ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My dear diary...บันทึกรักสุดหัวใจ

    ลำดับตอนที่ #9 : เรื่องวุ่นๆ วันอาทิตย์

    • อัปเดตล่าสุด 19 ธ.ค. 52


    ความบังเอิญทำให้เราสองคนมาพบกันในห้องเรียน ฉันกับเขานั่งติดกัน วันแรกที่ฉันได้พบกับเขา พูดตามตรงนะ เขาเป็นคนที่หน้าตาไม่เป็นมิตรที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลย ไม่ใช่ว่าเขาหน้าตาน่ากลัวอะไรนะ เพียงแต่สีหน้าเขาน่ะเหมือนกับเพิ่งไปฟาดรังแตนที่ไหนมายังงั้น
                    ครั้งแรกที่เราได้คุยกันก็คือวันที่ฉันวิ่งมาจากตึกเรียนที่อยู่คนละฟากมหาลัย แต่เนื่องจากว่ามันเป็นวิชาที่ฉันเพิ่งจะลงเรียนได้ทีหลังดังนั้นฉันจึงไม่แน่ใจว่าอาจารย์ที่สอนรอบนี้จะเลิกกี่โมงเลยถามเขา เขาบอกว่าหกโมงฉันเลยบอกพ่อไปตามนั้น แต่ขอโทษเถอะความจริงมันเลิกสองทุ่ม                    
                    ยังไม่หมดแค่นี้ ในวันถัดมาอาจารย์ที่สอนภาคเช้าดันปล่อยสายมาก ฉันไม่มีเวลาจะทานข้าวกลางวัน ฉันเลยต้องฝากท้องไว้กับแซนด์วิชที่ฉันคาบเอาไว้ในปากกับนมหนึ่งกล่องในกระเป๋าเรียน

                     'ไม่กลัวติดคอตายเหรอ

                     นั่นคือสิ่งที่เขาพูดกับฉันตอนฉันกำลังนั่งทานอาหารกลางวันสุดอนาถมื้อนั้น เมื่อฉันหันไปมองหน้าเขา เขายังมาทำหน้าลอยไปลอยมายวนฉันอีก นี่ถ้าไม่ติดว่าฉันกำลังนั่งอยู่ห้องเรียนล่ะก็ฉันจะตีตานี่ให้หัวแบะเลย มาพูดกับผู้หญิงแบบนี้ได้ไง เสียมารยาทที่สุด!!
                    แล้วหลังจากนั้นเราก็ได้พูดคุยกันมากขึ้น เราสองคนคุยกันถูกคอมากๆ แล้วฉันก็ชักจะเริ่มถูกชะตากับนายคนนี้ขึ้นมาบ้างซะแล้ว 

                    ที่สำคัญทุกวันหลังเลิกเรียน เราสองคนจะต้องเดินมาขึ้นรถไฟฟ้าเหมือนกัน แม้จะขึ้นกันคนละสายก็ตามทีเถอะ

                    'กลับบ้านดีๆ นะ' 'บ๊ายบาย' 'แล้วเจอกันพรุ่งนี้'

                    ประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมา จนบางครั้งฉันเองก็มานั่งคิดเล่นๆ ว่าเราสองคนไม่มีคำอื่นพูดกันแล้วรึไงนอกจากสามคำนี้ แต่ถ้าจะให้ฉันไปกระโดดตบหัวเขาเหมือนเพื่อนผู้ชายคนอื่นๆ ของฉันล่ะก็ ฉันได้จุกแอกแน่

     'ขอเบอร์โทรหน่อยซิ

                     ถ้าคุณคิดว่าประโยคนี้หลุดออกมาจากปากของพ่อคนหน้าไม่รับแขกคนนั้นล่ะก็คุณคิดผิด เพราะประโยคนั้นมันหลุดออกมาจากปากของฉันเอง!!

                    ใช่ค่ะ อ่านไม่ผิดหรอก ฉันเป็นคนพูดเอง แล้วบทสรุปสุดท้ายของการกระทำอันอาจหาญนั้นก็คือฉันได้เบอร์ของเขามา แถมโดนเพื่อนๆ ที่มันแอบตามมาดูอบรมจนหูชาไปเลย

     ทำไมแกไม่รู้จักทำตัวให้เป็นผู้หญิงมากกว่านี้ฮะยัยแซน!! มีอย่างที่ไหนไปขอเบอร์เขาก่อน ยัยบ๊องเอ๊ย!!’

     ใจความก็มีแค่นี้ แต่พวกนั้นสามารถยืดออกไปได้นานถึงครึ่งขั่วโมงเลยทีเดียว แถมยังมีการตบท้ายด้วยการแจกมะเหงกให้ฉันอีกต่างหาก
                    ขอสาบานตรงนี้เลยนะว่าฉันแค่ขอเบอร์เท่านั้น ไม่ได้โทรหาเขาเลยซักครั้ง ต่างคนก็ต่างอยู่กันไป จะบอกว่าไม่มีเหตุผลที่จะโทรไปมันก็ใช่ แล้วฉันก็ไม่ค่อยว่างซะด้วยเพราะต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบตลอด แล้วลองคิดดูนะ ว่าถ้าเจ้าพวกเพื่อนๆ ของฉันรู้ว่าฉันเป็นคนโทรหาเขาก่อนล่ะก็ งานนี้ไม่หูชาหนักกว่าเดิม ก็คงหัวปูดเท่าลูกมะกรูดเพราะมะเหงกแน่ๆ แล้วใครจะไปเสี่ยงล่ะจริงมั้ย?

