ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My dear diary...บันทึกรักสุดหัวใจ

    ลำดับตอนที่ #3 : อดีตเมื่อวันวาน

    • อัปเดตล่าสุด 19 ธ.ค. 52


    'วันนี้ก็ยังคงเป็นวันธรรมดาๆ วันหนึ่งในหน้าฝนที่ฝนตกลงมาทั้งวันอย่างไม่ลืมหูลืมตา  ลมเย็นพัดเอาละอองฝนเข้ามาทางหน้าต่างห้องที่เปิดแง้มเอาไว้จนหลายๆ คนในชั้นเรียนผมนั่งตัวสั่นกันเป็นแถว ผิดกับผม ที่ตอนนี้ไม่รู้สึกถึงความเย็นนั้นเลยซักนิด  

    ถ้าจะพูดให้ถูก คงต้องบอกว่าตอนนี้ผมไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้นจะดีกว่า เพราะหัวใจของผมมันมึนตึงไปแล้วตั้งแต่ที่ใครคนนั้นที่ผมรักและจริงจังที่สุดในชีวิตมาบอกลาผม

    การพบกันของผมกับเธอเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ผมเป็นคนที่ชอบเล่นเกมออนไลน์ แล้วผมก็บังเอิญไปพบเธอเข้า เราคุยกันและเล่นเกมด้วยกัน รู้สึกแปลกใจเหมือนกันที่ไม่ว่าผมจะเข้ามาในเวลาไหนจะต้องพบเธอ อย่างกับเธอกำลังรอผมอยู่ยังไงยังงั้น

     เราแลกเบอร์โทรศัพท์กัน แล้วหลังจากนั้นก็นัดเจอกันในโลกแห่งความจริงนอกจอสี่เหลี่ยมกันจนได้ เธอเป็นผู้หญิงที่น่ารักและอายุมากกว่าผมเกือบสิบปี สำหรับใครหลายคนตัวเลขอาจจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่สำหรับผมมันไม่ใช่ ขอเพียงแค่ผมพอใจเธอและเธอพอใจผม มันก็เพียงพอแล้ว              
              ความสัมพันธ์ของเราสองคนดำเนินมาเรื่อยๆ ไม่มีอะไรหวือหวานัก นัดพบกันเมื่อมีโอกาส ไปเที่ยวด้วยกันตามแต่เวลาจะเอื้ออำนวย โทรหากันในคราวที่คิดถึงหรือเพื่อบอกราตรีสวัสดิ์เพียงเท่านั้น                               
                                 
                                                                                                                                   
              ผ่านมาได้สามปี ผมคิดว่าทั้งผมและเธอคงจะจริงจังกับความสัมพันธ์ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากโลกไซเบอร์ที่ใครหลายคนมองว่าไร้สาระและไม่มั่นคงนั่นพอสมควรแล้ว และสำหรับผม ตอนนี้ความรู้สึกที่ผมมีให้เธอมันก็มากเกินกว่าที่จะให้ถอยหลังกลับด้วยเหมือนกัน

    วันหนึ่งเธอโทรหาผมด้วยน้ำเสียงเศร้ามากๆ ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเลยซักนิด มันชวนให้สังหรณ์ไปในทางที่ไม่ดียังไงก็ไม่รู้ แล้วในที่สุดเธอก็ได้พูดในสิ่งที่ผมไม่อยากได้ยินที่สุด

    เราเลิกกันเถอะนะแคน แคนยังเด็ก ยังต้องพบใครอีกหลายคน อย่ามาหยุดอนาคตของแคนไว้ที่บีเลยนะ

    เธอพูดอะไรกับผมต่ออีกหลายประโยค แต่ผมไม่ได้ยินอีกแล้วนอกจากประโยคร้ายๆ นั่นประโยคเดียวเท่านั้น แล้วเธอก็วางหูไป ผมทำอะไรไม่ถูก พูดอะไรไม่ออก รู้สึกงงๆ เหมือนเพิ่งจะโดนฟ้าผ่าลงกลางศีรษะยังไงชอบกล

    และนี่คือตอนจบสำหรับความรักของผม ความรักที่ผมคิดว่าผมและเธอจะสามารถช่วยกันประคับประคองไปให้ถึงฝั่งได้ ผมเชื่อมั่นในตัวของผมและในตัวเธอ คนที่ผมมอบหัวใจทั้งหมดไว้ให้ดูแล สุดท้ายมันก็คงเหลือไว้แค่ความว่างเปล่า                   

    เธอบอกว่าซักวันผมจะได้พบกับคนที่ดีกว่าเธอ นั่นก็อาจจะจริง แต่ผมก็คงไม่สามารถรักใครคนนั้นได้เท่ากับที่ผมรักเธอ เพราะหัวใจของผม เมื่อได้มอบให้กับใครไปแล้ว มันย่อมเป็นของคนๆ นั้นตลอดไป ไม่มีทางที่ผมจะเอามันกลับคืนมาได้อีก

    เสียใจที่ความรักของผมต้องจบลงเพียงเท่านี้ 

    เสียใจที่มอบหัวใจให้กับคนที่ผิดไป 

    เสียใจที่ไม่อาจย้อนวันเวลากลับไปยังวันที่เราพบกันได้ ไม่งั้นผมคงไม่เริ่มต้นความสัมพันธ์นั้นมาจนถึงวันนี้ วันที่ผมไม่อาจถอนหัวใจตัวเองกลับคืนมาได้อีก

    ภาวนาว่าซักวันผมจะได้พบใครที่จะทำให้ผมรักได้เหมือนหรือมากกว่าที่ผมเคยรักเธอ

                                                                                                                                                   

     แคน '

    “ฮะๆ อกหักจากคนอายุมากกว่างั้นเหรอ เหมือนกันเลยแฮะ” สลิลนรีคิดพร้อมกับที่ภาพในอดีตเริ่มปรากฏขึ้นอีกครั้ง

