ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My dear diary...บันทึกรักสุดหัวใจ

    ลำดับตอนที่ #1 : บ้านแห่งใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 19 ธ.ค. 52


                    "ของมีแค่นี้ใช่มั้ยริน

    ร่างสูงเพรียวของหญิงสาวผิวสีน้ำผึ้ง ดวงหน้าคมในกรอบผมยาวสีดำที่ถูกรวบไว้เป็นอย่างดีชะโงกหน้าออกมาจากระเบียงปูนสีขาวของหอพักแห่งหนึ่งในตัวเมืองจังหวัดราชบุรี หน้าตาและเนื้อตัวหญิงสาวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อที่พุดพราย เสียงเรียกแจ้วๆ นั้นส่งผลให้หญิงสาวอีกคนซึ่งกำลังเดินสำรวจความเรียบร้อยรอบรถฮอนด้าแจ๊สแหงนหน้าขึ้นมอง

                    "หมดแล้วจ้า ฟ้าเข้าไปนั่งรอในห้องก่อนนะเดี๋ยวเราขึ้นไป" ฝากระโปรงรถถูกกระแทกปิดลงมาก่อนหญิงสาวจะจัดการล็อครถแล้ววิ่งขึ้นบันไดมาอย่างรวดเร็ว

    "นี่ดีนะว่ามีลิฟท์ ไม่งั้นฉันตายแน่เลยกว่าจะช่วยเธอแบกของขึ้นมาถึงที่นี่หมดเนี่ย" 

    ฟ้าหรือภัทรา หญิงสาวผิวสีน้ำผึ้ง เจ้าของความสูงร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรบ่นกระปอดกระแปด ขณะที่รินหรือสลิลนรีนั้นเอาแต่ยืนปิดปากหัวเราะน้อยๆ อย่างขบขันกับมาด หมดสภาพของเพื่อนรัก

                    เอาน่าฟ้านานๆ จะได้ออกกำลังกายซักที อย่าบ่นซิ เดี๋ยวหน้าก็เหี่ยวก่อนเวลาอันควรหรอก”

    สลิลนรีแซวพร้อมกับยกมือขึ้นมัดผมตรงสีดำยาวถึงกลางหลังซึ่งไม่เป็นทรงด้วยเพิ่งจะผ่านการใช้แรงงานมาสดๆ ร้อนๆ ให้กลับเป็นหางม้าสูงเรียบร้อยดังเดิมพร้อมกับยกมือขึ้นเสยผมหน้าม้าให้เข้าที่เข้าทาง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายระยิบระยับอย่างล้อเลียนในกรอบเล็กเรียวติดจะชี้นิดๆ เหมือนตาหงส์ ผิวแก้มเนียนทั้งสองข้างที่มักจะแดงอยู่เสมอตอนนี้กลับแดงยิ่งกว่าเดิม

    “ก็ฉันไม่ได้แรงมหาศาลเหลือเฟือเหมือนเธอนี่ยะ” คนไม่อยากหน้าเหี่ยวก่อนวัยอันควรส่งค้อนมาให้วงโตอย่างปึ่งงอนทำเอาคนซึ่งไม่ถนัดในการรับบทง้อรีบอ้อนในทันที

    “โอ๋ๆๆ แต่ช้าแต่ อย่างอนนะจ๊ะคนดี มามะ เข้ามาดื่มน้ำให้ชื่นใจก่อนนะคนสวย สวยที่สุดปฐพีเลย สลิลนรีเอ่ยเสียงหวานพร้อมกับส่งยิ้มประจบมาให้ ก่อนเดินจูงมือเพื่อนรักเข้าห้องไป

                    "นั่งอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวเราไปเอาน้ำมาให้"

    แล้วหญิงสาวก็เดินจากไปอีกทางปล่อยให้ภัทราได้มีเวลาสำรวจห้องของเพื่อนอย่างพินิจพิจารณาอีกที

    ที่มุมรับแขกเล็กๆ นี้นอกจากโซฟาสีครีมซึ่งมีหมอนอิงน่าหนุนวางอยู่สามใบแล้ว เยื้องๆ กันก็มีเก้าอี้เท้าแขนอีกสองตัวเข้าชุดวางอยู่ ส่วนพื้นที่ตรงกลางก็เป็นโต๊ะกระจกวงรีเตี้ยๆ มีแก้วน้ำรูปทรงประหลาดปักพลูด่างประดับเอาไว้อยู่สองสามต้น ขณะที่ผนังอีกด้านนั้นเป็นโทรทัศน์ขนาดกลางซึ่งวางอยู่บนตู้ไม้สำหรับวางโทรทัศน์              
                   เมื่อมองไปยังทางที่สลิลนรีเพิ่งจะเดินไป ก็พบกับส่วนห้องครัวซึ่งแบ่งออกจากบริเวณอื่นๆ โดยเคาน์เตอร์ไม้สีอ่อนสูงระดับเอว หน้าต่างกว้างกั้นด้วยมุ้งลวดเหนือเตาไฟฟ้าสำหรับทำอาหารนั้นบานกระจกถูกเปิดกว้างออกเพื่อรับลม