                    แล้ววันหนึ่งความบังเอิญก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อฉับกับเขาบังเอิญลงชื่อไปค่ายเดียวกันทั้งๆ ที่ไม่ได้นัดหมายอะไรกันเลยด้วยซ้ำ แล้วก็บังเอิญอีกที่ชื่อของเราสองคนดันอยู่กลุ่มเดียวกันอีกด้วย
                    ตลอดเวลาที่อยู่ค่าย ฉันจะตัวติดกับเขาตลอดเลย ก็ฉันไม่รู้จะไปเดินกับใครที่ไหนนี่นา ไม่รู้จักใครเลย มีแต่นายคนนี้คนเดียว จะยกเว้นก็ตอนพักทานข้าวกลางวันกับตอนกลางคืนเท่านั้นแหละที่ฉันไปอยู่กับเพื่อนสนิทฉันที่มาค่ายนี้ด้วยกันแต่ดันไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน                                                 
                    วันค่ายวันสุดท้าย ฉันกับเขากลับทางเดียวกัน(อีกแล้ว) แล้วเขาก็ให้กำไลข้อมือฉันมาวงหนึ่ง ตอนนั้นงงมากๆ ว่าเขาจะเอามาให้ฉันทำไม แถมยังรู้สึกแปลกๆยังไงชอบกล ก็จะไม่ให้แปลกได้ไงล่ะ ก็เขาเป็นคนสวมกำไลนั่นให้ฉันนี่นา!! เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ก็เพิ่งเคยเจอกับตัวนี่แหละ จะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก จะโวยวายก็ไม่ออกอีก เอ้อชีวิต...
                    หลังจากจบค่ายไม่กี่วัน ฉันก็มีสอบที่คณะอีก บอกตามตรงว่าเครียดกับการสอบครั้งนี้มากจนฉันร้องไห้เลยล่ะ แล้วสุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องโทรหาใครซักคน ซึ่งก็เป็นเขานั่นแหละพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย อนาถชีวิตอย่างถึงที่สุด
                    วันสอบวันสุดท้าย ความบังเอิญอีกรึเปล่าก็ไม่รู้ได้เกิดขึ้นเมื่อฉันได้พบเขาที่หน้าห้องสอบ            'สอบเป็นยังไงบ้าง'
    เขาถามระหว่างที่เราสองคนไปหาอะไรทานด้วยกันที่โรงอาหารของคณะฉันแล้วเขาก็ทำให้ฉันแทบจะช็อคตาย 

                    'เราชอบแซนนะ เป็นแฟนกับเราได้มั้ย

    โลกทั้งใบของฉันมันหยุดชะงักแถมเงียบสนิทยังกับป่าช้า ฉันพูดอะไรไม่ออก เขาเองก็ได้แต่ยิ้มแล้วบอกว่าฉันไม่จำเป็นต้องรีบตอบตอนนี้ก็ได้ แล้วเขาก็ให้สร้อยคอรูปไม้กางเชนฉันมาอีกเส้นนึงซึ่งคู่กับสร้อยของเขา ให้ตายเถอะ ถ้าฉันกำลังฝันอยู่ก็ช่วยปลุกฉันที!! 
                    สามวันต่อมาฉันก็หาคำตอบได้ มาคิดดูแล้ว เราสองคนก็รู้จักกันได้ไม่นานจะให้เป็นแฟนคงเร็วไป อีกอย่างตอนนั้นพวกเรายังไม่ยี่สิบกันเลยด้วยซ้ำ ขีวิตยังอีกต้องยาวไกลจะรีบไปทำไมล่ะจริงมั้ย?

                    'แซนชอบบอลมั้ยประโยคนี้ยิงใส่ฉันทันทีหลังจากที่เขารับโทรศัพท์

    ชอบ เอ้า!! ก็ฉันชอบเขาจริงๆ นี่น่า แต่ยังไม่ทันได้ขยายความว่าแบบไหน จู่ๆ เขาก็ร้องขึ้นมาลั่นโทรศัพท์ ฉันยิ่งตกใจหนัก ได้ยินแต่เขาบอกขอบคุณที่ฉันจะเป็นแฟนเขาแล้วก็วางหูไป       
              บอกได้คำเดียวค่ะว่าอึ้ง พอระลึกได้ว่าเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จะโทรกลับไปเคลียร์แล้วแหละแต่ก็เกิดไม่กล้าขึ้นมาซะอย่างนั้น  ก็เขาดีใจซะขนาดนั้นถ้าขืนโทรไปบอกว่าฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ตานั้นคงหน้าแหกตายเผลอๆ อาจจะโกรธฉันเข้าให้อีกต่างหาก ฉันเลยปล่อยเลยตามเลย ลองคบๆ ไป ถ้าไปไม่รอดจริงๆ ก็จบ ตอนนั้นฉันคิดง่ายๆ แค่นั้นจริงๆ นะ

                    แต่คำว่าแฟนมันไม่ได้เป็นกันง่ายๆ อย่างที่เพื่อนๆ ฉันเคยบอกเลย ฉันรู้สึกว่าฉันกับเขาไม่ได้เป็นแฟนกันซักนิด แต่เหมือนเป็นเพื่อนสนิทต่างเพศกันซะมากกว่า!
                    'ชอบเราตรงไหนเหรอบอล'  
                    'เพราะนิสัยห้าวๆ เหมือนผู้ชายของแซนล่ะมั้ง แล้วเราว่าแซนก็คุยด้วยง่ายดี‘  
                เจอคำตอบแบบนี้มันยิ่งยืนยันว่าเขาไม่ได้รู้สึกกับฉันแบบแฟน แต่มันเป็นความรู้สึกของเพื่อนสนิทต่างหาก !!

