไปหมด รู้สึกมึนๆ ชาๆ ราวกับมีใครเอาอะไรหนักๆ มาฟาดลงบนศีรษะยังไงชอบกล
'บอลจะโกรธจะเกลียดแซนไปเลยก็ได้นะแซนไม่ว่า แต่อย่าเงียบแบบนี้เลยนะ ขอร้อง'
ข้อความอีกข้อความถูกส่งมาหลังจากที่ผมเงียบหายไปก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงที่ผมไม่อยากได้ยินที่สุดในชีวิต แซนกำลังร้องไห้ เสียงของเธอเศร้าและเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส ผมถึงได้รู้ว่าแซนเองก็ไม่ได้เสียใจน้อยไปกว่าผม เผลอๆ จะยิ่งกว่าผมเสียด้วยซ้ำ
ผมปลอบใจเธออยู่นาน ก่อนที่จะเป็นฝ่ายขอวางสายจากเธอ แล้วหลังจากวันนั้นผมก็ไม่โทรหาเธอเลย จนเมื่อผมทำใจได้บ้างแล้วนั่นแหละจึงโทรกลับไป เพราะถ้าขืนผมมัวแต่มานั่งซึมเศร้าและหายไปนานกว่านี้ เธอคงต้องฟุ้งซ่านหนักกว่าเดิมแน่ๆ
ทุกวันนี้เราสองคนกลายเป็นเพื่อนกันไปเรียบร้อยแล้ว ผมเคยย้อนกลับไปคิดในสิ่งที่เธอเคยพูดกับผมในวันนั้น ว่าเธอขอเพียงแค่ให้ผมพูดกับเธอ แล้วหลังจากนั้นผมจะเกลียด หรือจะไม่พูดกับเธออีกตลอดชีวิต เธอก็ยอม
แต่เธอจะรู้มั้ยว่าสำหรับผมแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าเธอจะทำผิดอะไรยังไงก็ตาม ผมไม่เคยคิดโกรธหรือเกลียดเธอได้เลยซักครั้ง ที่ร้ายยิ่งกว่านั้น ผมกลับยิ่งรู้สึกรักเธอมากขึ้นเสียด้วยซ้ำซึ่งมันคงจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานจนกว่าผมกับเธอจะแยกย้ายกันไปจริงๆ นั่นแหล่ะ
มาถึงตรงนี้ สิ่งที่ผมอยากจะบอกเธอก็คือ...
ขอโทษนะ ที่ทำให้เธอต้องร้องไห้ และขอโทษจริงๆ ที่ผู้ชายคนนี้ไม่สามารถตัดใจจากเธอได้เลยซักครั้ง เพราะสำหรับผมแล้วการตัดใจจากเธอ มันก็เหมือนกับการพยายามโยนก้อนหินลงไปในน้ำโดยไม่ให้น้ำกระชอกออกมาจากแก้ว แซนคงจะเป็นก้อนหินก้อนใหญ่มาก เพราะไม่ว่าผมจะโยนกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง น้ำมันก็ยังคงต้องกระชอกออกมาอยู่ดี เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมทำได้ จึงมีแค่การพยายามต่อไป แม้ว่าสุดท้ายมันอาจจะเป็นความพยายามที่ไร้ผลก็ตามที
ถึงแม้จะฝืนใจตัวเองที่ต้องพยายามทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีของเธอ แต่ถ้านั่นเป็นความต้องการของเธอและมันสามารถทำให้เธอยิ้มและหัวเราะกับผมได้อย่างเคยผมก็ยอม
ผมไม่ได้หวังให้อนาคตของผมกับของเธอมาบรรจบกัน แต่ผมขอแค่ให้เธอหยุดโทษตัวเองเสียที เพราะมันไม่ใช่ความผิดของเธอเลยซักนิดเดียวที่ไม่สามารถรักผมได้ ก็ในเมื่อหัวใจของคนเรามันไม่สามารถที่จะบังคับกันได้ง่ายๆ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรกับการมานั่งโทษตัวเอง ขอแค่ตอนนี้เธอรับรู้ว่า เธอยังมีผมอยู่เคียงข้างในวันที่เธอไม่มีใครและมีผมคอยให้กำลังใจเธออยู่ตรงนี้ เหมือนกับที่ผมรู้สึกว่ามีเธออยู่ตรงนี้ใกล้ๆ กับผมแค่นั้นก็พอแล้ว
บอล'
“เพราะหัวใจบังคับกันไม่ได้อย่างนั้นเหรอ ถ้างั้นต่อให้คนเราพยายามหลอกตัวเองยังไง มันก็ไม่มีประโยชน์ซินะ” สลิลนรีพูดกับตัวเองเบาๆ พร้อมกับปิดสมุดบันทึกลง หญิงสาววางสมุดบันทึกลงบนโต๊ะดังเดิมก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง พร้อมกับที่ภาพชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของเธอ
ตั้งแต่วันแรกที่เธอได้พบกับเขาจนมาถึงวันนี้ ช่างมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเสียเหลือเกิน แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะมีแต่เรื่องแย่ๆ ก็ตามที พูดตามตรง ในความรู้สึกของเธอ ตอนแรกเธอก็รู้สึกโกรธและรำคาญเขาอยู่เหมือนกัน แต่พอนานๆ เข้า มันกลับแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกสนุกไปได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าถ้าวันไหนเธอไม่ได้ต่อปากต่อคำกับเขาแล้ว มันจะรู้สึกว่าวันนั้นเธอลืมอะไรไปยังไงยังงั้นเลย
แถมที่น่าแปลกใจก็คือ ทำไม... ทั้งที่เขาคอยหาเรื่องเธอสารพัดแบบนั้น เธอกลับไม่เคยรู้สึกเกลียดเขาแบบจริงจังได้เลยซักนิด แต่เธอกลับบอกตัวเองกับคนอื่นๆ อยู่ตลอดเวลาว่าเธอเกลียดเขาราวกับจะย้ำให้มันฝังลงไปในใจ ทำไมกันล่ะ
“เฮ้อ... นอนดีกว่า“ หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะพยายามข่มตาอีกครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายเธอจึงตัดสินใจที่จะเดินไปหาอะไรอุ่นๆ มาทาน เผื่อว่ามันจะช่วยให้เธอหลับง่ายขึ้นบ้าง
สลิลนรีค่อยๆ กระถดตัวลงมายืนบนพื้นห้อง ก่อนจะจรดฝีเท้าเบากริบตรงไปยังประตูห้องช้าๆ ก่อนจะค่อยผลักบานประตูให้เปิดออกด้วยเสียงที่เบาที่สุด
ในเวลานี้ทั่วทั้งบ้านเงียบสงัดไปหมด ทันทีที่ออกจากห้องมาได้ หญิงสาวก็ค่อยๆ ย่องไปที่บันไดหน้าเรือนอย่างรวดเร็ว เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครจะตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเธอแล้ว เธอก็เดินลงจากเรือน ก่อนจะอ้อมไปทางหลังบ้านซึ่งเธอจำได้ลางๆ ว่าเป็นทางไปยังโรงครัวทันที
เรือนไม้ขนาดเล็กซึ่งแยกออกมาจากเรือนที่พักปรากฏให้เห็นตรงหน้า ต้นโมกและต้นมะลิสวนต้นไม่ใหญ่ไม่เล็กนักปลูกเรียงรายกันไปตามฉากกั้นไม้สีเข้มซึ่งตีกั้นไม่ให้คนภายนอกเห็นภายในได้สะดวกส่งกลิ่นหอมเย็นๆ มาตามสายลมพาให้รู้สึกสงบได้อย่างน่าประหลาด
ด้านหนึ่งของเรือนเป็นห้องครัวธรรมดาทั่วๆ ไป ในขณะที่อีกด้านหนึ่งนั้นจะเป็นส่วนที่ใช้เตรียมขนมโดยเฉพาะ ซึ่งในส่วนนี้จะมีอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้สำหรับทำทั้งขนมไทยและฝรั่งอย่างครบครัน มองดูแล้ว หญิงสาวก็อดชมคนออกแบบตัวเรือนและภายในตัวเรือนหลังนี้ไม่ได้ ซึ่งคงไม่ใช่ใครนอกจากคุณกฤษชัย พ่อของศรายุทนั่นเอง
เท่าที่เธอรู้เกี่ยวกับคุณเกรียงไกรและคุณกฤษชัยก็คือทั้งสองเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนในโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดนี้จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยทั้งสองก็แยกย้ายกันไปเรียนในคณะที่ตัวเองใฝ่ฝัน โดยคุณกฤษชัยนั้นหันไปเรียนทางด้านสถาปัตย์ในมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดัง ในขณะที่คุณเกรียงไกรนั้นเรียนทางด้านวิศวกรรมและการบริหารที่ต่างประเทศ