    สลิลนรีกำลังเปิดตู้ไม้เหนือศีรษะ เพื่อหยิบแก้วออกมาสองใบก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นนำกระบอกน้ำเย็นเจี๊ยบมาถือไว้แล้วเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้เท้าแขนที่มุมรับแขก จัดแจงรินน้ำส่งให้ภัทราที่รับมาดื่มรวดเดียวหมดแก้วด้วยความกระหาย
                    "ว่าแต่ว่าทำไมรันไม่มาด้วยล่ะ เห็นตอนแรกบอกว่าจะมาช่วยเธอขนของไม่ใช่เหรอ" หญิงสาวถามขึ้นเมื่อไม่เห็นชายหนุ่มอีกคนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคู่ซี้ปาท่องโก๋กับเพื่อนรักมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมในวันนี้ ทั้งที่ชายหนุ่มนั้นรับปากไว้อย่างดิบดีว่าจะมาช่วย

    "ก็ช่วยไม่ได้นี่ นายคนนั้นงานมาก่อนตลอดแหละ ยิ่งเจ้านายใหญ่โทรมาตามด้วยตัวเองแบบนั้นก็วิ่งรี่เข้าบริษัทไปเลย ดีนะที่โทรมาบอกกันก่อน ไม่งั้นล่ะก็น่าดู ชิ!! พี่กรนะพี่กร คนอื่นในบริษัทมีให้ใช้ตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมต้องมาเรียกรันด้วย รู้ทั้งรู้ว่ารันจะมาช่วยเราขนของ พี่กรใจร้าย!!" หญิงสาวว่าด้วยใบหน้างอง้ำเมื่อนึกถึงประธานบริษัทของเพื่อนสนิทซึ่งพ่วงตำแหน่งพี่ชายร่วมสาบานของเธออย่างเคืองๆ

    "อย่าไปว่าพี่กรเขาเลยน่าเธอ งานคงด่วนจริงๆ แถมฉันว่านะ ลูกค้าทางนั้นคงเรียกร้องอยากคุยกับนายรันโดยเฉพาะด้วยล่ะ” ภัทราพูดแก้ตัวให้ชายหนุ่มทั้งสองที่กำลังจะโดนหมายหัว ขณะที่สลิลนรีนั้นแค่นึกถึงบรรดาลูกค้าสาวๆ ทั้งสาวใหญ่สาวน้อยและอีกสารพัดสาวที่พากันมาติดอกติดใจเพื่อนรักของเธอราวกับโดนเป่ามนตร์ขุนแผนใส่แล้วก็นึกขนลุก

    ด้วยในบางครั้งเวลานายดรัณเกิดอยากบอกปัดไมตรีที่สาวๆ เหล่านั้นเพียรส่งให้เขาอย่างนุ่มนวล เขาก็จะมาข้อร้องแกมบังคับให้เธอไปรับบทยันต์กันผู้หญิงน่ะซิ!! แล้วสายตาพวกเจ้าหล่อนที่ส่งมาให้เธอน่ะมันดีที่ไหนกันล่ะ ถ้านึกภาพให้เธอเป็นไก่ล่ะก็ เธอคงจะกำลังเกรียมน่ากินเลยล่ะ

    “เหอๆๆ  เอาเถอะ ว่าแต่เมื่อกี้ฟ้าบอกว่าจะต้องไปทำธุระอะไรกับนายผิวคล้ำหน้าคมที่เป็นเจ้าของห้องเช่าเก่าของฟ้าต่อนี่ใช่มั้ย เดี๋ยวเราขับรถพาไปส่งให้นะ” หญิงสาวอาสา หากภัทรากลับส่ายหน้าปฏิเสธ

    “ไม่ต้องหรอกริน เดี๋ยวฉันว่าจะเดินไปน่ะ จะได้ซื้ออาหารเย็นเข้าไปด้วย”

    “ว่าแต่ธุระของเขานี่จะเป็นอะไรน้า ขอฟ้าเป็นแฟนรึเปล่าหว่า นี่ๆๆ ถ้าเขาขอจริงๆ ก็เอาเลยนะฟ้า ออกจะหล่อเข้มดูดีมีชาติตระกูล" สลิลนรีพูดราวกับกำลังเพ้อ ขณะที่คนฟังกลับเบะปากเมื่อนึกไปถึงชายหนุ่มคนที่เพื่อนรักบรรยายสรรพคุณออกมา ก็ไม่เถียงหรอกนะว่าเขาดูดีมากถึงมากที่สุด แต่พอดีฉันไม่ได้ชอบเขานี่ยะ!!           
                    "ฮึ! ไม่สนหรอกย่ะ" ว่าแล้วก็เชิดหน้าอย่างไว้ตัว เรียกเสียงหัวเราะจากสลิลนรี
                    "ย่ะ แม่คนเรื่องมาก ไปเถอะ เดี๋ยวเราเดินไปส่งหน้าห้อง"

    “จริงซิ ฉันมีอะไรบางอย่างมาให้เธอด้วยล่ะ” ภัทราว่าก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าถือใบโตราคาเหยียบหมื่น ก่อนจะหยิบสมุดบันทึกหุ้มหนังสีดำซึ่งที่มุมปกทั้งด้านหน้าและด้านหลังมีโลหะสีทองเย็บไว้อยู่
                    "My dear diary" หญิงสาวอ่านตัวอักษรโลหะสีทองนูนต่ำตรงกลางหน้าปกเบาๆ 
                    “มันคืออะไรเหรอ”

