คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ข้อความ...ถึงหัวใจ
"วันนี้ไม่มีนัดกับคุณดาวเหรอพี่ซัน" สลิลนรีถาม เมื่อเดินเข้ามาในห้องพักแล้วเห็นชายหนุ่มกำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่ในห้องเพียงลำพัง
"นัดแต่ยังไม่ถึงเวลา" ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับระบายลมหายใจออกมายาวเหยียด
"เป็นอะไรไปพี่ ดูทำหน้าทำเสียงเข้าซิ อย่างกับกำลังจะเฉาตายอย่างนั้นแหละ ได้เจอหวานใจทั้งทีทำตัวให้สดชื่นหน่อยซิคะ" หญิงสาวบอกก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ชายหนุ่ม ศรายุทถอนหายใจดังๆ ออกมาอีกเฮือกก่อนจะหันหน้ามามองเธอ
"ขอบใจที่ให้กำลังใจนะริน แต่พี่ชักเหนื่อยแล้วล่ะ” ชายหนุ่มตอบเนือยๆ
“ถ้าสิ่งที่ทำให้พื่เหนื่อยคือคุณรื่นรตีล่ะก็ ฟังรินดีๆ นะคะ” หญิงสาวพูดขึ้นพร้อมกับจ้องเขาเขม็งแล้วเริ่มเทศนาต่อ
“บอกตรงๆ นะพี่ซัน รินไม่เคยเห็นคุณดาวเธอจะมีท่าทีรังเกียจรังงอนอะไรพี่ซันเลยซักนิด แถมดูท่าเธออาจจะมีใจให้พี่เสียด้วยซ้ำ รินไม่ว่าหรอกนะถ้าพี่จะรู้สึกเหนื่อยเพราะมีคนอย่างคุณรื่นรตีมาคอยกันท่า แต่ถ้าพี่เกิดจะถอดใจล่ะก็ รินขอถามแค่ว่าพี่กำลังจีบคุณดาวหรือว่าจีบคุณรื่นรตีกันแน่ ทำไมถึงได้ใส่ใจอะไรคุณรื่นรตีเธอนักหนา” สลิลนรีหยุดพักหายใจ ขณะที่ศรายุทนั้นได้แต่กระพริบตามองรุ่นน้องปริบๆ
“ตอนนี้พี่สนคุณดาวคนเดียวพอ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น เรื่องคุณรื่นรตีก็ปล่อยให้รินจัดการเอง ยังไงเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่พี่ต้องการจะให้รินช่วยอยู่แล้วไม่ใช่รึไง”
“แล้วรินจะทำยังไงต่อ” ศรายุทถามกลับด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยจะสบายใจนัก สาเหตุที่หนึ่งก็เพราะการที่เขาต้องมาขอยืมมือรุ่นน้องที่มีศักดิ์เป็นน้องสาวร่วมสาบานแบบนี้ทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจยังไงชอบกล สองคือ เขากลัวว่าสลิลนรีนั้นจะตบะแตกทำอะไรรุนแรงขึ้นมานี่แหล่ะ แต่สลิลนรีจะรู้ตัวซักนิดหรือก็ไม่ ยังคงยิ้มให้เขาหวานจ๋อย ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่เขารู้สึกว่าน่ากลัวที่สุด
“พี่ไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงรินก็ไม่ทำให้เขาถึงขั้นเสียโฉมหรือมีอันเป็นไปก่อนเวลาอันควรแน่ อีกอย่างคุณรื่นรตีก็หัวเดียวกระเทียมลีบ จะเอาอะไรมาสู้กับรินล่ะจริงมั้ย"
เธอตอบแล้วนั่งยืดอกอย่างภาคภูมิใจ ส่งผลให้เขาอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ กำลังใจเริ่มจะกลับมาอีกครั้ง เขายิ้มก่อนจะเอื้อมมือมาลูบผมนุ่มของคนข้างตัวอย่างเอ็นดู... คิดไม่ผิดจริงๆ ที่เขารับเธอคนนี้มาเป็นน้องสาวร่วมสาบาน
"ขอบใจนะรินที่ทำเพื่อพี่ขนาดนี้”
“ไว้ขอบคุณตอนจบเรื่องแล้วดีกว่าค่ะพี่ซัน ตอนนี้น่ะยังเร็วไป ถ้าจะให้ดีก็ขอเปลี่ยนคำขอบคุณเป็นบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่นซักมื้อจะได้มั้ยล่ะคะ” ว่าแล้วก็ส่งยิ้มทะเล้นให้หนึ่งที ทำเอามือที่กำลังลูบผมเธออยู่นั้นกำเข้าหากันก่อนจะเขกโป้กลงไปเบาๆ หนึ่งที
“ยัยงก!! เลิกซักทีเถอะนิสัยแบบนี้ เดี๋ยวก็หาแฟนไม่ได้กันพอดี ว่าแต่ฟ้าล่ะ" ชายหนุ่มถามขึ้นก่อนจะสอดส่ายสายตาไปนอกห้องพัก หากก็ไร้วี่แววเงาของคนที่เขาถามถึง
"ยังไม่เลิกงานค่ะ บอกว่าจะตามไปทีหลังให้พวกเราล่วงหน้าไปก่อน"
"งั้นเหรอ เฮ้อ... มีวิธีไหนที่พอจะทำให้คุณรื่นรตีเธอเลิกเขม่นพี่เร็วๆ มั้ยนะ" ชายหนุ่มว่าลอยๆ ก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วเดินออกจากห้องไปยังจุดนัดพบเมื่อเห็นว่าได้เวลาแล้ว หญิงสาวเดินตามมาต้อยๆ ก่อนจะพูดออกมาเสียงใส หากทำเอาเขาเกือบเดินสะดุดขาตัวเองล้มหน้าคว่ำ
"มีซิ พี่ซันก็แค่เลิกเป็นก้างขวางเธอกับคุณภพไงล่ะ"
"เฮ้ย!! ถ้าทำแล้วต้องโดนไอ้ภพมันหาว่าทรยศเพื่อนที่คบกันมาเกือบยี่สิบปีล่ะก็ พี่ขอผ่านดีกว่านะ" เขาตอบซึ่งสลิลนรีเองก็พยักหน้าเข้าใจแต่โดยดี
"อันที่จริงนะ ถ้าคนที่เกาะคุณภพอยู่เป็นคนที่ดีกว่าคุณรื่นรตีล่ะก็ รินจะยุให้พี่เลิกชอบคุณดาวแทนเลยล่ะ" เธอตอบหน้าตาย
“อ้าว!! ไหงงั้นล่ะครับคุณน้องรัก นี่ไม่ทันไรก็เห็นนายนั่นสำคัญกว่าพี่แทนซะแล้วเหรอ” ชายหนุ่มหันขวับมาถามอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง หากสลิลนรีกลับทำหน้าแหยะ
“รินเนี่ยนะเห็นเขาสำคัญกว่าพี่ซัน รอรินเกิดใหม่ซักสามชาติก่อนค่อยมาพูดดีกว่าค่ะ” เธอตอบพร้อมกับรู้สึกสยองยังไงชอบกล “ก็ลองคิดดูนะพี่ซัน คนปากเสียอย่างเพื่อนพี่น่ะ จะมีผู้หญิงดีๆ ซักกี่คนมาหน้ามืดติดบ่วงตามตื๊อถึงขนาดนี้ ดังนั้นรินคิดว่าถ้าไหนๆ ก็อุตส่าห์มีคนดีหลงเข้ามาแล้ว พวกเราก็น่าจะสนับสนุนเพื่อนพี่ให้ไปในทางที่ชอบถึงจะถูก อีกอย่างถ้าเพื่อนพี่มีแฟน เขาก็จะได้เลิกตามหาเรื่องริน พี่ก็จะได้สบายไม่ต้องมาเป็นคนคอยห้ามทัพด้วยไงล่ะไม่ดีเหรอ
แต่เอาเถอะ ในเมื่อมันช่วยไม่ได้ที่เพื่อนพี่ดันทำกรรมไว้เยอะเลยต้องมารับผลกรรมแบบนี้ พี่กับรินก็คงต้องเหนื่อยกันต่อไปล่ะนะ” หญิงสาวร่ายเป็นชุด ขณะที่ศรายุทนั้นกำลังคิดไปถึงว่า ป่านนี้เจ้าเพื่อนรักของเขาจะจามติดกันกี่สิบทีแล้วตั้งแต่โดนแม่สาวน้อยข้างตัวเขานินทาถึงยาวเป็นสักวาขนาดนี้
"แล้วเราล่ะ ไม่คิดจะทำบุญทำกุศลโดยการช่วยมันบ้างรึไง เผื่อมันจะสำนึกบุญคุณที่เราช่วยมันแล้วเลิกหาเรื่องเราซักทีไง"
“ถ้าช่วยแล้วเขาทำอย่างที่พี่ว่ามาจริงๆ นะรินยอมช่วยชนิดเอาตัวเข้าแลกเลยล่ะ แต่มันคงไม่มีทางเป็นไปได้หรอกค่ะพี่ซัน มาคิดๆ ดู รินก็เคยช่วยเขาตั้งหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่เห็นเขาจะพูดดีทำดีกับรินเลยซักครั้ง ชาตินี้รินกับเขาคงอยู่ร่วมโลกกันดีๆ ไม่ค่อยจะได้หรอกค่ะ พี่ซันทำใจเถอะ” พูดจบหญิงสาวก็ขอตัวไปโทรศัพท์ครู่หนึ่ง ปล่อยให้ชายหนุ่มคิดอะไรเล่นๆ เพียงคนเดียวเงียบๆ
มันก็จริงอย่างที่สลิลนรีพูดมา ไม่ว่าเจ้าเพื่อนตัวดีของเขาจะไปก่อเรื่องอะไรไว้ สุดท้ายพอตัวเองจนปัญญาที่จะแก้ก็จะต้องหันมาหาเขาทุกที แต่สุดท้ายก็มีบางเรื่องเหมือนกันที่เขาต้องขอยอมแพ้แต่โดยดี ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องผู้หญิง!!