จนกระทั่งทั้งสองเรียนจบก็หันมารวมหุ้นกันสร้างบริษัทของตัวเองโดยอาศัยทุนทรัพย์ที่ตัวเองมีอยู่และการร่วมหุ้นกับเพื่อนๆ ที่รู้จักกัน และเพราะความขยัน ความเอาใจใส่และความทุ่มเทที่ทั้งสองคนมี บริษัทเล็กๆ ที่มีพนักงานเพียงไม่กี่สิบคนในวันนั้นได้กลับกลายมาเป็นบริษัทไทยบิวท์อินดัสทรี้ บริษัทรับออกแบบ ตกแต่งและก่อสร้างที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้าของประเทศ และเป็นที่รู้จักพอสมควรในต่างประเทศอย่างในทุกวันนี้
สำหรับเรือนไทยหลังนี้ของคุณเกรียงไกร แต่เดิมนั้นเป็นเรือนไทยโบราณซึ่งคุณเกรียงไกรได้รับมาเป็นมรดกตกทอด ซึ่งต่อมาคุณเกรียงไกรได้ขอวานให้คุณกฤษชัยออกแบบและตกแต่งให้เสียใหม่เพื่อใช้เป็นเรือนหอ
แม้ว่าตอนนี้พวกท่านทั้งสองจะถอนตัวจากงานในบริษัทไปแล้วก็ตาม แต่ความรู้ความสามารถรวมทั้งประสบการณ์ที่ผ่านมามากมายก็มีส่วนช่วยทายาทของท่านที่เข้ามารับช่วงต่ออยู่มากจนบริษัทเจริญรุ่งเรืองมีชื่อเสียงไปสู่ต่างประเทศอย่างภาคภูมิ
สลิลนรีเดินไปด้านหนึ่งของเรือนซึ่งเธอจำได้ว่ามีตู้เย็นขนาดใหญ่ตั้งอยู่ แล้วเธอก็ไม่ต้องผิดหวัง เมื่อวัตถุทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่สูงท่วมหัวเธอปรากฏให้เห็น
หญิงสาวเอื้อมมือไปยังมือจับบนตู้เย็นหลังนั้น หากก่อนที่มือจะสัมผัสมัน มือของใครบางคนก็คว้าหมับเข้าให้ที่ไหล่ของเธอ หญิงสาวชักมือกลับทันควันพร้อมกับรีบเบี่ยงตัวออกมาด้านข้าง ก่อนจะพุ่งหมัดตรงเข้าไปยังเป้าหมายบริเวณใบหน้าของคนที่เธอเห็นเป็นเพียงเงาตะคุ่มๆ ในทันทีด้วยความตกใจ
ผัวะ!! ร่างเงานั้นยกมือขึ้นมาหยุดหมัดของเธอไว้ได้ทัน ก่อนที่มันจะพุ่งเข้าใส่เป้าหมายได้อย่างฉิวเฉียด พร้อมกับเสียงทุ้มแสนคุ้นหูพูดขึ้นมาเบาๆ
“ผมเองครับคุณริน พิภพไงครับ”
เสียงทุ้มนั้นเธอจำได้ไม่มีวันลืม แต่เพื่อความแน่ใจหญิงสาวจึงรีบสะบัดมือที่ยังคงกำหมัดไว้ออกจากมือของเขาเร็วๆ ก่อนจะถอยกรูดไปเปิดไฟกลางห้องขึ้น ดวงตาโตกระพริบวิบไหวบนใบหน้าที่แสนคุ้นเคยคู่นั้นปรากฏให้เห็นชัดเจน ชายหนุ่มยิ้มให้เธอน้อยๆ ส่งผลสลิลนรีระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“คราวหน้าคราวหลังก็ช่วยเปิดไฟไม่ก็ให้สุ่มให้เสียงกันก่อนนะคุณ เล่นแบบนี้รู้มั้ยว่าฉันตกใจ นี่ถ้าบังเอิญฉันมีมีดอยู่ในมือด้วยจะทำยังไง ไม่กระสวกเอาตับไตไส้พุงคุณออกมากองตรงหน้าเอาเหรอ”
เธอว่า ส่วนเขานั้นก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ ยอมรับผิดแต่โดยดี และคิดขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ได้ดลบันดาลให้คนตรงหน้าเขาถือของมีคมเอาไว้ตามที่เธอว่าจริงๆ แถมยังช่วยให้เขายกมือตัวเองขึ้นกันหมัดของเธอไว้ได้ทันไม่งั้นเขาได้ลงไปนอนหมดสติกับพื้นแน่ๆ
“ขอโทษครับ ผมไม่คิดว่าคุณจะตกใจขนาดนี้” ชายหนุ่มเอ่ยขอโทษเบาๆ ส่งผลให้คนที่ยังใจเต้นรัวอยู่นั้นหันมาค้อนขวับเข้าให้
“ลองเป็นคุณคงจะไม่ตกใจงั้นซิถ้าจู่ๆ มีมือใครมาคว้าหมับเข้าให้เวลาอยู่คนเดียวในที่มืดๆ แบบนี้น่ะ” หญิงสาวแขวะก่อนจะเดินไปที่ตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำดื่มเย็นๆ มาดับอารมณ์ตื่นเต้นลง
