คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ความบังเอิญ
"อ้าวพี่ซัน เพิ่งพักกลางวันเหรอครับ" เสียงทุ้มคุ้นหูทักขึ้นเมื่อกลุ่มคนทั้งห้าเดินมาถึงตลาดนัด ส่งผลให้พิภพรีบปล่อยมือของสลิลนรีโดยอัตโนมัติ ก่อนจะหันไปมองเจ้าของเสียงที่กำลังยืนส่งยิ้มมาให้
"แล้วนายล่ะมาทำอะไรที่นี่ พ่อกับแม่ล่ะ" ศรายุทถามพร้อมกับชะเง้อชะแง้มองหา
"กลับมาจากไปเที่ยวก็เกิดอยากหาต้นไม้มาลงสวนเพิ่มน่ะครับ ผมเลยต้องมาเป็นสารถีควบคนขนของกิตติมศักดิ์ให้เนี่ยล่ะ เดี๋ยวผมไปก่อนนะพี่ซันยังต้องเข้าไปยกอีกหลายกระถางเลย" ชายหนุ่มกล่าวขอตัวก่อนจะยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ซึมอยู่ตรงบริเวณขมับ
"ต้องการคนช่วยมั้ยรัน" สลิลนรีถามอย่างมีน้ำใจ พร้อมกับยื่นกระดาษทิชชู่ออกไปให้เขาที่หันกลับมาหาเธอ ชายหนุ่มยิ้มขอบคุณก่อนจะรับกระดาษนั้นมาซับเหงื่อที่พุดพรายราวกับก็อกแตก
“อย่าเลยริน เดี๋ยวเสื้อรินเลอะเอา รินยังต้องกลับไปทำงานต่ออีกไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่มค้านด้วยความหวังดี
"งั้นเดี๋ยวพี่ไปช่วยขนแล้วกัน" ศรายุทเสนอตัวก่อนจะยกมือขึ้นห้ามน้องชายที่ทำท่าจะเอ่ยปากค้าน “พี่มีชุดเปลี่ยนน่ะไม่ต้องห่วง ไปไอ้ภพ มาช่วยกันเดี๋ยวนี้เลย” ว่าแล้วศรายุทก็เข้าไปคว้าแขนของเพื่อนรักก่อนจะหันมาลากพิภพให้เดินตามโดยไม่ฟังคำใด
“งั้นดาวขอไปช่วยพี่ซันแล้วกันนะคะ” ดารารัตน์เสนอตัวเข้าช่วยอย่างแข็งขัน
“ถ้างั้นรินพาน้องเมย์ไปเดินเล่นอยู่แถวๆ โน้นแล้วกันนะคะ”
แล้วทั้งสามหนุ่มกับอีกหนึ่งสาวก็เดินจากไป สลิลนรีจึงหันมาหาเด็กหญิงที่ยืนอยู่ข้างตัวแทน
"เราไปซื้อขนมแล้วเดินดูอะไรตามใจน้องเมย์ดีกว่าตกลงมั้ยคะ" หญิงสาวว่า ขณะที่เด็กหญิงนั้นพยักหน้าหงึกหงักอย่างกระตือรือร้น ก่อนทั้งสองสาวต่างวัยจะพากันเดินจูงมือเข้าตลาดนัดไป
ถ้าจะให้เทียบกันแล้วแม้ว่าตลาดนัดแห่งนี้จะไม่ได้ใหญ่โตขนาดสวนจตุจักรหรือตลาดนัดใหญ่ๆ บางแห่งในกรุงเทพ แต่ก็นับว่ามีข้าวของเครื่องใช้ให้เลือกซื้อมากมายไม่แพ้กันเลยทีเดียว
ตลาดนัดแห่งนี้จะมีในทุกวันอาทิตย์กับวันหยุดราชการ โดยจะแบ่งออกเป็นสามซอย ในแต่ละซอยก็จะมีร้านรวงต่างๆ เรียงรายอยู่เต็มตลอดสองฟากถนน
ซอยแรกนั้นจะเป็นแหล่งรวมเสื้อผ้า รองเท้าและเครื่องประดับต่างๆ ไปจนถึงของตกแต่งบ้านและของใช้ไม้สอยในครัวเรือน ซอยที่สองเป็นพวกต้นไม้และอุปกรณ์ทำสวนตกแต่งสวน ส่วนซอยสุดท้ายเป็นส่วนสัตว์เลี้ยงซึ่งมีตั้งแต่หนูแฮมสเตอร์ยันวัวควายเลยทีเดียว นอกจากนี้ในแต่ละซอยก็จะมีรถเข็นขายน้ำ อาหารว่างและขนมวางขายกันเป็นจุดๆ เรียกได้ว่าหิวเมื่อไหร่ก็สามารถหาทานได้เลย ไม่ต้องไปที่อื่นให้เสียเวลาซื้อของ แต่ถ้าหากต้องการมื้อหลักล่ะก็สามารถไปที่ร้านอาหารหลายร้านที่เปิดบริการอยู่แถวๆ ตลาดสดใกล้ๆ นี้ได้อีกด้วย
หลังจากที่สลิลนรีพาแม่หนูตัวน้อยไปหาอะไรทานรองท้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เด็กหญิงก็เริ่มลากเธอไปทางนู้นทีทางนี้ทีจนหญิงสาวชักจะเวียนหัวและเริ่มคิดได้ว่าตัวเองได้ห่างหายจากการออกกำลังกายมานานแค่ไหนแล้ว
"น้ารินคะ น้ารินว่าน้องบุ้งจะชอบเจ้าตัวนี้มั้ยคะ" เด็กหญิงหันมาถามพร้อมกับอุ้มลูกสุนัขตัวเล็กขนสีออกเหลืองน้ำตาลหน้าตาน่าเอ็นดูขึ้นมาให้เธอพิจารณาใกล้ๆ
“เอ๋... น้องเมย์จะซื้อไปให้ผักบุ้งเหรอคะ” หญิงสาวถามนึกไปถึงเด็กชายที่มีอายุน้อยกว่าคนพี่แค่สองปี ซึ่งเธอไม่ค่อยได้มีโอกาสเจอบ่อยนัก
“ใช่ค่ะ วันนี้วันเกิดบุ้ง เห็นบุ้งบอกว่าอยากเลี้ยงหมา เมย์เลยชวนอาภพมาหาของขวัญวันเกิดให้บุ้งนี่แหละค่ะ”
“น้องบุ้งชอบหมาพันธุ์โกลเด้นเหรอคะ” หญิงสาวถาม เมื่อได้รับการพยักหน้า เธอก็หันไปถามราคากับเจ้าของร้านในทันที หากเมื่อได้ฟังราคาจากคุณลุงคนขายหน้าตาใจดีเข้าก็แทบจะยิ้มไม่ออก
"สามพันเหรอคะลุง ลดลงมาให้อีกหน่อยไม่ได้เหรอคะ นะคะ" หญิงสาวอ้อนวอนเจ้าของร้านซึ่งมองเธอด้วยสีหน้าเห็นใจ ฮือ ถึงจะถูกเมื่อเทียบกับในกรุงเทพก็เถอะ แต่มันเงินไม่พอนี่
"ลุงก็อยากลดให้อยู่นะแม่หนูแต่มันลดไม่ไหวแล้วจริงๆ เห็นใจลุงหน่อยเถอะนะหนูนะ" เจอไม้นี้เข้าให้หญิงสาวก็เกิดอาการเห็นใจผู้สูงอายุขึ้นมา สุดท้ายจึงต้องหันมาหาเด็กหญิงตัวเล็กที่ยืนมองเธอตาแป๋วแทน
"น้องเมย์ขา เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่หมาได้มั้ยคะ" หญิงสาวบอกพร้อมกับส่งยิ้มแหยๆ ให้ ก่อนจะก้มลงมองในกระเป๋าสตางค์ของตัวเอง ฮือ อย่าว่าแต่ห้าพันเลย ตอนนี้มีไม่ถึงสองพันด้วยซ้ำ
"เออ..." เด็กหญิงเริ่มมีอาการคิดหนัก ท่าทางเธอคงถูกชะตากับเจ้าหมาตัวนี้อยู่ไม่น้อยแถมเจ้าหมาตัวเล็กนั่นก็กำลังมองมาที่สลิลนรีตาละห้อยอีกต่างหาก อย่ามองฉันแบบนี้นะยะ เดี๋ยวใจอ่อน แง... ทำไมต้องสามพันด้วยล่ะ!!