เป็นที่รู้กันดีว่านายพิภพ อัศวกุล เพื่อนรักของเขาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ประถมนั้นหน้าตาหล่อเหลาเอาการขนาดไหน และดูท่าไอ้ข้อดีข้อนี้แหละที่ทำให้มันมีเรื่องวุ่นวายเกี่ยวกับสาวๆ มาให้เขาต้องพลอยปวดหัวเล่นเป็นประจำตามไปด้วย โดยเฉพาะสมัยเรียนมหาวิทยาลัยนั่นแหละที่ดูจะมีเรื่องบ่อยที่สุด
หากทุกปัญหาก็มีอันได้รับการคลี่คลายได้จนหมดเมื่อมีสลิลนรีเดินเข้ามาในชีวิตของพวกเขา แม้ว่าเธอจะแสดงออกว่าไม่ชอบเพื่อนของเขาแค่ไหน แต่หากเขาขอร้องหรือบางทีไอ้เพื่อนรักของเขาเจอเรื่องหนักหนาจริงๆ เธอก็จะยอมช่วยในที่สุด
แต่ในทางกลับกัน บางครั้งก็เป็นเธอเองนั่นแหละที่นำเรื่องวุ่นวายมาให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาต้องเป็นคนคอยห้ามทัพเธอกับนายภพที่ดูเหมือนจะกัดกันให้ตายไปข้างได้ทุกครั้งที่โคจรมาพบกัน ซึ่งต้องขอยอมรับว่าบางครั้งเขาเองก็อดที่จะขอให้สองคนนี้หันมารักกันเองแบบในละครหลังข่าวให้รู้ๆ กันไปเหมือนกัน
ไม่นานนักสลิลนรีก็เดินกลับมา ยืนรออยู่อีกครู่หนึ่งคนอื่นๆ ก็ทยอยตามกันมา เริ่มด้วยพิภพ ซึ่งวันนี้มาแปลกกว่าทุกวันเพราะตั้งแต่ที่เขาเห็นหน้าสลิลนรีวันนี้ เขายังไม่หาเรื่องเธอเลยซักนิดแถมยังยิ้มหวานให้อีกต่างหาก ทำให้สลิลนรีอดแปลกใจไม่ได้ จากนั้นดารารัตน์ รื่นรตี และพิภัทธก็ตามมาเป็นลำดับ แล้วก่อนที่ทั้งหมดจะเคลื่อนย้ายออกจากแผนก ร่างสูงของชายหนุ่มผิวคล้ำคนหนึ่งก็เดินยิ้มเผล่ตรงดิ่งเข้ามา
"รัน มาทำอะไรที่นี่น่ะ แล้วพ่อกับแม่ล่ะ" ศรายุทออกปากถามน้องชายที่เดินยิ้มร่าเข้ามาหาอย่างงงๆ
"อ๋อ พอดีพ่อกับแม่ออกไปทานอาหารกับพวกเพื่อนๆ น่ะครับ ผมไม่อยากตามไปด้วยเลยว่าจะออกมาหาข้าวเย็นทานเอง แต่รินโทรชวนให้มาด้วยกันพอดีผมเลยตามมานี่แหละครับ" ชายหนุ่มตอบซึ่งทุกคนก็ไม่มีใครคัดค้านที่เขาจะขอมาร่วมวงด้วยในครั้งนี้
"นี่รัน ตอนรินเขาชวนออกมานี่เขาบอกอะไรรันรึเปล่า" ศรายุทกระซิบถามระหว่างเดินไปที่ลานจอดรถ
"ก็ไม่นี่ครับ รินบอกแค่ว่าจะชวนมากินข้าวแล้วก็ดูอะไรสนุกๆ เออ...หวังว่าเรื่องสนุกที่ว่านั่นคงไม่ใช่การฆ่าพี่ภพใช่มั้ยครับ" ชายหนุ่มทำหน้าปูเลี่ยนๆ กับพี่ชายที่ส่งยิ้มแหยๆ และหัวเราะไม่เต็มเสียงนักตอบกลับมา... งานนี้แม่ตัวดีจะทำอะไรร้ายแรงรึเปล่าเนี่ย
รถยนต์ห้าคันขับเคลื่อนเข้ามาจอดนิ่งสนิทที่หน้าร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่งในตัวเมืองที่สว่างไสวด้วยแสงไฟสีเหลืองนวลจากเสาไฟข้างถนน หน้าร้านมีบานหน้าต่างขนาดใหญ่ทำให้คนด้านนอกเห็นบรรยากาศภายในร้านได้อย่างชัดเจน บริเวณหน้าร้านมีกระถางต้นไม้และดอกไม้หลายสีซึ่งตอนนี้หลายต้นดอกได้หุบไปบ้างแล้วตั้งประดับเอาไว้
ภายในร้านอาหารมีเพียงแสงไฟที่พอทำให้มองเห็นภายในร้านเพียงสลัวๆ เพื่อสร้างบรรยากาศ ที่ผนังฝั่งตรงข้ามกับประตูทางเข้าร้านเป็นเคาน์เตอร์สูงระดับอกที่ยาวเกือบตลอดความยาวผนัง ด้านหลังเคาน์เตอร์มีชายวัยกลางคนเจ้าของร้านกับบริกรอีกสามสี่คนคอยผสมเครื่องดื่มจากน้ำเมาสารพัดชนิดที่วางอยู่ในตู้กระจกบริการลูกค้า ใกล้ๆ กันนั้นมียกพื้นซึ่งทางร้านทำเอาไว้สำหรับเป็นเวที ซึ่งขณะนี้วงดนตรีเล็กๆ กำลังบรรเลงเพลงทำนองช้าๆ นุ่มๆ สร้างสีสันให้กับร้านในยามหัวค่ำ
ก้าวเข้ามาในร้านได้ไม่ถึงห้านาที ภัทราก็ตามมาถึง ต่างคนต่างช่วยกันชะเง้อชะแง้สอดส่ายสายตาหาโต๊ะว่างขนาดใหญ่พอที่จะนั่งกันได้แปดคน แต่ยืนชะโงกกันอยู่นานแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหาได้เสียที
และแล้วก็เหมือนฟ้าเป็นใจ เมื่อพนักงานต้อนรับคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเขาพอดี จังหวะเดียวกับที่สลิลนรีหันไปเห็นโต๊ะขนาดสองที่นั่งติดกับริมหน้าต่างหน้าร้านซึ่งกำลังว่างอยู่เข้า จึงสะกิดศรายุทพร้อมกับบุ้ยใบ้ไปทางนั้น ซึ่งชายหนุ่มก็เข้าใจและทำตามอย่างว่าง่าย จังหวะเดียวกันนั้นโต๊ะใหญ่สำหรับหกคนข้างๆ บาร์เครื่องดื่มก็ว่างพอดี บริกรสาวจึงออกเดินนำคนที่เหลือไปที่โต๊ะ
“อ้าว!! แล้วคุณซันล่ะคะคุณริน” ดารารัตน์หันกลับมาถามเธอ
“เอ... รินก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะคะคุณดาว แต่เมื่อกี้เหมือนจะเห็นพี่ซันเดินไปทางด้านนั้นบอกว่าจะหาโต๊ะว่างน่ะค่ะ คุณดาวไปเป็นเพื่อนรินหน่อยแล้วกันนะคะ” หญิงสาวตอบด้วยท่าทีใสซื่อน่าเชื่อถือสุดฤทธิ์ ก่อนจะถือวิสาสะฉวยข้อมือของคนตรงหน้าเอาไว้แล้วพาเธอเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ
“แล้วคนอื่นๆ ล่ะคะ” ดารารัตน์ถามสลิลนรีที่กำลังยังคงเดินนำหน้าเธออย่างเป็นกังวล ในขณะที่คนโดนถามนั้นกลับส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้
“คนอื่นๆ น่ะปล่อยไปก่อนเถอะค่ะ ตอนนี้สนคนนี้ดีกว่านะคะ” แล้วเธอก็หยุดเดิน ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบให้คนที่เดินตามมาได้เห็นศรายุทที่ยืนส่งยิ้มหวานมาให้
“ไปซิคะคุณดาว” สลิลนรีเร่งเสียงใสก่อนจะเดินเข้ามาดุนหลังหญิงสาวเบาๆ ให้เดินมายังเก้าอี้ที่รุ่นพี่หนุ่มจัดแจงเลื่อนให้ด้วยท่าทีสุภาพ
