ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My dear diary...บันทึกรักสุดหัวใจ

    ลำดับตอนที่ #13 : หวั่นไหว

    • อัปเดตล่าสุด 22 ธ.ค. 52


                   “จะไปเดทกับใครที่ไหนน่ะรัน                                                                                           

    ศรายุททักขึ้นขณะที่ดรัณกำลังเดินไปที่รถซึ่งจอดอยู่ใกล้ๆ กับบริเวณที่เขากำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ ชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก็เห็นว่าตอนนี้เพิ่งจะเป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าเท่านั้น ซึ่งโดยปกติในวันอาทิตย์แบบนี้ หากไม่มีธุระอะไรสำคัญหรือมีเรื่องเร่งด่วนของบริษัทเข้ามา เจ้าน้องชายตัวดีของเขาไม่มีทางตื่นก่อนเข็มสั้นชี้เลขสิบไปแล้วแน่นอน หากแต่วันนี้นอกจากนายตัวดีจะตื่นเช้าแล้ว ยังแต่งตัวดูดีกว่าปกติจนเขาอดที่จะแปลกใจไม่ได้   ไปหารินน่ะครับ ช่วงนี้เห็นบ่นๆ ว่าไม่ได้ดูหนังนานแล้ว ผมเลยว่าจะชวนไปคลายเครียดซักหน่อยชายหนุ่มตอบด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มน้อยๆ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆ ศรายุทเดินเข้ามาขวางหน้าเขาไว้ ก่อนจะฉุดกระชากลากถูเขาไปหลังบ้าน

    มีอะไรรึเปล่าครับพี่ซัน ชายหนุ่มถาม

    ขอถามตามตรงๆ เลยนะรัน นายชอบรินใช่มั้ย แล้วถ้าชอบ จริงจังขนาดไหน คิดจะบอกเขารึเปล่าศรายุทรัวคำถามเป็นชุดแถมเร็วอย่างกับปืนกล ทำเอาดรัณนิ่งอึ้งกระพริบตาปริบๆ ด้วยความงง จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเหตุใดพี่ชายถึงได้มาถามเขาแบบนี้                                                                                                                      
                    “อะไรกันครับพี่ ทำไมจู่ๆ มาถามกันแบบนี้ล่ะครับ                                         

    เออน่า ตอบพี่มาก่อนศรายุทเร่งซึ่งดรัณนั้นก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบคำถามด้วยความแน่วแน่มั่นคงและจริงใจ                    

    ผมไม่ได้ชอบรินครับพี่ แต่ผมรักรินต่างหากล่ะ”                                                                                               
                    คำตอบสั้นๆ แต่สามารถตอบคำถามได้ถึงสองคำถามในคราวเดียว สำหรับศรายุทแล้วเขาย่อมรู้ดีกว่าใครว่าสำหรับน้องชายคนนี้คำว่ารัก เป็นคำที่สำคัญและมีค่ามากเพียงใด มันไม่ใช่คำที่อยากจะพูดเมื่อไหร่ก็พูดได้ง่ายๆ เพราะคำๆ นี้มันหมายถึงความรู้สึกดีๆ ที่น้องชายของเขาจะมอบให้กับคนสำคัญเพียงคนเดียว ซึ่งเป็นคนที่เขาคิดจะจริงจังด้วยเท่านั้น                                                                                                                   
                     “แล้วคิดจะบอกรินเขามั้ยศรายุทถามอีกคำถาม ดรัณนิ่งคิดอีกครู่หนึ่งก็ตอบพร้อมรอยยิ้มเขินๆ                    
                     “คงต้องบอกอยู่แล้วล่ะครับ เพราะขืนผมรอให้รินรับรู้เอง ป่านนั้นผมคงจะแก่หง่อมกันพอดี                       
                     “รัน พี่มีเรื่องจะบอก ฟังดีๆนะ พี่จะบอกว่าตอนนี้ไอ้ภพน่ะ มันกำลังตามจีบรินอยู่ประโยคบอกเล่าประโยคเดียวที่กินเวลาพูดไม่กี่วินาที แต่มีผลให้ดรัณชะงักค้างได้หลายนาที ก่อนที่เขาจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น                                                                                                                                

    พี่ซันครับ อย่าล้อผมเล่นอย่างนี้ซิครับ เดี๋ยวผมก็ท้องแข็งตายกันพอดี พี่ภพเนี่ยนะครับที่คิดจะจีบริน ถ้าพี่ซันบอกว่าพี่ภพกำลังวางแผนจะฆ่าริน ผมยังจะเชื่อมากกว่าเลยนะครับดรัณพูดพร้อมกับหัวเราะด้วยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ส่งผลให้ศรายุททนไม่ไหวต้องบรรจงเคาะมะเหงกเข้าให้ที่กลางศีรษะของน้องชายจังๆ หนึ่งที ทำเอาดรัณหยุดหัวเราะได้ในทันใดก่อนจะยกมือขึ้นมากุมจุดที่โดนประทุษร้ายป้อยๆ น้ำตาแทบเล็ด                         
                     “แล้วดูหน้าพี่เหมือนพูดเล่นรึไงเล่าเจ้าน้องบ้า ฟังนะรัน ที่พี่พูดน่ะเป็นความจริง ไอ้ภพมันมาสารภาพกับพี่เองเลยว่ามันจะจีบรินจริงๆ และคราวนี้พี่มั่นใจว่ามันเอาจริงตามที่พูดแน่”                                                         
                     สีหน้าและท่าทางของศรายุทนั้นหาได้มีแววล้อเล่นเหมือนที่ผ่านๆ มาทำให้ดรัณรู้ได้ไม่ยากว่าสิ่งที่พี่ชายพูดมานั้น เป็นความจริงแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย มาถึงตรงนี้ดรัณก็ชักจะคิดหนักบ้างแล้ว ไม่ใช่เพราะเขากลัวสู้พิภพไม่ได้ เพียงแต่เขาไม่อยากให้มีเรื่องผิดใจกับคนที่เขารักเสมือนพี่ชายแท้ๆ อีกคนก็เท่านั้น                 

    แล้วพี่ว่าผมควรจะทำยังไงดีล่ะครับตอนนี้ชายหนุ่มถามอย่างขอความเห็น ขณะที่ศรายุทนั้นก็ได้แต่ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับ                                                                                                                         

    พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ แต่ถ้าพี่เป็นนายนะ ตอนนี้พี่จะเริ่มแสดงออกให้มากขึ้นอีกหน่อย แล้วหลังจากนั้นซักเดือนสองเดือนค่อยสารภาพกับริน เพราะขืนพี่เดินดุ่มๆ เข้าไปสารภาพแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยอะไรเลยยัยรินได้ช็อคตายแน่ พี่แค่ออกความเห็นเฉยๆ นะ ยังไงก็สู้ๆ แล้วกันชายหนุ่มตอบก่อนเอื้อมมือมาตบไหล่น้องชายเบาๆ อย่างให้กำลังใจแล้วผละไปรดน้ำต้นไม้ต่อ                                              

    ทำไมพี่ถึงมาบอกเรื่องนี้กับผมล่ะครับคำถามที่เบาเหมือนเสียงกระซิบดังขึ้น ศรายุทเงียบไปอึดใจก่อนจะหันมาส่งยิ้มใจดีให้กับน้องชายเหมือนเช่นที่ผ่านๆ มา