ขณะที่หญิงสาวกำลังคิดหาทางออกอยู่นั้น ใครคนหนึ่งก็ยื่นเงินผ่านหน้าเธอไป ส่งผลให้สลิลนรีรีบเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือปริศนาเตรียมว้ากใส่ทันทีที่บังอาจมาตัดหน้าเธอ หากเมื่อสบกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายระยิบระยับที่แสนคุ้นเคยเข้า เธอก็กลืนคำพูดทั้งหลายทั้งแหล่ลงคอไปในทันที
"พอใจแล้วนะเรา" พิภพหันมาพูดกับหลานสาวที่กำลังหน้าบานเป็นกระด้งมอญอย่างเป็นสุขที่ได้ของขวัญไปให้น้องชายสมใจ
"จะดีเหรอคุณ เดี๋ยวจะกลายเป็นภาระซะเปล่าๆ นะถ้าน้องบุ้งไม่เลี้ยงเนี่ย” สลิลนรีกระซิบถามชายหนุ่มที่เดินอยู่ข้างๆ ตามหลังเด็กหญิงที่ยังคงเดินดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยๆ อย่างร่าเริง
"ไม่ต้องห่วงหรอกครับ จริงๆ ผมว่ายังไงสุดท้ายคนเลี้ยงก็หนีไม่พ้นพ่อแม่ผมกับผมอยู่แล้ว คุณก็รู้ว่าพ่อแม่ผมน่ะรักสัตว์ขนาดไหนเพราะงั้นไม่ต้องห่วงว่าเจ้าตัวเล็กนี่จะไม่มีใครเลี้ยงหรอกครับ"
หญิงสาวพยักหน้ารับ ด้วยยังจำได้ว่าเมื่อตอนที่เธอเก็บลูกแมวได้สามตัวนั้น ใครเป็นคนอาสานำพวกมันไปเลี้ยงแทนเธอที่ไม่มีสิทธิ์เลี้ยงเนื่องจากคุณแม่ของเธอนั้นรักแมวสุดๆ
ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้เธอได้มาเหยียบบ้านของชายหนุ่มเป็นครั้งแรก โดยมีศรายุทเป็นคนพามาส่งแถมยังมาเป็นทูตสันถวไมตรีให้ด้วยหากเธอกับลูกชายคนที่สองของเจ้าของบ้านนั้นเกิดจะเล่นงิ้วกันขึ้น
หลังจากนั้นเธอก็ได้พบและสนิทกับสมาชิกในครอบครัวของพิภพอย่างรวดเร็ว (โดยมีเจ้าเหมียวน้อยทั้งสามเป็นตัวกลาง) เธอได้มีโอกาสเข้าออกบ้านชายหนุ่มอีกหลายครั้งด้วยคนบ้านนั้นเกิดถูกใจเธอเข้า ชวนเธอไปเที่ยวด้วยก็ออกบ่อยจนเกือบเป็นเหตุให้เธอกับพิภพฆ่ากันตายด้วยเหตุว่าชายหนุ่มเกิดอาการหวงครอบครัวขึ้นมาซะงั้น
“ผมเห็นคุณเอาแต่มองนั่นมองนี่อยู่นานแล้ว ไม่ซื้ออะไรไปเลี้ยงบ้างเหรอครับ” ชายหนุ่มหันมาถามหลังจากที่เฝ้าดูอาการตาละห้อยเวลามองไปทางนั้นทีทางนี้ทีของหญิงสาวอยู่นานพอควร
“ขืนฉันทำตามที่คุณแนะนำนะคะคุณภพ ฉันคงโดนไล่ออกจากหอแน่ๆ” เธอว่าน้ำเสียงเสียดาย แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไรต่อ สลิลนรีก็เกิดหยุดชะงักกับที่ก่อนจะก้มลงมองที่ขาของตัวเองและนั่นทำให้เขาต้องก้มลงมองตามด้วยอีกคน ลูกแมวสีเหลืองลายน้ำตาลตัวเล็กตัวหนึ่งกำลังเดินพันแข้งพันขาเธอนัวเนียแถมยังส่งเสียงร้องซะดังสนั่นก่อนมันจะเงยหน้าขึ้นมองเธอตาแป๋วด้วยท่าทีน่ารักน่าชัง จนสลิลนรีต้องย่อตัวลงอุ้มมันขึ้นมาแนบอกพร้อมกับเกาคางมันเบาๆ ทำเอาใครบางคนรู้สึกอิจฉาแมวขึ้นมาตะหงิดๆ
“หิวล่ะซิ เจ้าของแกอยู่ไหนล่ะ” หญิงสาวพูดกับแมวยิ้มๆ ด้วยท่าทีน่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกินในสายตาของชายหนุ่ม ก่อนที่เธอจะเริ่มสอดส่ายสายตาไปรอบๆ ด้วยหวังว่าจะเจอใครซักคนที่เป็นเจ้าของเจ้าตัวเล็กตัวนี้ แล้วเธอก็ไม่ต้องรอนาน เมื่อคุณป้าสูงอายุท่านหนึ่งเดินแกมวิ่งเข้ามาหาเธอ
“ขอโทษนะแม่หนู นั่นแมวที่หลุดจากกรงของป้าเองล่ะจ้ะ“ หญิงสูงวัยกล่าวยิ้มๆ ก่อนจะยื่นมือออกมารับเจ้าตัวยุ่งกลับไป แต่เมื่อสลิลนรีทำท่าจะส่งเจ้าตัวเล็กคืน เจ้าเหมียวน้อยก็กางกรงเล็บจิกยึดตัวเองกับอกของเธอเอาไว้แน่นหนา แถมยังพะเน้าพะนอนัวเนียร้องเหมียวๆ กับคอของเธอให้อีกต่างหาก
“ไม่เอาน่า หยุดนะมันจั๊กจี้ คุณภพ ช่วยฉันทีซิ”