“แล้วคุณลงมาทำอะไรที่นี่ล่ะ” สลิลนรีหันมาถามพิภพที่เดินไปทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ไม้ตรงโต๊ะสำหรับเตรียมอาหารกลางห้อง
“ก็ผมกำลังจะเดินมาชงกาแฟแล้วพอดีเห็นหลังของใครเดินอยู่บนเรือนไวๆ ผมเลยตามมา มารู้ว่าเป็นคุณก็ตอนที่ยกมือขึ้นรับหมัดของคุณนั่นแหละ” ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ และนั่นก็ทำให้หญิงสาวเลิกสนใจเขาในที่สุด เธอเดินไปหยิบแก้วเซรามิกใบโตมาสองใบจากที่วางแก้วข้างอ่างล้างจาน ก่อนจะยื่นใบหนึ่งมาให้เขา ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองเธอราวกับจะถาม
“คุณบอกจะมาชงกาแฟไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวตอบเรียบๆ ก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะใกล้ๆ เขา ส่วนตัวเองนั้นเดินไปจัดการอุ่นนมให้ตัวเอง ส่วนพิภพนั้นก็เดินแยกไปชงกาแฟก่อนที่ทั้งคู่จะกลับมานั่งดื่มเครื่องดื่มของตัวเองเงียบๆ ที่โต๊ะกลางห้อง
ทั้งสองได้แต่นั่งอยู่อย่างนั้นเงียบๆ จนเมื่อหญิงสาวดื่มนมจนหมดแล้วจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้หมายจะเดินไปล้างแก้วที่อ่างล้างจานด้านหลังของชายหนุ่ม แต่ก่อนที่เธอจะหยิบแก้วของตัวเองขึ้นมา มือหนาของเขาก็คว้าเอาแก้วของเธอไปเสียแล้ว
“ผมล้างให้แล้วกัน คุณไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่มอาสาด้วยความหวังดี หากหญิงสาวกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“แค่ไม่ล้างแก้วน่ะไม่ได้ทำให้ฉันได้นอนมากขึ้นเท่าไหร่นักหรอกค่ะ”
สลิลนรีตอบพร้อมกับเอื้อมมือไปคว้าแก้วกลับมา แต่คราวนี้พิภพชักแก้วในมือหนีได้ก่อนที่มือบางจะเอื้อมถึง แล้วเขาก็ยืนขึ้นชูแก้วขึ้นสูงเหนือศีรษะ ส่งผลให้สลิลนรีซึ่งตัวเล็กกว่าเขามากต้องกระโดดตะกายเพื่อจะเอาแก้วคืนอย่างยากลำบาก ชายหนุ่มชักรู้สึกสนุกที่ได้แหย่เธอ เขาจึงยกแก้วสูงขึ้นไปอีกพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างสนุกสนานพร้อมกับก้มลงมองเธอเกาะตัวเขาพร้อมกับพยายามจะคว้าแก้วในมือเขาให้ได้
ส่วนสลิลนรีนั้นก็อยากจะกรี๊ดออกมาดังๆ ตามด้วยอัดผู้ชายร่างสูงใหญ่ตรงหน้าซักทีสองทีด้วยความหงุดหงิดถ้าไม่ติดที่ว่าตอนนี้มันมืดค่ำมากแล้วแถมที่นี่ยังไม่ใช่บ้านของเธอด้วย เพราะขืนเธอกรี๊ดออกไปคนที่นอนหลับอยู่บนเรือนใหญ่กับเรือนคนรับใช้ซึ่งอยู่ใกล้ๆ คงจะพากันแตกตื่นวิ่งกรูกันเมาที่นี่แน่ๆ แถมถ้าเธออัดเขาไม่ล้ม เธอคงโดนล้มเสียเองแน่ๆ
หญิงสาวกระโดดขึ้นคว้าแก้วอีกครั้ง หากคราวนี้มือของเธอเกิดปัดมือไปโดนมือของเขาอย่างแรง จนทำให้แก้วหลุดออกจากมือของชายหนุ่มลอยหวือลงมากระทบพื้นแตกกระจายไปทั่ว หญิงสาวอุทานออกมาเบาๆ ด้วยความตกใจ ก่อนจะหันไปยืนเท้าเอวปั้นหน้ายักษ์ใส่ชายหนุ่ม
“คุณนี่ตัวก่อกวนความสงบของฉันจริงๆ ให้ตายเถอะ”
พูดจบสลิลนรีก็เอื้อมมือคว้าถังขยะกับไม้กวาดที่เธอเห็นวางอยู่มุมหนึ่งของครัวมา ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยองๆ ข้างๆ ชายหนุ่มเพื่อเก็บเศษแก้วลงถังขยะ ระหว่างทำงานไปปากก็บ่นสรรเสริญเยินยอเขาไม่หยุด
"โอ๊ย!!"