“มัดมือชกกันแบบนี้เลยเหรอคะ” ดารารัตน์แอบโวยเบาๆ ให้สลิลนรีได้ยินกันแค่สองคน
“แหม ใครจะทำพี่ดาวได้ลงคอล่ะคะจริงมั้ย รินน่ะมีหน้าที่แค่พาพี่ดาวมาส่งก็แค่นั้นเอง”
สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้ดารารัตน์อดที่จะรู้สึกเขินไม่ได้ แล้วสลิลนรีก็หยุดเดินห่างจากโต๊ะที่ศรายุทยืนอยู่ไม่กี่ก้าว ก่อนที่เธอจะถอยออกมาห่างๆ
“ถ้าพี่ดาวเลือกที่จะนั่งตรงนี้ พี่ดาวก็ต้องเดินต่อไปเองค่ะ แต่ถ้าพี่ดาวเลือกที่จะกลับไป รินก็จะพาพี่ดาวกลับ ขึ้นกับความเต็มใจของพี่ดาวค่ะ รินไม่ได้บังคับ อยากให้พี่ดาวตัดสินใจเองค่ะ” สลิลนรีตอบเมื่อเห็นดารารัตน์ส่งสายตาเป็นคำถามมา
ดารารัตน์ยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจก้าวมาทางศรายุทด้วยท่าทีเขินๆ ทำเอาทั้งศรายุทและสลิลนรีแทบจะถอนหายใจหนักๆ พร้อมกันเลยทีเดียว
“งั้นรินขอตัวไปจัดการเรื่องวุ่นๆ ทางนั้นต่อนะคะ” หญิงสาวเอ่ยขอตัว ก่อนจะหันไปสบตารุ่นพี่หนุ่มพร้อมกับส่งข้อความไปทางสายตาที่ทำเอาคนอ่านออกรู้สึกขนพองสยองเกล้า ทำให้ขนาดนี้แล้วก็ช่วยทำให้ได้ดั่งใจหน่อยนะคะคุณพี่ที่เคารพ ไม่งั้นล่ะก็น่าดู!!
ที่โต๊ะหกที่นั่งซึ่งอยู่ติดกับบาร์ ตอนนี้ห้าในหกถูกจับจองไปเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่เก้าอี้ตัวกลางฝั่งที่นั่งหันหลังให้กับเวทีเท่านั้นที่ยังคงว่างเปล่า ซึ่งคงจะเป็นที่นั่งของใครไปไม่ได้นอกจากสลิลนรี หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งก่อนจะหันไปขมุบขมิบปากบ่นกับภัทราที่นั่งอยู่ข้างๆ เบาๆ
“เลือกที่นั่งได้ดีมากเลยนะฟ้า" หญิงสาวบ่น เมื่อคนที่นั่งตรงข้ามกับเธอนั้นคือรื่นรตี ขณะที่ด้านข้างของเธออีกข้างนั้นคือนาย
“ฉันเปล่านะ คุณภพต่างหากเล่า” ภัทรกระซิบตอบพร้อมกับส่งสายตาปะหลับปะเหลือกไปทางชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะ สลิลนรีปรายตาไปมองเขาซึ่งปรายตามามองเธอยิ้มๆ เหมือนกัน สลิลนรีถลึงตาใส่ก่อนจะหันกลับมาหาภัทรา
“ห้ามเรื่องมาก ไม่งั้นน่าดู” ภัทราขู่เมื่อเห็นสลิลนรีทำท่าจะขยับปากพูดอะไรอีก เท่านั้นล่ะสลิลนรีก็ยอมนิ่งเงียบแต่โดยดี
"มีใครเห็นยัยดาวมั้ยคะ" รื่นรตีถามขึ้น ขณะที่สลิลนรีนั้นแอบหัวเราะอยู่ในใจ รู้ตัวช้าไปรึเปล่าแม่คุณว่าน้องสาวหายไปน่ะ
"เอ... ไม่ทราบซิคะ ว่าแต่มีใครเห็นพี่ซันบ้างรึเปล่าคะเนี่ย" เธอตอบพร้อมกับแกล้งทำท่าตกใจเสียเหมือนจริง ก่อนจะแกล้งหยิบมือถือขึ้นมาทำทีเป็นกดโทรออกก่อนจะยกขึ้นแนบหู ซึ่งคงมีแค่ภัทราและพิภพสองคนเท่านั้นที่เห็นว่าหญิงสาวนั้นไม่ได้กดโทรออกจริง หญิงสาวแกล้งทำเป็นคุยโทรศัพท์กับศรายุทอยู่ครู่ก็กดวางก่อนจะหันมาส่งยิ้มหวานปานน้ำผึ้งให้รื่นรตี
“ไม่ต้องห่วงนะคะคุณรื่นรตี พี่ซันกับพี่ดาวน่ะยังอยู่ในร้านแน่นอน คิดว่าคงนั่งอยู่ที่ไหนกันสองคนแถวๆ นี้ล่ะค่ะ จะลองไปเดินหาดูมั้ยล่ะคะ” หญิงสาวตอบเสียงหวานแถมยังจงใจเน้นคำว่า ‘สองคน’ อย่างชัดเจน รื่นรตีเบิกตาโต มือบางกำแน่นจนสั่น ส่วนภัทรานั้นได้แต่เหลือบตามองมือบางของรื่นรตีแล้วนึกกลัวว่าเล็บยาวๆ ที่คุณเธออุตส่าห์ไปลงทุนให้ร้านเสริมสวยสุดหรูในกรุงเทพฯ ทำมาเสียสวยจะหักเอา
"เธอ.." รื่นรตีชี้นิ้วมาที่สลิลนรี หากหญิงสาวยังคงรักษาสีหน้าได้เป็นปกติ เมื่อวานคุณภพยังน่ากลัวกว่าอีก แค่นี้น่ะจิ๊บๆ
หญิงสาวส่งยิ้มน้อยๆ ให้ พลางมองสบตารื่นรตีที่ตอนนี้เจ้าแม่กาลีกำลังจะเข้าประทับทรงอย่างไม่สะทกสะท้านใดๆ ส่งผลให้ถ้อยคำผรุสวาทที่กำลังจะหลุดออกมาจากลำคอของรื่นรตีหายไปราวกับธาตุอากาศ ด้วยเพราะใบหน้าของสลิลนรีนั้นแม้จะเปื้อนยิ้มแต่ดวงตานั้นกลับเป็นประกายวาววามน่ากลัวยิ่งนัก ขณะที่อีกสามหนุ่มซึ่งนั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยก็ชักจะรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
"ฉันชื่อสลิลนรีค่ะ ไม่ใช่ชื่อเธอ กรุณาเรียกให้ถูกด้วย แล้วก็ทางบ้านคุณไม่เคยสอนเหรอคะว่าการชี้นิ้วใส่หน้าคนอื่นน่ะ มันเป็นการเสียมารยาท"
สลิลนรีเอ่ยเสียงเย็นราบเรียบ ใบหน้าแม้จะยิ้มอยู่แต่กลับให้ความรู้สึกชาจับขั้วหัวใจ หญิงสาวค่อยๆ ดันนิ้วของรื่นรตีที่ชี้อยู่ตรงหน้าเธอออกไปด้วยท่าทีสงบ ขณะที่ภัทรายังคงนั่งมองเหตุการณ์หวิดนองเลือดราวกับเป็นเรื่องสนุก ร่างของรื่นรตีสั่นด้วยความโกรธ ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยเจอใครที่จะกล้าต่อกรกับเธอถึงเพียงนี้ หญิงสาวอยากกรี๊ดใจจะขาด แต่เพราะอะไรบางอย่างในดวงตาของแม่สาวตัวเล็กตรงหน้าเธอนี่ล่ะที่ทำให้เธอกรี๊ดไม่ออก ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกเจ็บใจมากขึ้นไปอีก
"คุณภพกับคุณภัทธจะปล่อยให้ยัยเด็กนี่พูดจาก้าวร้าวรตีโดยไม่ทำอะไรเลยเหรอคะ" เมื่อหมดทาง ตัวเลือกสองตัวก็ถูกยกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ตัวช่วยทั้งสองหันมามองหน้ากันเองอย่างงงๆ ตอนแรกก็ว่าจะหันไปปรามเล็กน้อยแต่พอหันไปมอง ‘ยัยเด็กนี่’ ที่กำลังส่งกระแสจิตออกมาทางดวงตาเพื่อสื่อสารกับพวกเขาว่า... ก็ลองดูซิจะได้รู้กัน!! เพียงเท่านั้นทั้งสองหนุ่มซึ่งยังอยากมีชีวิตอยู่ก็รู้ได้ในทันทีว่างานนี้เงียบไว้เป็นศรีแก่ตัวก็ยิ่งสร้างความหงุดหงิดให้แก่รื่นรตีเป็นที่สุด