ในที่สุดเมื่อรู้ตัวว่าไม่อาจจะกำจัดแมวที่ตอนนี้แปลงร่างเป็นตุ๊กแกไปแล้วออกไปจากอกตัวเองได้เพียงคนเดียว พิภพที่กำลังยืนมองอยู่ข้างๆ จึงถูกเลือกมาเป็นตัวช่วยจนได้ แต่ไม่ว่าเขาจะช่วยแกะยังไง เจ้าแมวน้อยก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยแถมมันยังส่งเสียงขู่ฟ่อตามมาด้วยการกางกรงเล็บตะปบมือเขาเข้าให้เสียอีก
“ท่าทางมันจะไม่ยอมปล่อยแล้วล่ะป้าว่า หนูสนใจจะรับมันไปเลี้ยงเลยมั้ยล่ะจ๊ะ” หญิงสูงวัยถามด้วยใบหน้ายิ้มแหยๆ
“เอ้อคือ... ” พูดได้แค่นั้นเจ้าแมวก็เริ่มซุกเธออีกรอบ จนเธอต้องยอมแพ้กับความช่างอ้อนของมัน ตกปากรับคำไปเสร็จสรรพ
สลิลนรีก้มลงมองเจ้าเหมียวที่ตอนนี้ซุกอกเธอสบายไปแล้วอย่างปลงตก เอาเถอะ ยังไงถ้าต่อรองกับเจ้าของหอพักไม่ได้จริงๆ ก็ไปขออาศัยบ้านพี่ซันเอาก็แล้วกัน เธอคิดในใจ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากดเบอร์ของหอพักในทันที
“งั้นเหรอคะ งั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” หญิงสาววางสายก่อนจะระบายลมหายใจออกมาหนักๆ เจ้าของหอไม่อนุญาตจริงๆ ซึ่งเธอก็เข้าใจดีว่ามันเป็นกฎ แต่จะให้เธอทิ้งเจ้าตัวเล็กนี้ไปเธอก็ทำไม่ลงอีกเช่นกัน สุดท้ายจึงได้แต่ยกเจ้าแมวช่างอ้อนจนเกินงามขึ้นมาจ้องตา
“แล้วทีนี้ฉันจะไปอยู่ที่ไหนดีล่ะเนี่ยฮึ!! เจ้าตัวยุ่ง” สลิลนรีถามพร้อมกับทำหน้าดุ ก่อนจะเอาเจ้าตัวเล็กที่เธอให้ชื่อมันว่าสีฝุ่นมากอดแนบอกแล้วออกเดินหาซื้อกระพรวนสำหรับห้อยคอ ชามใส่อาหาร อาหารสำหรับลูกแมวและกรงที่สามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้ให้มัน
“สงสัยคงต้องไปขออยู่กับพี่ซันจริงๆ ซะแล้วมั้งเนี่ย” หญิสาวพึมพำกับตัวเองเบาๆ อย่างปลงตกกพร้อมกับระบายลมหายใจออกมายาวเหยียด
“ถ้าไม่อยากไปอยู่บ้านไอ้ซันก็มาอยู่บ้านผมแทนก็ได้นะครับ” ชายหนุ่มที่เดินอยู่ข้างๆ เธอพูดขึ้นมาลอยๆ แล้วหันมาสบตากับเธอที่หันขวับมาจ้องเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง แววตาจริงจังคู่นั้นทำให้เธอรับรู้ได้ว่าเขาไม่ได้พูดกับเธอเล่นๆ เธอจึงอดที่จะแขวะเขากลับไม่ได้
“ทีเมื่อก่อนเห็นคุณไม่อยากให้ฉันเข้าบ้านคุณนักไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมตอนนี้ถึงใจดีขึ้นมาซะล่ะ ถ้าพูดผิดล่ะก็ให้โอกาสพูดใหม่ได้นะคะ ฉันไม่ว่า”
พูดจบเธอก็เดินเร็วๆ นำเขาไป ปล่อยให้เขามองตามเธอยิ้มๆ ตอนนั้นกับตอนนี้ไม่เหมือนกันนี่ครับ อันที่จริงอยากจะชวนให้อยู่ด้วยกันตลอดไปเลยด้วยซ้ำ คิดมาถึงตรงนี้เขาเองก็อดที่จะรู้สึกขำไม่ได้ ด้วยรู้ว่า คนตรงหน้าเขาคงได้ช็อคตายแน่ ถ้าเขาเกิดพูดประโยคที่คิดเมื่อครู่นี้ขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็
“น้ารินคะ มาดูอะไรนี่ซิคะ” เด็กหญิงตัวเล็กร้องขึ้นก่อนจะวิ่งเข้ามาลากเธอให้เดินตรงมายังร้านๆ หนึ่ง
สิ่งที่ตั้งอยู่บนพื้นตรงหน้าสลิลนรีนั้นคือคอกเตี้ยๆ ไม่กว้างแต่ก็ไม่แคบมากนักซึ่งภายในนั้นมีลูกกระต่ายหลายพันธุ์หลายสีวิ่งไปมาเต็มไปหมด เด็กหญิงนั่งยองๆ เกาะขอบคอกมองลูกกระต่ายเหล่านั้นตาโต
"ถ้าชอบก็ให้คุณพ่อคุณแม่ซื้อให้ซิจ๊ะหนู"
คุณป้าคนขายกล่าวกับเด็กหญิงอย่างเอ็นดู ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสลิลนรีกับพิภพด้วยเข้าใจว่าทั้งสองคือพ่อแม่ของเด็กหญิงตัวน้อยหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนนี้ด้วยท่าทีแป็นมิตร ส่งผลให้คนโดนเขาใจผิดทั้งคู่หันมามองหน้ากันเองอย่างงงๆ
“ลูกสาวน่ารักจังเลยนะจ๊ะ หน้าเหมือนคุณพ่อมากๆ เลย โตขึ้นไปต้องสวยมากแน่ๆ” ได้ยินอย่างนี้เข้า ‘คุณแม่’ เฉพาะกิจก็ถึงกับออกอาการเต้นเลยทีเดียว
"ไม่ใช่นะคะ คนนี้น่ะเขาไม่ใช่..."
