คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : 01
01
เปรี้ยง! เปรี้ยง!! เปรี้ยง!!!
สายฟ้าฟาดและเสียงฟ้าร้องดังสนั่นไปทั้วบริเวณ ปีกสีแดงเข้มคู่ใหญ่ปรากฏให้เห็นสู่สายตาพร้อมกับดวงตาเรียวเล็กสีแดงเลือดนกที่กำลังจับจ้องมองมาอย่างไม่วางตา ความคิดถึง ความโหยหา และความรักที่เปลี่ยมล้น ทุกๆความรู้สึกถูกส่งผ่านมากับแววตาสีแดงเลือกนกคู่นั้น ก่อนที่ภาพทุกๆอย่างจะหายไป เหลือเพียงหยาดเหงื่อและน้ำตาที่ไหลริน เอาอีกแล้วฝันแบบนี้อีกแล้ว กี่ครั้งแล้วนะที่ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับหยาดน้ำตาไร้สาเหตุที่สั่งให้มันหยุดไหลไม่ได้ ดวงตาคมโตสีนิลคู่สวยเหลือกขึ้นแล้วพลันเปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกต แต่ก่อนที่จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงมากกว่านี้ก็มีเสียงๆหนึ่งมาหยุดการกระทำนี้ไว้
“พี่ยองอุง! ทำอย่างนี้อีกแล้วนะ” ชายร่างเล็กน่าตาน่ารักจมูกกลมๆวางถาดอาหารลงบนโต๊ะใกล้ตัวแล้วนั่งลงบนขอบเตียง ข้างๆคนที่เพิ่งพูดด้วย
“โถ่ ทำไมหล่ะจุนซู ทำไมชอบขัดเวลาที่พี่จะทำแบบนี้ มันเป็นอะไรมากมายนักหรอ กะอีแค่เปลี่ยนสีตาเนี่ย”คนถูกขัดถามขึ้น
“แล้วทำไมพี่ถึงชอบขัดคำสั่งผมหล่ะ” จุนซูพองลมที่แก้มจนทำให้หน้าที่ดูกลมอยู่แล้วกลมหนักเข้าไปอีก
“”จุนซูจ๋า อย่างอนพี่เลยนะ นะ นะ น๊า” อ้อนขนาดนี้แล้วมีหรือที่จุนซูจะงอนต่อไปได้
“กินข้าวให้หมดนะเดี๋ยวผมให้พี่จินฮีมาเก็บ” ว่าแล้วก็เดินออกไปจากห้อง ยองอุงก้าวขาเรียวยาวลงมาจากเตียงแต่จุดหมายกลับไม่ใช่โต๊ะที่จุนซูเพิ่งวางถาดอาหารไว้ให้ แต่กลับเป็นโต๊ะไม้สักตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมขอบหน้าต่างของห้อง ร่างบางเปิดลิ้นชักเพื่อหยิบสมุดสีขาวสะอาดตาปกแข็งขึ้นมา เปิดตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าล่าสุดที่วาด ทุกๆหน้าล้วนมีแต่ปีกสีแดงเข้ม กับดวงตาเรียวเล็กสีแดงเลือดนก คิดแล้วก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องวาดมัน ทำไมถึงต้องรู้สึกหวั่นไหวเมื่อได้แลสบเข้ากับดวงตาลึกซึ้งคู่นั้น แม้กระทั้งในฝันยังหวั่นไหวได้ขนาดนี้แล้วถ้าได้เจอจริงๆหล่ะ จะหวั่นไหวขนาดไหน ไร้สาระหน่า!!! ฝันมันก็คือฝัน ที่หวั่นไหวก็เพราะถูกผู้ชายด้วยกันจ้องตังหาก ฝันถึงเค้าทุกๆวันและฝันแบบนี้ซ้ำๆมาตั้งยี่สิบกว่าปี ถ้าจะฝันต่อไปก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แล้วมือบางก็เริ่มบรรจงวาดโครงหน้าของชายที่ฝันถึง ใบหน้าเรียวได้รูปกับผิวขาวสะอาดตา คิ้วหนา ดวงตาเรียวเล็กสีแดงเลือดนก จมูกโด่งเป็นสัน ปากบางสีแดงสดไร้การแต่งแต้มใดๆ