    “มันเป็นสมุดบันทึกเรื่องราวความรักจ้า” ภัทราบอกสีหน้าระรื่น ก่อนจะอธิบายต่อเมื่อสีหน้าเพื่อนรักไม่ได้คลายความงงขึ้นซักนิด “คืองี้สมุดเล่มนี้น่ะเป็นสมุดที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับความทรงจำในเรื่องของความรักของเจ้าของสมุดน่ะ”

    “งั้นแล้วใครคือเจ้าของสมุดล่ะ”

    “ตอนนี้คือฉัน”

    “หมายความว่าไงที่ว่าตอนนี้คือฟ้าน่ะ” สลิลนรีถามกลับอย่างงงๆ

    “ก็แบบว่าสมุดเล่มนี้น่ะจะส่งต่อๆ กันไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเมื่อมันไปอยู่ที่ใคร คนๆ นั้นก็คือเจ้าของของมันไงล่ะ แล้วก็นะเจ้าของสมุดจะต้องอ่านข้อความข้างในสมุดจากนั้นก็เขียนเรื่องของความรักในความทรงจำของตัวเองลงไป แล้วก็ส่งให้คนอื่นต่อ”

    “ก็ดูน่าสนุกดี ว่าแต่ถ้างั้นฟ้าก็ต้องเขียนเรื่องตัวเองไปแล้วน่ะซิใช่มั้ย ขออ่านเลยได้ป่ะ” หญิงสาวว่ายิ้มๆ

    “ลองอ่านเรียงไปเรื่อยๆ เถอะเธอ ไม่แน่ว่าความรักของใครบางคนในสมุดเล่มนี้อาจทำให้รินได้อะไรดีๆ เหมือนกับที่ฉันได้ก็ได้นะ” ภัทราเอ่ยยิ้ม ซึ่งสลิลนรีก็ไม่คัดค้านอะไร

    “ถามได้มั้ยว่าใครให้สมุดเล่มนี้กับฟ้ามาแล้วฟ้ารู้รึเปล่าว่าใครเป็นเจ้าของคนแรก” สลิลนรีถามเป็นชุดดวงตาเป็นประกายสุกใสราวกับเด็กๆ ที่กำลังรอฟังนิทานก่อนนอน ทำเอาภัทราอดขำไม่ได้

    “ลูกพี่ลูกน้องฉันเป็นคนให้มาน่ะ เห็นว่าได้มาจากเพื่อนอีกทีนึง ส่วนใครเป็นเจ้าของคนแรกนี่ก็ไม่มีใครรู้หรอก รู้แต่ว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากแบ่งปันความทรงจำและความรักกับเพื่อนๆ แล้วไปๆ มาๆ สมุดเล่นนั้นก็ถูกส่งต่อมาเรื่อยๆ อย่างที่เป็นอยู่นี่แหละ ฉันว่ามันก็ดีนะ โดยเฉพาะกับใครหลายๆ คนที่อัดอั้นอยากระบายความรู้สึกรักในใจให้ใครซักคนได้รับรู้แต่ไม่สามารถพูดออกมาให้ใครฟังได้ง่ายๆ สมุดเล่มนี้ก็จะช่วยแบ่งเบาความรู้สึกนั้นปได้บ้างยังไงล่ะ”

    “นั่นซิ บางทีสมุดเล่มนี้อาจเป็นกระจกเงาที่สะท้อนความรู้สึกของคนๆ หนึ่งให้ใครคนอื่นได้รับรู้ ว่าถึงแม้เขากับเจ้าของบันทึกในสมุดเล่มนี้จะไม่ได้รู้จักกันแต่พวกเขาก็สามารถแบ่งปันประสบการณ์และคำแนะนำดีๆ ให้แก่กันและกันได้โดยผ่านตัวหนังสือ ทำให้รู้สึกว่าบนโลกใบนี้ยังมีใครคนหนึ่งที่เข้าใจความรู้สึกของเขา”

    “ยังไงก็ดูแลมันดีๆ นะรินแล้วก็อย่าลืมส่งต่อด้วยล่ะ เราไปล่ะ”

    “ถ้าโดนขอเป็นแฟนจริงๆ อย่าลืมเลี้ยงข้าวล่ะ” สลิลนรีหยอดส่งท้ายให้หนึ่งที ก่อนจะได้รับการแยกเขี้ยวตอบกลับมาจากเพื่อนรัก

    “ถ้าขอจริงฉันจะบอกให้เขามาจีบรินแทน อยากเชียร์ดีนัก”