    จำได้ว่าในวันที่ฝนตกหนักวันหนึ่ง ตัวเธอซึ่งตอนนั้นอยู่ในอาการที่ใครๆ ต่างพากันลงความเห็นว่า อกหัก กำลังนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ที่ริมหน้าต่างบ้านศรายุทเพียงลำพัง สาเหตุก็เพราะเธอดันไปรักคนที่เขาไม่ได้รักเธอนั่นแหละ

    พี่กร หรือธนากร อัศวกุล พี่ชายของนายพิภพคือผู้ชายคนที่เธอเคยรัก ในตอนนั้นเธอเป็นแค่เด็กนักเรียนม.ปลาย ขณะที่พี่กรกำลังทำงานในบริษัทของครอบครัวอยู่ ด้วยความที่เธอเป็นคนที่เข้ากับคนได้ง่ายจึงทำให้เธอเข้าใกล้พี่ชายร่วมโลกคนนั้นได้ไม่ยาก ธนากรเองก็เหมือนจะชอบอะไรบางอย่างในตัวเธอเป็นการส่วนตัวอยู่เหมือนกัน มันจึงทำให้เขาและเธอสนิทกันได้เร็วขึ้น

    เวลาเขามีเรื่องอะไรทุกข์ใจก็จะมาคุยกับเธอ ด้วยเหตุผลเพราะเวลาที่เขาได้พูดกับเธอ มันทำให้เขารู้สึกสบายใจและมีแรงฮึดที่จะลุยงานต่อ ในขณะที่เธอเองเวลามีเรื่องร้อนใจหรือทุกข์ใจแล้วนอกจากเพื่อนฝูงที่สนิทกันและศรายุท ธนากรก็คืออีกคนที่เธอยอมเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังอย่างไม่มีอะไรปิดบัง แล้วสุดท้ายเธอก็เผลอใจรักเขาเข้าให้โดยไม่ทันได้ตั้งตัว

    แต่แล้วเมื่อธนากรได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเข้ามาทำงานในตำแหน่งเลขาส่วนตัวของเขาเข้า ธนากรก็เริ่มสนใจเธอคนนั้นทันที สังเกตได้จากเวลาที่เขามาพูดเรื่องผู้หญิงคนนั้นให้เธอฟัง สายตาของเขามันฟ้องถึงความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกปวดใจจนบอกไม่ถูก และสุดท้ายเธอก็ตัดสินใจสารภาพความในใจออกไป

    ขอบใจนะรินที่รักพี่ แต่พี่คงจะตอบรับความรู้สึกของรินไม่ได้จริงๆ ขอโทษด้วยนะ นั่นเป็นคำตอบสำหรับเธอ

    เพราะรินอายุน้อยกว่าพี่กรรึเปล่าคะ เธอถามเสียงสั่นเครืออย่างไม่อาจห้ามได้ แต่คำตอบของธนากรคือการส่ายหน้าพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยนแบบพี่ชายใจดีที่เขามักจะมีให้เธอเสมอ

    พี่เองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นรินไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ มันไม่ใช่เหตุผลอย่างที่รินคิดหรอก พี่อยากจะบอกให้รินรู้ไว้อย่างนึงนะ ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพี่ก็จะเป็นพี่ชายคนหนึ่งที่รักรินเสมอ แม้ว่าความรักของพี่จะไม่ใช่แบบที่รินต้องการก็ตาม รินจะเป็นน้องสาวที่แสนดีและน่ารักสำหรับพี่เสมอ หวังว่ารินคงเข้าใจพี่นะ  

    แล้วเธอจะทำอะไรได้นอกจากยิ้มรับมันแต่โดยดี เธอคิดว่าเธอจะไม่เป็นอะไรแล้วเชียวแต่สุดท้ายก็ต้องหลบมานั่งร้องไห้น้ำตาร่วงเป็นเถาเต่าที่บ้านของศรายุทจนได้ ร้อนไปถึงดรัณที่ต้องมาช่วยศรายุทปลอบเธอด้วยอีกคน

    เรื่องทำท่าจะจบแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะคู่กัดตลอดกาลของเธอจะแวะมาที่บ้านของศรายุทโดยบังเอิญ แล้วศรายุทก็ดันเล่าสาเหตุที่เธอมานั่งร้องไห้ตาปูดให้นายพิภพฟังจนหมดชนิดไม่มีพลาดเลยซักเม็ดอีกต่างหาก น่ารักจริงๆ ค่ะพี่ชาย!!

    หน้าตาปกติก็ขี้เหร่จะแย่แล้ว ยังจะร้องไห้จนตาบวมปูดเป็นปลาทองให้ขี้เหร่หนักกว่าเดิมอีก เลิกร้องได้แล้ว บอกแล้วว่าเด็กที่ริอาจไปรักผู้ใหญ่น่ะจะจบแบบไหน เชื่อกันบ้างมั้ยล่ะ                      

    สิ่งที่คนใจร้ายได้รับเป็นรางวัลก็คือหมัดตรงที่เธอต่อยเข้าที่ท้องเขาอย่างจัง พร้อมกับคำบริพาทสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า คนใจร้าย!!’ เสียดังสนั่นก่อนที่เธอจะบ่อน้ำตาแตกอีกรอบ

    นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอเผลอลงไม้ลงมือกับเขา ถึงคำพูดเหล่านั้นมันจะจี้ใจดำเธอไปซักหน่อย เพราะเขาเคยเตือนเธออ้อมๆ แล้วจริงๆ ว่าเธอจะไม่สมหวังแต่เธอก็ยังดื้อแพ่งรักธนากรต่อเองซึ่งมันก็ช่วยไม่ได้ แต่ก็เพราะน้ำคำเหล่านั้นเช่นกันที่ช่วยให้เธอหายเศร้าเร็วขึ้นจนเธอเองยังแปลกใจ แล้วยังได้สะใจเล็กๆ ที่ศรายุทกับดรัณช่วยกันซ้ำพิภพอีกคนละชุดที่มาตอกย้ำทำร้ายจิตใจเธอให้พวกเขาต้องออกแรงปลอบอีกรอบ