ยิ่งวาดก็เหมือนยิ่งได้ใกล้ชิด
ก็ยิ่งทำให้รู้สึกผูกพันธ์
คิดถึง
และโหยหา
มือบางยกขึ้นสัมผัสกับส่วนต่างๆบนใบหน้าของผู้ที่เจ้าตัวกำลังวาดและกำลังนึกถึง ไม่ว่าจะเป็น ดวงตา จมูก พวงแก้ม หรือปากกระจับนี้ทำไมถึงได้รู้สึกผูกพันธ์มากมายขนาดนี้กันนะ ไม่ว่าจะถามตัวเองกี่ร้อยกี่พันครั้งแต่ก็ไม่เคยได้คำตอบเลยสักครั้ง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ร่างบางสะดุ้งตื่นจากภวังทันทีเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูมือบางกระตุกซ้อนสมุดสีขาวไว้ด้านหลังก่อนจะเอ่ยปากอนุญาตให้ผู้ที่อยู่ด้านนอกเข้ามา
“เข้ามา” เมื่อบานประตูเปิดออกก็เผยให้เห็นหญิงสาวที่ถือได้ว่าเป็นคนสวยมากคนหนึ่ง ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ ดวงตากลมโตกับขนตาที่งอนยาวเป็นแผง จมูกโด่งได้รูปรับกับปากบาง ผมดำสนิทที่ดำยิ่งกว่าหมึกจีน ตรงยาวลงมาถึงสะโพกตัดกับใบหน้าขาวสะอาด ทุกๆอย่างบนใบหน้านี้ช่างงดงามและน่าหลงใหลนัก ร่างสะโอดสะองเดินตรงไปยังโต๊ะใกล้ตัวแล้วเปิดดูสิ่งที่อยู่ในนั้น
“ทำไมคุณยองอุงกินเหลือเยอะแยะอย่างนี้หล่ะคะฝีมือจินฮีตกหรอ”
“ไม่ใช่กินเหลือ แต่ยังไม่ได้กินเลยตังหาก” ว่าแล้วก็ลุกไปดึงมือจินฮีให้มานั่งใกล้ๆ
“จินฮีป้อนหน่อยนะน๊า” จินฮีไม่พูดอะไรแต่ก็ตักอาหารใส่ปากคุณยองอุงขี้อ้อนโดยดี เพราะรู้ว่าเมื่อใกล้คืนเดือนแรมยองอุงของเค้าจะขี้อ้อนมากขึ้นหลายเท่า ยองอุงไม่ชอบอยู่คนเดียวในคืนที่แสงจันทร์ไม่ส่องแสงประกายอย่างเต็มที่ ยิ่งหากคืนไหนเป็นคืนเดือนแรมด้วยแล้วยองอุงจะไม่ยอมอยู่คนเดียวโดยเด็ดขาดไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม และทุกคนในบ้านก็จะผลัดดันมาอยู่เป็นเพื่อนคนขี้อ้อน แต่คืนไร้จันทร์ครั้งหน้าก็คงไม่มีใครสามารถมาอยู่ด้วยได้อีกแล้วเพราะถึงเวลาแล้วที่เจ้าของตัวจริงจะมาเอาดวงใจที่ทำหายไปนับร้อยปีคืน
“คืนเดือนแรมนี้ข้าจะไม่ไปหาแจจุง” ราชาปีศาจเอ่ยขึ้นหลังจากเห็นภาพของ แจจุง หรือ ยองอุง ในปัจจุบัน ไม่ว่าแจจุงจะทำอะไรก็ไม่เคยคลาดสายตาของราชาปีศาจอย่างเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว
“ท่านจะบ้าไปแล้วหรือ!!! ทั้งๆที่ท่านรอคอยอย่างทุกข์ทรมานมานับร้อยปี แต่พอถึงเวลาท่านกลับวิ่งหนี” สหายคนสนิทเอ่ยขึ้นอย่างตกใจกับคำพูดของจอมราชันแห่งความตาย
“เจ้าก็เห็นนี่ ฮยอนบิน ว่าแจจุงของข้ายังไม่พร้อม หากข้าปรากฏตัวก็รังแต่จะทำให้......”ยังไม่ทันที่ราชาปีศาจจะพูดจบฮยอนบินก็ขัดขึ้น
“ข้ารู้ว่าท่านกลัว กลัวสายตาของแจจุงที่มองท่านจะเปลี่ยนไป อาจจะเย็นชาจนเชือดเฉือนใจท่าน แต่หากท่านปล่อยแจจุงไปครั้งนี้ ท่านก็รู้ว่าท่านจะเสียเค้าไปตลอดกาล.....”