    หญิงสาวตอบก่อนจะเดินตรงไปที่ลิฟท์ โดยมีสลิลนรีมองตาม เมื่อประตูลิฟท์ปิดลง คนที่ยังคงยืนอยู่นอกห้องก็ได้แต่ส่ายหัวระอานิดๆ พร้อมทั้งอดสงสารชายหนุ่มหน้าคม เจ้าของห้องที่ภัทรากำลังเช่าอยู่ไม่ได้ ก็นะ รูปร่างรึก็ออกจะดี หน้าตาก็นับว่าโดน ฐานะการศึกษาก็ใช่ย่อย แต่ไหงคุณหญิงภัทรากลับไม่สนซะนี่ พอหวนนึกไปถึงหนุ่มในสเป็กของเพื่อน ก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงตกว่าเพื่อนเธอคงต้องไปควานหาเอาแถบมหาสมุทรแอตแลนติกโน่นเท่านั้น

    คอยดูเถอะขึ้นคานแล้วอย่ามาบ่นให้ฉันฟังเชียวล่ะหญิงสาวบ่นพึมพำเบาๆ คนเดียวก่อนจะหันหลังกลับเข้าห้อง

                    ครืด...ครืด....ครืด....
               
    โทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋วในกระเป๋ากางเกงขาสั้นของเธอสั่นขึ้นขณะที่เธอกำลังจะเอนตัวลงนอนยาวบนโซฟายาวเพื่อพักผ่อน ทำเอาคนขวัญอ่อนนิดๆ ถึงกับสะดุ้ง และเมื่อหญิงสาวจับได้ว่าต้นกำเนิดของความตกใจนั้นมาจากสิ่งใดเธอก็ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ เล็กน้อยก่อนจะคว้าตัวต้นเหตุการสั่นขึ้นแนบหู

                    "มีอะไรคะพี่ซัน" เสียงใสกล่าวทักทายคนปลายสายเสียงหวาน

                    "คือว่าไอ้ภพน่ะ..." 
                    "อีตาเพื่อนปากไม่สร้างสรรค์ของพี่มีปัญหาอะไรกับรินอีกล่ะคะ"

    เสียงกัมปนาถจากอารมณ์หงุดหงิดที่มักจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีชื่อนายพิภพ อัศวกุลมาข้องเกี่ยวของสลิลนรี ส่งผลให้ศรายุท ชายหนุ่มรุ่นพี่ซึ่งสนิทสนมกับเธอจนได้ศักดิ์เป็นพี่ชายร่วมสาบานชักหูโทรศัพท์ออกมาได้ทัน ไม่เช่นนั้นน้ำเสียงทำลายโสตของแม่น้องสาวที่รักคงทำอันตรายอวัยวะภายในช่องหูของเขาให้ใช้การเป็นปกติไม่ได้ไปหลายวันเป็นแน่ 
                    "ฟังพี่ก่อนนะริน คือว่าไอ้ภพมันไม่ได้มีปัญหาอะไรกับรินหรอก แต่หลานของมัน น้องเมย์ต่างหากล่ะที่มี คืองี้พี่น้ำหวานเขาอยากพาเมย์มาตรวจฟันแต่เขาก็ต้องออกไปรับลูกค้าให้พี่กร ส่วนพี่กรกับตาภัทธก็อยู่ที่บริษัทที่กรุงเทพฯ ก็เลยเหลือแต่ไอ้ภพมัน แล้วที่นี้พี่เองก็กำลังติดพันงานกับคนไข้คนอื่นอยู่ มันเลยบอกว่าให้เราทำให้แทนก็ได้ รินช่วยมาที่คลินิกหน่อยได้มั้ยล่ะ"
                    "แต่รินเพิ่งจะย้ายของเข้าหอเสร็จเองนะคะพี่ซัน ขอรินพักเถอะนะคะ" หญิงสาวอ้อนวอนพยายามปั้นเสียงให้ฟังดูน่าสงสารสุดฤทธิ์
                    "พี่ก็ไม่อยากรบกวนรินเหมือนกันแหละน่า แต่พี่ก็กำลังยุ่งอยู่และคงต้องใช้เวลานานพอสมควรด้วยกว่าจะเสร็จเรียบร้อย น่าริน ทำเพื่อพี่ชายคนนี้หน่อยน่า"                                                                            

    ฮึ้ย!! ทำเสียงแบบนี้ขี้โกงกันนี่พี่ซัน สุดท้ายก็อดที่จะอ่อนให้พี่ชายแสนดีคนนี้ไม่ได้อีกตามเคย

    "ก็ได้ค่ะ ถือว่าเห็นแก่พี่ซันนะคะ ยังไงรินฝากพี่บอกเพื่อนพี่ให้รอซักครึ่งชั่วโมงก็แล้วกันนะคะ ขอรินอาบน้ำแต่งตัวใหม่ก่อน แต่ถ้าเขารอไม่ได้ก็ให้เขาทิ้งน้องเมย์ไว้ที่คลินิก ทำฟันให้เสร็จเมื่อไหร่รินจะพาไปส่งให้ แค่นี้นะคะ" หญิงสาวกดตัดสัญญาณทันทีที่พูดจบ ก่อนจะนั่งถอนหายใจหนักๆ ด้วยความเซ็งในอารมณ์สุดชีวิต... แทนที่จะได้พักผ่อน กลับจะต้องมานั่งทำสงครามน้ำลายกับนายปากไม่สร้างสรรค์นั่นอีกเหรอเนี่ย ให้ตายเถอะ!!