    หลังจากนั้น เธอได้ใช้ความพยายามอย่างหนักเปลี่ยนความรู้สึกรักให้กลายเป็นแค่เพียงความห่วงใยและความหวังดีแบบพี่น้อง เพราะเธอไม่อยากให้ธนากรต้องรู้สึกอึดอัดและลำบากใจกับเธออีกต่อไป แล้วเธอก็ทำสำเร็จ ต้องขอบคุณศรายุท ดรัณและเพื่อนๆ ของเธอที่คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจเสมอ

    สุดท้ายเธอก็ผันตัวเองมาเป็นกามเทพให้ธนากรไปโดยปริยาย และเพราะเธอต้องเทียวไปเทียวมาใกล้ๆ ผู้หญิงคนนั้นบ่อยๆ ทำให้เธอเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นหรือก็คือพี่น้ำหวาน ภรรยาของธนากรในเวลานี้เป็นคนที่ดี ดีมากจนถึงมากที่สุด จนเธอสนิทกับพี่น้ำหวานเสียยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆ บางคู่เสียอีก

    อันที่จริงถ้าจะบอกว่าเธอไม่เจ็บปวดเลยซักนิดมันนก็คงจะเป็นการโกหกเกินไป แต่เธอก็เจ็บปวดได้ไม่นานนักหรอก เพราะในเมื่อทั้งธนากรและพี่น้ำหวานเป็นคนที่เธอรักเหมือนพี่ชายพี่สาวแท้ๆ ดังนั้นถ้าพวกเขามีความสุข เธอก็น่าจะพอใจแล้วไม่ใช่เหรอ อีกอย่างเธอยังมีคนที่รักเธอตั้งมากมายแถมยังมีคนปากเสียที่ไม่รู้เป็นบ้าอะไรถึงได้มาคอยพูดตอกย้ำเธอโดยไม่กลัวตายอยู่นั่นอีกตั้งคน

    แม้ว่าพิภพจะปากเสียใส่เธอมากเสียหน่อยแต่เธอก็ต้องยอมรับว่าในน้ำคำโหดร้ายทั้งหลายทั้งแหล่นั้น ก็แอบมีความรู้สึกเล็กๆ อย่างหนึ่งที่สื่อว่าเขาต้องการปลอบใจและให้กำลังใจเธออยู่เหมือนกัน แม้น้ำเสียงและประโยคโดยรวมของเขาจะเป็นไปในทางตรงกันข้ามก็ตาม เธอรู้สึกอย่างนั้น

    ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าข้างกายเธอมีผู้ชายคนนี้นี่แหละ เธอถึงได้หายเศร้าเร็วกว่าที่ควรจะเป็น เพราะคำพูดและการกระทำหลายๆ อย่างของเขากระตุ้นให้เธอเกิดแรงฮึดขึ้น แล้วนอกจากความรู้สึก (แอบ) ดีที่แฝงมาของเขาแล้ว ก็คงเพราะเขา(จำใจ) ยอมอุทิศตัวเองเป็นกระสอบทรายให้เธอด้วยนั่นล่ะมั้ง

    สลิลนรีหัวเราะคิกคักกับตัวเองเบาๆ เมื่อนึกถึงดวงหน้าหล่อเหลาที่มักจะมีรอยเขียวช้ำประดับอยู่ที่ปลายคาง แก้มหรือที่เบ้าตาอยู่เป็นนิจอันเนื่องมาจากน้ำมือของเธอในคราวนั้นแล้วก็อดสงสารเขานิดๆ ไม่ได้ที่ต้องมารับกรรม ทั้งที่ตัวเขาไม่ได้เป็นคนหักอกเธอเสียหน่อย แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ปล่อยให้มันผ่านๆ ไปเถอะนะคะคุณภพ หุหุ

    "จะห้าทุ่มแล้วเหรอ งั้นนอนเลยแล้วกัน พรุ่งนี้ต้องไปทำงานด้วย" สลิลนรีเอ่ยขึ้นหลังจากที่เหลือบตามองนาฬิกาบนโต๊ะข้างเตียงก่อนจะวางสมุดไว้บนโต๊ะแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวและหลับตาซุกหน้าลงกับหมอนหนานุ่มในทันที โชคดีที่เธอเป็นคนหลับง่าย ดังนั้นพอหัวตกถึงหมอนเท่านั้นเธอก็แทบจะเข้าสู่ห้วงนิทราทันที แต่แล้ว...                            

    ครืด... ครืด... ครืด... โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงสั่นขึ้น ส่งผลให้คนที่กำลังเคลิ้มๆ ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ หากเมื่อรู้ว่าเสียงที่ดังขึ้นในความมืดนั้นคือเสียงอะไร เธอก็เอนตัวลงนอนดังเดิม

    ใครโทรมานะป่านนี้

    หญิงสาวบ่นพร้อมกับเอื้อมมือไปควานหาวัตถุต้นกำเนิดแรงสั่นสะเทือนอันน่ารำคาญใจนั่นทั้งที่ยังหลับตา ใช้เวลาไม่นานมือบางก็เจอเป้าหมาย

    “ค่ะ” ตอบรับด้วยน้ำเสียงงัวเงียชนิดที่ว่าเป็นใครก็คงเดาออกว่า ณ เวลานี้เธอกำลังทำอะไรอยู่โดยไม่คิดจะเก็บอาการด้วยตามปกติแล้วจะมีบุคคลไม่กี่กลุ่มหรอกที่กล้าโทรมาหาเธอในเวลาเช่นนี้ ซึ่งถ้าไม่ใช่คนในครอบครัว ก็คงหนีไม่พ้นบรรดาเพื่อนฝูงเธอเองนั่นแหละ โดยที่เธอลืมคิดถึงใครอีกคน (ที่สุดพิเศษ) ไปเสียสนิท