"ขอผ่านดีกว่าครับคุณป้า แค่หมากับแมวอย่างละตัวนี่ ก็ยุ่งพอแล้วล่ะครับ ขืนมากกว่านี้ผมกับเธอคงไม่มีเวลาทำอย่างอื่นแน่ ขอตัวก่อนนะครับ"
ชายหนุ่มจงใจพูดประโยคกำกวมแฝงความนัยพร้อมกับสายตากรุ้มกริ่มให้คุณป้าเจ้าของร้านที่หัวเราะคิกคักด้วยเข้าใจความนัยของเขาดี ก่อนที่เขาจะคว้ามือสลิลนรีกับเมย์ ซึ่งกลายเป็นลูกสาวและภรรยาเฉพาะกิจของเขาไปแล้วจากไปในทันที เมื่อสลิลนรีหันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นคุณป้าเจ้าของร้านขายกระต่ายกำลังซุบซิบกับเจ้าของแผงขายหนูแฮมสเตอร์ข้างๆ กันยิ้มๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าป่านนี้ป้าแกคงจะคิดว่าเธอกับนายตัวกวนนี่ไปกันถึงไหนต่อไหนกันแล้วแน่ๆ
"นี่คุณไปพูดอย่างนั้นกับป้าเขาได้ไงกันเนี่ย ป่านนี้เขาไม่เข้าใจผิดว่าฉันกับคุณเป็นอะไรกันไปแล้วรึไง" เธอแว้ดเสียงเขียวทันทีที่เขาปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระ หากชายหนุ่มกลับยังยิ้มสบายๆ เช่นเคย
"ก็ปล่อยเขาคิดไปซิคุณ ผมไม่เห็นสนเลย"
"คุณไม่สน แต่ฉันสนนี่" หญิงสาวโวยวาย ไม่ต้องมายิ้มเลยนะ เดี๋ยวก็จับเลาะฟันมาทำลูกเต๋าซะหรอก
"ก็แล้วอยากจะให้เป็นจริงมั้ยล่ะครับ แต่ผมน่ะอยากได้ลูกชายมากกว่านะครับหรือคุณว่าไง"
เท่านั้นแหละคนโดนย้อนก็เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง ขณะที่ริมฝีปากบางที่เมื่อครู่ยังทำงานอยู่จ๋อยๆ ก็ถึงคราวอ้าค้าง หัวสมองขาวโพลนไปชั่วขณะ
ทะเลาะกันมาเป็นสิบปี ยังไม่เคยเจอมุกไหนของเขาที่เธอโต้กลับไมได้แบบนี้มาก่อน แถมไอ้ดวงตาเป็นประกายแปลกๆ นั่นกับน้ำเสียงหวานๆ ชวนขนลุกนั่นอีกที่ยิ่งทำให้เธอคิดอะไรไม่ออกไปกันใหญ่ นี่ยังไม่นับความรู้สึกร้อนๆ แถวใบหน้าอีกนะ ไม่รู้ว่าป่านนี้หน้าเธอจะแดงไปถึงไหนแล้ว ให้ตายซิ!!
ในที่สุดเมื่อไม่อาจหาคำใดมาโต้กลับได้ สลิลนรีจึงเสมองไปทางอื่นเพื่อหลบดวงตาสีน้ำตาลเข้มสื่อความหมายแฝงนัยคู่นั้นเสีย หากนั่นยิ่งทำให้คนที่มองเธออยู่นานแล้วยิ้มกว้างอย่างพึงใจมากขึ้นไปอีก จนคนหลบชักรู้สึกอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้เดี๋ยวนี้เลยถ้าทำได้
"เพิ่งจะรู้นะครับว่าเวลาคุณเขินนี่ก็น่ารักดีเหมือนกัน ดูไร้เดียงสาดี" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่มทำเอาคนถูกชมหมาดๆ เกิดอาการเพียงไม่ออกหนักกว่าเดิม
“ไปกันต่อเถอะครับ” ว่าแล้วก็ออกเดินนำต่อไป ขณะที่สลิลนรีนั้นก็ได้แต่ค้อนลมค้อนแล้งเท่านั้น
"มาทำปากหวานผิดคนแล้วมั้ง น่าจะไปพูดกับคุณนายรื่นรตีอะไรนั่นซะมากกว่า" หญิงสาวพูดประชดเขาเบาๆ รู้สึกหงุดหงิดในใจยังไงชอบกลเมื่อนึกไปถึงหญิงสาวสวยรวยเสน่ห์คนนั้น แล้วทำไมฉันต้องรู้สึกหงุดหงิดขนาดนี้ด้วยเนี่ย
ก้มหน้าก้มตาเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ ร่างบางก็ต้องผงะถอยหลังเมื่อหน้าผากของเธอกระแทกเข้ากับแผ่น
หลังของคนที่เดินนำเข้าอย่างจัง หญิงสาวยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ
“นี่!! จะหยุดทำไมไม่บอกกันก่อนเล่า หลังคุณนี่นิ่มเหมือนกำแพงมากเลยนะ...” คำบ่นคำว่าทั้งหลายมีอันต้องอันตรทานหายไปในลำคอ เมื่อดวงตาของเธอสบเข้ากับดวงตาของเขา ซึ่งในเวลานี้ดวงตาคู่นั้นช่างนิ่งและเคร่งขรึมจนน่ากลัวอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
“ผมจะบอกคุณอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้ายนะ ว่าผมกับคุณรื่นรตี เราไม่ได้เป็นอะไรกัน และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็จะไม่มีวันรู้สึกกับเขาแบบนั้นเด็ดขาด คุณเข้าใจมั้ย” ชายหนุ่มถามเสียงเรียบ
“แต่เขาอุตส่าห์รักคุณนะ” หญิงสาวเถียงกลับอย่างไม่ยอมให้ง่ายๆ ก่อนจะหลบตา
“ครับ แต่ผมรักเขาไม่ได้ เพราะความรู้สึกของผมมันให้คนอื่นไปแล้ว”