“ผมว่าเราสั่งอาหารมาทานกันเลยดีกว่านะครับ อย่าเสียเวลาเลย” ดรัณรีบแทรกเข้ามาเพื่อแก้สถานการณ์ในทันที ซึ่งทุกคนในโต๊ะ (ยกเว้นรื่นรตี) ก็ดูเหมือนจะเห็นด้วยจึงพากันหันไปสั่งอาหารมารับประทานกันอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งเมื่อไม่มีใครสนใจ รื่นรตีก็ต้องเงียบไปแต่โดยดี แม้ว่าจะยังรู้สึกขัดอกขัดใจเพียงใดก็ตาม
หลังจากที่สั่งอาหารกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หนุ่มๆ ทั้งสามก็หันไปสั่งเบียร์มาดื่มแก้เครียดกันโดยมิได้นัดหมาย รื่นรตีและภัทราเองก็หันไปสั่งค็อกเทลสีสวยมานั่งจิบกันคนละแก้ว มีแต่สลิลนรีคนเดียวเท่านั้นที่นั่งดื่มน้ำผลไม้ปั่นคนเดียว
"รินไม่ทานค็อกเทลหรือ" พิภัทธถามเมื่อเหลือบมาเห็น หญิงสาวยิ้มแหยๆ ตอบกลับ
"ไม่ล่ะค่ะพี่ภัทธ รินชอบน้ำผลไม้มากกว่า" เธอตอบชายหนุ่มยิ้มๆ ซึ่งพิภัทธก็เพียงแต่ยิ้มให้น้อยๆ แล้วพูดในทำนองว่าดีแล้วกับเธอ
"ต๊าย!! คุณรินนี่เป็นเด็กดีจังเลยนะคะ ยี่สิบกว่าแล้วยังดื่มน้ำผลไม้อยู่เลย" เสียงกระแนะกระแหนของรื่นรตีเอ่ยขึ้น เธอจงใจเน้นคำว่าเด็กชัดถ้อยชัดคำก่อนจะส่งยิ้มเย้ยมาให้
ภัทราปรายตามองเพื่อน เมื่อไม่เห็นสัญญาณอันตรายใดๆ จากคนข้างตัว เธอก็เฉยแล้วหันมาให้ความสนใจน้ำในแก้วทรงสูงสีเหลืองอ่อนๆ ที่เพิ่งจะได้มีโอกาสลิ้มลองอยู่ต่อไปเงียบๆ ส่วนหนุ่มๆ นั้นก็เริ่มเกิดอาการชีพจรลงเท้าอีกแล้วเมื่อได้ยินคำต้องห้ามสำหรับแม่สาวอารมณ์ทอร์นาโดผสมสึนามิ
"แน่นอนค่ะ อย่างน้อยฉันก็เด็กกว่าคุณรื่นรตีสักสี่ปีเห็นจะได้” หญิงสาวตอกกลับหน้าตาย ยิ่งทำให้คนที่เริ่มก่อนหงุดหงิดขึ้นไปอีก ด้วยไม่รู้ว่าจะหาอะไรมาเถียงความจริงข้อนี้ได้ ขณะที่สามหนุ่มก็พากันแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ถามจริงๆ เถอะค่ะคุณรื่นรตี ไอ้น้ำสีสวยๆ ที่คุณถืออยู่นั่นน่ะมันอร่อยนักหรือคะ ฉันก็ไม่เห็นว่าของแบบนั้นมันจะอร่อยตรงไหน ประโยชน์ก็ไม่มี มีแต่โทษ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะคะว่าทำไมถึงได้ชอบดื่มกันนัก เห็นดื่มไปถ้าไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนก็ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนทั้งนั้น"
พูดจบเธอก็ปรายตามองใครอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง ซึ่งทำให้คนที่นั่งมองเธออยู่ก่อนแล้วส่งยิ้มน้อยๆ มาให้และหัวเราะในลำคอเบาๆ เผลอหน่อยเป็นไม่ได้เชียวนะ ชายหนุ่มคิดในใจ ก่อนจะตัดสินใจขอเอาคืนบ้างเล็กๆ น้อยๆ
"นี่ภัทธ จำเจ้าขนมชั้นได้มั้ย“ ชายหนุ่มหันไปถามน้องชาย
“จำได้ซิพี่ แมวที่รินเก็บได้เมื่อหลายปีก่อนแล้วมาฝากบ้านเราเลี้ยงใช่ไหมครับ” พิภัทธถามกลับอย่างงงๆ ที่จู่ๆ พี่ชายก็ยกเจ้าอดีตแมวเหมียวสุดรักสุดหวงของผู้เป็นมารดาขึ้นมา ด้วยเพราะตอนนี้เจ้าเหมียวตัวนั้นได้ลาโลกนี้ไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน
“ขนมชั้นทำไมเหรอครับพี่ภัทธ” ดรัณถามด้วยความสงสัย ขณะที่สาวๆ อีกสามคนก็กำลังหูผึ่งรอฟังอย่างตั้งใจ
“คืออย่างนี้ เวลาว่างๆ น่ะพี่ พี่ภพแล้วก็ยัยวีจะชอบไปแหย่มันเล่นกัน แล้วก็จะโดนมันข่วนทุกที ยิ่งกับพี่ภพยิ่งหนัก ไปแหย่มันทีไรเป็นต้องเจอมันฝากรอยจนเลือดซิบตลอด แต่พอวันไหนไม่มีใครไปแหย่มัน มันก็จะเป็นฝ่ายเข้ามาแหย่แบบจำเพาะที่พี่ภพคนเดียวด้วยนะ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นพี่ภพ เพราะกับคนอื่นน่ะมันไม่ค่อยเข้าไปแหย่เลยนอกจากมาอ้อนขอของกินอย่างเดียว“ พิภัทธเล่า
“น่ารักจัง” สลิลนรีว่า ขณะที่พิภพหันมาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับเธอ
“แต่ผมว่ามันแปลกออก ไม่รู้จะเอาอะไรกับผมนักหนา พอผมแหย่ก็ไม่ชอบ พอไม่แหย่มันก็กลับเป็นฝ่ายมาแหย่ผมก่อนเองซะนี่" ชายหนุ่มว่าก่อนจะยกเบียร์ขึ้นจิบสายตายังคงจ้องมองสลิลนรีที่ตอนนี้ปิดปากนิ่งสนิทไป
“สงสัยเจ้าขนมชั้นมันจะติดใจพี่ภพล่ะมั้งครับ” ดรัณพาซื่อพูดต่อ
“นั่นซิรัน ตามจองล้างจองผลาญกันขนาดนี้ สงสัยจะติดใจพี่จริงๆ นั่นแหละ หรือคุณคิดว่ายังไง” คำถามแฝงความนัยถูกส่งมาพร้อมกับดวงตาเป็นประกายหยอกล้อทำเอาคนถูกมองถึงกับสำลักน้ำในทันที
“จะไปรู้เหรอ ฉันไม่ใช่ขนมชั้นนะ” สลิลนรีแหวตอบเสียงเขียว ดวงหน้าใสแดงเรื่อขึ้น ไม่รู้ว่าเกิดจากอาการสำลักน้ำหรือว่าเพราะอะไรกันแน่ คนบ้าเอ๊ย ถามอะไรแบบนี้ก็ไม่รู้ หญิงสาวบ่นฮึดฮัดในใจก่อนจะหันไปจัดการกับมื้อค่ำที่บริกรยกมาวางไว้ตรงหน้าเธอแก้เขินในทันทีและไม่หันไปสนใจใครอื่นอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชายหนุ่มคนที่กำลังนั่งอมยิ้มทั้งปากทั้งนัยน์ตามาให้เธอคนนั้น
"สงสารรินนะคะที่ต้องไปรบกับพี่รตีแบบนั้น"