    บ่นอยู่ในใจต่ออีกครู่หนึ่ง หญิงสาวก็คว้าสมุดบันทึกมาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะเดินตรงดิ่งไปยังห้องนอน จัดการเอาสมุดบันทึกวางบนโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วเดินมาหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่เข้าห้องน้ำไป 

    ปกติเธอไม่ใช่คนที่มีอคติอะไรมากมายนักหรอกนะ แต่กับเพื่อนสนิทของรุ่นพี่คนนี้เป็นข้อยกเว้น เหตุผลก็เพราะเขาคอยหาเรื่องเธอได้ทุกวัน ทุกเวลาที่ได้เจอหน้าเธอ หรือถ้าไม่ได้เจอก็จะส่งเสียงตามสายมาก่อกวนอารมณ์เธอทุกครั้งไปจนเธออยากจะจับเขายัดใส่ถุงแล้วพาไปหาจิตแพทย์ที่โรงพยาบาลโรคประสาทที่ไหนซักแห่งวินิจฉัยเสียให้รู้กันไปว่าเขายังเป็นมนุษย์ปกติอยู่หรือไม่

    ส่วนสาเหตุที่ทำให้เธอและเขาทะเลาะกันไม่รู้จักจบจักสิ้นนั้น เธอก็ไม่รู้หรอก เพราะตั้งแต่แรกที่เจอกัน เขาก็หาเรื่องเธอซะแล้วนี่ ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้ทำอะไรเขาเลยซักนิด เธอเลยขอตอกหน้าเขาซักเล็กน้อยเป็นการตอบแทน ซึ่งนั่นอาจจะทำให้เรื่องมันกลายมาเป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ได้

    เธอยอมรับว่าไอ้ที่เธอตอกเขาไปนั้นมันแรงไม่ใช่น้อยและต้องทำให้เขาโกรธมาก แต่เธอไม่มีวันขอโทษเขาเด็ดขาดเพราะเธอไม่ได้ทำอะไรผิดแล้วอันที่จริงก็ควรจะเป็นเขามากกว่าที่ต้องมาขอโทษเธอ

    ส่วนสิ่งที่ช่วยหนุนให้การทะเลาะของเธอกับเขายืดเยื้อมาจนถึงทุกวันนี้ก็คงเพราะเขาเป็นผู้ชายประเภทอีโก้จัดอย่างรุนแรง ที่สำคัญคือเกลียดการโดนผู้หญิงตอกหน้าหงายอย่างที่สุดแล้วยังเจ้าคิดเจ้าแค้นอีกต่างหาก เขาถึงได้พยายามเอาคืนเธอสารพัด แต่ก็ต้องล้มเหลวกลับไปทุกครั้ง เพราะเธอเองก็ไม่ใช่ลูกแกะน้อยๆ ให้เขาเชือดง่ายๆ เหมือนกัน ดังนั้นบัญชีแค้นของเธอกับเขามันจึงได้ทบต้นทบดอกไม่มีวันจบอย่างนี้ยังไงล่ะ อ๊ะ!! แต่อาจจะจบได้นะถ้าเขาหาทางเอาคืนเธอสำเร็จหรือไม่ก็ยอมแพ้ไปเสียเอง!!

    สำหรับเธอ เขาน่ะเป็นผู้ชายที่จัดอยู่ในประเภทที่น่าหมั่นไส้ที่สุด ชิ!! ต่อหน้าสาวๆ ทั่วราชอาณาจักรล่ะวางมาดซะหล่อเรียบเนี้ยบสุภาพแถมส่งยิ้มหวานซะมดแทบขึ้น แต่พออยู่ต่อหน้าเธอเท่านั้นแหละ มาดเจ้าชายเทวดากลับกลายเป็นราชาปีศาจชัดๆ คอยดูเถอะซักวันนึงเธอจะทำให้สาวๆ คนอื่นได้เห็นธาตุแท้ของนายคนนี้ให้จนได้เลยคอยดู!!

    คิดมาถึงตรงนี้หญิงสาวก็แต่งตัวเสร็จพอดี สลิลนรีเดินออกจากห้องนอน คว้ากุญแจรถและกุญแจห้องเดินออกจากหอพักไปอย่างรวดเร็ว  
                    "ขอให้นายนั่นเลิกรอแล้วทิ้งน้องเมย์ไว้คนเดียวทีเถอะ สาธุหญิงสาวยกมือขึ้นพนมพร้อมกับอธิษฐานระหว่างที่ลิฟท์เคลื่อนลงมายังชั้นล่างสุด ก่อนจะรีบบึ่งรถคู่ใจไปยังคลินิกทำฟันในตัวเมืองซึ่งเป็นของเพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของคุณพ่อคุณแม่ของเธออย่างรวดเร็ว                                                                                                