กำลังจะเถียงอะไรออกไปอยู่แล้ว แต่เพราะดันสบตาเข้ากับดวงตาคมคู่นั้นเข้าให้เท่านั้นกาลเวลาและทุกสิ่งทุกอย่างก็เหมือนจะหยุดชะงัก ยกเว้นหัวใจของเธอที่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่แถมมันยังเต้นเร็วและแรงขึ้นราวกับมีกลองขนาดใหญ่มาตีอยู่ในอกอีกต่างหาก ดวงตาคู่นั้นของเขาไร้รอยพิรุธใดๆ มีแต่เพียงความมั่นใจและ... ความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่กล้าแม้แต่จะนึกถึง
“นี่คุณ ไม่ต้องออกอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขนาดนั้นก็ได้ครับ รู้หรอกน่าว่าดีใจ”
พิภพรวบรัดแถมไม่ได้แค่พูดเฉยๆ เพราะเขายังก้มหน้าลงมาซะใกล้เสียจนจมูกของเขากับของเธอแทบจะแตะกันอยู่แล้ว และนั่นส่งผลให้คนที่เหมือนจะโดนอ่านความคิดกลายๆ ผลักคนตัวโตกว่าให้ถอยออกไปอย่างแรง ก่อนจะแหวใส่เสียงหลงพร้อมกับใบหน้าที่ตอนนี้แดงเสียยิ่งกว่าลูกตำลึงสุก
“อย่ามามั่วนิ่มกับฉันนะคุณภพ” สลิลนรีมองหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง ชายหนุ่มจึงได้แต่ยักไหล่เป็นความหมายว่ายอมแพ้อย่างจำยอม ด้วยกลัวว่าหากไม่หยุดอาจจะเจ็บตัวได้
“ก็ได้ครับ ว่าแต่คุณจะทำยังไงกับเจ้าสีฝุ่นของคุณดีล่ะ” เขาถามขึ้น ทำให้สลิลนรีเพิ่งจะนึกขึ้นได้
“เอางี้ ฉันจะเอามันไปฝากไว้ที่บ้านคุณแล้วฉันจะไปให้ข้าวให้น้ำมันทุกวันเองตกลงมั้ย ยังไงหอฉันกับบ้านคุณก็อยู่ไม่ไกลกันมากอยู่แล้วนี่”
“ก็แล้วแต่ครับ ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว แต่อันที่จริงบ้านผมก็ยังมีห้องเหลืออีกเยอะนะครับ แล้วพ่อแม่ผมก็คงจะดีใจมากถ้าคุณจะไปอยู่ด้วยเพราะเห็นบ่นถึงคุณให้ป้าอุ่นฟังทุกวันจนผมอิจฉา ไม่ไปลองอยู่ก่อนเหรอครับ ไหนๆ ก็อุตส่าห์มีคนเห็นเราสองคนเป็นสามีภรรยากันแล้วนี่” ชายหนุ่มพูดยั่วเธอ ส่งผลให้สลิลนรีตาวาวขึ้นมาทันที
“บ้า!!“ เธอว่าเขาเสียงสะบัดก่อนจะหันหลังให้แล้วรีบเดินจ้ำพรวดจากมาอย่างรวดเร็ว ปากก็กล่าวสรรเสริญเจริญพรเขาให้สีฝุ่นฟังไปตลอดทาง
มารู้ตัวอีกที ร่างบางก็มายืนหันรีหันขวางที่หน้าทางเข้าตลาดเสียแล้ว ยืนคว้างอยู่ครู่หนึ่งเธอก็ตัดสินใจเดินเลี้ยวเข้าไปในซอยที่วางขายต้นไม้อย่างรวดเร็ว สลิลนรีกวาดสายตาอยู่ครู่หนึ่ง เสียงทุ้มๆ ของศรายุทที่กำลังเรียกเธอก็ดังขึ้นจากร้านขายต้นไม้ร้านหนึ่งไม่ไกลนัก
"ริน!! ทางนี้ แล้วนั่นเดินหนีอะไรมาอีกล่ะ" ชายหนุ่มร้องถาม ก่อนจะเดินอุ้มกระถางต้นไม้หลายขนาดเต็มอ้อมแขนเข้ามาหาเธอพร้อมกับดารารัตน์ ซึ่งทันทีที่ดารารัตน์เห็นลูกแมวสีเหลืองแถบน้ำตาลในกรงที่สลิลนรีหิ้วมาเธอก็ขอเจ้าตัวเล็กไปอุ้มเล่นในทันที
"ก็หนีเพื่อนพี่มาน่ะซิคะ ท่าทางเมื่อเช้าจะลืมเขย่าขวดก่อนกินยาถึงได้พูดแต่เรื่องชวนขนลุกตลอดเลย แล้วนี่รันไปไหนล่ะคะ" เธอถามพร้อมกับมองซ้ายมองขวาหาดรัณ
"ไปจ้องโต๊ะพร้อมพ่อกับแม่ที่ร้านนั้นเรียบร้อยแล้วล่ะ เนี่ยพี่ก็กำลังจะโทรตามเราอยู่พอดี งั้นรินเดินล่วงหน้าไปก่อนเลยก็ได้นะ เดี๋ยวพี่ขอเอาต้นไม้พวกนี้ไปใส่ท้ายรถเจ้ารันก่อนแล้วค่อยตามไปพร้อมไอ้ภพแล้วกัน"
"ก็ได้ค่ะ ว่าแต่นี่ต้นอะไรคะเนี่ย" ถามไปก็ยืนมองต้นไม้ในอ้อมแขนของชายหนุ่มอย่างสนใจ แต่เสียงที่ตอบเธอนั้นกลับไม่ใช่เสียงของคนที่เธอตั้งใจถามเสียนี่
"นั่นเขาเรียกว่าต้นรักไม่รู้โรยไงครับ" หญิงสาวหันขวับไปมองคนตอบด้วยสายตาเป็นคำถาม
“มีด้วยเหรอคุณภพ ไอ้ต้นที่ว่าเนี่ย ฉันเคยได้ยินแต่บานไม่รู้โรยกับต้นรักเฉยๆ”
“มีซิครับ ถ้าไม่เชื่อเดี๋ยวผมปลูกให้ดูเอามั้ยล่ะ” แววตาและท่าทางนั้นชวนให้สลิลนรีกระอักกระอ่วนขึ้นมาก่อนที่ดวงหน้าขาวใสจะเริ่มแดงขึ้นอีกครั้งเมื่อสบเข้ากับดวงตาเป็นประกายคู่นั้น
"ไม่ดีกว่าค่ะเกรงใจ ไปค่ะน้องเมย์ เราไปทานข้าวกันดีกว่า" แล้วสลิลนรีก็จูงมือเด็กหญิงเดินก้มหน้างุดๆ จากไป แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวเสียงทุ้มนุ่มก็ลอยตามหลังมา