ดารารัตน์ซึ่งนั่งสังเกตการณ์อยู่กับศรายุทที่อีกฟากหนึ่งของร้านพูดขึ้น คุณหมอหนุ่มจึงได้แต่ยิ้มด้วยอดเห็นใจรื่นรตีนิดๆ ไม่ได้อยู่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าเขากับรื่นรตีจะกินเกาเหลากันอยู่ก็ตาม เพราะเขารู้ดีว่าสลิลนรีนั้นไม่เคยทำอะไรใครถ้าไม่ใช่โดนหาเรื่องก่อน แล้วเวลาสลิลนรีเอากลับแต่ละทีนั้น คนโดนจะรู้สึกทั้งแสบทั้งคันจริงๆ ตัวอย่างง่ายๆ ก็ไอ้เพื่อนรักของเขานั่นไงที่โดนมาหลายดอกที่สุด
ใจจริงก็อยากจะเข้าไปบอกให้แม่น้องสาวที่รักเพลาๆ มือเหมือนกัน แต่ถ้าขืนไปล่ะก็เขาเองนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายโดนดี แถมถ้ากลับไปแล้วถูกซักว่าได้อะไรคืบหน้าบ้าง แล้วเธอรู้ว่าเขาเพิ่งจะทำให้ดารารัตน์เปลี่ยนการเรียกเขาจาก ‘คุณซัน’ มาเป็น ‘พี่ซัน’ ได้แค่นั้นล่ะก็ เขาคงได้ฟังกัณฑ์เทศน์ยาวเหยียดแน่
"แต่พี่ว่าดาวน่าจะสงสารแล้วก็ภาวนาว่าอย่าให้คุณรื่นรตีเธอเล่นอะไรยัยรินมากเกินไปนักจะดีกว่านะครับ เห็นรินทำตัวเหมือนเด็กๆ อย่างนั้น แต่เวลาเธอโมโหขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ น้องๆ สึนามิผสมทอร์นาโดเลยนะครับ" ชายหนุ่มบอก
"ดาวก็ไม่ได้บอกว่าไม่สงสารพี่รตีนี่คะ แต่ดาวคิดว่าให้พี่รตีเเจอคนแบบรินบ้างก็ดีเหมือนกันจะได้รู้ว่าไม่มีใครที่จะเป็นฝ่ายยอมลงให้พี่เขาก่อนเสมอไป แล้วพี่รตีจะได้เลิกทำตัวเอาแต่ใจเสียที ดาวเองจนปัญญาที่จะแก้นิสัยเสียของพี่เขาแล้วล่ะค่ะ"
“ถึงคุณรตีเธอจะมีนิสัยเสียมาก แต่ยังไงเธอก็มีส่วนดีอยู่เหมือนกันนะครับ เลยทำให้เธอเป็นคนดีถึงจะแรงไปก็ตาม อีกอย่างนะครับคนเราน่ะจะเรียกว่าเป็นคนดีได้น่ะ มันอยู่ที่การกระทำของเราและที่คนอื่นๆ เขาเลือกที่จะมองมันยังไงด้วย กรณีของคุณรื่นรตีผมคิดว่าเธอคงจะทำดีกับคนที่เธอเห็นว่าพวกเขารักเธอและเธอก็รักพวกเขาด้วยก็เท่านั้นเองครับ พี่พูดอะไรผิดเหรอ ทำไมดาวจ้องหน้าพี่แบบนั้น“ ชายหนุ่มถามกลับอย่างงงๆ
“ก็ไม่ผิดหรอกค่ะ เพียงแต่ไม่คิดว่าพี่ซันจะยังเห็นพี่รตีเป็นคนดีได้อยู่น่ะซิคะ” หญิงสาวตอบตามจริง
“ดาวพูดเหมือนพี่เป็นคนมองคนแต่แง่ร้าย”
“ถ้าพี่ซันเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย พี่รตีก็คงจะเรียกว่าเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายมากแล้วล่ะค่ะ ประโยคของพี่ซันนี่จับใจดีนะคะ ที่ว่าคนดีอยู่ที่การกระทำกับที่คนอื่นเลือกจะมองยังไงนั่นน่ะค่ะ”
“ขอบคุณที่ชมนะครับ แต่ว่าเจ้าของประโยคนี้น่ะคนโน้นต่างหากล่ะครับ” พูดจบชายหนุ่มก็บุ้ยใบ้ไปทางหญิงสาวที่นั่งเถียงอยู่กับชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ ตัวอย่างเอาเป็นเอาตาย
“รินน่ะเหรอคะ” หญิงสาวหันกลับมาถามด้วยความประหลาดใจ
“แปลกใจใช่มั้ยล่ะครับ”
“ก็น้องรินเขาดูไม่เหมือนคนที่จะชอบคิดเรื่องอะไรแบบนี้เลยนี่คะ”
“คนเรามองกันแต่ภายนอกอย่างเดียวไม่ได้นี่ครับ อย่างยัยรินน่ะต้องลองมาคบด้วยตัวเองถึงจะรู้ว่าเขาน่ะมีอะไรที่คาดไม่ถึงในตัวหลายอย่างนัก” ชายหนุ่มบอกยิ้มๆ อดจะนึกถึงวันแรกๆ ที่เขาได้พูดคุยกับเธอไม่ได้ มันน่าแปลกตรงที่ว่าตอนนั้นเธอเป็นแค่เด็กมัธยมธรรมดาๆ เท่านั้น แต่ความคิดความอ่านของเธอกลับเป็นผู้ใหญ่กว่าพวกนิสิตมหาวิทยาลัยแบบเขาบางคนเสียด้วยซ้ำไป
“เป็นคนที่มีเสน่ห์มากเลยนะคะรินเนี่ย” หญิงสาวอดที่จะชมไม่ได้ก่อนจะหันไปมองสลิลนรีที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอีกฟากหนึ่งของร้านด้วยสายตาชื่นชม
“ก็นั่นน้องสาวผมนี่ครับ” ศรายุทตอบด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าภูมิใจน้องสาวนอกไส้คนนี้อย่างจริงใจ
“ฮัดชิ้ว!! ฮัดชิ้ว!!”
“เป็นหวัดเหรอริน” ภัทราถามเมื่อเห็นเพื่อนรักจามสองครั้งติดๆ กันด้วยความเป็นห่วง ขณะที่สลิลนรีนั้นกำลังใช้กระดาษทิชชู่ถูจมูกอยู่ไปมาจนจมูกเริ่มจะแดงเรื่อๆ
“เปล่าหรอก สงสัยจะมีคนนินทามากกว่า ขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะ” พูดจบเธอก็ลุกไปจากโต๊ะทันที
“งั้นฉันก็ขอตัวเหมือนกันค่ะ” ภัทราเดินตามไปอีกคน หากเธอก็เดินไปไม่ถึงห้องน้ำเมื่อมือหนาของใครคนหนึ่งฉุดเธอให้เข้ามาแอบที่ซอกเล็กๆ ข้างๆ ประตูครัวอย่างรวดเร็ว เมื่อเธอหันไปมองเจ้าของมือนั้นก็พบดรัณยืนส่งยิ้มมาให้
"อย่าเล่นแบบนี้อีกนะรัน เดี๋ยวจะตายไม่รู้ตัว" หญิงสาวพูดเสียงดุ
“ไม่เล่นแล้ว เราเองก็ยังไม่อยากโดนฟ้าเอาปืนในกระเป๋ามายิงเราเหมือนกันล่ะ ว่าแต่ริน ถามจริงๆ เถอะนะ ไม่คิดจะพูดดีๆ กับคุณรตีเขาบ้างเหรอ” ชายหนุ่มหันมาถามหญิงสาวเสียงเบาด้วยกลัวจะโดนประทุษร้ายเข้าให้อีกคน
"อันที่จริงถ้าเขาเป็นคนมีเหตุผลซักหน่อยเราก็คงทำอย่างที่รันบอกหรอก แต่เราเชื่อว่าในเรื่องนี้เธอคงไม่มีเหตุผลพอที่จะคุยดีๆ กับเราได้ก็เท่านั้น” สลิลนรีตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก็อย่างที่บอกเธอเองก็ไม่ได้อยากจะเอาตัวเข้ามายุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้นัก แต่เพราะความที่ทนเห็นศรายุทถูกรังแกไม่ได้เท่านั้น ไม่งั้นล่ะก็ต่อให้แค่หน้า เธอก็ไม่มองหรอก