    "นอนดึกเหมือนกันนี่คุณ"

    ความง่วงงุนหายเป็นปลิดทิ้งในทันทีที่หญิงสาวได้ยินเสียงทุ้มซึ่งเอ่ยเรียบๆ ดังมาตามสาย สลิลนรีลุกพรวดขึ้นมานั่งขัดสมาธิกระพริบตาปริบๆ ด้วยความไม่แน่ใจว่าเธอหูฝาดไปรึเปล่าถึงได้ยินเสียงของคนที่เธอไม่อยากจะได้ยินที่สุดในเวลานี้ดังมาจากโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กของเธอ                                                                          
                    แต่เมื่อเธอลองมองชื่อเจ้าของหมายเลขที่โทรเข้ามาเท่านั้น ความงงก็พลันหายไปในอากาศก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความหงุดหงิดรำคาญขึ้นมาในทันใด                                                                                                                           
                    "ว่างมากรึไงคะคุณภพถึงโทรหาชาวบ้านชาวช่องเขาในเวลาแบบนี้น่ะ รู้มั้ยว่านี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ที่บ้านไม่มีนาฬิการึไง"

    หญิงสาวกรอกเสียงที่แสดงความไม่พอใจอย่างเด่นชัดออกไปตามความเคยชินหารู้ไม่ว่ายิ่งเธอทำแบบนั้นยิ่งทำให้คนปลายสายมีความสุขมากขึ้นที่สามารถแหย่เธอได้สำเร็จ อันที่จริงก็อยากจะโทรมาตอนยังเช้ากว่านี้หรอกนะ แต่เพราะอยากจะแกล้งเธอนั่นแหละ ถึงโทรเอาในเวลานี้ไงล่ะ

    "ก็ต้องว่างอยู่น่ะซิครับ ไม่งั้นผมคงไม่โทรหาคุณหรอก คุณนี่ถามแปลก"
                    ชายหนุ่มตอบเรียบๆ แต่มีหรือที่สลิลนรีจะไม่รู้สึกถึงอาการยียวนกวนอารมณ์ที่ปนมากับน้ำเสียงของเขา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาไม่ได้เกรงใจเธอซักนิดแถมไอ้น้ำเสียงเรียบสนิทประหนึ่งกำลังคุยเรื่องสำคัญระดับชาตินั่นก็ทำให้เธอรู้สึกอยากลุกจากเตียงแล้วบึ่งรถไปต่อยคนปลายสายถึงที่ซักทีสองทีให้มันรู้แล้วรู้รอด ถ้าไม่ติดว่าคนที่บ้านเขาอาจแตกตื่นขึ้นมาล่ะก็นะ

    "เผื่อคุณยังไม่รู้นะคุณภพ ฉันก็จะบอกให้เอาบุญว่าฉันกำลังนอนอยู่ เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปทำงาน ไม่ได้มีเวลาเข้างานถมถืดเหมือนกับคุณ แต่ถ้าคุณว่างมากและยังไม่ง่วง ฉันก็ขอแนะนำให้คุณไปกัดกับเจ้าสี่ขาแถวหน้าบ้านคุณเล่นไปพลางๆ ก่อนก็แล้วกันนะคะ ราตรีสวัสดิ์"
                    หลังจากกระแทกเสียงใส่เขาจบประโยคแล้ว เธอก็กดตัดสัญญาณและปิดเครื่องไปในทันที ตัดปัญหาการต่อปากต่อคำที่จะมาบั่นทอนเวลานอนของเธอที่จะตามมาหากคนปลายสายตีความประโยคที่เธอเพิ่งสาดใส่เขาจนลิ้นแทบพันนั่นออกแล้วโทรกลับมารังควานกันต่อ สลิลนรีกระแทกตัวลงกับที่นอนด้วยอารมณ์หงุดหงิด   ถ้านี่เป็นครั้งแรกที่เขาโทรหาเธอในเวลานี้ล่ะก็ เธอคงจะไม่หงุดหงิดขนาดนี้ แต่นี่เป็นครั้งที่ร้อยเข้าไป ทั้งที่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าเธอเข้านอนไปแล้ว ทำอย่างกับถ้าไม่ได้ยั่วโมโหฉันก่อนนอน แล้วจะนอนไม่หลับยังงั้นแหละ!!

    คนบ้า!! ถ้าไม่หาเรื่องฉันซักเวลานี่จะตายหรือยังไงกันนะ 

     

    เร็วๆ หน่อยได้มั้ยริน อาทิตย์นี้จะสอบแล้วนะ เสียงแหลมๆ ของเด็กผู้หญิงรูปร่างสูงโปร่ง ผมสั้นทรงนักเรียนม. ต้นร้องขึ้น พร้อมกับจูงมือเด็กหญิงผมยาวอีกคนที่ตัวเล็กกว่าออกวิ่ง

    จะรีบไปไหนเล่า โรงยิมฯ มันไม่หนีวิไปไหนหรอกน่า

    เด็กหญิงคนที่ถูกกึ่งลากกึ่งจูงว้ากเข้าให้ด้วยความหงุดหงิดที่ถูกแซะขึ้นมาจากที่นอนตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาเคารพธงชาติด้วยซ้ำ ทั้งที่วันนี้เป็นวันเสาร์ที่เธอควรจะได้นอนพักผ่อนอย่างสงบสุขแท้ๆ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเพื่อนสนิทสามคนที่มีทักษะในการเล่นกีฬาเป็นเลิศสุดๆ จะมีสอบบาสเก็ตบอลในวันพฤหัสที่กำลังจะถึงนี้ล่ะก็ ต่อให้เอาช้างมาฉุดเธอก็ไม่มีวันลุกมาให้แน่ๆ