“โอ๊ะ! น่ารักจังเลย” ยองอุงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสารคดีช้างที่ถ่ายทำจากเมืองไทยผ่านตู้สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ใครๆในบ้านก็รู้ว่าคุณยองอุงชอบช้างและใฝ่ฝันอยากเห็นช้างตัวเป็นๆและอยากขี่ช้างมากแค่ไหน
“ยูชอนจ๋า” เรียกเสียงความจ๋อยพลางยิ้มให้กว้างและหวานที่สุดเท่าที่เคยทำ ขยับตัวเข้าไปใกล้ยูชอนจนแทบจะขึ้นไปปีนอยู่บนตัวของอีกฝ่ายอยู่แล้ว
“ผมรู้ว่าพี่จะขออะไร.....แต่ไม่ได้ครับ” คำพูดของยูชอนเปรียบเสมือนคนมาดับสวิชไฟ รอยยิ้มที่ปั้นแต่งบนหน้าสวยหวานเมื่อสักครู่พังทลายลงทันที
“ทำไมอะยูชอน พี่ไม่เข้าใจ ตั้งแต่เกิดมาพี่ยังไม่เคยได้ออกไปไหนไกลเกินสวนหน้าบ้านเลย แต่ในขณะที่นาย
จุนซู แล้วก็จินฮีไปไหนมาไหนได้ตามสบาย พี่ไม่เข้าใจพวกนายเลยจริงๆ”คนสวยเริ่มโวยด้วยประโยคเดิมๆทั้งๆที่รู้ว่าคำตอบที่ได้ก็เหมือนเดิมทุกๆครั้งที่เค้าขอออกไปไหนและครั้งนี้ก็เช่นกัน
“มันยังไม่ถึงเวลาครับ” ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยหากเป็นเวลาปกติยองอุงจะชอบที่ไม่มีใครเถียง ขัดใจ หรืออธิบายอะไรยืดยาวให้ลำคาญ แต่ไม่ใช่เวลานี้เพราะตอนนี้เค้าอยากได้คำตอบที่ไม่ใช่ ‘มันยังไม่ถึงเวลา’ น้ำเสียงแบบนี้มันทำให้คนสวยอารมณ์เสียนักแหละ แค่อยากไปดูช้างทำไมต้องห้ามกันด้วย!!!! พวกนายมันบ้า เผด็จการที่สุดเลย!!!!
“แกจะบ้าหรอ!! ฉันหน่ะอายุ 22 แล้วนะ ฉันแก่กว่าแกอีก ทำไมฉันจะออกไปข้างนอกไม่ได้” เริ่มเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกขาน เป็นที่รู้กันดีว่ายองอุงเป็นคนขี้โมโหและใจร้อน แค่ไหน แล้วยิ่งโตมาแบบถูกตามใจ ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างในบ้านขึ้นอยู่กับยองอุง แม้ทุกคนไม่บอกแต่ยองอุงก็รู้ ยิ่งโตมาแบบนี้ด้วยแล้ว เค้าคงไม่ยอมง่ายๆหรอกถ้าไม่มีเหตุผลที่ดีพอ และไม่ยอมให้ใครมาขัดใจง่ายๆด้วย
“ใจเย็นๆสิครับพี่”
“ฉันไม่เย็นแล้วเว่ย แกเอาแต่ห้ามๆๆๆๆๆ ฉันอย่างเดียว อย่างนั้นก็ไม่ดี อย่างนี้ก็ไม่ได้ ไอ้พวกบ้า ไอ้พวกเผด็จการ!!! แกเป็นน้อยเขยฉันหรือเป็นพ่อฉันกันห๊า ไอ้ปาร์คยูชอน ฉันหล่ะเบื่อแกจริงๆเลย ให้ตายดิ!!”