" เดินหนีสามีอย่างนี้ไม่ดีนะครับ" เขาแซวอีกรอบ หากส่งผลให้สลิลนรีหยุดกึก ขณะที่ดารารัตน์ที่ยืนร่วมเหตุการณ์อยู่ด้วยนั้นหันไปมองศรายุทด้วยสายตาที่เหมือนจะต้องการถามว่าเข้าใจสิ่งที่หนุ่มสาวทั้งสองพูดกับอยู่หรือไม่ ซึ่งสิ่งที่เธอได้รับกลับมาก็คือสีหน้างงไม่แพ้กันของศรายุท
"บ้าซิ!! ใครเป็นภรรยาคุณไม่ทราบ" สลิลนรีแว้ดเขาเสียหลง ก่อนจะเดินหายไปในฝูงชนอย่างรวดเร็ว
"พอรู้ตัวว่าชอบเขาเข้าหน่อยนี่รู้สึกจะเปลี่ยนจากหลังฝ่าเท้าเป็นหน้ามือขึ้นมาเชียวนะเอ็ง แต่ละประโยคนี่เน่าเสียยิ่งกว่าน้ำในคลองแสนแสบอีก" ศรายุทแขวะด้วยความหมั่นไส้ที่ไอ้เพื่อนตัวดีกลับตัวได้รวดเร็วทันใจเสียขนาดนี้
"คุณภพจะจีบน้องรินจริงๆ เหรอคะ" ดารารัตน์ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ปกปิดความแปลกใจไว้ไม่มิด ด้วยไม่คิดว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นมาจริงๆ หากพิภพนั้นได้แต่เพียงส่งยิ้มน้อยๆ มาให้ก่อนจะฉวยต้นไม้จากมือหญิงสาวไปช่วยถือ แล้วออกเดินไปที่รถของดรัณซึ่งจอดอยู่หน้าทางเข้าตลาดนัดอย่างรวดเร็ว
“ดาวว่าสองคนนี้ถ้ารักกันได้จริงๆ ก็คงจะเหมาะกันดีนะคะ” หญิงสาวพูดเบาๆ กับศรายุท
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะครับ พี่ไม่เห็นว่าสองคนนั้นจะมีอะไรเหมือนกันเลยซักนิด นอกจากเรื่องไม่ยอมคนเนี่ย” ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะถามออกมา ด้วยเคยมองสองคนนี้อยู่นานก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่จะเข้ากันได้จริงๆ ตามที่เขาคิด
“แล้วการที่เราจะรักใครซักคนหนึ่ง ความเหมือนน่ะมันจำเป็นด้วยเหรอคะ” หญิงสาวถามกลับ
“ไม่รู้ซิครับ แต่พี่คิดว่าคนที่มีอะไรเหมือนๆ กัน น่าจะเข้ากันได้ดีกว่าคนที่มีไม่มีอะไรเหมือนกันเลยไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่มออกความเห็น ดารารัตน์ส่งยิ้มน้อยๆ ให้
“ไม่เสมอไปหรอกค่ะ บางครั้งความเหมือนก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะดีเสมอไปนะคะ อีกอย่างคนเราน่ะมักจะให้ความสนใจในสิ่งที่ตัวไม่มีและไม่ได้เป็นเสมอ ดาวคิดว่าความเหมือนนั้นทำให้คนเราเข้ากันได้ง่ายขึ้นเท่านั้น แต่เรื่องที่ว่าจะเหมาะหรือไม่เหมาะน่ะต้องดูหลังจากนั้นค่ะ”
“ยังไงก็ได้ครับ ขอแค่ว่าสองคนนี้เลิกตีกันแล้วไม่ต้องให้ผมเป็นคนกลางคอยห้ามทัพแค่นั้นก็พอ เจอลูกหลงมาเยอะแล้วครับ ถ้าไม่ต้องเจออีกเลยจะดีมาก” ชายหนุ่มตอบ ก่อนจะถามหญิงสาวเสียงเบาเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“แล้วนี่คุณรื่นรตีเธอจะไม่เสียใจเหรอครับถ้าไอ้ภพมันลงเอยกับรินจริงๆ” ถึงจะรู้สึกไม่ดีกับคนที่เอ่ยถึงเท่าไหร่ หากศรายุทก็อดห่วงรื่นรตีไม่ได้ด้วยอย่างน้อยเธอก็ยังเป็นคนที่เขารู้จัก
“ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงนะคะพี่ซัน แต่ดาวว่าพี่รตีน่ะไม่เป็นไรหรอกค่ะ ข้อดีของพี่รตีอย่างหนึ่งก็คือไม่เคยเศร้านาน จะนานสุดที่ดาวเคยเห็นก็ไม่เกินสามเดือนหรอกค่ะ” หญิงสาวตอบ
แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ในหัวสมองของศรายุทในเวลานี้ก็ยังคงมีเรื่องที่จะต้องคิดอยู่อีก ก็ในเมื่อเจ้าเพื่อนตัวแสบของเขาคิดจะจริงจังกับน้องสาวร่วมสาบานของเขา แล้วใครกันล่ะที่จะต้องกลายมาเป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กให้กับมันถ้าไม่ใช่คนที่ร่วมหัวจมท้ายกับมันมาเกือบยี่สิบปีอย่างเขา แล้วไหนจะนายรัน น้องชายแท้ๆ ของเขาแถมเป็นน้องชายร่วมสาบานของมันที่เกิดมาชอบผู้หญิงคนเดียวกันเข้าให้อีกล่ะ แล้วยังเรื่องของเขากับดารารัตน์ที่ยังไม่เรียบร้อยอีก งานนี้เมื่อบวกลบคูณหารกันออกมาแล้ว เขาจึงได้ข้อสรุปแต่เพียงว่า งานนี้ได้พึ่งยาแก้ปวดหัวหลายกระปุกแน่!!