    นั่นซิวิ จะรีบไปไหนกันนักกันหนาน่ะภาหรือจีรภา เด็กหญิงผิวขาวซึ่งสูงใกล้เคียงกับสลิลนรีตะโกนถามก่อนจะเปิดปากหาวด้วยความง่วง ในขณะที่เด็กผู้หญิงอีกสองคนซึ่งวิ่งรั้งท้ายขบวนกำลังหัวเราะกันกิ๊กกั๊ก

    หัวเราะอะไรกันน่ะสลิลนรีหันไปถามด้วยความสงสัย ก่อนที่เด็กหญิงทั้งสองจะหันมาส่งยิ้มหวานให้

    ก็จะไม่ให้ขำได้ไงล่ะ ก็ยัยวิที่ขี้เซาที่สุดลงทุนตื่นแต่เช้ามาลากรินกับภาให้มาซ้อมบาสฯ ทั้งที่จริงๆ แล้วตัวเองอยากมาดูพี่ปิว กัปตันชมรมบาสฯ ชายไงล่ะสิ้นคำตอบของภัทรา สลิลนรีกับจีรภาก็ถึงกับอึ้ง เดี๋ยวก่อนซิ พี่ปิวที่สูงๆ ขาวๆ หล่อๆ ที่อยู่ข้างบ้านเราอ่ะนะสลิลนรีถามเพื่อความแน่ใจ ซึ่งก็ได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าจากภัทรา                                                                                                                                               
                     ‘ยัยวิกำลังปิ๊งพี่ปิวจ้าเมื่อเฟินหรือพิชานันท์ช่วยยืนยันอีกคน สลิลนรีก็หรี่ตามอง คนเจ้าเล่ห์ ที่อาจหาญโทรมาปลุกเธอด้วยสายตามุ่งร้าย จนคนที่ถูกมองถึงกับกลืนน้ำลาย

    อ้อ... ที่ลากฉันออกมาแต่ไก่โห่แบบนี้เพราะกะจะใช้ฉันเป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กให้ว่างั้นเถอะใช่มั้ยเธอถามเสียงเหี้ยม ซึ่งวิภาสิณีก็พยักหน้ายอมรับหงึกหงักด้วยรู้ว่าหากโกหกต่ออาจจะโดนฉีกอกเอาเสียตอนนี้เลยก็ได้

    งั้น... เพื่อเป็นการตอบแทนวิที่ช่วยปลุกฉันก่อนเวลาอันควร ฉันจะเดินไปบอกความจริงแล้วลากให้พี่เขามาสอนบาสฯ ให้เลยดีมั้ยพูดจบสลิลนรีก็วิ่งลิ่วไปที่โรงยิมอย่างรวดเร็ว โดยมีวิภาสิณีวิ่งตามไปติดๆ

                     เด็กหญิงทั้งห้าวิ่งขึ้นไปที่ชั้นสามของโรงยิมฯ ซึ่งมีสนามบาสฯ ขนาดมาตรฐานสองสนามอย่างรวดเร็ว ที่สนามหนึ่งพวกรุ่นพี่ม. ปลายชมรมบาสฯ ชายกำลังฝึกซ้อมกันอยู่ โดยมีผู้ชายตัวสูงใหญ่อีกสามคนยืนคุมการซ้อมอยู่ข้างสนาม หนึ่งในสามคนนั้นก็คือพี่ปิวนั่นเอง แต่อีกสองหนุ่มที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กันนั้น สลิลนรีไม่รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตามาก่อน

    อ้าวริน!! มาทำอะไรกันแต่เช้าเนี่ยเสียงทุ้มกังวานมีพลังของชายหนุ่มผิวขาวร่างสูงใหญ่ร้องทัก ก่อนที่เขาจะวิ่งเข้ามาหาเธอ

    มาซ้อมบาสฯ น่ะค่ะพี่ปิว สามคนนี้จะสอบวันพฤหัสนี้แล้ว พี่ช่วยสอนยัยวิหน่อยได้มั้ยคะ รินสอนร้อยรอบแล้วไม่จำซักที นะคะพี่ปิวเธอออดอ้อนเสียงหวานก่อนจะชายหางตาไปมองวิภาสิณีที่ตอนนี้ยืนหน้าแดงสลับซีดไปมาอย่างเห็นขัน ขณะที่เด็กหนุ่มได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ มาให้                                                                  

    ขอโทษทีนะริน ตอนนี้พี่ต้องคอยช่วยพี่ภพกับพี่ซันคุมการซ้อมแทนโค้ชที่เพิ่งจะประสบอุบัติเหตุเข้าโรงพยาบาลไปเมื่อสามวันก่อนน่ะ  

    เป็นรุ่นพี่รึเปล่าคะ หน้าไม่คุ้นเลย ภัทราถามขึ้นขณะชะเง้อคอมองชายหนุ่มสองคนที่อยู่ห่างออกไปอย่างสนใจ ขนาดมองในระยะไกลขนาดนี้ เธอยังว่าสองคนนั้นหล่อเลย ถ้าเห็นใกล้ๆ จะขนาดไหนนะ                                
                   ‘ใช่แล้วล่ะ พี่ๆ เขาเคยเรียนที่นี่แล้วก็เป็นนักกีฬาของชมรมมาก่อน แต่น้องคงเข้ามาไม่ทันเห็นพวกพี่เขาหรอก เพราะตอนพวกน้องเข้ามา พวกพี่เขาก็จะจบแล้ว งั้นเดี๋ยวพี่ขอตัวก่อน มีอะไรให้ช่วยก็มาบอกแล้วกันนะแล้วรุ่นพี่สุดหล่อขวัญใจวิภาสิณีก็จากไป ทั้งห้าสาวจึงออกเดินไปยังสนามอีกสนามแล้วเริ่มซ้อมกันเอง

    นี่ๆ ฉันว่าพี่คนที่ตัวสูงๆ ใส่เสื้อยืดสีเขียวๆ คนนั้นเท่ดีนะ วิภาสิณีเอ่ยขึ้นขณะที่พยายามวิ่งเลี้ยงลูกไปยังแป้นบาสฯ ด้านหนึ่งของสนามด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ โดยมีสลิลนรีคอยวิ่งตามใกล้ๆ                             