“ฟังผมก่อนสิครับ ผมสัญญาว่าอีกไม่นานพี่จะได้ไป...ไปกับคนที่เค้าเป็นของพี่จริงๆ”
“จริงหรอ!! พี่รักนายจังเลย พ่อน้องเขย” เปลี่ยนอารมณ์อย่างกระทันหันจนคู่สทนางงจนไม่รู้จะทำหน้ายังไงจึงได้แต่ยิ้มรับ ยองอุงที่มัวแต่ดีใจจึงไม่ได้ใส่ใจกับประโยคหลังที่ยูชอนพูดนัก แต่นั่นคือประโยคที่สำคัญที่สุดสำหรับเค้านับจากนี้ไป
จากวันนั้นที่ยองอุงขอยูชอนออกไปดูช้างข้างนอกจนถึงวันนี้ก็สามอาทิตย์เข้าไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าเขาจะได้ออกไปซักที ไหนยูชอนบอกว่าอีกไม่นานไง ไม่นานบ้าอะไรกัน นี่มันสามอาทิตย์เข้าไปแล้วนะ สามอาทิตย์นะ ไม่ใช่สามวัน อีกอาทิตย์เดียวก็หนึ่งเดือนแล้วนะ ไอ้ยูชอนบ้า ร่างบางเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องอยู่นานหลายชั่วโมง สมองเล็กๆเริ่มทำงานอย่างหนักว่าต้องทำยังไงถึงจะได้ออกไปสักทีและแล้วร่างบางก็ตัดสินใจอะไรได้บางอย่าง
“โอ๊ย ฉันไม่รอแล้วโว้ยยยยยย” ทั้งๆที่รอมาได้ตั้ง 22 ปี แต่ตอนนี้แค่สามอาทิตย์เขาก็เริ่มรู้สึกว่ารอไม่ไหวแล้ว เพราะยูชอนบอกว่าเขาจะได้ออกไป หากไม่ให้ความหวังกันก่อนยองอุงคงจะไม่ใจร้อนแบบนี้ และเขาคงไม่ตัดสินใจทำเรื่องแบบนี้ แม้ว่าเขาจะใจกล้าแค่ไหนก็ตาม
ตุ๊บ!!!
“โอ๊ย!!” ยองอุงร้องพลางคลำก้นป้อยๆเมื่อปีนตกลงมาจากกำแพงสูงชันของบ้านที่เพิ่งเคยย่างกายออกมาเป็นครั้งแรก ผิวขาวนวลต้องแสงจันทร์เสี้ยวทำให้ใบหน้าที่งดงามและหวานอยู่แล้วนั้นยิ่งดูหวานขึ้นไปอีก ไม่จำเป็นที่ยองอุงคนนี้จะต้องรออีกต่อไปแล้ว ในเมื่อยูชอนยังกล้าที่จะโกหกกันถ้าทำแบบนี้ก็คงไม่เป็นอะไร ขาเรียวราวเริ่มออกเดิน ดวงหน้าหวานหันรีหันขวาง แม้ตรงนี้จะห่างจากบ้านแค่รั้วกั้นแต่เค้าก็ไม่รู้สึกคุ้นเคยเลยสักนิด ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ใช่ว่าเพราะจำทางไม่ได้ แต่เป็นเพราะไม่เคยได้ออกมาเลยตังหาก เดินไกลออกมาเรื่อยๆจนเริ่มเห็นผู้คนขวักไขว่ ภาพสังคมเมืองโซลยามค่ำคืนปรากฏให้เห็นสู่สายตา รถยนต์วิ่งทั่วท้องถนนและตึกสูงเสียดฟ้าที่แสดงให้เห็นถึงฐานะที่มั่งคั่งของผู้คนในเมืองนี้ ตรงที่ร่างบางยืนอยู่นี้เป็นสี่แยกใหญ่ที่มีผู้คนเดินไปเดินมาตลอดคืน มีรถวิ่งไม่ขาดสาย