“ว่าจะถามนานแล้วว่ารินกับคุณรื่นรตีเคยมีเรื่องอะไรกันมาก่อนรึเปล่า คือแบบว่าท่าทางของเธอกับเขามันบอกว่าเป็นแบบนั้น” ภัทราถามขึ้นด้วยความสงสัย สลิลนรีถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่กับความช่างสังเกตุของภัทรา เธอน่าจะเปลี่ยนอาชีพเป็นนักสืบนะ คงจะรุ่งน่าดู
“คืองี้ เรามีรุ่นน้องที่เคยสนิทมากคนนึงตอนอยู่ม.ปลาย ไปฝึกงานที่บริษัทคุณภพ แล้วก็ไปมีเรื่องกับคุณรื่นรตีเข้า จนน้องเขาเกือบจะไม่ผ่านการฝึกงานน่ะ
เรื่องมันเกิดในวันที่เลขาฯ ของพี่ภัทธไม่สบาย น้องเขาเลยต้องไปเป็นเลขาฯ ชั่วคราวให้พี่ภัทธหนึ่งวัน แล้วตอนที่น้องเขาต้องเอาเอกสารมาให้พี่ภัทธเซ็น เขาดันเดินตกรองเท้าส้นสูง พี่ภัทธวิ่งเข้ามารั้งตัวน้องเขาไว้ทัน โชคดีที่น้องเขาไม่ล้มลงไปหน้ากระแทกพื้น แต่โชคร้ายก็คือคุณรื่นรตีเธอเดินเข้ามาในห้องจังหวะที่พี่ภัทธกำลังโอบน้องเขาอยู่พอดี”
“อ้อ ละครหลังข่าวอีกหนึ่งเรื่อง” ภัทราแทรกขึ้น
“ใช่เลย ละครหลังข่าวโดยมีเราแสดงเป็นเพื่อนนางเอกไง ตอนนั้นบังเอิญว่าเราขอติดรถพี่ซันไปที่นั่นพอดีเลยเห็นคุณรื่นรตีทำท่าจะเข้าไปทำร้ายน้องเขา เราเลยเอาตัวเข้าขวางน้องเขาไว้เลยโดนเต็มๆ เลยฉาดนึง แต่แทนที่คุณรื่นรตีจะหยุดแล้วขอโทษขอโพยเรา กลับพาลใส่เราอีกคน เขาว่าน้องเราเสียๆ หายๆ ตั้งหลายอย่าง ดังกระหึ่มทั้งชั้นจนน้องเขาร้องไห้แล้วยังสั่งให้หัวหน้าฝ่ายที่น้องคนนั้นฝึกงานอยู่ปรับน้องเขาตกการฝึกงานด้วย”
“ทำอย่างกับเป็นเจ้าของบริษัทงั้นแหละ” ภัทราว่าพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก
“เราสงสารน้องเขา แต่ไม่ว่าจะพยายามพูดกับเธอด้วยเหตุผลเท่าไหร่ก็โดนว่าแถมจะโดนตบเข้าอีก เราเลยสวนออกไปก่อนหนึ่งฉาด เราคงได้มีเรื่องกับเธอจริงจังแน่ถ้าพี่ซันกับคุณภพไม่เข้ามาช่วยเคลียร์ได้ทันล่ะก็”
“ไม่แปลกใจแล้วล่ะว่าทำไมรินถึงเกลียดคุณรื่นรตีนัก” ดรัณเอ่ยขึ้นด้วยรู้ดีว่าสลิลนรีนั้นเกลียดคนประเภทที่ไม่คิดจะรับฟังคนอื่นก่อน แล้วเข้าใจผิดคิดไปเองแถมยังลงไม้ลงมือ ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่มีอะไรในก่อไผ่ซักนิด
“ที่สำคัญคือที่คุณเธอออกอาการเหมือนหึงหวงพี่ภัทธ ทั้งที่จริงๆ แล้วก่อนหน้านั้นไม่นานเธอเป็นคนถอยห่างจากพี่ภัทธแล้วหันไปตามตื้อคุณภพเองแท้ๆ เราล่ะไม่เข้าใจคุณเธอจริงๆ ว่าจะทำไปเพื่ออะไร”
“พอจะเข้าใจล่ะ เฮ้อ... ถ้าเป็นฉันคงจะขอให้ไม่เจอกันอีกเลยตลอดชาติเหมือนกัน” ภัทราเอ่ยขึ้นพร้อมกับพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ
“แต่ยังไงซะตอนนี้ก็คงต้องทำใจยุ่งกับเธอต่อแล้วล่ะ” สลิลนรีตอบพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
"นายเองเถอะรัน เมื่อไหร่จะบอกรินซะที บอกไว้ก่อนนะว่าถ้าไม่ทำอะไรซักอย่างตอนนี้นายจะเสียใจ" ประโยคจู่โจมแบบไม่ทันให้ตั้งตัวนั้นส่งผลให้ชายหนุ่มหันมามองภัทราด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“มีคนมาจีบรินเหรอฟ้า” ดรัณถามกลับหน้าตาตื่น
“เราเองก็ยังไม่แน่ใจ แต่คิดว่ามันไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่ เลยมาบอกนายให้คิดทำอะไรเอาไว้ล่วงหน้าได้แล้วก็เท่านั้น”
"วันอาทิตย์นี้เจอกันครับ" พิภพเดินมากระซิบข้างหูสลิลนรีที่กำลังจะเปิดประตูขึ้นรถเบาๆ ทำเอาหญิงสาวออกอาการงงแถมตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆ เขาก็เดินมากระซิบซะใกล้ แต่ไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไร เขาก็เข้าประจำที่เจ้าซีรี่ส์เจ็ดคันงามส่งยิ้มมาให้แล้วขับจากไปเสียแล้ว
"มีอะไรรึเปล่าริน" เสียงของภัทราดังขึ้น เรียกสติของสลิลนรีให้กลับมา เธอก้าวขึ้นไปนั่งบนรถก่อนจะขับพาภัทราไปส่งที่หอพักภายในเวลาไม่กี่นาที
“ริน” หลังจากที่นั่งเงียบมานานพอสมควร ภัทราก็เรียกเพื่อนรักเบาๆ เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าควรจะพูดอะไรบางอย่างกับเพื่อนรักแสนซื่อคนนี้เสียที
“หืม?” หญิงสาวตอบรับในลำคอก่อนจะหันมามองเพื่อนรักตรงๆ ดีว่าตอนนี้เธอขับรถมาถึงที่แล้วหรอกนะ ไม่งั้นคงอันตรายน่าดูที่หันมามองเพื่อนแทนที่จะมองถนนแบบนี้
“ลองสังเกตคนใกล้ๆ ตัวบ้างนะ ไม่แน่นะบางทีรินอาจจะค้นพบอะไรดีๆ เข้าก็ได้” เอ่ยทิ้งไว้เพียงแค่นั้นภัทราก็ก้าวขาลงจากรถไปทิ้งให้สลิลนรีมองตามอย่างงงๆ ด้วยไม่เข้าใจว่าภัทราต้องการสื่ออะไรกับเธอกันแน่
ในที่สุดเมื่อคิดไม่ตก สิ่งที่สลิลนรีทำจึงมีแค่การยกมือขึ้นมาเกาแกรกๆ ที่ท้ายทอยอย่างงงๆ ก่อนจะออกรถกลับหอของตัวเอง
"ทำไมวันนี้ทุกคนดูจะแปลกๆ ไปนะ โดยเฉพาะนายนั่น กินอะไรผิดสำแดงเข้าไปรึเปล่าก็ไม่รู้" หญิงสาวพูดกับตัวเองพร้อมกับที่ภาพของใครคนหนึ่งที่วันนี้ดูจะอารมณ์ดีผิดปกติไม่ก็ศีรษะกระแทกกับอะไรบางอย่างมาแน่ถึงทำให้ช่วงมื้อค่ำที่ผ่านมานั้นดูเขาจะขยันส่งยิ้มทั้งปากและดวงตามาให้เธอเหลือเกิน
"สงสัยเพราะเบียร์แหงๆ นี่ถ้ารู้แต่แรกว่าการดื่มเบียร์เยอะๆ จะทำให้นายนั่นอารมณ์ดีล่ะก็ ฉันจะประเคนเบียร์ให้ดื่มซักถังตั้งแต่วันแรกที่เจอหน้ากันเลย" เธอว่าอย่างติดตลกก่อนจะเดินหอบเสื้อผ้าไปอาบน้ำแล้วกลับเข้ามาในห้องนอน
ปิ๊งป่อง!!