    อะไรกันเธอ เพิ่งจะสารภาพว่าปิ๊งพี่ปิวอยู่หยกๆ ก็หันมากรี๊ดคนอื่นซะแล้ว เจ้าชู้นะยะเธอเหน็บเข้าให้ส่งผลให้ คนเจ้าชู้หันมาเหวี่ยงค้อนใส่ในทันที                                                                                      

    แหม... อาหารตานิดๆ หน่อยๆ เองอ่ะวิภาสิณีว่าเสียงกระเง้ากระงอด

    เราว่าพี่คนที่ใส่แว่นก็หล่อดีเหมือนกันนะพิชานันท์เอ่ยขึ้นบ้างขณะที่กำลังจะชู๊ตลูก 

    นี่ ให้มาซ้อมนะยะ ไม่ใช่ให้ไปมองฝั่งนั้นเขา อย่าวอกแวก สลิลนรีที่ยืนอยู่ข้างๆ เปรยขึ้นเบาๆ                  
                    ‘อย่าซีเรียสซิริน แค่คุยกันเล่นๆ เอง แต่ฉันเห็นด้วยกับยัยวินะเฟิน ภัทราออกความเห็นบ้าง

    เหรอแต่เราว่าพี่แว่นคนนั้นดูดีกว่า รินว่าไงล่ะจีรภาพูดขึ้นบ้าง ส่งผลให้อีกสามคนหันมามองสลิลนรีเป็นตาเดียว เด็กหญิงจึงหันไปมองคนทั้งสองแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับมาอย่างรวดเร็วเมื่อสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มของคุณพี่เสื้อเขียวของวิภาสิณีเข้า

    เราว่าพี่เสื้อเขียว เอาล่ะตั้งใจซ้อมเถอะเด็กสาวตัดบท ใบหน้าเริ่มออกอาการแดงให้เห็น ไม่รู้เป็นเพราะออกแรงเล่นบาสหรือว่าเพราะสายตาของใครบางคนที่กำลังจ้องมองเธออยู่กันแน่

     

    น้องริน!! มานี่หน่อยซิพี่ปิวตะโกนเรียกเธอจากอีกสนามเสียงดัง ส่งผลให้เธอรีบส่งลูกบาสให้เพื่อนคนอื่นก่อนที่ตัวเองจะวิ่งตรงไปยังร่างสูงที่ยืนเรียกเธอที่อีกสนาม

    มีอะไรคะพี่ปิวเธอถามพร้อมกับมองผู้ชายเสื้อเขียวที่กำลังยืนทำหน้าขรึมแปลกๆ ก่อนจะมองผู้ชายสวมแว่นอีกคนที่กำลังยืนยิ้มขำอะไรบางอย่างด้วยความสงสัย

    มีใครบางคนแถวๆ นี้สนใจรินแน่ะพี่ปิวป้องปากกระซิบข้างหูเธอเบาๆ ก่อนจะส่งยิ้มล้อเลียนพร้อมกับเหล่ไปทางชายหนุ่มเสื้อเขียวที่ยืนหน้าเครียดจ้องเขม็งมาทางเธอ

    ตลกแล้วพี่ปิว คนบ้า คนตาบอดหรือคนประหลาดผิดมนุษย์กันล่ะค่ะที่มาสนใจรินจะด้วยความเขิน ความอายหรือจะอะไรก็ตามที่ทำให้เธอพูดออกไปแบบนั้น ส่งผลให้ปิวถึงกับพูดไม่ออก ขณะที่ชายหนุ่มสวมแว่นที่เธอมารู้ชื่อทีหลังว่าคือศรายุทนั้นหัวเราะจนแทบจะลงไปนอนกองกับพื้นอยู่แล้ว

    นั่นซิปิว พี่เห็นด้วยกับน้องเขานะ ปากก็อย่างนี้ หน้าตาก็แปลกๆ แบบนี้ รูปร่างท่าทางก็หาความเป็นผู้หญิงแทบไม่เจอแบบนี้เนี่ยนะ

    เสียงทุ้มนุ่มจากชายหนุ่มอีกคนซึ่งวิภาสิณี ภัทราและตัวเธอเพิ่งจะออกความเห็นไปหยกๆ ว่าหล่อเอ่ยขึ้นเรียบๆ ทำเอาเธอนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่พร้อมกับมองเขาตาไม่กระพริบ หนอยแน่ะ เห็นมาดนิ่งๆ แต่ปากจัดนักนะ มาว่ากันแบบนี้เจอกันหน่อยเป็นไง!!

    เด็กหญิงสะบัดหน้ากลับมาหาปิวที่ตอนนี้ยืนหน้าถอดสีไปเรียบร้อยแล้วด้วยรู้ว่าสลิลนรีนั้นกำลังจะแปลงร่างเป็นแม่เสือเข้าขย้ำเหยื่ออย่างไม่ต้องสงสัย ก็ดูตาคู่นั้นของเธอซิ ดวงตานักฆ่าชัดๆ!!                                            
                  ‘พี่ปิวน่าจะหาตะกร้อมาครอบปากใครบางคนแถวนี้บ้างนะคะ เห่าเก่งกัดเก่งแบบนี้ขนาดฝูงไอ้ปุย ไอ้ด่างแถวบ้านยังอายเลยพูดจบเธอก็เดินลิ่วๆ จากไป โดยไม่สนใจหันไปมองอีกเลยว่าชายหนุ่มที่เธอหลอกด่าไปนั้นจะมีสีหน้าหรือความรู้สึกเช่นไร... ชิ! คนอะไรปากร้ายสิ้นดี