แสงไฟจากร้านค้าและห้างสรรพสินค้าอันหรูหราส่องออกมาประทะกับแสงไฟที่มาจากรถและแสงไฟถนนจึงทำให้ค่ำคืนนี้ที่มีดวงจันทร์เพียวแค่เสี้ยวเดียวเช่คืนนี้สว่างไสวยิ่งนัก ตรงข้ามฝั่งถนนมีโปรเจ็คเตอร์ยักษ์ติดอยู่บนตึกสูงของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ซึ่งมีผู้คนมากมายยืนอยู่โดยรอบอย่างให้ความสนใจกับสิ่งที่ฉายอยู่บนโปรเจ็คเตอร์ยักษ์นั่น ทั้งเสียงและขนาดใหญ่ของมันก็ดึงดูดยองอุงด้วยเช่นกันแม้โปรเจ็คเตอร์นั้นจะใหญ่กว่าที่บ้านของเขาไม่มากก็ตาม ร่างบอบบางมองไปยังตึกนั้นอย่างตั้งใจด้วยที่ไม่เคยได้มีโอกาสได้ออกมายังโลกภายนอก สองขาก้าวลงจากฟุตบาทตรงไปยังอีกฝั่งถนนเพี่อที่จะเข้าไปใกล้โปรเจ็คเตอร์ขนาดยักษ์ที่ติดอยู่บนตึกสูงนั่นให้มากขึ้น อยากจะมองให้ชัดๆ อยากจะลองเข้าไปอยู่ในฝูงคนเยอะๆ ไม่อยากอยู่ในที่เงียบสงบจนเหมือนไร้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เหมือนที่บ้าน มันเหงา แม้จะบอกตัวเองอย่างนั้นแต่ตัวยองอุงเองรู้ดีว่าไม่ชอบที่เงียบๆเพราะจะทำให้ใจนึกไปถึงใครบางคนที่อยู่ในความฝัน ไม่ใช่ว่าเหงาอย่างที่หลอกตัวเองมาตลอด ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่เขาก็ยังไม่อยากรับความจริงสักเท่าไหร่นัก
ปิ๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนน !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เสียงแตรดังลั่นพร้อมแสงไฟสว่างจ้าสาดส่องเข้ามายังดวงหน้าจนทำให้ต้องหลับตาลงพร้อมรอรับแรงกระแทกอันหนักหน่วงและรุนแรง แต่ก่อนที่รถยนต์คันนั้นจะพุ่งเข้ามา ร่างของยองอุงก็ถูกกระชากออกมาให้พ้นเส้นทางของรถ สัมผัสที่รู้สึกตอนนี้คือ อบอุ่น นิ่มนวล และเบาหวิว
“นั่นเจ้ากำลังจะไปไหนหรือ” เสียงกระซิบที่ข้างกกหูทำให้ร่างบางรู้ว่ากำลังตกอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคน ใบหน้าหวานซบอยู่ที่อกกว้างแข็งแกร่ง พวงแก้มขาวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ
“ผะ....ผม จะไป
.” เงียบหวานขาดห้วงไป เพราะเจ้าตัวลืมไปแล้วว่าตั้งใจจะไปไหน เพียงแค่เจอสัมผัสที่อบอุ่นและรู้สึกคุ้นเคยจนน่าแปลกก็เล่นเอาสติอันน้อยนิดเริ่มกระเจิดกระเจิง ใจเต้นแรงจนคับอก
“ช่างเหอะ หากเจ้าไม่อยากจะบอก แต่ว่า...เจ้าไม่คิดจะขอบคุณข้าหน่อยหรือ ‘คิมแจจุง’ ”