                    แต่ฉันก็ยังบอกเขาไม่ได้ เพราะช่วงสอบปลายภาคกำลังจะมาถึงแล้ว ฉันไม่อยากทำให้เขาเสียสมาธิตอนสอบ ฉันจึงขอต่อเวลาออกไปจนการสอบจบลง ในที่สุดฉันก็ได้บอกเขาถึงสิ่งที่ฉันสมควรจะ บอกกับเขานานมาแล้ว

                    'เราชอบบอลนะ แต่เราไม่ได้รักบอล'  

                    ไม่อยากเชื่อว่าประโยคโหดร้ายนี้จะออกมาจากปากของฉันเอง หลังจากนั้นเขาก็ไม่โทรหาฉันอีกเลยจนฉันชักกลัวขึ้นมาว่าเขาจะทำอะไรบ้าๆ ลงไปรึเปล่า สุดท้ายเลยโทรไปหาเขา ฉันอธิบายให้เขาฟังจนหมด เขาก็ไม่ปฏิเสธเอาแต่เงียบอย่างเดียว พูดตามตรงนะว่าไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย
                    'ทำไมแซนไม่บอกบอลแต่แรกล่ะ

    น้ำเสียงเศร้าๆ แถมสั่นแบบคนหัวใจสลายนั่นถามฉันกลับมา เป็นน้ำเสียงที่ฉันไม่อยากจะได้ยินที่สุดจากคนที่ฉันรู้สึกดีๆ ด้วยเลย ความอดทนของฉันหมดลง ฉันกลั้นน้ำตาตัวเองไว้ไม่อยู่อีกต่อไป นี่ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย?  
                    ฉันอยากตอบคำถามนั้นของเขานะ แต่ฉันตอบไม่ได้เพราะกลัวเขาจะเสียใจและผิดหวังจนไม่อยากพูดกับฉันอีกต่อไป ฉันกลัวจริงๆ นะ กลัวว่าถ้าฉันตอบไปแล้วจะต้องเสียคนดีๆ ที่ฉันเองก็มีความรู้สึกดีๆ ด้วยไป แต่ว่าจะไม่ตอบก็ไม่ได้ใช่มั้ย

                    'เพราะเราไม่อยากให้นายเสียใจ'

                    ประโยคที่เหมือนจะดูดี แต่มันก็เป็นได้แค่คำพูดจากผู้หญิงเห็นแก่ตัว ขี้ขลาดและงี่เง่าคนหนึ่ง เท่านั้น ฉันรู้ว่าคำตอบของฉันมันโหดร้ายมากแค่ไหน เพราะมันมากพอที่จะทำให้เขาเงียบไปนานยิ่งกว่านานในความรู้สึกของฉัน ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมามีเพียงแต่เสียงฉันที่สะอึกสะอื้นพร่ำบ่นว่าตัวเองสารพัดสารเพอยู่คนเดียว ที่ฉันทำไม่ได้เพื่อให้เขาสงสารหรือเห็นใจ แต่มันคือความรู้สึกของฉันที่ไม่ได้เรื่องเองต่างหาก

                    'บอลเหนื่อยจังแซน แค่นี้ก่อนนะ แซนหยุดร้องไห้ หยุดโทษตัวเองเถอะ แซนไม่ผิดหรอก ทำใจให้สบายนะ บอลไม่โกรธแซนหรอก แซนก็รู้ ว่าบอลไม่เคยโกรธแซนเลยซักครั้ง'

                    แล้วเขาก็วางหูไป แต่ฉันยังคงนั่งร้องไห้ต่อไปอีกเกือบชั่วโมง ฉันผิดเองที่ปล่อยให้อะไรๆ มันเลยตามเลยมาจนถึงวันนี้ วันที่ทั้งเขาและฉันต้องมาเจ็บปวดและเสียใจด้วยกันทั้งคู่แบบนี้         

                    แม้เหตุการณ์คราวนั้นจะผ่านมานานแล้วและเราสองคนก็เป็นเพื่อนสนิทกันไปแล้ว แต่ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องคราวนั้น น้ำตาของฉันก็จะไหลออกมาทุกที                                                   

    ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเขาเจ็บขนาดไหน มันเจ็บแทบขาดใจเลยล่ะเมื่อได้รู้ว่าคนที่รักไม่ได้รักเราแบบที่เรารักเขา แต่จะให้ฉันปล่อยไป ให้เขารู้สึกผิดๆ อย่างนั้นต่อไปก็คงไม่ได้