    เราขอถอนคำพูด นายนั่นเป็นคนที่ทุเรศที่สุดตั้งแต่เราเคยเจอมาเลย ผู้ชายอะไรปากร้ายชะมัด ชาตินี้อย่าได้เจอะอย่าได้เจอกันอีกเลย สาธุ!!’                                                                                                                     
                   อุตส่าห์สาปส่งไล่แล้ว แต่จนถึงทุกวันนี้ นายปากร้าย นั่นก็ยังวนเวียนอยู่ใกล้ตัวเธอไม่ไปไหนเสียที แถมยังมาลอยหน้าลอยตาทำหน้านิ่งยียวนกวนอารมณ์เธออยู่ทุกวัน วันไหนไม่เห็นตัวก็ยังอุตส่าห์ส่งเสียงตามสายมาหาเรื่องได้อีก เรียกได้ว่าในวันหนึ่งๆ ถ้าเธอไม่เจอเขาก็เป็นต้องได้ยินเสียงเขาอย่างน้อยวันละครั้งนั่นแหละ จนแทบจะเรียกได้ว่าเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเธอไปแล้ว ซึ่งเธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำเฉยบ้าง โต้กลับบ้าง หาเรื่องเขากลับบ้างตามแต่อารมณ์                        

    อย่าคิดว่าเธอไม่พยายามดีกับเขานะ เธอเคยเป็นฝ่ายขอเจรจาสงบศึกอย่างเป็นทางการก่อนมาแล้วหลายครั้ง แต่เขากลับไม่ให้ความร่วมมือโดยไม่มีเหตุผลซะนี่ ทั้งๆ ที่เธอว่าเธอได้ยินเขาบ่นออกบ่อยไปว่าเบื่อที่จะมาทะเลาะกับ เด็กกะโปโล อย่างเธอแท้ๆ ไหงเขากลับปฏิเสธสัญญาสงบศึกซะงั้น แปลกคนจริงๆ ....

     

    "มาทำงานวันแรกก็สายเลยนะริน ลืมตั้งนาฬิกาปลุกเหรอ

    ศรายุททักขึ้นทันทีที่เห็นรุ่นน้องคนสนิทเดินเร็วๆ เข้ามาในห้องพักแพทย์ ก่อนจะได้รับสายตาที่สามารถแผดเผาอะไรก็ตามที่อยู่ในรัศมีการทำลายล้างให้มอดไหม้เป็นจุณได้ภายในพริบตาตอบกลับ ทำเอาเขาถึงกับสำลักกาแฟที่กำลังดื่มอยู่ทีเดียว                                         

    ท่าทางอารมณ์ไม่ดีเลยนะ เป็นอะไรรึเปล่าน่ะ ชายหนุ่มถามหยั่งเชิงเรียบๆ เสียงนุ่มเท่านั้นแหละท่าทีหงุดหงิดของสลิลนรีก็ค่อยลดลงราวกับกดสวิตช์

    "ขอโทษคะพี่ซัน พอดีรินกำลังหงุดหงิดนิดหน่อยน่ะค่ะ" หญิงสาวตอบเสียงอ่อนพร้อมกับยิ้มแหยขอลุแก่โทษด้วยรู้ตัวว่าไม่ควรมาพาลเอากับคนอื่นก่อนจะหยิบเสื้อกาวน์ขึ้นมาสวม                                       

    "ไม่หน่อยมั้งพี่ว่า ใครไปทำอะไรให้เหรอถึงได้อารมณ์ไม่ดีแต่เช้าแบบนี้ ชายหนุ่มถามพร้อมกับยกมือขึ้นลูบศีรษะเธอเบาๆ ราวกับพี่ชายกำลังปลอบน้องสาว

    “ก็เมื่อคืนคุณเพื่อนรักของพี่น่ะซิคะโทรมาหารินเอาอีตอนเที่ยงคืนกว่าทำเอารินนอนไม่หลับ พอหลับก็ยังตามมาหลอกมาหลอนกันถึงในฝันอีก เธอตอบพร้อมกับทำเสียงไม่พอใจบางอย่างในลำคอ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยด้วยไม่อยากคิดให้หงุดหงิดไปมากกว่านี้ "แล้วยัยฟ้าล่ะคะ

    "เข้าห้องทำงานตั้งนานแล้วล่ะ" ชายหนุ่มตอบกลับ พยายามไม่ถามอะไรเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้หญิงสาวหงุดหงิดใจอีก แม้ว่าเขานั้นจะอยากรู้ก็ตามทีก่อนจะเดินออกจากห้องพักมายังเคาร์เตอร์รับคนไข้ที่หน้าแผนกอย่างรวดเร็วพร้อมกับหญิงสาวรุ่นน้อง แล้วทันทีที่นางพยาบาลประจำเคาน์เตอร์เห็นทั้งสองคน เธอก็รีบยื่นแฟ้มประวัติคนไข้มาให้ทันที ขณะที่พยาบาลสาวหลายคนก็ส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้กับศรายุท ทำเอาสลิลนรีอดที่จะหมั่นไส้คนเนื้อหอมไม่ได้

    “ยิ้มรับแบบนั้นไม่กลัวพี่ๆ เขาเพ้อจนลืมรับคนไข้รึไงคะพี่ซัน” หญิงสาวแขวะขณะเดินเข้าห้องทำงาน

    "ตลกแล้วนั่น เขายิ้มมาเราก็ยิ้มกลับไม่เห็นจะมีอะไรเลย ว่าแต่กลางวันนี้ไปทานข้าวด้วยกันนะ พี่มีเรื่องจะปรึกษาหน่อยชายหนุ่มกระซิบเสียงเบา

    "เรื่องอะไรเหรอคะ" หญิงสาวถามด้วยท่าทีสงสัย เพราะน้อยครั้งมากที่รุ่นพี่คนนี้จะเป็นฝ่ายมาขอคำปรึกษาจากเธอ

    "เดี๋ยวถึงตอนนั้นก็รู้เองแหละน่า" ตอบแค่นั้นชายหนุ่มก็เดินหนีเข้าห้องตัวเองไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้สลิลนรีมองประตูห้องทำงานที่ปิดไปแล้วอย่างงงๆ แล้วคาดเดาอะไรไปต่างๆ นานาคนเดียว