    เพราะพี่คงทนไม่ได้ถ้านายไม่สู้น่ะซิ แล้วอีกอย่างไอ้ภพเองก็คงต้องการสู้กับนายอย่างเท่าเทียมกันมากกว่าด้วย ตอบเพียงแค่นั้นเขาก็หันไปรดน้ำต้นไม้ต่อ ปล่อยให้ดรัณใช้ความคิดเงียบๆ

     

    แม้ว่าจะนอนดึกและเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาตลอดทั้งอาทิตย์จนไม่อยากลุกออกจากเตียงนอนหนานุ่มมากแค่ไหนก็ตามแต่เอาเข้าจริง สลิลนรีกลับลืมตาตื่นตั้งแต่แปดโมงเช้าแถมไม่ว่าจะพยายามหลับต่อยังไงก็ไม่เป็นผล ในที่สุดเธอจึงยอมแพ้ลุกขึ้นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินออกจากห้องมาพร้อมกับสีฝุ่น                      
                    “ตื่นแล้วเหรอธนากรทักขึ้น เมื่อเห็นหญิงสาวกำลังจะเดินผ่านลานกลางบ้านไปยังห้องครัวเพื่อทำอะไรทานเป็นอาหารเช้าตามเรื่อง                                                                                                                                       
                     เวลานี้บริเวณลานบ้านซึ่งเปิดโล่ง บนท้องฟ้าสีครามเหล่าก้อนเมฆสีขาวกำลังลอยละล่องตามกระแสลมที่พัดผ่านอย่างเอื่อยเชื่อย รอบๆ ลานบ้านมีกระถางต้นไม้ซึ่งลงทั้งไม้ดอกและไม้ประดับวางเรียงรายกันไปตามกำแพงเรือนให้ความรู้สึกสดชื่นและสบายตา
                     หน้าต่างทุกบานบนผนังถูกเปิดออกรับลมธรรมชาติ บริเวณลานด้านตรงข้ามกับประตูทางขึ้นเรือนเป็นยกพื้นเตี้ยๆ ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กนักซึ่งเป็นส่วนสำหรับนั่งเล่นในยามว่างหรือไว้รับแขกที่มาเยี่ยมเยือนซึ่งพื้นที่แห่งนี้ก็มีการมุงหลังคาและจัดการวางเครื่องเรือนเอาไว้ครบครัน                     

    คุณทิพย์ศิณีกำลังนั่งปักผ้าอยู่บนโซฟาหวายบุด้วยเบาะรองนั่งหนานุ่มแสนสบายข้างๆ คุณเกรียงไกรซึ่งกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ขณะที่ธนากรและนพิดานั้นกำลังนั่งคุยกันพร้อมกับนอนตากลมธรรมชาติกันอย่างสบายใจ    

    ก็ตื่นได้ซักพักแล้วล่ะค่ะพี่กร แล้วนี่ทานข้าวเช้ากันแล้วรึยังคะหญิงสาวถามเสียงใส เมื่อได้รับคำตอบเป็นการตอบปฏิเสธ เธอก็ทำท่าจะผละไปที่ครัว แต่ก็พบกับป้าอุ่นที่เดินสวนขึ้นเรือนมาพร้อมกับเด็กรับใช้อีกสองคนที่ถือถาดใส่โถข้าวต้มและกับข้าวอีกสามสี่อย่างหอมน่าทานมาพอดี คุณทิพย์ศิณีจึงเอ่ยปากชวนเธอให้ไปนั่งทานอาหารเช้าด้วยกันเสียเลย

     ยังไม่ทันที่ป้าอุ่นจะได้ตักข้าวต้มแจก พิภพ พิภัทธและวิภาวีก็เดินตามเข้ามาพอดี หลังจากกล่าวทักทายทุกคนแล้วทั้งสามก็เข้านั่งประจำที่ โดยพิภพนั้นเลือกเดินมาทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ สลิลนรีหน้าตาเฉย ในขณะที่หญิงสาวเองก็ไม่พูดขัดอะไร แต่แล้วเมื่อเริ่มทานอาหารกันไปได้ซักพัก เธอก็ชักอยากจะเปลี่ยนที่นั่งไม่ก็ส่งคนที่นั่งข้างๆ ไปนั่งให้ไกลๆ เธอเสีย                                                                                                           

    ด้วยเหตุว่าพิภพนั้นดูจะออกอาการเอาใจเธอผิดปกติ ตักนั่นตักนี่ให้เธออยู่ตลอด แค่นี้ก็ทำเอาเธอวางตัวไม่ถูกแล้ว ยิ่งเมื่อหันไปมองผู้ร่วมโต๊ะคนอื่นๆ ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะแต่ละคนกำลังมองเธอพร้อมกับส่งยิ้มแปลกๆ และแววตาล้อเลียนมาให้เธอเสียอีก สุดท้ายเธอจึงใช้วิธียกชามข้าวหนีมานั่งที่ที่ว่างข้างคุณทิพย์ศิณีเพื่อตัดปัญหาเสียเลย                                                                                                           

    ทันทีที่หาที่นั่งใหม่ได้ เธอก็หันไปส่งสายตาเขียวๆ ให้กับบุคคลช่างเอาใจผิดเวลาและสถานที่ให้เป็นของแถม แต่คนโดนมองจะรู้สึกกลัวซักนิดหรือก็ไม่ กลับส่งยิ้มที่ดูเหมือนจะกวนอารมณ์ที่สุดในความคิดของคนมองแถมยังหัวเราะเสียงต่ำๆ ในลำคออย่างอารมณ์ดีให้เธอหมั่นไส้อีกต่างหาก                

    หนูริน ปีใหม่นี้มีแผนจะไปที่ไหนรึเปล่าจ๊ะคุณทิพย์ศิณีถามขึ้น ส่งผลให้คนโดนถามหันมามองผู้อาวุโสในทันใด                                                                                                                  

    ก็ยังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ไหนจริงจังนักหรอกค่ะ หญิงสาวตอบอ้อมแอ้ม                                                        
                    “ไม่คิดจริงจังแสดงว่าต้องมีคิดบ้างแล้วล่ะซิใช่มั้ย นพิดาพูดขึ้น สลิลนรีพยักหน้ารับ

    ก็ว่าจะไปเชียงใหม่น่ะค่ะ อยากจะไปงานมหกรรมพืชสวนโลก ได้ยินพวกพี่หมอที่โรงพยาบาลเล่าให้ฟังว่าสวย รินเลยอยากไปดูบ้างน่ะค่ะ แต่ยังไงรินคงได้แต่ฝันล่ะค่ะเพราะป่านนี้ที่พักแถวไหนก็คงจะโดนจองไปหมดแล้ว ตั๋วเข้างานรินก็ไม่มี สุดท้ายเลยคิดว่าปีใหม่ปีนี้อยู่ทำงานแล้วก็เฝ้าบ้านดีกว่า”  

    หญิงสาวเล่าเรื่อยๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยไม่ได้แสดงออกซึ่งอารมณ์ใดๆ หากแต่ใจจริงนั้นใครจะรู้ล่ะว่าเธอฝันถึงงานมหกรรมพืชสวนโลกตั้งแต่ที่เริ่มมีข่าวออกมาแรกๆ แล้ว แถมยังมีสถานที่เที่ยวของเชียงใหม่ที่เธอเคยได้ยินแต่เสียงลือเสียงเล่าอ้างแต่ไม่เคยได้ไปเห็นด้วยตาตัวเองอีกหลายที่ แต่ก็นะ ท่าทางงานนี้เธอคงต้องกินแห้วไปตามระเบียบหรือถ้าเธอจะดึงดันไปให้ได้จริงๆ ก็คงต้องไปอาศัยวัดนอนเอาข้างหน้าแน่ๆ ล่ะ