    ขอโทษนะ........ ที่ผู้หญิงคนนี้งี่เง่าและเห็นแก่ตัวจนทำให้นายต้องเจ็บ  
                    ขอโทษนะ........ ที่ทำให้ต้องเสียใจ
                    ขอโทษนะ........ ที่ทำให้รักครั้งแรกของนายไม่สมหวัง
                    แต่รู้ไว้นะว่าผู้หญิงคนนี้มีความรู้สึกดีๆ ให้นายเสมอมาตั้งแต่แรกที่ได้พบกัน เรื่องอนาคตฉันเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้ก็คือ ไม่ว่านายจะเป็นคนๆ นั้นของฉันหรือไม่ก็ตาม ความรู้สึกดีๆ ในวันนี้ที่ฉันมีให้นายเสมอมาจะไม่มีวันจางหายไปไหนแน่นอน
                                                                                                                                                                                                                                                                              แซน'

     

    เช้าวันอาทิตย์วนกลับมาอีกครั้ง สำหรับใครหลายๆ คน วันนี้คงเป็นวันหยุดแสนสุขที่จะได้ใช้เวลาร่วมกับครอบครัวหรือไม่ก็อยู่กับตัวเองเพื่อพักผ่อนและคลายความเมื่อยล้าจากงาน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่สำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่ง วันอาทิตย์ก็ยังคงเหมือนกับวันธรรมดาวันอื่นๆ ที่จะต้องตื่นมาทำงานตั้งแต่เช้าจนถึงเย็นเหมือนเดิม
                    ภัทรานั้นต้องวิ่งวุ่นเข้าเวรที่โรงพยาบาลตั้งแต่เช้า ในขณะที่ศรายุทและสลิลนรีเองก็ต้องมารับหน้าที่ดูแลคลินิกทำฟันในตัวเมืองแทนคุณจิตราและคุณจุลจักรซึ่งมีอายุมากขึ้นทุกทีและเริ่มทำงานน้อยลงเพื่อหาความสุขให้แก่ชีวิต หากท่านทั้งสองก็มีน้ำใจมาคอยดูแลลูกสาวของเพื่อนสนิทสมัยมหาวิทยาลัยและรุ่นพี่ของแม่หลานตัวดีด้วยความห่วงใย 
                    "ริน น้องเมย์มาแล้วจ้า" 
                    สิ้นเสียงของคุณจิตรา ร่างบางในชุดเสื้อกาวน์สีขาวยาวถึงเข่าก็เดินออกมารับเด็กหญิงตัวเล็กที่วันนี้มาในชุดกระโปรงบานๆ ทรงบอลลูนยาวถึงเข่าสีครีมลายดอกไม้สีม่วงอ่อนๆ  สวมทับเสื้อยืดคอกลมสีขาว หญิงสาวทักทายเด็กหญิงแล้วชวนคุยซักครู่ก็พาเดินเข้าห้องตรวจไป ปล่อยให้คนเป็นอาที่พาเด็กหญิงมานั่งคุยกับศรายุทที่ห้องรับรองด้านหน้าต่อไป 

                    "ไอ้ภพ ข้ามีเรื่องจะถามเอ็ง" ศรายุทเปิดประเด็นขึ้น ในขณะที่พิภพยังคงเงียบก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ แล้วก็เกือบจะสำลักกาแฟเมื่อได้ฟังคำถามนั้น
                    "เอ็งคิดยังไงถึงไปกดยัยรินกับโซฟาวะ อย่าโกหกข้านะไอ้ภพ!! ไม่งั้นเอ็งโดนดีแน่"  
                    สายตาและน้ำเสียงคาดคั้นจริงจังจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนกันมาเกือบยี่สิบปี ส่งผลให้ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปและรู้ในทันทีว่าเจ้าของใบหน้าเกลี้ยงใต้กรอบแว่นสีทองนั้นมีแววจริงจังมากแค่ไหน                                           
                   ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากและอึดอัด เขาลดแก้วกาแฟในมือลงก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เริ่มเรียบเรียงคำพูดในใจช้าๆ ขณะที่ศรายุทเองก็รอฟังคำอธิบายอย่างใจเย็น
                                             
                   "คือว่าวันนั้นหลังจากที่พวกเอ็งกลับไปแล้ว จู่ๆ รินก็มีอาการแปลกๆ ก้มหน้าก้มตาแล้วก็หน้าแดงๆ ข้าเลยแกล้งเพื่อยั่วให้เขาพูด

    ก็แล้วทำไมเอ็งไม่ถามเขาดีๆ ล่ะวะ เล่นซะยัยรินใจหายใจคว่ำขวัญหนีดีฝ่อไปหมด เกิดยัยรินช็อคตายขึ้นมาจริงๆ นายจะทำไงวะ ศรายุทว่าเสียงเขียวจนพิภพชักจะอดหมั่นไส้ไม่ได้ นี่เอ็งเป็นพี่เขาจริงๆ ไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ถึงได้เกิดอาการหวงน้องสาวขึ้นมาอย่างนี้                                      

    เอ็งก็น่าจะรู้นิสัยน้องสาวเอ็งดีนะว่าต่อให้ข้าถามจนปากฉีกไปถึงรูหู เขาก็คงจะยอมตอบข้าดีๆ หรอกชายหนุ่มโต้กลับ ศรายุทนึกอยู่ชั่วครู่ก็พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย ก็จริงของมัน ร้อยวันพันปีเคยพูดจากันดีๆ ซะที่ไหน แล้วไอ้เรื่องที่จะให้แม่ตัวแสบยอมรับออกมาว่าเขินน่ะหรือ อย่าได้ฝันไปเลยจะดีกว่า