เลือดสีแดงฉานไหลหยดลงมาจากรอยแผลบนนิ้วเรียวยาวของชายหนุ่ม หญิงสาวรีบทิ้งเศษแก้วที่เธอกวาดมาจากทั่วห้องครัวลงถังอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบวิ่งมากระชากมือของเขาให้ลุกขึ้นเดินมาที่อ่างล้างมือ
“เป็นไงล่ะ อยากเล่นอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังดีนัก” หญิงสาวว่าเข้าให้ขณะที่ก้มหน้าก้มตาล้างแผลให้กับเขา พยายามทำเป็นไม่สนใจแววตาไหวระริกแปลกๆ ของเขาและสัมผัสอุ่นๆ ที่ส่งผ่านจากมือของเขาที่เธอเกาะกุมเอาไว้ภายใต้สายน้ำเย็นที่ไหลรินลงมาจากก๊อกโลหะนั่นเสีย
“อย่ามองฉันแบบนั้นได้มั้ย ฉันขนลุก” เธอพูดเสียงอุบอิบ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกระดาษทิชชู่ที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ มากดที่แผลของเขาแล้วฉุกกระชากลากถูเขาให้เดินกลับขึ้นเรือนอย่างรวดเร็ว สลิลนรีพาพิภพมานั่งที่โซฟาตรงลานไม้โล่งกลางบ้าน ส่วนตัวเธอนั้นรีบดิ่งไปยังห้องรับแขกซึ่งอยู่ใกล้ๆ อย่างรวดเร็ว
หญิงสาวเปิดตู้ไม้เล็กๆ ซึ่งติดไว้บนผนังสูงจากพื้นค่อนข้างมากกันไม่ให้ผักบุ้งหรือเมย์เอื้อมถึงซึ่งเธอจำได้ว่าเป็นตู้ใส่ยาสามัญประจำบ้านและอุปกรณ์ปฐมพยาบาล เธอยืนสำรวจของในตู้อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะคว้ากระปุกใส่พลาสเตอร์ สำลี และเบตาดีนกลับมาหาคนที่ยังคงนั่งรอเธออยู่ที่เดิม
หลังจากที่สำรวจอย่างละเอียดแล้วว่าไม่มีเศษแก้วติดอยู่ในเนื้อให้ต้องมานั่งเขี่ย สลิลนรีก็เริ่มลงมือปฐมพยาบาลคนไข้ฉุกเฉินในทันที
"เบาๆ หน่อยซิคุณ ผมเจ็บนะ กดแรงขนาดนี้ไม่กลัวนิ้วผมหลุดออกมารึไงครับ"
ชายหนุ่มว่าเสียงโอดโอยข้างหูด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้บ่งบอกว่ากำลังเจ็บปวดเลยซักนิด เพราะมันฟังดูนุ่มๆ ชวนให้คนที่กำลังนั่งทำแผลให้อยู่นั้นรู้สึกใจหวิวๆ ยังไงชอบกล สลิลนรีเลยจัดการเพิ่มแรงกดลงบนแผลมากขึ้นเพื่อให้พ่อคนช่างเจรจาหยุดกระซิบกรอกหูเธอให้สติสตังกระเจิดกระเจิงไปมากกว่านี้เสียที ขณะที่ในใจก็ยังคงบ่นว่าเขาไปเงียบๆ... ทำคนอื่นเดือดร้อนแบบนี้ ฉันไม่เอามีดมาเฉือนซ้ำก็บุญเท่าไหร่แล้ว ยังจะมาเรื่องมากอีก
"คุณจะช่วยทำให้มันนิ่มนวลแบบในละครหน่อยไม่ได้หรือไงครับ"
ชายหนุ่มถามเริ่มรู้สึกเจ็บนิ้วขึ้นมาตะหงิดๆ หากสลิลนรีนั้นกลับสนองความต้องการของเขาด้วยการแปะหรือถ้าจะเรียกให้ถูกต้องคือตบพลาสเตอร์ลงบนแผลของเขาอย่างแรง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยท่าทียียวนกวนอารมณ์ในระดับอ่อนก่อนจะหัวเราะออกมาน้อยๆ
"ฉันคงทำให้ไมได้หรอกค่ะคุณภพ เพราะหนึ่ง ปกติคนที่โดนบาดน่ะควรจะเป็นนางเอกค่ะไม่ใช่พระเอก สอง ฉันไม่ใช่นางเอก ส่วนคุณก็ไม่ใช่พระเอกเหมือนกัน และสาม ฉันน่ะยังไม่ได้เมาถึงจะได้หันมาเล่นบทโรแมนติกกับคุณ"