    งั้นหนูรินจะรังเกียจมั้ยจ๊ะ ถ้าป้าจะขอชวนหนูไปเที่ยวเชียงใหม่ด้วยกันตอนปีใหม่นี้น่ะ เสียงของคุณทิพย์ศิณีเอ่ยเรียบๆ แต่ทำเอาคนที่กำลังนั่งเอน็จอนาถชะตากรรมของตัวเองอึ้งไปชั่วครู่

    รินเหรอคะ อย่าดีกว่าค่ะคุณป้า เที่ยวปีใหม่ทั้งทีมันก็น่าจะเป็นการเที่ยวภายในครอบครัวไม่ใช่เหรอคะ เอารินไปก็คงไม่เหมาะเท่าไหร่                                                                                                                                                 
                    “ไม่หม่งไม่เหมาะอะไรกันจ๊ะ อีกอย่างมาถึงขั้นนี้แล้วยังจะบอกว่าหนูไม่ใช่ส่วนหนึ่งของครอบครัวป้าอีกเหรอ ไม่รู้ล่ะ ยังไงป้าก็อยากให้หนูไปด้วย คุณทิพย์ศิณีพูดขึ้นเสียงเฉียบ ไม่ยอมง่ายๆ สลิลนรีจึงได้แต่เกาหัวแกรกๆ พยายามนึกหาข้ออ้างมาปฏิเสธ ก็เธอมาขออาศัยบ้านเขาอยู่แล้วยังจะมีหน้ามาให้เจ้าของบ้านพาเธอเที่ยวอีกเหรอ             

    ไปเถอะน่าริน อย่าคิดให้มากความนักเลย เดี๋ยวก็หัวล้านกันหมดพอดี พิภัทธเอ่ยติดตลก พยายามชักชวนสาวรุ่นน้องอย่างเต็มความสามารถ ไม่เต็มความสามารถได้ไงล่ะ รับสินน้ำใจจากพี่ภพมาแล้วนี่                  
                    “นั่นซิริน ไหนๆ ก็เป็นแบบนี้แล้วจะปฏิเสธไปทำไมล่ะ วิภาวีเสริม

    เอ้อ...
                    “ถ้าคุณกำลังคิดว่าตัวเองเป็นคนนอกล่ะก็ ผมว่าคุณเลิกคิดเสียเถอะ เพราะงานนี้มีบ้านไอ้ซัน ซึ่งคุณคงไม่เถียงหรอกนะว่าคุณเป็นลูกสาวคนโปรดของบ้านนั้นเขา แถมมีคุณดาวกับพี่สาวเขามาร่วมด้วย รู้แบบนี้คุณยังจะปล่อยให้พี่ชายที่รักของคุณไปเผชิญชะตากรรมข้างหน้าเอาเองรึยังไงกัน พิภพหว่านล้อมยาวหลายกิโล แล้วเพราะเหตุผลข้อสุดท้ายนี่แหละที่ทำให้สลิลนรีตัดสินใจได้ในที่สุด          

    ก็ได้ค่ะ แต่ค่าอาหารกับที่พักรินขอออกส่วนของรินเองนะคะฮึ้ย สุดท้ายก็ต้องตามไปเพราะพี่ซัน ให้ตายเถอะ ลงทุนทำให้ขนาดนี้ไม่จบล่ะก็คอยดู รินจะจบชีวิตพี่จริงๆ ด้วย แง่ง!!

    หลังจากนั้นเธอก็ถามนั่นถามนี่เกี่ยวกับเรื่องไปเที่ยวอีกนิดหน่อยก่อนจะขอตัวไปเดินเล่นที่สวน หากก่อนไปเธอก็กลับไปที่ห้องนอนของตัวเองเพื่อนำสมุดบันทึกติดมือออกมาด้วย

    วันอาทิตย์ทั้งที หวังว่าจะอ่านได้เยอะกว่าหนึ่งเรื่องนะ หญิงสาวหันไปคว้าหมอนอิงใบเล็กๆ ซึ่งวางอยู่บนเก้าอี้นวมสำหรับนั่งเล่นในห้องตรงมายังสวนกว้างร่มรื่นหน้าเรือนอย่างสบายอารมณ์ โดยมีสีฝุ่นเดินพันแข้งพันขาตามมาอีกตัว                                           

    สวนนี้เท่าที่เธอรู้ คุณทิพย์ศิณีเป็นคนนำทั้งไม้ดอกและไม้ประดับ รวมทั้งต้นไม้ใหญ่ที่ยืนแผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาแก่สวนนี้มาลงเองกับมือ แถมยังเป็นคนคอยดูแลรดน้ำเองด้วยในช่วงแรกๆ จนมันออกดอกออกใบกันสะพรั่ง จึงได้จ้างคนสวนไว้คอยดูแลพวกมันต่อ                                                                                              

    สลิลนรีซึ่งหมายตาจะเข้ามาสำรวจสวนนี้ให้ได้ตั้งแต่วันที่มาอยู่ที่บ้านหลังนี้ ใช้เวลาระหว่างที่เดินไปเรื่อยๆ ดูนั่นดูนี่ทั้งสองฟากฝั่งทางเดินกรวดที่ทอดผ่านเข้าไปในสวนอย่างสบายอารมณ์ พร้อมกับอดคิดไม่ได้ว่าคนสวนที่คุณทิพย์ศิณีจ้างมานั้นทำงานได้เกินคุ้มจริงๆ      

    พุ่มตะโกดัดทุกต้นที่ดัดไว้เป็นทรงกลมเรียงรายกันไปตามด้านข้างของทางเดินนั้น ไม่มีกิ่งหรือใบใดยื่นยาวออกมาให้เสียรูปทรงและรู้สึกเกะกะสายตาเลยซักนิด ไม้ดอกและไม้ประดับทุกต้นซึ่งปลูกประดับไว้ทั่วสวนก็ชูช่อออกดอกออกผลบานสะพรั่ง บ่งบอกถึงการได้รับการดูแลรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ยอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง

    หญ้าซึ่งเอามาลงคลุมหน้าดินไว้จนทั่วทั้งสวนก็ถูกตัดจนสั้นเกรียน ทำให้หมดความกังวลว่าจะมีสัตว์ไม่พึงประสงค์บางชนิดเล็ดลอดเข้ามาอยู่อาศัยได้ ต้นไม้สูงทุกต้นทั่วสวนก็แผ่กิ่งก้านใบให้ร่มเงาอย่างทั่วถึง ทำให้สวนแห่งนี้ร่มเย็นและร่มรื่นมากทีเดียว                                                                                                                                           
                    สวนนี้มีอาณาเขตตั้งแต่ประตูรั้วหน้าบ้านจนมาสิ้นสุดที่ลานหญ้ากว้างหน้าเรือนไทย โดยจะถูกทางเดินก้อนกรวดแบ่งออกเป็นสองส่วน ด้านหนึ่งจะเป็นสวนที่มีแต่เพียงต้นไม้และดอกไม้เพียงเท่านั้น ในขณะที่อีกด้านจะมีบ่อปลาขนาดใหญ่ซึ่งมีน้ำตกจำลองตั้งอยู่               