    แต่ว่า ข้าไม่รู้สึกเสียใจหรอกนะที่ทำแบบนั้น เพราะมันทำให้ข้ารู้ใจตัวเองและยอมรับมันได้เสียที” ชายหนุ่มยกแก้วกาแฟขึ้นจิบก่อนจะเริ่มพูดต่อเมื่อหันมาเห็นเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่แปะอยู่กลางหน้าของศรายุท

    “จำเรื่องที่เอ็งเคยพูดกับข้าที่ว่าซักวันข้าจะตกหลุมรักรินได้มั้ย”

    “ที่หลังจากนั้นเอ็งขำจนแทบลงไปกลิ้งกับพื้นแล้วบอกว่าไม่มีทางใช่มั้ยล่ะ” ศรายุทต่อให้พร้อมกับกอดอก

    “ความจริงคือมันเป็นไปแล้วและก็เป็นมานานแล้วด้วย

    ชายหนุ่มเปรยความในใจให้ศรายุทฟัง ขณะที่ศรายุทนั้นถึงกับอึ้งไปชั่วครู่ หัวสมองค่อยๆ ตีความสิ่งที่เพิ่งจะได้ยินมาช้าๆ ราวกับว่ามันไม่ใช่ภาษาไทยยังไงยังงั้น แล้วเมื่อสมองของเขาแปลความได้เรียบร้อยแล้วก็ถึงกับพูดแทบไม่เป็นภาษาเลยทีเดียว

    "เฮ้ย!! นี่เอ็งอย่าบอกนะว่า..."

    “ข้าตกหลุมรินตั้งแต่วันแรกที่เจอกันนั่นแล้ว”

    “แล้วงั้นทำไมเอ็งถึงทำกับน้องเขาแบบนี้ล่ะ แทนที่จะพูดหวานๆ ดูแลเอาอกเอาใจ กลับหาเรื่องชวนทะเลาะซะงั้น เพื่ออะไรวะ เอาแล้วไงล่ะเอ็ง ทำเขาไว้เยอะใช่เล่นแบบนี้จะแห้วมั้ยล่ะเนี่ย” ศรายุทบ่นเป็นชุดพร้อมกับยกมือขึ้นเกาที่ท้ายทอยด้วยท่าทีเครียดจัด ขณะที่พิภพนั้นแม้จะยังมีท่าทีนิ่งสงบเช่นเดิม แต่จากแววตานั้นกลับตรงกันข้าม จนศรายุทอดคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่ตนเพิ่งจะพูดไปนั้นคงแทงใจของเพื่อนเข้าให้ไม่ใช่น้อยๆ

                    กริ๊ง!! เสียงกระดิ่งหน้าประดูทางเข้าคลินิกดังขึ้น ร่างบางสองร่างก้าวเข้ามาด้านในห้องรับรอง จังหวะเดียวกับที่ศรายุทและพิภพหันมามองพวกเธอพอดี หญิงสาวผมยาวตรงสีดำจึงไม่รอช้า รีบฉุดหญิงสาวอีกคนที่ผมออกสีน้ำตาลอ่อนๆ ให้เดินตรงมาที่พวกเขาในทันที  
                    "พี่ซันคะ ขอโทษนะคะที่ดาวมารบกวนกะทันหันแบบนี้ คือว่าพี่รตีเขาเกิดปวดฟันขึ้นมาน่ะค่ะ ดาวเลยพามาให้พี่ซันช่วยดูให้หน่อยว่าพี่รตีเขาเป็นอะไร " หญิงสาวอธิบายให้คุณหมอหนุ่มฟังอย่างรวดเร็ว ขณะที่รื่นรตีเดินไปทรุดตัวนั่งข้างๆ พิภพ 
                    "งั้นคุณรตีช่วยอธิบายอาการให้ผมฟังหน่อยจะได้มั้ยครับ" ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงห่วงใยตามประสาคุณหมอที่ดี หากฝ่ายที่ถูกถามกลับมองเขาด้วยหางตาแล้วเมินไปทางอื่นเสียนี่ แถมไม่ว่าศรายุทจะพยายามถามยังไง สิ่งที่ได้กลับมาก็คือความเงียบ ขนาดดารารัตน์กับพิภพช่วยแล้วก็ไม่ดีขึ้น

    มีอะไรรึเปล่าซันคุณจิตราเดินเข้ามาถามหลังจากที่นั่งมองจากเคาน์เตอร์อยู่นานพอควร

    ดาวบอกว่าคุณรื่นรตีเธอปวดฟันน่ะครับคุณน้า แต่นี่ผมพยายามถามอาการเธอเท่าไหร่ เธอก็ไม่ยอมบอก ชายหนุ่มตอบผู้อาวุโส ส่งผลให้คุณจิตราขมวดคิ้วฉับ      

    งั้นเดี๋ยวน้ามานะซัน”                                                                                                                                          
                    