โทรศัพท์เครื่องเล็กส่งเสียงร้องขึ้น เมื่อหญิงสาวชะโงกหน้ามามองก็พบว่าที่หน้าจอนั้นปรากฏภาพซองจดหมาย บ่งบอกว่ามีคนส่งข้อความเข้ามา
"จากใครหว่า?" หญิงสาวพึมพำเบาๆ ก่อนจะกดดูชื่อผู้ส่ง พร้อมกับที่คิ้วบางๆ ขมวดฉับเข้าหากันในทันทีที่เห็นชื่อเจ้าของข้อความ
"ทีนี้จะเอาอะไรจากฉันอีกล่ะเนี่ย" เธอบ่น ก่อนที่มือบางจะจัดการเปิดข้อความขึ้นอ่านอย่างรวดเร็ว
'กลับถึงห้องรึยังครับ เป็นเด็กเป็นเล็กอย่านอนดึก เดี๋ยวหน้าจะเหี่ยวเร็วจึงขอเตือนมาด้วยความเป็นห่วง ราตรีสวัสดิ์ นอนหลับฝันดีครับ ( ^_^ )'
ข้อความจาก 'นายตัวกวนโลก' ทำให้เธอค้างไปได้หลายนาที สลิลนรีกวาดตาอ่านข้อความตัวอักษรนั้นซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้งเพื่อยืนยันกับตัวเองว่าเธอไม่ได้เมาหรือฝันไป พร้อมกับที่ริมฝีปากบางจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
"ท่าทางคืนนี้ฝนคงจะตกหนัก ขอเก็บไว้เป็นอนุสรณ์ยืนยันว่าฉันไม่ได้ฝันไปแล้วกันนะคุณภพ"
สลิลนรีพึมพำกับตัวเองขณะที่มือก็จัดการกดบันทึกข้อความเอาไว้ ก่อนที่เธอจะคลานไปหยิบสมุดบันทึกสีดำที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงมาไว้ที่ตักแล้วเอนหลังนั่งพิงหมอนใบใหญ่บนเตียงอย่างสบายอารมณ์ แล้วสุดท้ายก็ตัดสินใจเอื้อมมือไปหยิบมือถือขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวรัวนิ้วไปมาอยู่ครู่ก็วางโทรศัพท์ลงที่เดิมพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยนที่ปรากฏบนใบหน้า
'วันนี้พูดจาดีผิดปกติ ไม่ว่าจะเพราะลืมเขย่าขวดก่อนกินยาหรือศีรษะไปกระแทกอะไรมาก็ตามแต่ขอแนะนำว่าทำแบบนั้นต่อไป เพราะมันทำให้คุณดูน่ารักเป็นมนุษย์ขึ้นจม ขอบคุณที่เป็นห่วง ราตรีสวัสดิ์'
ร่างสูงกำยำยิ้มอย่างอารมณ์ดีกับข้อความที่เพิ่งจะได้รับจากใครบางคนที่ช่วงนี้รู้สึกว่าจะมาวิ่งเพ่นพ่านอยู่ในหัวใจของเขาบ่อยเหลือเกิน ชายหนุ่มกดบันทึกข้อความที่ถูกส่งเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรี ดวงดาวนับร้อยดวงที่กำลังส่องแสงกระพริบวิบวับ มันช่างเหมือนกับแววตาของเธอคนนั้นเมื่อครั้งแรกที่เขาได้พบกับเธอเสียเหลือเกิน
เมื่อสิบปีก่อน เขากับศรายุทได้รับการขอร้องจากอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมบาสฯ ของโรงเรียนมัธยมที่เขาเคยอยู่ให้มาเป็นโค้ชชั่วคราว และเพราะอย่างนั้น เขาจึงได้พบกับเธอ เด็กผู้หญิงม. ต้นร่างบางตัวสูงแค่ระดับอกของเขาเท่านั้น ผมสีดำยาวซึ่งรวบเป็นหางม้าสูงสะบัดไปมาตามการเคลื่อนไหวของเธอ ดวงหน้าที่บ่งบอกถึงเชื้อสายจีนอย่างเห็นได้ชัดเปื้อนรอยยิ้มแสนสดใสร่าเริงชวนให้เขามองเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอเดินเข้ามาในโรงยิม
‘แอบหนีไปคุยกับสาวเหรอปิว’ ศรายุทแซว ‘เจ้าปิว’ รุ่นน้องของเขา หลังจากที่เด็กหนุ่มคนนั้นวิ่งกลับมาจากกลุ่มของเด็กสาวที่เพิ่งจะมาใหม่
‘สาวไหนพี่ พวกนั้นเด็กกว่าผมตั้งสามปี เพิ่งจะม.สามเองนะนั่น แล้วอีกอย่างผมก็ไม่นิยมเด็กซะด้วยซิ’ เด็กหนุ่มตอบ
‘แล้วไปรู้จักกันได้ยังไงล่ะ’ จำได้ว่าคำถามนี้เขาเป็นคนถามเอง
‘ก็ริน เด็กคนที่ไว้ผมยาวๆ มัดหางม้านั่นน่ะครับ อยู่ข้างบ้านผม ชอบมาชวนคุยเป็นประจำ ส่วนคนอื่นๆ น่ะรู้จักเพราะว่ารินเขาชอบพามาสอนบาสฯ ที่นี่บ่อยๆ น่ะครับ’
‘ท่าทางเก่งไม่เบาเหมือนกันนี่ ทำไมไม่บอกให้เขามาเข้าชมรมบาสฯ หญิงล่ะ ท่าทางก็ดูเข้าท่าดีถึงจะตัวเล็กไปหน่อยก็เถอะ’ เขาถามขณะที่สายตายังคงจับจ้องร่างบางซึ่งเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วว่องไวตาไม่กระพริบ
‘รายนั้นเขาเป็นเด็กดีเลิกเรียนแล้วต้องตรงกลับบ้านเลยน่ะครับ เลยไม่ค่อยได้ทำชมรมอะไรกับใครเขาจะทำก็แค่ช่วงคาบกิจกรรมตามตารางสอนเท่านั้น ผมเองก็เสียดายนิดๆ เหมือนกัน น้องเขาเก่งนะพี่โดยเฉพาะเรื่องกีฬาเนี่ย ผมเห็นเขาเล่นอะไรก็ดีหมด แต่คงต้องยกเว้นพวกที่ต้องใช้เท้าเตะลูกบอลล่ะนะ รายนั้นไม่เคยเตะโดนลูกเลย แต่โดนหัวคนที่เล่นด้วยเป็นประจำ เนี่ยผมเคยหลงผิดไปชวนเขาเล่นฟุตบอลครั้งนึง โดนมาเต็มๆ ก้านคอเลยครับ’ เด็กหนุ่มอธิบาย พร้อมกับโชว์รอยช้ำที่บริเวณด้านข้างก้านคอซึ่งตอนนี้จางลงไปมากแล้วให้เขากับศรายุทดู
‘อย่างนี้อยู่ชมรมศิลปะป้องกันตัวคงรุ่งน่าดู’ ศรายุทแซวขำๆ ส่วนเขานั้นฟังแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่ ว่าตัวเล็กอย่างนั้นจะมีแรงมากมายนัก นี่ถ้าไม่เห็นรอยช้ำที่คอของปิว เขาคงไม่เชื่อเด็ดขาด
‘ได้ข่าวว่าอาจารย์ชมรมเทควันโด้ก็กำลังจีบน้องเขาเข้าชมรมอยู่เหมือนกันนะพี่’ แล้วสองหนุ่มก็พากันหัวเราะ ขณะที่เขายังคงยืนมองเธอต่อไปเงียบๆ ไม่รู้ว่าเขาจ้องมองเธออยู่นานเท่าไหร่ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่นายปิวมาตะโกนเรียกเขาที่ข้างหูจนอวัยวะภายในช่องหูเขาเกือบจะออกมากองนั่นแหละ
‘พี่ภพ!!’ เสียงเรียกชื่อเขาที่ดังพอๆ กับพสุธากัมปนาทส่งผลให้เขาละสายตาจากเธอมามองเจ้ารุ่นน้องตัวดีเขม็งที่มันบังอาจมาตะโกนเรียกกรอกหูกันแบบนี้
‘ไอ้ปิว!! นี่เอ็งกะจะทำให้พี่หูหนวกเหรอไงวะ’ เขาว่ากลับเสียงเขียวพร้อมกับยกมือขึ้นปิดหูข้างที่โดนประทุษร้ายนั้นแน่น
‘ก็ผมเรียกพี่ตั้งนานแล้ว ไม่เห็นพี่ขยับซะทีนี่ครับ มัวแต่มองอะไรอยู่น่ะพี่’ พูดจบสายตาของเจ้ารุ่นน้องตัวดีก็ตวัดไปยังทางที่เขาเพิ่งจะละสายตามาแล้วเจ้าตัวดีก็เบิกตากว้างในทันทีที่เห็นเป้าหมายสายตาของเขา ตอนนั้นรู้สึกอยากจะมุดดินหนีให้มันรู้แล้วรู้รอด
‘อ่ะฮ้า!! เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าพี่ภพชอบหญ้าอ่อน แต่บอกก่อนนะพี่ว่าหญ้าต้นที่มองอยู่น่ะเคี้ยวยาก’ ปิวยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วก่อนที่เขาจะทันได้ตั้งตัว ปิวก็ป้องปากตะโกนเรียกเธอคนนั้นเสียงดังสนั่นไปทั้งโรงยิมฯ