    หญิงสาวเดินทอดน่องอย่างไม่รีบร้อนอะไรเข้ามาในสวนส่วนแรก จนทางเดินก้อนกรวดพาเธอมาหยุดที่ลานโล่งแห่งหนึ่ง ซึ่งมีเพียงม้านั่งไม้สีขาวตัวยาววางอยู่ใต้ร่มเงาของต้นลีลาวดีต้นใหญ่ ซึ่งตอนนี้ทั่วทั้งต้นปรากฏใบยาวรีใหญ่สีเขียวเข้มและดอกสีขาวสะอาดตาบานสะพรั่งทั่วทั้งต้น                          

    เอาตรงนี้ก็แล้วกัน”                                                                                                                                              
                    เมื่อหาทำเลสำหรับพักผ่อนนอนอ่านหนังสือได้อย่างสบายใจโดยไม่มีใครมารบกวนแถมบรรยากาศดีสมใจแล้ว หญิงสาวก็วางหมอนอิงใบโตชิดกับที่วางแขนด้านหนึ่งของม้านั่งก่อนจะทรุดตัวลงพร้อมกับยืดขาเหยียดยาวไปบนม้านั่งนั้น เอนหลังพิงหมอนอย่างสบายอารมณ์โดยมีสีฝุ่นกระโดดตุ้บขึ้นมานอนหมอบบนตัวเธออย่างงัวเงีย                                                                                                                                                           

    หญิงสาวมองไปรอบๆ ลานโล่งแห่งนั้นอย่างพึงพอใจก่อนที่สายตาของเธอจะมาหยุดอยู่ที่ต้นลีลาวดีต้นใหญ่เหนือศีรษะของเธอ ริมฝีปากบางได้รูปแย้มยิ้มออกมา พร้อมกับห้วงความทรงจำในอดีตเมื่อประมาณสามสี่ปีก่อนสมัยที่เธอยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยย้อนกลับมาอีกครั้ง

    วันนั้นเป็นวันเกิดของวิภาวี ซึ่งทางบ้านของเจ้าของวันเกิดได้จัดงานเล็กๆ ให้โดยคนที่มาร่วมงานก็มีแค่คนในครอบครัวกับครอบครัวของศรายุทอีกสี่คนรวมตัวเธอด้วยอีกคนเพียงเท่านั้น ซึ่งสถานที่จัดงานในวันนั้น อยู่ที่บริเวณลานหญ้าหน้าเรือนนั่นแหละ                                                                                                            

    เฮ้ย!! คิดยังไงถึงเอาต้นลั่นทมมาให้ยัยวีเนี่ย  

    นั่นเป็นประโยคที่อดีตคู่กัดของเธอเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นว่าของขวัญวันเกิดของวิภาวีซึ่งศรายุทเป็นคนหามาให้นั้นคืออะไร อันที่จริงคนที่เป็นคนช่วยศรายุทเลือกของขวัญชิ้นนี้มาก็ไม่ใช่ใครอื่นหรอกนอกจากเธอเองนี่แหละ ด้วยเพราะตอนนั้นเธอเคยได้ยินวิภาวีบ่นว่าอยากได้ต้นลีลาวดีสวยๆ ซักต้นมาปลูกไว้ในสวนหน้าบ้าน เธอกับรุ่นพี่หนุ่มจึงพากันไปเดินหาในตลาดจัตุจักรจนตับแทบจะแลบออกมาให้รู้แล้วรู้รอดนั่นแหละ

    ก็ไม่คิดยังไง ทั้งนั้นเห็นรินบอกว่ายัยวีกำลังอยากได้เลยไปช่วยกันเลือกมานี่ล่ะ       

    แล้วทันทีที่คนถามได้รับคำตอบ เขาก็หันขวับมามองเธอที่กำลังยืนอยู่ใกล้ๆ กับเจ้าลีลาวดีต้นสูงประมาณคอที่กำลังออกดอกสีขาวเล็กๆ ตูมๆ กับใบสีเขียวๆ เต็มต้นในทันที

    พิภพกระตุกมุมปากเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ซึ่งนั่นคือสัญญาณเปิดศึกระหว่างเธอกับเขานั่นเอง ตอนนั้นเธอได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายที่จะต้องมาปะทะคารมกับคนเจ้าปัญหาคนเดิมในเรื่องไร้สาระซ้ำแล้วซ้ำอีก

    คุณรู้มั้ยว่าต้นลั่นทมเนี่ย โบราณเขาห้ามปลูกเอาไว้ในบ้าน เพราะถือว่าเป็นต้นไม้อัปมงคล ปลูกไว้บ้านไหนจะทำให้บ้านนั้นเจอแต่เรื่องระทมทุกข์...’                                                                                                           
                    แล้วเขาก็อบรมเธออีกยาวเหยียดซึ่งตอนนั้นเธอล่ะอยากจะบอกเขานักว่าให้เงียบไปเสียเพราะยังไงก็เปลืองน้ำลายเปล่า อีกอย่างเธออยากจะรู้นักว่าถ้าผู้หญิงคนอื่นมาเจอคำพูดแบบนี้ของเขาในสถานการณ์แบบเดียวกับเธอ เจ้าหล่อนพวกนั้นคงทำยังไงกัน

    ขอโทษนะคะคุณภพ คุณรู้รึเปล่าว่าสมัยนี้น่ะ เจ้าต้นไม้อัปมงคลที่คุณเรียกว่าลั่นทมเนี่ย เขาเปลี่ยนชื่อเป็นลีลาวดีไปเรียบร้อยแล้ว แล้วเผื่อคุณจะสังเกตซักนิดนะ สถานที่ประกอบกิจการหลายแห่งเขาก็ปลูกกันแทบทั้งนั้น แล้วฉันก็ไม่เห็นว่ากิจการเขาจะซบเซาหรือเจ้าของกิจการเจะเป็นทุกข์อะไรกันเลยซักคน

    ส่วนเรื่องที่ว่ามันอัปมงคลหรือไม่นั่นน่ะ ฉันว่ามันอยู่ที่ตัวคนมากกว่าว่าทำตัวเป็นมงคลแค่ไหน ยิ่งคุณน่ะนะ ฉันว่าต่อให้ปลูกต้นไม้มงคลเป็นไร่ๆ มันก็คงจะไม่ช่วยให้คุณมีมงคลซักเท่าไหร่หรอก’                                 
                   คำตอบโต้ของเธอทำเอาชายหนุ่มจุกจนพูดไม่ออกไปเลย หลังจากนั้นเธอ ศรายุท และวิภาวีก็ช่วยกันย้ายลีลาวดีต้นนั้นจากกระถางมาลงดินซึ่งคนสวนมาขุดหลุมเตรียมไว้ให้                                

    เชื่อซิว่าต้นไม้ของคุณน่ะ ไม่มีวันโตไปมากกว่านี้หรอก                                                                                  
                    นั่นเป็นประโยคส่งท้ายของคนที่ตามจิกเธอไม่ปล่อย แล้วหลังจากนั้นคนพูดก็ต้องร้องโอยเมื่อเจอฝ่ามืออรหันต์ของคุณทิพย์ศิณี วิภาวีและธนากรเต็มรัก ส่วนตัวเธอเองก็ยอมง่ายๆ ซะที่ไหน เปิดปากเถียงปาวๆ ทั้งที่กำลังโดนศรายุทกับดรัณทุ่มแรงทั้งหมดฉุดกระชากลากถูเธอไปขึ้นรถกลับนั่นแหละ