    แล้วคุณจิตราก็เดินเข้าไปในส่วนของห้องตรวจด้านในอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้หนุ่มสาวอีกสามคนพยายามถามอาการคนไข้ฉุกเฉินคนนี้ต่อไป ไม่นานนักสวรรค์หรือไม่ก็นรกคงจะเห็นใจผู้เคราะห์ร้ายทั้งสามจึงได้ส่งตัวช่วยเข้ามาได้จังหวะพอดิบพอดี

    "ปวดฟันเหรอคะคุณรตี"

    สลิลนรีเดินยิ้มเริงร่าเข้ามาถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มและน้ำเสียงหวานหยด ซึ่งไอ้น้ำเสียงและท่าทางแบบนี้นี่แหละที่ศรายุทกับพิภพลงความเห็นว่ามันไม่น่าไว้ใจที่สุด ขณะที่หนูน้อยเมย์ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ สลิลนรีนั้นก็มองคุณอาๆ น้าๆ ทั้งหลายตาแป๋ว ส่วนคุณจุลจักรและคุณจิตราก็เกิดอาการยิ้มไม่ออก                 

    "ริน ทำไมทำฟันน้องเมย์เสร็จเร็วจังล่ะศรายุทถาม พยายามปั้นหน้าให้ดูนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ในใจนั้นร้อนรนด้วยรู้ว่าตอนนี้แม่น้องสาวที่รักกำลังคิดพิเรนทร์อะไรอยู่ ซึ่งเขาคาดว่าคุณจิตราคงจะเจอแม่ตัวดีคนนี้เข้าก่อนเจอคุณจุลจักร เลยเผลอหลุดปากเล่าให้หญิงสาวฟัง เรื่องเลยมาลงเอยกันแบบนี้ คุณน้านะครับคุณน้า เดี๋ยวก็ได้ปิดกิจการกันจริงๆ หรอก

    "คนเรามันก็ต้องมีพัฒนาฝีมือกันบ้างซิคะพี่ซัน ว่าแต่สรุปว่าคุณรื่นรตีเธอมีปัญหาอะไรเหรอคะ" หญิงสาวถามเสียงใส

    "พี่รตีบอกดาวว่าปวดฟันน่ะค่ะ แล้วก็ไม่ได้บอกอะไรอีกเลย ดาวเลยพามาที่นี่นี่แหละค่ะ" แล้วก็เป็นดารารัตน์ที่หลงกลตอบออกไปจนได้ ส่งผลให้สลิลนรีนั้นยิ้มกว้างเข้าไปอีก

    "งั้นคงต้องเชิญคุณรื่นรตีเข้าห้องตรวจแล้วล่ะค่ะ คนเดียวนะคะ" คุณหมอสาวจงใจเน้นประโยคหลังพร้อมสบตารื่นรตีอย่างท้าทาย คนไข้ฉุกเฉินจึงเลิกเล่นองค์และยอมเดินเข้าไปในห้องตรวจแต่โดยดีแม้จะยังคงท่าทีเชิดใส่เธออยู่บ้างก็ตาม

    "เพลาๆ หน่อยล่ะริน พี่ยังไม่อยากให้น้าของเราปิดกิจการนะ" ศรายุทกระซิบ หากหญิงสาวกลับส่งยิ้มหวานมา ทำเอาทั้งเขาและพิภพรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ แทนรื่นรตีขึ้นมาในทันใด

    "จะพยายามก็แล้วกันนะคะพี่ซัน หุๆๆ" หญิงสาวหัวเราะเสียงเย็นชวนสยองตบท้ายก่อนจะเดินตามคนไข้จำเป็นไป ปล่อยให้สองหนุ่มยืนมองหน้ากันด้วยท่าทีที่ไม่เป็นสุขเท่าไหร่นัก

    ยังไงเดี๋ยวน้าสองคนขอตัวไปซื้อข้าวกลางวันก่อนนะ ฝากซันดูแลร้านไปก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวน้ากลับมาพูดจบคุณจุลจักรและคุณจิตราก็เดินจากไป

     ทันทีที่เหลือกันอยู่สี่คน พิภพก็พาหลายสาวของตนไปนั่งดูทีวีที่ด้านหนึ่งของห้องอย่างรู้งาน ปล่อยให้ศรายุทได้อยู่กับดารารัตน์สองต่อสอง เวลานี้ในใจของเขากำลังกระหวัดไปหาคนที่กำลังสู้รบปรบมืออยู่กับคนไข้ฉุกเฉินเพียงสองคนในห้องตรวจนั่นด้วยใจที่เต้นตุ้มๆ ต่อมๆ

    เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง จนตอนนี้ก็เที่ยงกว่าเข้าไปแล้ว รื่นรตีก็เดินออกมาจากห้องตรวจ โดยมือทั้งสองข้างของเธอนั้นยกถุงน้ำแข็งขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กนักประคบแก้มทั้งสองข้างด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าเจ็บปวดเหลือแสน ส่วนด้านหลังของเธอนั้นคุณหมอเจ้าของไข้ก็เดินยิ้มหน้าชะแล่มเลยทีเดียว

    "เออ... สรุปแล้วพี่รตีเป็นอะไรเหรอคะน้องริน" ดารารัตน์เอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วงพี่สาว