“คิมแจจุง?? “ ทวนคำเรียกขานนั้นอย่างงุนงง ชายคนนี้เป็นใครกันคำพูดคำจาก็แปลกๆซ้ำยังเรียกเค้าว่า “คิมแจจุง” อีกตังหากแม้จะแปลกแต่ยองอุงกลับไม่รู้สึกรังเกียดสัมผัสอบอุ่นเช่นนี้เลย แม้จะอยากปฏิเสธที่ว่า เขาชอบสัมผัสนี้ด้วยซ้ำ แต่ก็ดูเหมือนจะทำไม่ได้เพราะเขาอยากอยู่ในอ้อมกอดนี้ไปนานๆ
“ขะ...ขอบใจ แล้วคุณจะ......”คำพูดขาดหายไปเมื่อใบหน้าสวยหวานเงยขึ้น แลสบเข้ากับดวงตาเรียวเล็กสีแดงเลือดนกลึกซึ้งและปีกเฉดสีเดียวกับดวงตาคู่นั้น เมื่อสมองประมวลได้ว่าคนตรงหน้านี้เป็นใครสติก็พลันหลุดลอย
ยุนโฮมองคนตัวบางในอ้อมกอดแล้วก็นึกขัน เพียงแค่เห็นคนในความฝันมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าก็หมดสติ แล้วหากรู้ตัวว่าไม่ได้ยืนอยู่บนผืนดินแต่อยู่ในอ้อมกอดบนฝากฟ้าจะเป็นเช่นไรกัน
“คุณยองอุง ตื่นได้แล้วค่ะ”
“อืม
.” ยองอุงขยับร่างกายแต่ไม่ยอมลืมตา เมื่อภาพความทรงจำของเมื่อคืนหวนเข้ามาในห้วงความคิดร่างบางก็ลืมตาโพร่ง ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงอย่างรวดเร็วพลางกวาดสายตาไปรอบๆตัว
“จินฮีเมื่อคืน....ฉันกลับมาได้ยังไง”
“กลับ?? กลับอะไรคะ คุณยองอุงก็อยู่นี่ทั้งคืนหนิคะ
“แต่ว่า.....” สัมผัสและอ้อมกอดที่อบอุ่นยังรู้สึกได้ เมื่อจับที่อกข้างซ้าย หัวใจก็ยังเต้นรัวเร็วและรุนแรงอยู่เลย
“คุณยองอุงคงฝันหล่ะมั๊งคะ จินฮีไปก่อนนะคะ คุณยูชอนเรียกหาไม่รู้มีเรื่องอะไร” ฝันหรอ คงงั้นมั๊งในโลกแห่งความเป็นจริงคนเราจะมีปีกเหมือนหมอนั่นที่เจอในฝันได้ยังไงจริงมั๊ย?? แต่ความคิดนั้นก็ต้องสะดุดไปเมื่อมือบางได้สัมผัสกับบางสิ่งที่มีเฉดสีแดงเข้มและนิ่มนวลราวกับขนของปีกนก
ร่างเพรียวเดินลงจากห้องของยองอุงมายังห้องนั่งเล่นซึ่ง จุนซูและยูชอน นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
"มีอะไรหรอยูชอน"จินฮีเอ่ยถามเมื่อเดินลงมาถึง
"นั่นสิ ฉันเองก็สงสัย ทำไมถึงต้องรอพร้อมหน้ากันอย่างนี้" จุนซูเองก็อดสงสัยคนรักไม่ได้ นานเท่าไหร่แล้วที่ยูชอนและจุนซูไม่ได้ยุ่งกับจินฮีแม้จะอยู่บ้านเดียวกันแต่ก็ต่างคนต่างอยู่จะเจอหน้ากันก็แค่ตอนที่จินฮีเข้าไปรับใช้แจจุงแล้วทั้งสองเข้าไปหาพอดีก็เท่านั้น
"เมื่อราวานฮยอนบินเรียกฉันไปพบ ใกล้ถึงเวลาแล้วที่ท่านพี่จะมารับแจจุงไป"
"เหลือเวลาอีกนานเท่าไหร่?"
"สองวัน......"
ความคิดเห็น