    พนันเอาบริษัทกันเลยมั้ยคะ ว่ามันต้องโตแน่!!’                                                                                                                แล้วหลายเดือนต่อมาสิ่งที่เธอพูดก็เป็นจริง ต้นลีลาวดีต้นนั้นสูงขึ้นๆ ทุกวันแถมยังออกดอกออกใบสวยงามบานสะพรั่งเสียเต็มต้น นำมาซึ่งความร่มรื่นและความสดใสมาให้กับสวนส่วนนี้เป็นอย่างมาก จนคุณทิพย์ศิณีถึงขั้นขอให้คุณพ่อของศรายุทช่วยเป็นธุระในการจัดแต่งสวนบริเวณใกล้ๆ ต้นลีลาวดีต้นนี้โดยนำเอาไม้พุ่มเล็กๆ อีกหลายชนิดมาลงเพิ่ม แถมยังจัดการวางม้านั่งไว้ใต้ต้นลีลาวดีนั้นเสียเสร็จสรรพ                       
                     หลังจากนั้นไม่นานเธอก็มารู้ในภายหลังว่า แม้ช่วงแรกๆ วิภาวีจะเป็นคนลงทุนดูแลต้นลีลาวดีต้นนี้เองกับมือ หากพอเปิดเทอมเธอก็ไม่มีเวลาที่จะทำอย่างนั้นได้อีก เพราะตอนนั้นวิภาวีกำลังจะเรียนจบ จึงต้องรีบเร่งส่งงานทั้งหมดแล้วยังต้องไปฝึกงานอีก ดังนั้นจึงต้องหาคนมาดูแลเจ้าต้นลีลาวดีต้นนั้นแทน และคนที่ทำหน้าที่นั้นต่อก็คือ คนปากร้ายคนนั้นนั่นแหละ
    !!          

    ตอนที่ฟังจากปากศรายุทเธอยังไม่อยากจะเชื่อเลยด้วยซ้ำว่านายพิภพคนนั้นจะทำจริงๆ จนศรายุทเอาภาพที่แอบถ่ายเก็บเอาไว้ในมือถือมาให้เธอดู ภาพที่เห็นทั้งหมดนั้นมีทั้งภาพด้านหลัง ด้านข้างและด้านหน้าของชายหนุ่มคู่กัดของเธอกำลังยืนรดน้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดินให้กับต้นลีลาวดีต้นนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ และนั่นก็ทำให้เธอได้เห็นความอ่อนโยนและความน่ารักอีกมุมหนึ่งในตัวของผู้ชายคนนี้ซึ่งแอบซ่อนเอาไว้จากสายตาของเธอ          แต่เธอก็คงได้แค่รับรู้ไว้เพียงเท่านั้น

    ฉันอุตส่าห์เห็นมุมดีๆ ในตัวคุณขึ้นมาบ้างแล้วเชียวนะ เฮ้อ... หญิงสาวถอนหายใจออกมาหนักๆ ก่อนจะกลับออกมาสู่โลกปัจจุบันแล้วหันไปให้ความสนใจไดอารี่ซึ่งเปิดค้างไว้บนตักต่อไป                                       


              ‘มีคนเคยบอกผมว่า เวลาและวารีไม่เคยรอใคร แต่คุณรู้อะไรมั้ยสำหรับผมแล้ว แม้ว่าทั้งสองสิ่งนี้จะผ่านมาแล้วผ่านไปอย่างรวดเร็วแบบไม่มีวันหวนกลับก็ตาม แต่ส่วนลึกในใจของผมก็อดที่จะหวังลึกๆ ไม่ได้ว่าซักวันห้วงเวลาเดิมและสายน้ำสายเดิมนี้จะไหลย้อนกลับมาหาผมอีกครั้ง                  
              วันแรกที่ผมได้พบกับเธอ เป็นวันที่ผมกำลังเศร้าถึงขีดสุดเพราะผมเพิ่งจะโดนคนรักบอกเลิก ตอนนั้นผมกำลังพยายามลบภาพอดีตอยู่เพียงลำพังบนระเบียงทางเชื่อมตึกของคณะ มันเงียบมาก อาจเป็นเพราะว่าคนอื่นๆ คงจะพากันกลับบ้านไปหมดแล้ว เหลือแต่ผมเท่านั้นที่ยังไม่รู้สึกอยากจะขยับเขยื้อนไปไหนเอาเสียเลย                                                  

    มาทำอะไรตรงนี้น่ะ ไม่กลับบ้านเหรอ’                                                                                                         
              เสียงของใครคนหนึ่งทักมาจากด้านหลังของผม เมื่อผมหันไปมอง ผมก็พบกับเธอ ผู้หญิงตัวเล็กๆ บางๆ ผิวขาว เครื่องหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นลูกครึ่งไทยจีน ผมยาวสีดำถูกมัดรวบเป็นหางม้าสูงกำลังยืนก้มลงมองผมอยู่                                                                                                                                                                                                                                                                                                                  
              ผมไม่ตอบคำถามของเธอ แล้วเบือนหน้าไปมองทางทิศเดิมที่ผมมองก่อนหน้าที่เธอจะทัก ไม่สนใจที่จะถามชื่อหรือแม้แต่จะให้ความสนใจเธออีก ผมรู้ว่านั่นเป็นการเสียมารยาทมากแต่ถ้าคุณเคยอยู่ในอารมณ์เดียวกับผมมาก่อน คุณจะเข้าใจว่าเหตุใดผมถึงทำเช่นนั้น

    ผมคิดว่าเดี๋ยวเธอคงจะเลิกสนใจผมแล้วก็เดินจากไปอีก แต่ที่ไหนได้เธอคนนั้นกลับทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ผมหน้าตาเฉย จนผมต้องหันมามองเธอด้วยความสนใจและแปลกใจ เธอยิ้มให้ผมน้อยๆ ก่อนจะหันไปมองทางทิศที่ผมเคยมองอยู่ก่อนหน้า                                                                      

    เราชื่ออินนะ เผื่อนายจะไม่ได้สังเกต เราเป็นเพื่อนร่วมชั้นปีเดียวกับนาย ว่าแต่เราเห็นนายนั่งอยู่ที่นี่นานแล้ว ท่าทางไม่ค่อยดีเลย มีอะไรไม่สบายใจก็เล่าให้เราฟังได้นะ เรื่องบางเรื่องน่ะเก็บไว้คนเดียวมีแต่จะทำให้อึดอัดหนักขึ้นนะ             

    อันที่จริงผมก็ไม่ได้ต้องการจะเล่าให้ใครฟังหรอกนะ แต่คงเพราะในเวลานั้นลึกๆ ผมอาจกำลังต้องการใครซักคนที่จะยอมรับฟังเพื่อช่วยลดน้ำหนักของอะไรบางอย่างที่กำลังกดทับลงมาในหัวใจของผมอยู่เหมือนที่เธอว่าก็เป็นได้ ผมเลยเล่าให้เธอฟัง แต่เชื่อมั้ยครับ เธอกลับหัวเราะซะจนท้องแข็ง ทำเอาผมแทบจะลุกหนีไปจากตรงนั้นเลย                                                                          