    "ปล่อยให้คนไข้รอเกือบชั่วโมงแบบนี้นี่คิดว่าใช้ได้เหรอครับ" เสียงทุ้มที่แฝงไปด้วยความไม่พอใจดังขึ้นทันทีที่ขาของหญิงสาวก้าวเข้ามาด้านในบริเวณเคาน์เตอร์รับคนไข้ ดวงหน้าคมเข้มชนิดที่สาวไหนเห็นเป็นต้องกรี๊ดนิ่งสนิทแถมยังฉายแววไม่พอใจให้เห็นชัดเจน ดวงตาคู่คมคู่นั้นส่งสานต์ท้ารบเธอเต็มที่ เฮอะ!! อยากให้แม่สาวน้อยสาวมากทั้งหลายของนายคนนี้มาเห็นจริงๆ อยากจะรู้นักว่ายังจะเห็นนายนี่เป็นเทวดาอยู่มั้ย

    ไม่ได้เจออารินตั้งนาน คิดถึงจังเลยค่ะ อาภพก็อย่าไปว่าอารินอย่างนั้นซิคะ เสียงใสๆ ของเด็กหญิงเอ่ยทักขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มน่ารักน่าเอ็นดู พร้อมกับร่างน้อยๆ ที่โผเข้ากอดเอวสลิลนรีเสียเต็มรักจนเธอเกือบจะหงายหลังลงไปนอนนับดาวที่พื้น ส่งผลให้หญิงสาวระงับอารมณ์ขุ่นๆ ของตนไปได้ในบัดดล

                    สวัสดีค่ะน้องเมย์ ไม่ได้เจอกันตั้งนานโตขึ้นตั้งเยอะ อายุเท่าไหร่แล้วคะเนี่ย

                    สิบสองแล้วล่ะค่ะ

    เด็กหญิงตอบเจื้อแจ้ว ซึ่งคำตอบนั้นก็ทำเอาคนที่ห่างหายจากการคิดเลขเร็วไปนานระลึกได้ว่า เธอไม่ได้พบเด็กหญิงน่ารักคนนี้มานานเกือบจะสามปีเข้าไปแล้วด้วยติดภาระหน้าที่ทางการเรียนจนแทบไม่ได้ปลีกตัวไปไหนซักเท่าไหร่นั่นเอง

    สลิลนรีไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบเด็กหญิงอยู่นานพอควรจนคุณจิตรา เพื่อนของคุณแม่ของเธอควบด้วยตำแหน่งเจ้าของคลินิกมาพาเด็กหญิงไปยังห้องตรวจ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างสูงของศรายุทเดินออกมาจากห้องทำงานพร้อมกับคนไข้ของเขาพอดี

    “อ้าว เสร็จแล้วเหรอคะพี่ซัน” หญิงสาวหันไปถามรุ่นพี่หนุ่มพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ทำให้อีกหนึ่งหนุ่มที่ถูกลืมอย่างจงใจไปนานส่งเสียงไม่พอใจเบาๆ ในลำคอ ดูเอาเถอะ กับเขาล่ะทำหน้าตูมเป็นดอกบัว ทีกับคนอื่นล่ะยิ้มหน้าบานอย่างกับกระด้งมอญ อยากจะให้ไอ้พวกหนุ่มๆ ทั้งหลายที่มาหลงชอบยัยเด็กปากเสียคนนี้มาเจอตอนแม่คุณออกลายจริงๆ จะได้รู้กันไปว่าใต้หน้ากากนางฟ้านั่นก็ปีศาจดีๆ นี่เอง

    “อืม เรียบร้อยแล้วล่ะ แล้วนี่รินจะทำเองหรือจะให้พี่ทำล่ะ”

    ศรายุทกระซิบถาม ไม่ให้ชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ได้ยิน สลิลนรียืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง บอกตามตรงเธอเกลียดการทำฟันเด็กที่สุดแต่ถ้าเธอถอยล่ะก็ นายพิภพปากไม่สร้างสรรค์ (สำหรับเธอ) คงได้มีเรื่องเหน็บเธอให้เจ็บใจเล่นไปเป็นปีๆ แน่ แล้วเรื่องอะไรเธอจะยอมให้โง่เล่า อีกอย่างอุตส่าห์ออกมาถึงนี่แล้วไม่ทำอะไรก็รู้สึกเสียดายค่าน้ำมันรถยังไงชอบกล

    รินทำได้ค่ะ พี่ซันไม่ต้องห่วง ดูแลเพื่อนพี่ดีๆ อย่าให้เข้ามายุ่มย่ามระหว่างรินทำงานแล้วกัน ไม่งั้นอย่าหาว่ารินไม่เตือน

    หญิงสาวชำเลืองมองชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ ณ ที่นั้นด้วยหางตาก่อนจะก้าวฉับๆ ไปทางห้องตรวจ คุณยังติดคำขอโทษผมอยู่นะคุณหมอ