‘ริน!! มานี่หน่อยซิ’ สิ้นเสียงเรียก เธอก็วิ่งตรงเข้ามา
‘มีอะไรคะพี่ปิว’ เธอถามเสียงใส รอยยิ้มที่เธอส่งมานั้นดูสดใสน่ารักมากในความรู้สึกของเขา
‘มีใครบางคนสนใจรินแน่ะ’
พูดอย่างเดียวไม่พอ เจ้าปิวยังมีหลิ่วตามาทางเขาอีกต่างหาก ในขณะที่แม่สาวน้อยนั่นก็ยืนตาโตอ้าปากค้าง ทำเอาเขาใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ไม่เป็นจังหวะ ไม่รู้ว่าแม่สาวน้อยตรงหน้านี้จะคิดว่าเขาเป็นพวกโคแก่รึเปล่าก็ไม่รู้ แต่แค่ประโยคเดียวที่หลุดออกมาจากปากบางได้รูปของเธอ เขาก็รู้สึกโล่งอกในทันทีว่าเธอคงไม่เข้าใจการส่งสายตาของเจ้ารุ่นน้องตัวดีนั่นแน่ๆ แต่มันก็ทำให้เขาอึ้งไปเช่นกัน
‘ตลกแล้วพี่ปิว คนบ้า คนตาบอดหรือคนประหลาดผิดมนุษย์กันล่ะค่ะที่มาสนใจริน’
มันคงจะไม่รู้สึกอะไรมากหรอกนะ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเพื่อนรักของเขาหัวเราะน้ำหูน้ำตาไหลจนแทบจะลงไปนอนกลิ้งนั่นต่างหากที่ทำให้เขาอดที่จะรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ ดังนั้นปากของเขาจึงพาลพูดออกไปว่า
‘นั่นซิปิว พี่เห็นด้วยกับน้องเขานะ ปากก็อย่างนี้ หน้าตาก็แปลกๆ แบบนี้ รูปร่างท่าทางก็หาความเป็นผู้หญิงแทบไม่เจอแบบนี้เนี่ยนะ’
ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าตัวเขาที่อายุมากกว่าเธอตั้งห้าปีจะพูดแบบนั้นออกไปได้ ตอนแรกก็นึกเสียใจอยู่ที่พูดแรงแบบนั้น เพราะเขาเพิ่งจะคิดได้ว่าที่เธอพูดเหมือนจะหลอกด่าเขานั้นมันเป็นประโยคแก้เขินของผู้หญิงก็เท่านั้นเอง
เขากำลังจะขอโทษอยู่แล้วเชียวแต่เชื่อมั้ย เธอกลับมองเขาด้วยดวงตาวาวโรจน์ราวกับแม่เสือสาวกำลังจะขย้ำเหยื่อให้ตายคากรงเล็บยังไงยังงั้นแถมยังตอกเขาเสียจนหน้าหงายอีกต่างหาก
‘พี่ปิวน่าจะหาตะกร้อมาครอบปากใครบางคนแถวนี้บ้างนะคะ เห่าเก่งกัดเก่งแบบนี้ขนาดฝูงไอ้ปุย ไอ้ด่างแถวบ้านยังอายเลย’
นั่นเป็นการพบกันที่ดูจะเลวร้ายเอามากๆ จนทำให้เขาตัดสินใจที่จะลืมความรู้สึกที่มีให้เธอในครั้งแรกที่ได้พบนั่นไปซะ และตั้งปณิธานไว้ด้วยว่าจะไม่มาเจอเธออีก
คิดเอาไว้อย่างนั้น แต่เอาเข้าจริงกลับทำได้ยากเหลือเกิน เพราะดูเหมือนเพื่อนๆ ของเธอจะขยันมาซ้อมบาสฯ กันทุกอาทิตย์เลยทำให้เขาได้พบเธอทุกอาทิตย์ไปด้วย แล้วในที่สุดเจ้าเพื่อนรักของเขาก็เกิดไปหลงอะไรเธอคนนี้เข้าก็ไม่อาจรู้ได้จนถึงขั้นทำพิธีร่วมสาบานเป็นพี่น้องกันเสียอีก
แล้วไอ้เพื่อนรักของเขาก็ทั้งรัก ทั้งโอ๋เธอซะจนเขาอดที่จะหมั่นไส้เธอไม่ได้ ยิ่งเมื่อเจ้ารัน น้องชายในไส้ของศรายุทรวมทั้งเป็นน้องนอกไส้ของเขาที่มักจะอยู่ข้างเขาเสมอมาแปรพักไปอยู่ข้างเธอเข้าให้อีกคน ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดหนักขึ้นไปอีก
ดังนั้นในทุกครั้งที่ได้พบกันก็จะเป็นเขานั่นแหละที่คอยตามรังควานหาเรื่องเธอได้ทุกเวลาจนแทบจะเรียกได้ว่าการหาเรื่องเธอกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเขาไปเสียแล้ว ชนิดที่ว่าถ้าไม่ได้แหย่ทุกครั้งหลังทานอาหารกับก่อนนอนล่ะก็คงเหมือนมันขาดอะไรไปนั่นแหละ
เขาเคยคิดมาตลอดว่าการที่เขาคอยตามแกล้ง ตามหาเรื่องเธอนั้นเป็นเพียงแค่เพราะเขาอยากเอาชนะเธอก็เท่านั้น แต่เพราะคืนนั้นที่เขาบังเอิญโดนผีบ้าซาตานตนไหนก็ไม่รู้มาเข้าสิงให้จับเธอกดกับโซฟานั่นล่ะที่ทำให้เขาได้ใกล้ชิดกับเธอชนิดที่ไม่เคยทำมาก่อน
ผิวเนื้อเนียนๆ กับกลิ่นหอมๆ ของสบู่จากร่างนุ่มนิ่มนั่น ผมสีน้ำตาลเข้มยาวนุ่มสลวย ดวงหน้าแดงเรื่อและดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นที่มองมาที่เขา ทำให้เขาได้รู้ว่าสิ่งที่เขาเพียรพยายามลืมมันไปจากความทรงจำและจากหัวใจของเขาเกือบสิบปีนั้นไร้ผลโดยสิ้นเชิง ที่ร้ายกว่านั้นมันยิ่งตอกย้ำความรู้สึกในหัวใจเขาให้ชัดเจนขึ้นไปอีกแถมยังทำให้เขาค้นพบคำตอบที่ใครต่อใครรวมทั้งตัวเขาเองเพียรหามานาน
ที่เขาคอยตามหาเรื่องเธอไม่เว้นแต่ละวันนั้น ก็เพราะอยากจะอยู่ใกล้ๆ เธอก็เท่านั้น
ที่เขาคอยยุ่ง อยากรู้เรื่องของเธอไปซะทุกอย่างก็ พราะอยากจะรู้จักเธอให้มากขึ้นและมากกว่าที่ใครๆ รู้
และสุดท้าย ทั้งที่เขาโดนเธอทั้งว่า ทั้งประทุษร้ายร่างกายมาสารพัด แต่เขาไม่เคยโกรธเกลียดเธอ ไม่เคยแม้แต่จะมีคำสองคำนี้หรือคำที่ความหมายใกล้เคียงสองคำนี้เข้ามาวนเวียนในความคิดเลยด้วยซ้ำ ก็เพราะเขารู้สึกพิเศษกับเธอมากกว่าใครๆ แค่นั้นเอง
ตอนนี้ เขาขอยอมรับแล้วล่ะว่า แม่สาวน้อยที่มีชื่อว่าสลิลนรีคนนั้นได้ครอบครองหัวใจของเขาไปเรียบร้อยแล้ว
'ระวังเถอะเอ็ง เกลียดอะไรมักจะได้อย่างงนั้น เคยได้ยินมั้ย ข้าล่ะเห็นมาเยอะแล้วปากก็เอาแต่ว่าเขาอย่างนั้นอย่างนี้ สุดท้ายก็ไปชอบเขาจนได้ เชื่อข้าเถอะไอ้ภพ ว่าเอ็งน่ะไม่มีทางรอดหรอก'
นี่เป็นคำพูดที่ศรายุทเคยบอกเขาเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว จำได้ว่าตอนนั้นเขารู้สึกขันคำพยากรณ์ที่เหมือนกับบทละครไทยหลังข่าวของเจ้าเพื่อนรักนั่นขนาดไหน
'นั่นคงเป็นสิ่งมหัศจรรย์สุดๆ ที่จะเกิดขึ้นกับข้าได้แล้วล่ะว่ะไอ้ซัน'
คำพูดยอกย้อนในวันนั้น เขายังคงจำได้ไม่มีลืม ชายหนุ่มหลับตาลงช้าๆ ภาพใบหน้าของเธอคนนั้นผุดขึ้นมาในห้วงความคิด เขาถอนหายใจออกมาหนักๆ ก่อนจะก้มลงมองมือถือที่ยังคงนอนสงบนิ่งอยู่ในมือ
“ไอ้ซัน สิ่งมหัศจรรย์ที่ข้าเคยว่าไว้ ตอนนี้มันจะสายเกินไปแล้วรึเปล่าวะ“
แต่ใครกันที่จะสามารถตอบคำถามข้อนี้ของเขาได้ นอกจากเธอคนนั้นเพียงคนเดียว เธอ
ผู้ที่กุมคำตอบทั้งหมดของคำถามทั้งหลายทั้งปวงในหัวใจของเขา คำตอบ
ที่เปรียบเสมือนกุญแจที่จะนำเขาไปสู่หนทางที่เขาไม่อาจคาดเดาได้ กุญแจ... ที่มีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เก็บมันเอาไว้
ความคิดเห็น