    โธ่เอ๊ย... ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง มิน่าล่ะถึงได้มานั่งทำหน้าซึมอย่างกับพระเอกมิวสิควีดีโอแบบนี้        
              พูดจบเธอก็ยังหัวเราะต่ออีกครับ  นี่ผมชักจะฉุนแล้วนะ ผู้หญิงอะไรทำไมคำพูดคำจาช่างทิ่มแทงทำร้ายจิตใจคนได้ดีพิลึก คนอกหักเนี่ยมันน่าขำนักรึไง                

    ผมทำท่าจะเดินหนีและกำลังด่าตัวเองในใจอยู่เชียวว่าไม่น่าเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังเลยจริงๆ หากสุดท้ายก่อนที่ผมจะทันได้ลุกขึ้น อินก็เอื้อมมือมากดบ่าผมให้นั่งอยู่กับที่ เห็นตัวเล็กๆ แค่นี้ ไม่รู้ว่าเธอไปเอาแรงมาจากไหน                                                                                                                                         

    ฟังเรานะ เราอาจจะไม่เข้าใจความรู้สึกของนายทั้งหมด แต่เราก็พอจะเข้าใจนะ ว่าเวลาคนที่รักที่สุดมาบอกลา มันเจ็บปวดแค่ไหน แต่ว่านะ.... ในเมื่อเขาไม่เห็นความสำคัญของนายแล้ว นายเองก็ควรจะลืมเขาซะ อย่าเก็บเอาเรื่องของเขามาทำให้หนักหัวใจอย่างที่นายเป็นอยู่ตอนนี้

    แล้วถ้ามันลืมไม่ได้ล่ะ ผมถามเธอ

    ลองทำแล้วเหรอ เรารู้ว่ามันยากแต่ตราบใดที่นายไม่ลองพยายามจะลืม มันก็จะไม่มีวันสำเร็จ แต่ว่า ถ้านายได้พยายามแล้วแต่ไม่สำเร็จ ก็แค่เก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ ในหัวใจของนายแค่นั้นก็ได้ อีกอย่างผู้หญิงน่ะไม่ได้มีแค่คนเดียวในโลก ซักวันนายต้องเจอคนที่ดีกว่านี้แน่นอน เชื่อเราซิ                              
               เธอส่งยิ้มปลอบใจให้ผมก่อนจะเดินจากไป ปล่อยให้ผมนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว ผมนั่งคิดทบทวนคำพูดของอินแล้วสุดท้ายก็ได้คำตอบ จริงของเธอ ต่อให้ผมนั่งอยู่ตรงนี้ต่อไป มันก็ไม่ได้ทำให้เธอคนนั้นกลับมาหาผมอีก นอกจากจะเป็นการตอกย้ำว่า เธอคนนั้นมีอิทธิพลเหนือใจของผม พอคิดได้เท่านั้นผมก็พอจะยิ้มออก                                                                                                                                     
                อันที่จริง ถ้าหากให้เวลาผมซักหน่อย ผมก็เชื่อว่าคงจะสามารถลืมเธอคนนั้นได้เอง แต่ก็คงไม่ใช่ภายในปีเดียวแน่ๆ ต้องขอบคุณอินที่เข้ามาช่วยผมไว้และทำให้ผมลืมเธอคนนั้นได้เร็วขึ้น                   
                หลังจากวันนั้นผมกับอินก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปเลย อินมีเพื่อนผู้ชายเยอะแยะรวมทั้งเพื่อนผู้หญิงด้วย แต่ผมกลับไม่ค่อยมีเพื่อนเลยซักคน คงเพราะความเงียบและท่าทางขรึมซึ่งผิดกับชื่อของผมโดยสิ้นเชิงนั่นเองที่ทำให้ใครต่อใครไม่อยากเข้ามายุ่งด้วย                                                                             
                ผมไปไหนมาไหนกับอินบ่อยมาก อินทำให้ผมกล้าที่จะเป็นฝ่ายเดินเข้าหาและเริ่มสนทนากับคนอื่นก่อน ทำให้ผมมีเพื่อนมากขึ้น อินเป็นคนเปลี่ยนแปลงผมให้ดีขึ้น และเริ่มเข้ามามีอิทธิพลกับผมมากขึ้นทุกทีอย่างที่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำได้                           

    มาถึงตอนนี้ผมก็ขอยอมรับแล้วล่ะครับว่าผมชอบอินเข้าให้แล้ว แต่การที่จะถ่ายทอดความรู้สึกนี้ให้เธอได้รับรู้ มันทำกันง่ายๆ ซะทีไหนล่ะครับ                                                                                   ผมคอยเฝ้าดูท่าทีของอิน คิดว่าเมื่อผมมั่นใจว่าเธอคิดแบบเดียวกับผมเมื่อไหร่ ผมก็จะบอกเธอทันที แต่แล้วเชื่อมั้ยล่ะครับ ทุกครั้งที่ผมคิดว่าอินมีใจ เธอจะต้องตีตัวออกห่างผม เหมือนกับว่าพยายามขีดเส้นกั้นความสัมพันธ์ระหว่างเรายังไงยังงั้น แล้วพอผมถอยเธอก็จะแว็บมาใกล้ๆ อีก จนผมชักจะลังเลและสุดท้ายผมจึงสรุปกับตัวเองเสียว่าผมคงคิดไปเองฝ่ายเดียว                 

    ดังนั้นผมจึงเก็บความรู้สึกของผมเอาไว้ในใจโดยตลอด จนกระทั่งถึงวันที่เธอกับผมต้องแยกย้ายกันไปเรียนตามภาควิชาที่ได้เลือกเอาไว้ แล้วนั่นก็ทำให้ผมไม่ค่อยได้พบเธอมากนัก                          

    พอห่างจากอินไปพักใหญ่ ผมก็มีแฟนในที่สุด ผมได้มีโอกาสเจอกับอินบ้างในบางเวลาที่ต้องเปลี่ยนห้องเรียนกัน ผมได้คุยกับเธอน้อยมาก แถมดูท่าทางเธอก็คงจะรู้แล้วว่าผมมีแฟน เธอจึงยิ่งทำตัวห่างผมมากขึ้น แต่กลับไปคุยกับแฟนผมสนุกสนานแทนเสียนี่                                                                                 
               ผมเชื่อว่าผมเป็นคนที่ค่อนข้างอ่านความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นๆ รอบตัวได้ค่อนข้างแม่นยำ แต่กับอินแล้ว เชื่อมั้ยครับ ผมไม่เคยอ่านเธอออกเลย ตั้งแต่วันที่ผมเริ่มรู้ตัวว่าผมชอบเธอ มาจนผมมีแฟน ซึ่งกินเวลาที่ผมรู้จักอินมาเกือบสองปีเข้าไปแล้ว ผมก็ยังคงไม่รู้ถึงความรู้สึกที่เธอมีต่อผมอยู่ดี แต่แล้วพระเจ้าก็ไม่ทรงใจร้ายกับผมมากนัก เมื่อทางคณะประกาศจะพานิสิตในคณะไปออกค่ายกัน แล้วก็บังเอิญที่ภาควิชาของผมกับของอินต้องไปด้วยกัน                                                                                            
                ไม่รู้จะเรียกว่าโชคร้ายหรือโชคดีของผม ทันทีที่รถไปถึงสถานที่ตั้งค่าย แฟนผมก็หายไปกับกลุ่มเพื่อนเธอ ทิ้งให้ผมยืนคว้างอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว แล้วจังหวะนั้นเองอินก็เดินเข้ามาพร้อมกับกลุ่มเพื่อนของเธอ แล้วก็เป็นเธออีกนั่นแหละที่รับผมเข้ากลุ่ม