    ถ้าอัดคนลงไปนอนกองกับพื้นตอนนี้จะผิดมั้ยเนี่ย หญิงสาวคิดพลางหันขวับกลับมามองคนพูดประโยคแสลงหูซึ่งยังคงยืนนิ่งหน้าขรึมด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าอยากจะกินเลือดกินเนื้อเขาเต็มแก่ ก่อนที่ขาของเธอจะออกเดินเร็วๆ กลับมายืนประจันหน้าเขาทำเอาทั้งพิภพกับศรายุทแอบสะดุ้งเฮือกกันเลยทีเดียว
                    "อันที่จริงน่าจะเป็นคุณมากกว่านะคะคุณภพที่ติดคำขอโทษฉัน เพราะคุณไม่ได้โทรมานัดล่วงหน้าก่อนสองวัน ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ความผิดของฉันที่มาช้า แต่เพื่อแสดงความรับผิดชอบนะคะคุณภพ ถ้าวันไหนคุณว่างมากล่ะก็มาให้ฉันผ่าเอาสัตว์สี่ขาบางประเภทออกมาจากปากคุณซักตัวสองตัวก็ดีนะคะ เพราะดูท่าปากคุณเนี่ยแทบจะเปิดฟาร์มเพาะพันธุ์ได้อยู่แล้ว เอาออกเสียบ้างก็ดีเหมือนกัน ยอมทำให้ฟรีเลยค่ะ"

    !!!” เจอเข้าไปแบบนี้คนที่โดนหาว่าทำฟาร์มสัตว์สี่ขาเอาไว้ในปากก็ถึงกับหน้าตึงนึกคำโต้กลับไม่ออกขึ้นมาในทันที

    ขณะที่ศรายุทเองก็ไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้าเพื่อนตัวเองดี สุดท้ายสิ่งที่เขาทำก็คือตรงเข้าไปไกล่เกลี่ยตามหน้าที่เช่นเคย ด้วยจากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เขาเรียนรู้ว่าหากปล่อยให้คนทั้งคู่ยืนปะทะคารมกันต่อไปล่ะก็ คลินิกที่เขาทำงานอยู่นี้อาจพังราบเป็นหน้ากลองได้

                    ริน เมย์รอนานแล้วนะศรายุทเตือน ซึ่งสลิลนรีเองก็ตอบรับทันที ด้วยส่วนหนึ่งนั้นไม่อยากสร้างความลำบากใจให้ศรายุทและคุณน้าทั้งสองที่ส่งสายตามาทางเธอจากมุมไกลๆ ขณะที่อีกส่วนนั้นก็เพราะไม่อยากจะเสียเวลาที่มีค่าไปมากกว่านี้

                ค่าๆๆ ไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะพี่ซันขารับคำรุ่นพี่แล้วก็หันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่คู่กรณีเป็นของแถมก่อนจะรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

    “จะมาขัดทำไมวะเนี่ยไอ้ซัน ข้ากำลังจะตอกยัยเด็กนั่นอยู่แล้ว” พิภพส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจก่อนจะส่งสายตาที่ศรายุทอ่านได้ความว่า ฝากไว้ก่อนเถอะไปยังประตูห้องตรวจที่เพิ่งจะปิดไป ทั้งสองหนุ่มจะพากันมานั่งที่โซฟาที่มุมหนึ่งของห้อง

                    สำหรับศรายุท นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่เขาต้องมาทำหน้าที่เป็นกรรมการห้ามมวยระหว่างไอ้เพื่อนเจ้าปัญหากับแม่น้องสาวนอกไส้สุดแสบนี่

    เขารู้จักกับสลิลนรีมาตั้งแต่สมัยที่เธอยังเรียนอยู่มัธยมสามจนตอนนี้เธอเรียนจบคณะทันตแพทยศาสตร์แล้วและเขาก็รู้จักเจ้าเพื่อนตัวดีคนนี้มาตั้งแต่จำความได้ ด้วยพ่อของมันกับพ่อของเขาเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยประถมเพราะท่านทั้งสองเป็นคนจังหวัดเดียวกันแถมเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันและห้องเดียวกันอีกต่างหาก เพราะงั้นเรื่องนิสัยของสลิลนรีกับไอ้ภพนั้นไม่ต้องพูดถึง เขากล้าบอกได้เลยว่ารู้จักสองคนนี้ดีพอๆ กับที่ทั้งสองคนรู้จักตัวเขาเลยล่ะ

    แต่ที่ทำให้อดแปลกใจไม่ได้ ก็คือไอ้พฤติกรรมชอบหาเรื่องผู้หญิงของไอ้ภพนี่แหละ แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เห็นมันออกจะสุภาพกับผู้หญิง ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีไอ้นิสัยแบบนี้เลยจนเมื่อมาเจอกับสลิลนรีนี่แหละ ซึ่งทุกวันนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมมันถึงได้ช่างสรรหาสารพัดเรื่องมากัดจิกสลิลนรีได้ไม่หยุดไม่หย่อนชนิดที่ว่าถ้าซักวันมีใครมาบอกว่าชาติที่แล้วทั้งสองคนเคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาก่อนล่ะก็เขาคงเชื่อในทันที 

    ไอ้ที่ว่าสองคนนี้จะตีกันไปเรื่อยๆ น่ะจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับเขานักหรอกนะ เพราะเขาเชื่อว่าสลิลนรีนั้นเจ้าเล่ห์อย่างร้ายกาจพอฟัดพอเหวี่ยงกับไอ้ภพอยู่ แต่อาวุธที่เธอมีนอกจากฝีปากคมกริบขนาดไอ้ภพซึ่งขึ้นชื่อที่สุดในกลุ่มเพื่อนทั้งหมดของเขายังต้องชิดซ้ายแล้วเธอยังมีศิลปะป้องกันตัวระดับเกือบได้เป็นนักกีฬาของโรงเรียนนี่อีกน่ะซิ ที่ทำให้เขาอดห่วงสวัสดิภาพของไอ้เพื่อนรักไม่ได้                                                           