     

    "ว่าไงคะพี่ซัน มีอะไรจะปรึกษาคะสลิลนรีถามขึ้นหลังจากที่ทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อยด้วยท่าทีจริงจัง ขณะที่ภัทราก็นั่งมองหน้าศรายุทอย่างใจจดใจจ่อ รอนานพอควรก่อนที่ศรายุทจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยๆ

    "พี่อยากให้เราสองคนช่วยพี่จีบสาวคนนึง" เท่านั้นแหละหญิงสาวทั้งสองก็เกือบจะตกเก้าอี้ด้วยคาดไม่ถึงกับคำตอบที่ได้รับ ขณะที่ศรายุทนั้นยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย

    "โธ่เอ๊ย!! เห็นทำหน้าซะซีเรียส ฟ้าก็นึกว่ามีอะไรหนักหนา ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง ขอถามหน่อยได้มั้ยคะว่าทำไมพี่ถึงให้ฟ้ากับรินมาเอี่ยวด้วย" ภัทราถามโดยมีสลิลนรีพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยอยู่ข้างๆ

    "ถ้าให้พูดตามความจริง ก็เพราะตอนนี้พี่กำลังลำบากไงล่ะ ลำบากมากด้วยเลยต้องมาขอให้ทั้งสองคนช่วย ช่วยพี่หน่อยเถอะนะ พี่ไม่ไหวแล้วจริงๆ " ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น จากน้ำเสียงทั้งสองสาวก็พอจะเดาได้ว่ามันคงจะหนักหนามากอย่างที่ว่าจริงๆ ไม่งั้นศรายุทไม่มีทางมีสีหน้าเหนื่อยใจขนาดนี้หรอก

    "ผู้หญิงคนนั้นใช่คนที่รินกำลังคิดอยู่รึเปล่าคะ" สลิลนรีถามกลับเสียงเรียบ พร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก อดที่จะภาวนาสาธุอยู่ในใจลึกๆ ไม่ได้ว่าขอให้ศรายุทนั้นตอบปฏิเสธเธอ แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวังเมื่อได้สบตากับชายหนุ่ม สำหรับเธอแล้ว ในบางเรื่องที่เกี่ยวกับพี่ชายร่วมโลกคนนี้ คำพูดนั้นก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะแค่มองตากัน เธอกับเขาก็เข้าใจและรู้ถึงคำตอบของอีกฝ่ายได้แล้ว

    ถ้ารินบอกให้พี่ซันตัดใจล่ะคะ

    “รินก็รู้คำตอบอยู่แล้วนี่” ศรายุทตอบกลับพร้อมกับส่งยิ้มให้หญิงสาว แม้นั่นจะเป็นยิ้มให้กำลังใจและปลอบใจก็เถอะ แต่ทำไมเธอถึงได้รู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาตะหงิดๆ โธ่ถังกะละมังรั่ว ผู้หญิงมีตั้งเยอะตั้งแยะทำไมต้องเป็นคนนี้ด้วยนะ!!

    “มั่นใจว่าเป็นคุณดาวแน่นะคะพี่ซัน” หญิงสาวถามกลับอีกครั้ง

    “อืม” เจอตอบกลับรวดเร็วทันใจขนาดนี้ สลิลนรีก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาดังเฮือก                    

    รินรู้จักคุณดาวอะไรนี่ด้วยเหรอ ภัทราถามอย่างสงสัยหลังจากทนนั่งฟังสองพี่น้องร่วมสาบานคุยกันอยู่นาน                                                                                     

    ใช้คำว่าพอจะรู้จักดีกว่า เพราะเรารู้แค่ว่าคุณดาวเป็นลูกคนสุดท้องของเจ้าของบริษัทนำเข้าและส่งออกวัสดุก่อสร้างที่ใหญ่มากรายหนึ่งของประเทศ ซึ่งพี่กร ประธานบริษัทไทยบิวท์อินดัสทรี้คนปัจจุบันพี่ชายคุณภพกำลังทำธุรกิจด้วย                                         

    "โอ้โห!! อย่างนี้ก็คุณหนูเลยน่ะซิ แล้วคุณดาวคนนี้เขานิสัยยังไง หน้าตาเป็นแบบไหนคะพี่ซัน" ภัทราถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

    "หน้าตาก็แบบนางในวรรณคดี นิสัยก็ดีสุดๆ ระดับที่นางเอกละครหลังข่าวยังต้องอาย" สลิลนรีตอบ        
                    “ก็ฟังดูดีนี่ แล้วทำไมถึงทำหน้าอย่างนั้นล่ะริน ภัทราถามอย่างสงสัย สลิลนรีหันไปมองชายหนุ่มอีกคนอย่างขอความเห็น หากก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากสายตาของศรายุท                                                                  
                    “เอาไว้เราจะเล่าให้ฟ้าฟังทีหลังแล้วกัน ว่าแต่ฟ้าจะช่วยพี่ซันรึเปล่า                            

    แน่นอนอยู่แล้ว ภัทราตอบ ซึ่งนั่นทำให้สลิลนรียอมรับปากว่าจะช่วยชายหนุ่มอีกแรง เอาเถอะ พี่ชายร่วมสาบานอุตส่าห์มาขอความช่วยเหลือทั้งที ถ้าไม่ช่วยก็คงจะใจร้ายไปหน่อยแล้วล่ะ

    "แล้วนี่พี่ซันจะพบคุณดาวอีกครั้งเมื่อไหร่คะ" ภัทราถามด้วยความตื่นเต้น ผิดกับสลิลนรีที่ภาวนาขอให้คำตอบของรุ่นพี่หนุ่มเป็นซักเดือนหน้า หรือไม่ก็ชาติหน้ากันไปเลยถ้าเป็นไปได้!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×