    ในที่สุดมันก็ทำให้ผมได้รู้ถึงความรู้สึกที่อินมีให้กับผม อินคิดแบบเดียวกันกับผม!! ทั้งก่อนหน้าที่เราจะแยกกันจนถึงตอนนั้น เธอก็ยังคิดกับผมเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน!! 
              ตลอดเวลาที่อยู่ค่าย ผมภาวนาให้อินมาบอกความรู้สึกในใจของเธอกับผม แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนวันนี้ ที่ผมกับเธอต่างแยกย้ายกันไปทำงาน ผมกับเธอก็ไม่ได้คุย ไม่ได้เจอกันยิ่งกว่าเดิมเสียอีก จนผมทนไม่ได้ ต้องไปตามขอเมล์แอ็ดเดรสของอินมาจากแฟนผม                                                                  
               ผมเฝ้ารอเธอทุกวันทุกคืน จนผมชักจะท้อ แต่แล้วคืนหนึ่งเธอก็ยอมแอดผมจนได้ เริ่มแรกเราคุยแลกเปลี่ยนสารทุกข์สุกดิบซึ่งกันและกันอยู่นานพอสมควร แล้วสุดท้ายก็เป็นผมเองนั่นแหละที่เลือกจะเงียบไปตามแผน ไม่เสียแรงที่ผมเคยเป็นเพื่อนสนิทกับอินมา อินเป็นคนใจร้อนและไม่ชอบให้อะไรค้างคาอยู่ในใจ ดังนั้นทันทีที่ผมเงียบเปิดโอกาสให้เธอ อินจึงไม่รอช้าที่จะฉวยมันไว้ทันที          

    อินบอกผมทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับความ รู้สึกของเธอที่มีให้ผม แต่ว่ายังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรเธอกลับ เน็ตผมก็ดันหลุดเสียก่อน ผมกลัวเธอจะเข้าใจผิดว่าผมโกรธเธอ จึงพยายามติดต่อกลับแต่เมื่อผมกลับมาออนไลน์ได้อีกครั้ง เธอก็ไม่อยู่เสียแล้ว                                       

    ถ้าถามว่าตอนนี้ผมคิดกับอินยังไง ผมคงต้องตอบว่า ผมยังคงชอบเธออยู่ แต่คำว่าชอบของผมในวันนี้มันคงไม่เหมือนกับเมื่อตอนนั้นแล้ว เพราะในเวลานี้สำหรับผม อินคือผู้หญิงคนแรกที่ผมให้นิยามว่าเพื่อนสนิทอย่างสนิทใจ เป็นคนที่ผมสามารถหัวเราะและร้องไห้ รวมทั้งเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้เธอฟังได้                                                                                                                                                             แม้ผมจะคิดอย่างนั้น แต่สุดท้ายก็อดที่จะเจ็บใจตัวเองไม่ได้อยู่ดี เมื่อคิดย้อนไปว่า ถ้าหากในวันนั้น วันที่ผมกับเธอยังอยู่ใกล้ๆ กัน เพียงแค่ผมกล้าที่จะพูดคำสามคำในหัวใจออกไปให้เธอได้รับรู้ และกล้าที่จะเป็นฝ่ายบอกเธอก่อนเพียงเท่านั้น ปัจจุบันของผมคงจะเปลี่ยนไปใช่มั้ย

              ไฟ

                    คุณริน!! คุณอยู่แถวนี้รึเปล่าครับ” 
                    เสียงทุ้มๆ ของใครคนหนึ่งลอยแว่วมากระทบโสต ส่งผลให้สลิลนรีรีบผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรงอย่างรวดเร็วก่อนจะคั่นหน้ากระดาษเอาไว้แล้วลุกขึ้นเดินไปหาคนที่กำลังร้องเรียกเธออยู่ หญิงสาวเดินอุ้มสมุดบันทึกและหมอนอิงใบโตไป โดยมีสีฝุ่นเดินตามมาติดๆ                                                                                              

    ฉันอยู่นี่ค่ะคุณภพ มีเรื่องอะไรเหรอคะเธอตอบกลับ ส่งผลให้คนที่กำลังชะเง้อชะแง้มองหาเธออยู่หันขวับมาตามเสียงในทันที                                                                                                        

    นายรันมาหาคุณน่ะ บอกว่าจะพาไปข้างนอก ผมเลยออกมาตามชายหนุ่มตอบ ก่อนจะเดินตรงมายังลานต้นลีลาวดีที่หญิงสาวใช้เป็นสถานที่นอนอ่านหนังสือเมื่อครู่                                                                           
                   “แล้วนั่นคุณจะไปไหนน่ะหญิงสาวถามเสียงใสพร้อมกับที่ขาออกเดินเร็วๆ ตามหลังเขา แล้วมือบางก็คว้าหมับเข้าที่ชายเสื้อของเขา ชายหนุ่มหยุดแล้วหันกลับมามองเธอตาพราว ส่งยิ้มให้น้อยๆ                                               
                   “กะว่าจะไปพรวนดินให้เจ้าต้นไม้ลูกรักของยัยวีแล้วก็จะนอนเล่นแถวนี้ต่อซักหน่อยน่ะครับคำตอบของชายหนุ่มเรียกรอยยิ้มจากหญิงสาว                                                                                                                         
                   “เอ... ถ้าฉันจำไม่ผิด คนที่บอกว่าจะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าลีลาวดีต้นนี้โตในสวนที่นี่คือคุณเองนี่คะ แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้กลับคำมาเป็นคนสวนจำเป็นเสียเองล่ะ                                                                                         

    คงเพราะผมมันพวกปากกับใจไม่ตรงกันล่ะมั้งครับ แบบปากว่าไม่แต่ใจน่ะมันบอกว่าใช่ ทำนองนั้น ชายหนุ่มตอบ ดวงตาพราวระยับอย่างมีความหมาย หากสลิลนรีกลับไม่เห็นเพราะกำลังก้มหน้ากลั้นหัวเราะอยู่เสียนี่                                                                                                                

    คงจะจริงอย่างที่คุณว่า ว้าย!!” หญิงสาวร้องอุทานขึ้นมาเบาๆ เมื่อลมเย็นที่ตอนแรกพัดโชยเอื่อยๆ เกิดพัดแรงขึ้นจนผมสีดำยาวของเธอซึ่งปล่อยให้มันสยายเต็มแผ่นหลังปลิวกระจายจนพันกันยุ่งไปหมดแถมลมยังพัดเอาใบไม้ดอกไม้ที่กำลังจะร่วงโรยลงจากต้นไม้มาติดตามผมของเธอให้ยุ่งหนักเข้าไปอีก                        

    พิภพยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้สลิลนรีที่กำลังพยายามปัดเศษใบไม้และกลีบดอกไม้ที่ติดอยู่บนผมยาวๆ ของตัวเองออกด้วยท่าทีลำบากพิกล เนื่องจากมือหนึ่งของเธอกำลังกอดหมอนและสมุดบันทึกเอาไว้