    "ปวดฟันเพราะฟันคุดผุน่ะค่ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ รินจัดการเอาออกให้เรียบร้อยแล้ว งั้นเดี๋ยวขอตัวไปเอาค่ารักษามาให้เลยแล้วกันนะคะ พูดจบหญิงสาวก็ทำท่าจะเดินจากไป หากก็ต้องชะงักเมื่อมือแข็งแรงของศรายุทตะครุบเข้าที่ไหล่ของเธอเสียก่อน   

    ไอ้ที่ว่าจัดการน่ะกี่ซี่ศรายุทกระซิบถามเสียงเบาโดยมีพิภพยืนฟังคำตอบอยู่ใกล้ๆ

    แหมๆๆ ก็รินเห็นมันผุทั้งสี่ซี่แล้วรินก็กลัวว่าคุณรตีจะเสียเวลามาหลายรอบ เลยจัดการหมดทั้งสี่ซี่เลยค่ะ คุณรตีก็อย่าลืมทำตามที่ดิฉันแนะนำแล้วกันนะคะ เพราะไม่งั้นถ้าแผลเกิดบวมหรือว่าอักเสบขึ้นมา ก็อย่าหาว่าดิฉันไม่เตือน

    เธอตอบรุ่นพี่ก่อนจะหันมาพูดกับรื่นรตีที่ตอนนี้เจ็บจนพูดอะไรไม่ออก ขณะที่พิภพกับดารารัตน์นั้นได้แต่นึกถึงความเจ็บปวดที่เคยประสบมาจากการจัดการกับฟันคุดแล้วก็อดรู้สึกสยองไม่ได้ แค่ซี่เดียวก็ทำเอาทานอะไรไม่อร่อยไปหลายวัน พูดก็ไม่ค่อยสะดวก แก้มก็บวมอย่างกับอมลูกมะนาวเอาไว้ในปาก แถมพอยาชาหมดฤทธิ์ก็ปวดแผลอีก แล้วนี่รื่นรตีโดนจัดการทีเดียวสี่ซี่ ไม่อยากจะนึกเลยว่าจะปวดขนาดไหน

                    "ผู้หญิงคนนั้นใครน่ะริน" คุณจิตราถามพร้อมกับพยักเพยิดไปทางรื่นรตีที่วันนี้ก็ยังคงแต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดเหมือนเคย  

    "อ๋อ!! นั่นเหรอคะ คุณรื่นรตี แฟนคุณพิภพเขาน่ะค่ะหญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้นโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาจากใบแจ้งค่ารักษาในมือ

                    "ถามจริง!!" คุณจิตราอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง หากพอเจอหลานสาวส่ายหน้ายิ้มๆ ตอบกลับมา คุณจิตราจึงส่งค้อนให้สลิลนรีที่กำลังยืนปิดปากหัวเราะเบาๆ อย่างสนุกสนานที่อำน้าตัวเองสำเร็จ

    ถามทำไมเหรอคะน้า

    ก็ดูไม่เห็นเหมือนว่าทั้งสองคนนั้นจะเป็นแฟนกันเลยน่ะซิ คุณจิตราตอบ ส่วนคุณจุลจักรที่กำลังตรวจเช็คตารางนัดคนไข้ประจำวันก็ได้แต่ส่ายหน้าระอาในความอยากรู้อยากเห็นของภรรยา                   

    ว่าแต่เราดีกว่า เล่นจัดการฟันคุดหมดสี่ซี่แบบนั้น ระวังเถอะวันนึงจะโดนคนไข้ฟ้องเอา เพลาๆ ลงหน่อยก็ดีนะยัยตัวแสบไอ้ความก๋ากั่นของเราน่ะ นี่น้ากับแม่เราน่ะจะหัวใจวายมาหลายทีแล้วนะคุณจุลจักรเงยหน้าขึ้นมาตักเตือนหลานสาว หากสลิลนรีจะสำนึกรึก็ไม่ กลับยืนยิ้มเผล่อย่างสบายอารมณ์เสียนี่

    รินจะพยายามแล้วกันนะคะน้าจักร แต่ท่าทางคงจะยากเพราะดูมันจะฝังอยู่ในกระดูกไปแล้วล่ะค่ะ” พูดจบเธอก็รีบจ้ำอ้าวหนีไปจากตรงนั้นทันที ด้วยกลัวว่าจะต้องฟังกัณฑ์เทศน์จากคุณน้าจักรที่เคารพต่ออีกสองกัณฑ์ติด ทำเอาชายวัยกลางคนได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะหัวเราะออกมาน้อยๆ อย่างยอมแพ้ ทำไมไม่เคยจัดการแม่ตัวดีคนนี้เลยนะให้ตายซิ

                     กริ๊ง.....

                เสียงกระดิ่งดังขึ้นอีกครั้ง ศรายุทและสลิลนรีจึงรีบหันไปมอง แล้วสายตาของทั้งสองก็ปะทะเข้ากับร่างของบุรุษแสนคุ้นตาผู้หนึ่งเข้าอย่างจัง

                    "สวัสดีครับพี่ซัน สวัสดีหนูรินด้วย" พิภัทธยิ้มและกล่าวทักทายก่อนจะหันมาหาพี่ชายของตน เห็นออกจากบ้านมาแต่เช้าที่แท้ก็พายัยเมย์มาทำฟันนี่เองเหรอครับพูดไปมือก็ยังคงโอบไหล่สลิลนรีอยู่ ทำเอาพิภพรู้สึกหางคิ้วกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ                                  