พูดจบสลิลนรีก็ผละเอาอุปกรณ์ปฐมพยาบาลไปเก็บเข้าที่ ก่อนจะเดินกลับห้องนอนของตัวเอง แต่เมื่อเธอเดินมาถึงห้องก็พบว่าชายหนุ่มตามมายืนส่งยิ้มหน้าบานอยู่ข้างหลัง สลิลนรีระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งหนักๆ ก่อนจะหันกลับไปมองเขา
“ห้องตัวเองไม่มีให้นอนรึไงคุณภพถึงได้มาเดินตามฉันต้อยๆ แบบนี้น่ะ” เธอถามด้วยท่าทีที่เริ่มออกอาการหงุดหงิดเล็กๆ
“ก็ถ้าผมบอกว่าไม่ คุณจะให้ผมนอนห้องเดียวกับคุณมั้ยล่ะครับ” เขาตอบกลับหน้านิ่ง ทำเอาสลิลนรีนั้นเบิกตาโพลงอย่างตกตะลึง พร้อมกับรู้สึกร้อนขึ้นมาที่บริเวณใบหน้าในทันใด
“จะบ้าเหรอคุณ!! ฉันยังไม่คิดสั้นขนาดจะเอาคุณมานอนห้องเดียวกับฉันหรอกนะ” หญิงสาวแหวกลับเสียงเบา
“ไม่ใช่ว่ากลัวอดใจไม่ไหวเหรอครับ” ชายหนุ่มแหย่กลับ รอยยิ้มยียวนปรากฏบนใบหน้าคม สลิลนรีหน้าแดงหนักเข้าไปอีกเมื่อเข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อกับเธอ ฝ่ามือบางถูกยกขึ้นมากำแน่นตรงหน้าเขาพร้อมกับสายตาข่มขู่
“คุณอยากโดนฆ่าหมกบ้านมากใช่มั้ยคุณภพ” หญิงสาวพูดเสียงเหี้ยม ซึ่งชายหนุ่มเองก็ฉลาดพอที่จะยกมือขึ้นยอมแพ้ ไม่ใช่เพราะเขากลัวเธอหรอกนะ เพียงแต่เขาไม่อยากทำให้เกิดเสียงดังจนคนทั้งบ้านแห่กันมาให้โดนอบรมจนไม่ได้หลับได้นอนต่างหาก แถมเผลอๆ ถ้านพิดา ธนากรและวิภาวีรู้เข้าว่าเหตุใดเขาถึงได้มาอยู่ที่หน้าห้องเธอได้ เขาคงโดนไม่ใช่น้อย
"ไม่ดีกว่าครับผมเกรงใจ ยังไงเชิญคุณเข้าห้องแล้วกันครับ“ พูดจบชายหนุ่มก็เบี่ยงตัวมายืนพิงผนังข้างๆ ประตูห้องของเธอ พร้อมกับส่งสายตาที่สลิลนรีสามารถแปลความหมายได้อย่างง่ายดายว่าหากเธอไม่เข้าห้องล่ะก็ เขาคงไม่ไปไหนจากหน้าห้องเธอเป็นแน่
“ขอบคุณที่อุตส่าห์เดินมาส่งค่ะ” สลิลนรีเอ่ยขอบคุณเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูเดินเข้าห้องไป
มือหนาทั้งสองข้างก็ถูกยกขึ้นยันบานประตูให้เปิดค้างเอาไว้ก่อนที่มันจะทันได้ปิดลง ไอร้อนจากกายของชายหนุ่มซึ่งอยู่ห่างไม่ถึงคืบแผ่กระจายมาจนเธอรู้สึกราวกับว่าเขากำลังโอบกอดเธออยู่ยังไงยังงั้น ตอนนี้หญิงสาวได้แต่ยืนนิ่งพร้อมกับมองเขาด้วยสายตาเป็นคำถาม ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายเต้นเร็วและแรงขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ใบหน้าคมก้มต่ำลงมาใกล้เธอมากขึ้น ก่อนจะเบี่ยงออกด้านข้างเพื่อกระซิบที่ข้างหูของเธอด้วยเสียงทุ้มนุ่มแฝงแววหวานอย่างแผ่วเบา หากหนักหน่วงพอที่จะทำให้ใจคนฟังนั้นอ่อนยวบจนแทบจะทรุดลงไปกองกับพื้น
“ฝันดีครับสาวน้อย"
สลิลนรีตอนรับในลำคอเสียงเบาก่อนจะก้มหน้าก้มตาหันหลังให้เขาแล้วปิดประตูลงกลอนอย่างรวดเร็ว แล้วเธอก็วิ่งปรู๊ดมานอนคลุมโปงขดอยู่บนเตียงพร้อมกับหลับตาปี๋ เสียงหัวใจยังคงเต้นรัวเร็วอยู่เช่นเดิม.... อ๊ายยยยย ใครก็ได้ช่วยทำให้ใจฉันเต้นช้าลงที!!