    ชายหนุ่มยืนมองเธอด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายถูก ก่อนที่เขาจะขออนุญาตเบาๆ แล้วเอื้อมมือมาวางบนศีรษะของเธอแล้วช่วยปัดเศษดอกใบเหล่านั้นออกให้อย่างเบามือ

    ความรู้สึกอุ่นๆ ถาโถมเข้ามาภายในร่างกายจนหัวใจเกิดอาการเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ จนหญิงสาวก้มหน้าหลบดวงตาสีน้ำตาลเข้มของคนที่ยืนใกล้กันเสียจนศีรษะของเธอแทบจะแนบกับอกเขาอยู่แล้วในทันที ด้วยกลัวว่าเขาจะอ่านสีหน้าของเธอแล้วรู้ว่าตอนนี้หัวใจเธอมันกำลังจะหลุดออกมานอกอยู่แล้ว ขณะเดียวกันก็ก่นด่าหัวใจตัวเองที่เต้นทั้งดังและแรงชนิดไม่เกรงใจเจ้าของ                                               

    หลังจากที่ปัดเศษใบไม้ออกจากกลุ่มผมนุ่มจนหมดแล้ว ชายหนุ่มก็ถือโอกาสไล้นิ้วไปตามผิวแก้มเนียนใสที่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่ออย่างอ้อยอิ่ง ส่วนสลิลนรีนั้นก็แต่ยืนแข็งทื่อเป็นหลักศิลาไปเสียแล้ว มือหนาค่อยๆ เกลี่ยเส้นผมสีดำยาวที่ตกลงมาปรกหน้าเนียนใสนั้นไปทัดหูของเธออย่างเบามือ ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาเป่ารดอยู่ที่ขมับของเธอ แม้ว่ามันจะไม่ได้ใกล้มากนัก หากในความรู้สึกของสลิลนรีนั้นมันกลับใกล้เสียยิ่งกว่าใกล้ ที่สำคัญลมหายใจนั้นดูจะร้อนระอุราวกับไฟยังไงยังงั้น

    พิภพยื่นหน้าเข้าไปใกล้เธอช้าๆ ก่อนจะส่งยิ้มเจ้าเล่ห์กับดวงตาวิบวับมีความหมายมาให้                          
                    “แล้วอยากรู้มั้ยล่ะครับ ว่านอกจากเรื่องต้นลีลาวดีแล้ว ผมยังปากกับใจไม่ตรงกันเรื่องอะไรอีก           
                    เท่านั้นแหละ หญิงสาวก็ไม่สามารถที่จะยืนประจันหน้ากับเขาอยู่ตรงนั้นได้อีกต่อไป สลิลนรีถอยกรูดออกห่างจากเขาพรวดเดียวห้าก้าว ทำให้พิภพซึ่งกำลังมองดูท่าทีของแกะน้อยหนีหมาป่าของสลิลนรีแล้วอดที่จะรู้สึกเอ็นดูและอยากแกล้งเธอขึ้นมาตะหงิดๆ    

    ฉันจะอยากรู้ไปทำไมกันล่ะ!!” สลิลนรีแหวกลับแบบไม่ค่อยจะเต็มเสียงนักก่อนจะวิ่งรี่กลับไปที่เรือนใหญ่อย่างรวดเร็ว... 
                     แม้หญิงสาวจะลับสายตาไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอีกครู่หนึ่งก่อนจะออกเดินมายังม้านั่งยาวใต้ต้นลีลาวดี เขาทิ้งตัวลงนั่งเอนหลังแหงนหน้ามองดอกใบของต้นลีลาวดีที่ผลิบานเต็มต้นด้วยแววตาอ่อนโยนแล้วก็อดคิดไปถึงคนที่เพิ่งจะกลายร่างเป็นลูกแกะวิ่งหนีเขาไปเมื่อครู่ไม่ได้.... ตอนนี้หนีได้ก็หนีไป แต่เมื่อถึงเวลาผมเอาจริงเมื่อไหร่ ต่อให้คุณพยายามยังไงก็ไม่มีทางพ้นมือผมแน่ ฮึๆ                                        
                       “ไปก่อนนะครับพี่ภพ แล้วผมจะพารินกลับมาส่งตอนเย็นๆ นะครับ”                                                                                 
                       เสียงทุ้มกังวานของดรัณเอ่ยขึ้นเมื่อเขาเดินผ่านมาทางนี้ โดยมีหญิงสาวอีกคนซึ่งดูเหมือนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วเดินตามมาต้อยๆ ก่อนที่คนทั้งคู่จะเดินห่างออกไปทิ้งให้เขาอยู่ตรงนั้นแต่เพียงผู้เดียว

    สำหรับเขาแล้ว ดรัณ น้องชายของศรายุทนั้นก็เป็นเหมือนน้องชายแท้ๆ คนหนึ่งของเขา หากแต่ในเวลานี้เด็กน้อยคนนั้นที่มักจะวิ่งตามเขาและศรายุทต้อยๆ ตั้งแต่พวกเขายังใช้คำนำหน้าชื่อว่าเด็กชายได้กลับกลายมาเป็นศัตรูหัวใจที่อันตรายที่สุดของเขาเลยก็ว่าได้          

    ถ้าจะให้พูดถึงความได้เปรียบเสียเปรียบกันแล้วล่ะก็ แทบจะบอกได้เลยว่าตอนนี้ดรัณยังคงได้เปรียบเขาอยู่หลายประตู ด้วยเพราะนอกจากดรัณจะมีรูปร่างหน้าตาตรงกับสเป็กของสลิลนรีค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับเขาที่ดันผิวขาวหน้าใสซึ่งสลิลนรีเคยบอกว่าไม่ชอบแล้ว ในเรื่องของความสนิทชิดเชื้อและความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กัน ดรัณก็มีมากกว่าเขาอยู่หลายชั้นนัก เพราะก่อนหน้านั้นเขาคอยกวนประสาทแถมยังหาเรื่องให้เธอปวดหัวได้ไม่เว้นแต่ละวัน ต่างจากดรัณซึ่งเป็นเพื่อนสนิทเพื่อนรักเพื่อนเลิฟแถมยังคอยเอาใจสารพัดอีก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอจะมีความรู้สึกดีๆ ให้ใครมากกว่าระหว่างดรัณกับเขา                    
                     คิดมาถึงตรงนี้เขาเองก็ได้แต่ถอนหายใจ แล้วยิ้มอย่างปลงๆ กับตัวเอง อดที่จะรู้สึกขำไม่ได้เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าในที่สุด เขาต้องมาจีบสาวแข่งกับน้องที่อายุน้อยกว่าห้าปีเต็มแถมผู้หญิงคนนั้นยังเคยได้ขื่อว่าเป็นคู่กัดคนสำคัญที่เมื่อก่อนแค่ได้ยินชื่อก็เหมือนกับโดนของแสลงเสียนี่

    แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อคนมันชอบมันรักไปแล้วแถมการตัดใจก็ดูเหมือนจะสายเกินไปสำหรับเขาเสียอีก ดังนั้นเขาคงจะทำได้แค่เดินหน้าต่อไปจนกว่าจะจบเท่านั้น

    คงจะต้องสู้กันเสียเองแล้วล่ะนะไอ้รันน้องรักชายหนุ่มรำพึงกับสายลมแสงแดดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มน้อยๆ อย่างมีความหมายก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปจัดการพรวนดินต้นลีลาวดีตามที่ว่าไว้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×