เรือนไม้หลังหนึ่งประดับด้วยต้นไม้นกระถางหลายขนาดตามพื้นและตามโต๊ะอาหาร ส่งผลให้เรือนไม้เรียบๆ ดูมีชีวิตชีวาและให้ความรู้สึกเย็นสบายได้อย่างน่าอัศจรรย์ เจ้าของร้านวัยกลางคนและพนักงานยิ้มแย้มแจ่มใสคอยเดินให้บริการลูกค้าเป็นอย่างดีแถมรสชาติอาหารก็สมราคา ทำให้เป็นร้านอาหารที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของจังหวัดกันเลยทีเดียว
หลังจากที่ได้นั่งพักจากการเดินซื้อของและได้ทานอาหารอร่อยๆ จนอิ่มหนำแล้ว ผู้ร่วมโต๊ะทั้งแปดคนก็เริ่มคุยกันอย่างออกรสออกชาติ โดยหัวข้อสนทนาส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นศรายุทและดารารัตน์ หญิงสาวนั้นโดนคุณเกสรกับคุณกฤษชัยถามนั่นถามนี่ไปเรื่อยอย่างสนุกสนาน ในขณะที่สลิลนรีนั้นก็ได้แต่นั่งทานอาหารเงียบๆ ส่วนพิภพเองก็คอยดูแลหลานสาวของตัวเองตลอดเวลา จะเข้ามาร่วมวงบ้างเมื่อโดนถามก็เท่านั้น
เมื่อผู้อาวุโสทั้งสองหมดเรื่องที่จะถามหญิงสาวที่ลูกชายคนโตของตนหมายตาเอาไว้แล้ว รายการต่อไปก็คือรายการเผาลูกชายตัวเองให้ฟังบ้าง เรียกว่าเป็นการเผากันสดๆ ซึ่งๆ หน้าเลยทีเดียว งานนี้ทั้งวีรกรรมวีรเวรทั้งหลายทั้งแหล่ตั้งแต่เด็กยันปัจจุบันถูกเอาออกมาแฉให้ดารารัตน์และสลิลนรีฟังจนหมด ซึ่งงานนี้หญิงสาวทั้งสองก็ได้หัวเราะจนท้องขัดท้องแข็ง ในขณะที่คนถูกเผานั้นก็ไม่ยอมโดนเผาคนเดียวจึงลากเอาพิภพที่นั่งอยู่ใกล้ๆ มาย่างเป็นเพื่อนกันอีกต่างหาก
“พี่ซัน นี่จะบ่ายสี่แล้วนะ ไม่รีบกลับคลินิกเดี๋ยวก็โดนคุณน้าเฉ่งเอาหรอก” สลิลนรีร้องเตือนขึ้น เมื่อรู้สึกว่ากำลังจะถูกศรายุทฉุดลงมาฌาปณกิจด้วยอีกคน ได้ยินแค่นั้นศรายุทก็รีบยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูในทันทีแล้วก็ต้องอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อพบว่ามันกำลังบอกเวลาจวนสี่โมงเย็นเข้าไปทุกทีแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบขอตัวพร้อมกับสลิลนรีและดารารัตน์
“เดี๋ยวพี่พาดาวไปส่งก่อนนะ รินเข้าไปก่อนเลยแล้วกัน” ชายหนุ่มร้องบอกซึ่งหญิงสาวนั้นก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ก่อนจะแยกย้ายกันไป
ใช้เวลาไม่นานหญิงสาวก็ผลุบเข้าคลินิกมา แล้วก็ต้องเจอคุณจิตราบ่นเข้าให้หลายกระบุงโกย ซึ่งสลิลนรีนั้นก็ได้แต่ก้มหน้ารับกรรมก่อนจะถูกปล่อยตัวไปทำงานต่อ คุณจิตราได้พักหายใจไม่ทันจะถึงสิบห้านาทีดี ศรายุทก็โผล่เข้ามาอีกคน ชายหนุ่มละล่ำละลักขอโทษขอโพยอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่วายเจอบ่นเข้าให้เหมือนกัน แถมสุดท้ายเย็นวันนั้นเขากับสลิลนรียังโดนทำโทษให้ทำความสะอาดเครื่องมือและคลินิกอีกด้วยโทษฐานไม่ตรงต่อเวลา
“แล้วนี่ตกลงจะเอายังไงกับเจ้าสีฝุ่นดีล่ะ” ศรายุทถามขึ้นระหว่างที่กำลังนั่งพักหายใจหลังจากทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้สลิลนรีหันมามองเขาตาวาวในทันที
“ไม่ต้องมาพูดเลยพี่ซันใจร้าย รินอุตส่าห์ขอร้องให้เอาสีฝุ่นไปไว้ที่บ้านเฉยๆ ก็ไม่ยอมท่าเดียว ใจร้ายที่สุด!!” หญิงสาวกระเง้ากระงอนราวกับแมวอารมณ์เสีย
“พี่ก็อยากช่วยอยู่หรอกนะ แต่แม่พี่แพ้ขนแมว ขืนพี่พามันเข้าบ้านล่ะก็ พี่นี่แหล่ะที่จะโดนไล่ออกมานอนนอกบ้าน ถ้ารินไม่เชื่อล่ะก็จะถามแม่พี่เองเลยก็ได้นะ” ชายหนุ่มว่า หญิงสาวจึงเลิกตื้อด้วยไม่อยากทำให้ศรายุทโดนไล่ออกจากบ้าน
"งั้นรินคงต้องฝากไว้ที่บ้านเพื่อนรักพี่แล้วล่ะ พี่ซัน ไปบ้านคุณภพเป็นเพื่อนรินหน่อยซิ นะๆๆ" หญิงสาวออดอ้อน หากก็ต้องผิดหวังอีกรอบเมื่อได้คำตอบเป็นการส่ายหน้าของศรายุท
“เสียใจด้วยนะน้องรัก พอดีพี่มีนัดกับดาวเขาก่อนแล้ว” ชายหนุ่มตอบยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิง ขณะที่สลิลนรีนั้นกลับหน้ามุ่ยลง
“ฮือ... พี่ชายใจร้าย เห็นสาวดีกว่าน้อง” หญิงสาวเบะปากทำท่าจะโวย ศรายุทจึงรีบงัดความสามารถเฉพาะตัวในการเกลี้ยกล่อมคนขี้โวยวายให้สงบลง จนในที่สุดสลิลนรีก็เป็นฝ่ายยอมให้จนอีกได้
“บอกไว้ก่อนนะว่าถ้างานนี้กลับมาไม่มีอะไรคืบหน้าให้รินพอใจล่ะก็ รินจะจัดการพี่ซันแน่ๆ คอยดู” ขู่เสร็จหญิงสาวก็หิ้วกรงใส่สีฝุ่นมาขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าคลินิก ก่อนจะคว้ามือถือขึ้นมากดโทรออกทันทีที่หาหมายเลขที่ต้องการเจอ ถือสายรออยู่ครู่หนึ่งเสียงทุ้มก็ตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดีด้วยประโยคที่ทำเอาคนฟังแทบจะเหยียบเบรคตัวโก่ง