ดวงหน้าใสที่แก้มทั้งสองแดงเรื่อขึ้นด้วยความเขินอายปรากฏให้เห็นในสายตาในระยะที่เรียกได้ว่าใกล้เสียยิ่งกว่าใกล้นั่นทำให้เขาแทบจะข่มใจไม่ให้ก้มลงไปสัมผัสมันด้วยริมฝีปากไม่ได้
ยืนยิ้มอยู่คนเดียวอีกครู่หนึ่งเขาก็ตัดใจเดินกลับห้องของตัวเองที่อยู่อีกฟากหนึ่งของเรือน หากระหว่างทางซึ่งต้องผ่านลานที่สลิลนรีเพิ่งจะมานั่งทำแผลให้เขานั้น เขาก็พบเข้ากับบุคคลกลุ่มหนึ่งที่นั่งมองมาด้วยดวงตาวิบวับแฝงแววล้อเลียน
“แหมๆๆ พี่ภพนี่ใจร้อนจัง ไม่ทันไรก็มาหารินถึงห้องซะแล้ว อดใจไม่ไหวขนาดนั้นเลยเหรอคะพี่ชาย” วิภาวีแซว แววตาบ่งบอกว่ารู้เท่าทันผู้เป็นพี่ชัดเจน ส่งผลให้คนโดนจับได้บรรจงมอบมะเหงกลงบนศีรษะทุยสวยได้รูปของผู้เป็นน้องเสียหนึ่งทีเป็นรางวัล
วิภาวียกมือขึ้นกุมศีรษะป้อยๆ ก่อนจะหันไปฟ้องธนากรที่ยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ แล้วเลยต้องหลบฉากไปยืนอยู่ด้านหลังพี่ชายใหญ่เสียเลยเมื่อเห็นว่าตัวเองมีแนวโน้มจะได้ชิมมะเหงกอีกลูกสองลูก
“พูดอะไรเลอะเทอะน่ะวี ไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ตื่นไปทำงานสายอีกหรอก” พิภพว่าเสียงเรียบก่อนจะพยายามหลบฉากกลับห้องของตัวเอง ด้วยไม่อยากต่อปากต่อคำกับน้องสาวคนสวยที่รู้ทันเขาเสียหมดทุกอย่างให้เสียฟอร์มไปมากกว่านี้ แต่ก็ต้องถูกนพิดาซึ่งกำลังยืนกอดอกส่งยิ้มหวานเจี๊ยบมาให้เขาดักทางไว้เสียก่อน
“เราออกมาทำอะไรนอกห้องในเวลามืดๆ ค่ำๆ แบบนี้ล่ะภพ” ธนากรถามขึ้นมาบ้างด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
“พอดีผมกำลังทำงานอยู่แล้วเกิดง่วงขึ้นมาน่ะครับเลยว่าจะลงไปชงกาแฟดื่มให้ตาสว่างซักหน่อย เลยไปเจอรินเข้าโดยบังเอิญก็แค่นั้นล่ะครับ” พิภพตอบเสียงเรียบเช่นเดิม ซึ่งธนากรก็พยักหน้าเออออรับรู้ หากแววตานั้นกลับไม่ได้เรียบเฉยเลยซักนิด เพราะมันกำลังเป็นประกายระยิบระยับราวกับจะล้อเลียนเขายังไงยังงั้น
“แล้วก็บังเอิญไปทำแก้วแตกให้ยัยรินมานั่งกุมมือทำแผลให้ด้วยรึเปล่าจ๊ะภพ” นพิดาเอ่ยขึ้น
“ทำไมผมต้องลงทุนขนาดนั้นด้วยล่ะครับพี่น้ำหวาน เจ็บตัวเปล่าๆ”
“เจ็บตัวเปล่าที่ไหนล่ะคะพี่ภพ ได้นั่งใกล้ๆ ได้กุมมือ แถมได้เดินไปส่งเขาถึงห้องแบบนี้ กำไรน่ะซิคะไม่ว่า” วิภาวียิ้มยิงฟันหลิ่วตาให้พี่ชายอย่างล้อเลียน