    "แล้วนายล่ะภัทรมาทำอะไร" พิภพถามกลับ สายตายังคงจับจ้องมือของน้องชายที่โอบไหล่สลิลนรีเช่นเดิม
                    "พอดีว่าไม่ได้ตรวจฟันนานแล้วน่ะครับ เลยนัดให้พี่ซันช่วยตรวจให้หน่อยน่ะครับ" 

    ไม่ใช่นานเฉยๆ ภัทธ ต้องเรียกว่านานมากเลยต่างหาก ไอ้ภพมันบอกพี่ว่านายไม่ได้มาตรวจเกือบสองปีแล้วนี่เจอศรายุทดักแบบนี้ พิภัทธก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ ให้สลิลนรีที่ยืนมองเขาตาแป๋ว ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินตามศรายุทเข้าห้องตรวจไป

                    ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ ชายหนุ่มทั้งสองก็เดินกลับออกมา ศรายุทนั้นเดินแยกเอาใบรายงานการรักษาไปให้คุณจุลจักร ส่วนชายหนุ่มอีกคนก็ไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ กับสลิลนรีที่กำลังนั่งเล่นอยู่กับเด็กหญิงตัวเล็กที่มุมหนึ่งของห้อง โดยมีสายตาของพิภพมองอยู่ห่างๆ

    หลังจากจัดการเรื่องค่ารักษากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ศรายุทก็ชวนทุกคนไปทานอาหารกลางวันด้วยกันที่ตลาดนัดใกล้ๆ ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย ยกเว้นก็แต่รื่นรตีคนเดียวที่ขอตัวกลับบ้าน ด้วยเหตุว่าเธออยากพักผ่อน

    งั้นเดี๋ยวผมไปส่งคุณรื่นรตีเองก็แล้วกันครับพิภัทธเสนอตัว

    ก็ดีเลยภัทธ ฝากด้วยแล้วกันนะ ดูแลสุขภาพนะครับคุณรตี

    พูดจบพิภพก็รีบลุกขึ้น หากไม่ได้ลุกไปเฉยๆ ยังคว้าเอาข้อมือของสลิลนรีที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาให้ลุกขึ้นตามออกไปด้วย เล่นเอาหญิงสาวเกิดอาการงงสุดฤทธิ์

    อย่าลืมกลับมาทำงานต่อตอนบ่ายสามด้วยล่ะทั้งสองคนคุณจิตราไม่วายบอกไล่หลังตามไป

     

    ปล่อยนะคุณ ฉันเดินเองได้ แล้วนี่คุณจูงผิดคนรึเปล่า หลานคุณน่ะอยู่นั่นต่างหาก

    หญิงสาวพูดเบาๆ กับชายหนุ่มที่ดูท่าจะเดินเพลินจัดจนลืมไปว่าตอนนี้มือของเธอยังอยู่ในอุ้งมือใหญ่ของเขา หากชายหนุ่มกลับทำไม่รู้ไม่ชี้ต่อคำพูดของเธอและยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ยิ่งทำให้สลิลนรีรู้สึกกระอักกระอ่วนใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

    นี่!! ฉันบอกให้ปล่อยไงไม่ได้ยินเหรอหญิงสาวพูดให้ดังขึ้นอีกนิด ใบหน้าเริ่มออกอาการแดงเรื่อๆ ซึ่งมั่นใจได้เลยว่าอาการนี้ไม่ได้มาจากความร้อนของแสงแดดหรือเพราะจับไข้กะทันหันอย่างแน่นอน แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรก็ตามมันก็มีส่วนทำให้ชายหนุ่มที่กุมมือเธออยู่นั้นแอบยิ้มอยู่ในใจและยังคงเดินจูงเธอต่อไปเรื่อยๆ จนสลิลนรีอยากจะประทุษร้ายเขาซักทีสองที

                    "อย่าแม้แต่จะคิดเชียวนะคุณ ไม่งั้นผมไม่ทำแค่จับมือแน่" ชายหนุ่มว่าเบาๆ ส่งผลให้สลิลนรีชะงักเมื่อสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลคมปลาบคู่นั้นพลางถอนหายใจฮึดฮัดแล้วก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป

    ฝากไว้ก่อนเถอะ ถ้ามีคราวหน้าล่ะก็นายตายแน่!! หญิงสาวพูดอุบอิบกับตัวเอง ก่อนจะชำเลืองมองคนที่ยังคงถือวิสาสะกุมมือเธออยู่อย่างเคืองๆ  แต่ก็ต้องรู้สึกร้อนแถวๆ ใบหน้าหนักเข้าไปอีกจนต้องรีบหลบวูบไปมองทางอื่นเมื่อสบเข้าดวงตาที่ส่งยิ้มมาให้คู่นั้น แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ไวพอที่จะซ่อนแก้มแดงๆ ทั้งสองข้างได้ทันอยู่ดี พิภพหัวเราะน้อยๆ ในลำคอกับท่าทีเขินอายของเธอก่อนจะก้มลงกระซิบที่ข้างหูเธออย่างรวดเร็วและแผ่วเบา       "ฝากอะไรไว้ก็อย่าลืมมาเอาคืนแล้วกันนะครับ" กรี๊ดดดดดดดดด คนบ้า!! อย่ามาบังอาจอ่านใจฉันนะยะ!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×