" ว่าไงครับที่รัก" ชายหนุ่มลากเสียงเสียหวานจ๋อย
"ใครที่รักของคุณไม่ทราบ หา!!" หญิงสาวแหวกลับด้วยเสียงทำลายโสต ส่งผลให้เขาต้องรีบชักหูโทรศัพท์ออกอย่างรวดเร็ว
"ครับๆ ไม่ล้อแล้วครับ มีอะไรหรือครับ" ชายหนุ่มถามน้ำเสียงเป็นงานเป็นการขึ้นเล็กน้อย
“ฉันคงต้องฝากสีฝุ่นไว้ที่บ้านคุณแล้วล่ะ คงไม่ขัดข้องใช่มั้ยคะ คุณบอกเองนะว่าคุณรับฝากได้น่ะ ห้ามคืนคำนะคุณ” เธอทวงขณะที่คนปลายสายนั้นได้แต่ยิ้มกับตัวเองพร้อมกับคิดแผนการบางอย่าง
“ผมพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้วครับ งั้นเดี๋ยวผมขับรถไปที่หอคุณก็แล้วกัน” ชายหนุ่มเสนออย่างมีน้ำใจ
“ไม่ต้องแล้วล่ะค่ะ ตอนนี้ฉันกำลังขับรถไปที่บ้านคุณอยู่ อีกประมาณสามสิบนาทีก็ถึงแล้ว คุณรออยู่ที่นั่นแหละ” พูดจบหญิงสาวก็กดตัดสัญญาณ ก่อนจะหันไปมองแมวน้อยที่ส่งสายตาตัดพ้อมาจากที่นั่งข้างคนขับ
“ไม่ต้องห่วงนะสีฝุ่น ฉันไม่ทิ้งสีฝุ่นหรอก จะไปหาทุกวันเลย ฉันสัญญา”
“ใครโทรมาน่ะภพ”
ร่างท้วมของหญิงวัยกลางคนค่อนไปทางสูงวัยท่าทางอ่อนโยนเดินเข้ามาหาบุตรชายคนที่สองซึ่งกำลังเดินกลับเข้ามาในห้องโถงกลางด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มผิดปกติ ส่งผลให้คนบ้านอัศวกุลซึ่งกำลังอยู่กันพร้อมหน้าเพื่อร่วมฉลองวันคล้ายวันเกิดของเด็กชายธฤษณุ หรือน้องผักบุ้งมองเขาอย่างอยากรู้อยากเห็น
“แขกคนสำคัญที่กำลังจะมาที่นี่ในอีกไม่ช้านี้น่ะครับ”
แล้วเรื่องวุ่นๆ ที่ตลาดนัดจนเป็นเหตุให้หญิงสาวนามว่าสลิลนรีต้องถ่อมาหาเขาถึงบ้านในเวลานี้ก็ถูกถ่ายทอดให้ทั้งครอบครัวฟังอย่างคร่าวๆ ซึ่งทันทีที่เล่าจบ เขาก็โดนคนในครอบครัวรวมทั้งอุ่นเรือน คนรับใช้เก่าแก่ของบ้านซึ่งต่างรู้ซึ้งถึงความสัมพันธ์ที่แสนจะเข้ากันได้ระหว่างเขากับสลิลนรียิงคำถามใส่เป็นชุด
“วันนี้หัวเราไปกระแทกอะไรมารึเปล่าน่ะฮึ ทำไมถึงได้พูดดีๆ กับยัยรินได้“ นพิดา หรือน้ำหวานพี่สะใภ้คนสวยของเขาถามขึ้น
“นั่นซิ ปกติจะต้องออกอาการหงุดหงิดงุ่นง่านทุกทีที่เขามาไม่ใช่รึไง” ธนากร พี่ชายเพียงคนเดียวของเขาถามขึ้น
“นั่นซิคะ / ครับ” หญิงสาวร่างบางท่าทางอ่อนวัยกว่าทุกคนในที่นี้เอ่ยขึ้นพร้อมกับพิภัทธ
“คงไม่ได้วางแผนจะแกล้งอะไรน้องเขาอีกใช่มั้ยภพ” คุณทิพย์ศิณี มารดาของเขาถามด้วยสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจเต็มกำลัง ด้วยรู้สึกกลุ้มใจที่ต้องเห็นบุตรชายของเธอกับหญิงสาวคนที่เธอรู้สึกทั้งรักทั้งเอ็นดูตั้งแต่แรกเห็นทะเลาะกันทุกครั้งไป
“เราก็โตจนจะมีครอบครัวของตัวเองได้แล้วนะภพ เมื่อไหร่จะเลิกหาเรื่องแกล้งน้องเขาซักที พ่อ แม่แล้วก็พี่ๆ น้องๆ เราน่ะเบื่อที่จะห้ามทัพเราสองคนแล้วนะ” คุณเกรียงไกรอบรมด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย ในขณะที่คนโดนอบรมนั้นยกมือขึ้นเกาศีรษะแกรกๆ
“นี่ทุกคนช่วยมองผมในแง่ดีหน่อยจะได้มั้ยครับเนี่ย” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยท่าทีน้อยอกน้อยใจที่คนในบ้านพากันมองเขาไปในแง่ร้ายกันหมด ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็คือ...
“ไม่ได้!!”
เจอคนทั้งบ้านตอบกลับมาโดยพร้อมเพรียงแบบนี้ก็ทำเอาเขาอยากจะโวยขึ้นมาให้มันรู้แล้วรู้รอด... ดูเอาเถอะ จะคนรอบตัว เพื่อนหรือแม้แต่ครอบครัวของเขาเองยังเห็นเธอดีกว่าเขาเสียอีก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขารู้สึกอยากแกล้งเธอได้อย่างไรกัน
“เอาเป็นว่าตอนนี้ผมบอกได้แต่ว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปในทางที่ดีแล้วก็แล้วกันนะครับ แล้วตอนนี้ผมก็มีเรื่องที่อยากจะขอร้องให้ช่วยผมด้วย”
ว่าแล้วเขาก็รีบชี้แจงสิ่งที่เขาต้องการให้ฟังจนหมด ทำเอาทุกคนถึงกับอึ้งในสิ่งที่พึ่งจะได้ยินได้ฟังกันถ้วนหน้า ก่อนที่แต่ละคนจะระดมคำถามใส่เขาเป็นชุด จนชายหนุ่มต้องยกมือขึ้นห้ามแทบไม่ทัน
“เอาไว้ค่อยถามหลังจบเรื่องก่อนได้มั้ยครับ” ชายหนุ่มโวยขึ้นเมื่อโดนรุมยิงคำถามใส่จนฟังไม่รู้เรื่อง
“งานนี้จบนายมีเรื่องต้องอธิบายให้พวกเราฟังหลายเรื่องแน่ภพ เตรียมตัวเตรียมใจหาคำตอบเอาไว้ให้พร้อมล่ะ” ธนากรพูดทิ้งท้ายเสียงเรียบ ก่อนจะแยกไปจัดการสิ่งที่ตัวเองต้องทำอย่างเร่งด่วน ในขณะที่คนต้นเรื่องนั้นได้แต่ถอนหายใจเบาๆ อย่างเหนื่อยหน่าย... สงสัยงานนี้เขาคงถูกฟอกจนขาว ไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนกันแน่คืนนี้
ความคิดเห็น