“นี่ขนาดไม่ค่อยจะลงทุนนะครับพี่ภพ ถ้าลงทุนมากกว่านี้สงสัยยัยรินคงจะไม่รอดแน่ๆ ” พิภัทธพูด ขึ้นมาบ้าง หลังจากที่ฟังคนอื่นอยู่นาน
“แล้วแต่จะคิดแล้วกันครับ ผมขอตัวก่อนล่ะ ยังตรวจงานไม่เสร็จเลย” ชายหนุ่มเอ่ยขอตัวด้วยคร้านที่จะยืนอยู่ให้โดนหนักไปกว่านี้... ก็เห็นมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วจะมาพูดให้เสียฟอร์มทำไมกันเนี่ย แต่ขอโทษเถอะนะครับพี่น้องที่รัก เพราะผมน่ะไม่ได้ตั้งใจทำแก้วแตกแต่มันบังเอิญต่างหาก ชายหนุ่มคิดในใจก่อนเดินลิ่วๆ กลับห้อง
ย้อนกลับไปที่เหตุการณ์ระทึกในครัวเมื่อไม่กี่นาทีก่อนนั้น ใครๆ อาจจะมองว่าที่แก้วหลุดออกจากมือเขาได้อย่างง่ายดายทั้งที่สลิลนรีนั้นแค่กระโดดปัดนั้นเป็นเพราะเขาจงใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น ด้วยจังหวะตอนที่หญิงสาวกระโดดขึ้นปัดมือเขานั้น หน้าอกหน้าใจของแม่เจ้าประคุณดันมาชนเข้ากับอกของเขาเข้าโครมเบ้อเร่อโดยไม่ได้ตั้งใจเป็นเหตุให้เขาเผลอตัวคลายแรงมือที่จับแก้วไปชั่ววูบต่างหาก แต่เรื่องอะไรที่เขาจะต้องบอกเหตุผลที่แท้จริงออกไปให้พี่น้องของเขาเอามาแซวให้ได้อายทีหลังด้วยล่ะ!!
ทางฝ่ายธนากรนั้นเมื่อพิภพกลับเข้าห้องไปแล้วก็แทบจะหลุดหัวเราะออกมาดังๆ กับท่าทีของน้องชาย
“สงสัยคงต้องไปรายงานให้คุณพ่อกับคุณแม่ฟังและคอยระวังหลังให้ยัยรินซะแล้ว” ธนากรว่า ส่วนพิภัทธนั้นก็ได้แต่ยืนพิงผนังหัวเราะหึๆ อย่างขบขันในการกระทำของพี่ชายของตน
ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้ายที่เขาซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องเกิดหูดีได้ยินเสียงพิภพเดินออกจากห้องฝั่งตรงข้ามเข้า ด้วยความสงสัยเขาจึงตามไปเงียบๆ แล้วก็ทันได้เห็นพี่ชายกำลังตามใครบางคนซึ่งเขาเห็นเพียงแค่หลังไวๆ เขาคิดว่าเป็นผู้ไม่ประสงค์ดีจึงตัดสินใจไปตามคนอื่นมาเผื่อว่าจะได้ช่วยกันถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น แต่พอตามมาทันเขาก็เห็นพี่ท่านกำลังเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับแม่หนูสลิลนรีเสียแล้ว เขาจึงต้องผันตัวจากบทที่จะมาช่วยพระเอกจับโจรเป็นช่วยลูกแกะสลิลนรีที่อาจโดนหมาป่าพิภพตะครุบแทนนั่นแหละ... ไม่ได้อยากแอบดูนะครับพี่ แต่พอดีผมเห็นสวัสดิภาพของยายหนูรินสำคัญกว่าแค่นั้นเอง
ความคิดเห็น