    คิดๆ ไปก็น่าตลกดีเหมือนกันที่ทั้งไอ้คุณภพซึ่งทั้งหล่อ รวย นิสัยดี เรียนเก่ง กีฬาเลิศ ใจเย็นมาดขรึมแถมเป็นสุภาพบุรุษจนสาวๆ เกือบทั้งมหาลัยพากันกรี๊ดสลบนั่น กลับมาดหลุดแทบไม่มีเหลือเมื่อมาอยู่ต่อหน้าสลิลนรีซะงั้น แล้วไหนจะสลิลนรีที่ปกติก็ออกจะสงบเสงี่ยมเรียบร้อยดูเป็นผู้ใหญ่พอประมาณก็มาทำตัวเป็นเด็กทะเลาะกับนายภพไปเสียแบบนี้

                    เขาก็พอจะเข้าใจและเห็นใจความอึดอัดและความรำคาญของสลิลนรีอยู่หรอกนะที่โดนไอ้ภพตามเล่นได้ตลอดเวลาแบบนี้ ไม่งั้นเธอคงไม่ทั้งเถียง ทั้งหลอกด่ามันทุกครั้งที่มีโอกาสแบบนี้หรอก เพราะถ้าเขาเป็นเธอ ก็คงต้องมีรายการขอเอาคืนเหมือนกันล่ะ

    ในตอนแรกๆ สถานการณ์ของสองคนนี้ก็ไม่เลวร้ายมากนักหรอกนะ เหมือนหมากับแมวตีกันเสียมากกว่า จนเมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่เขา ไอ้ภพกับเพื่อนๆ สมัยมัธยมของสลิลนรีอีกแปดคนพาเธอกับภัทราไปฉลองที่ทั้งคู่ได้รับปริญญาใบแรกในชีวิตไปเลี้ยงที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งนั่นแหละ วันนั้นไอ้ภพดูเหมือนจะเล่นหนักไปหน่อย คนถูกหาเรื่องจึงได้แต่นั่งก้มหน้าเงียบ ตอนแรกเขาก็คิดว่าเธอจะร้องไห้อุตส่าห์นึกหาวิธีรับมืออยู่ตั้งนาน จนกระทั่งสลิลนรีเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับดวงตาวาวโรจน์น่ากลัวนั่นแหละ เขาถึงได้รู้ว่าเขาคิดผิด...

                    'นี่คุณภพ เผื่อคุณไม่รู้นะฉันจะบอกให้เอาบุญ คุณไม่ต้องพยายามทำให้ฉันเกลียดคุณไปมากกว่านี้หรอก เพราะทุกวันนี้ฉันยังหาคนที่น่ารังเกียจไปมากกว่าคุณไม่ได้เลย

                    แล้วก็ไอ้พฤติกรรมของคุณนี่ก็เหมือนกัน ถ้าคุณอายุซักเจ็ดแปดขวบฉันคงจะพอทนมองได้อยู่บ้างหรอกนะ แต่บังเอิญว่านี่คุณจะสามสิบอยู่แล้วมันเลยทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังดูคนปัญญาอ่อนทำตัวงี่เง่าไร้สาระหาความน่าดูไม่เจอเนี่ยน่ะซิ '

                    ประโยคร้ายกาจนั่นทำเอาไอ้ภพถึงกับใบ้รับประทาน ก่อนที่มันจะรีบขอตัวกลับก่อนโดยให้เหตุผลกับเขาเพียงว่า

                    ข้ายังไม่อยากทำอะไรรุนแรงกับผู้หญิงต่อหน้าธารกำนัล แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้หมดสนุก

    สั้นๆ แต่ได้ใจความเพียงพอที่จะทำให้เขาไม่คิดจะหาเหตุผลมาเหนี่ยวรั้งมันเอาไว้ให้อยู่ด้วยกันจนกว่างานจะจบ เพราะแววตาขุ่นๆ และท่าทางเหมือนจะสามารถกระโจนเข้าบีบคอระหงของสลิลนรีได้ทุกเวลาแบบนั้น มันคงจะไม่ได้พูดเล่นเหมือนกับที่ผ่านๆ มาแน่!! ถึงสลิลนรีจะมีวิชาติดตัวบ้างก็เถอะ แต่เขาก็ยังไม่อยากเสี่ยงต่อเหตุการณ์ฆาตกรรมกลางกรุงแบบนั้น

              เขาคิดว่าหลังจากนั้นนายภพจะคิดได้แล้วทำตัวเสียใหม่ แต่เชื่อมั้ย วันรุ่งขึ้นมันกลับยังคงทำตัวยียวนกวนโทสะรุ่นน้องที่รักของเขาได้เหมือนเดิมแถมดูจะยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เชื่อมันเลยจริงๆ !! ทุกวันนี้เขาเลยได้แต่ปลงและหวังว่าสลิลนรีจะมีความอดทนมากพอที่จะไม่ฆ่ามันไปเสียก่อนเท่านั้นล่ะนะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×