ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    MAKE A WISH

    ลำดับตอนที่ #2 : ปราสาทยกกำลังสอง

    • อัปเดตล่าสุด 13 ธ.ค. 52


                 

                 สายลมพลิ้วไหวกระทบดอกลาเวนเดอร์ในสวนให้โบกสะบัดโอนเอียงไปตามสายลม พัดพาเอากลิ่นหอมอ่อนๆฟุ่งกระจายทั่วบริเวณ ดุจกลิ่นจากสรวงสวรรค์ที่ยากจะหาชม (เพ้อเจ้อไป    -_-^ ) ยิ่งมีเสียงบรรเลงขับกล่อมจากฝูงวิหกตัวน้อยที่บินร่อนในสวนและแสงสีทองอร่ามที่ส่องสว่างอำพันของสุริยายามอรุณรุ่ง ยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรอยเป็นดุจดั่งสวรรค์บนดินขนานแท้ (แบบนี้เค้าเรียกว่า อติภพแล้วพี่...เว้อซะไม่มี  -o-)

                เมื่อสอดส่องสายตาไปยังบริเวณปลายสวนก็พบปราสาทหลังน้อยที่ตั้งเด่นเป็นสง่าท่ามกลางทุ่งลาเวนเดอร์แลดั่งเช่นเทพนิยายก็มิปาน (แต่มันก็แค่...แค่...แค่นิยายน้ำเน่าธรรมดาเองหง่ะ - +-^) ภายในปราสาทประดับประดาไปด้วยเครื่องประดับตกแต่งนานาชนิดซึ่งพูดได้ว่าถูกสรรค์หามาจากทั่วทุกมุมโลกเพื่อมาประดับยังปราสาทหลังนี้ ไม่ว่าจะเป็นชุดเกาะนักรบสมัยโรมันที่วางเรียงรายเป็นแถวตลอดแนวทางเดินจนไปถึงห้องโถงใหญ่ หรือจะเป็นภาพเขียนของศิลปินชื่อดังจากนานาประเทศและยังรวมไปถึงภาพเขียนลงเวทมนต์ของศิลปินนักเวทย์ชื่อก้องโลก ที่ภายในภาพสามารถเคลื่อนไหวจากกราบนี้ไปกราบนู้นจนส่งผลให้กรอบรูปบางกรอบแลดูว่างเปล่า (บรรยายอยู่ได้เข้าเรื่องได้แล้ว<คนอ่าน>) ที่แขวงเรียงรายกันดุจดั่งเกอลอรี่ที่จัดแสดงภาพเขียนไว้ประมูลแข่งกันของบรรดาผู้ชอบสะสมผลงานศิลปะ (แบบนี้เค้าเรียกคลั่งตะหากพี่) แต่เหนือสิ่งอื่นใดผลงานที่ดูน่าชื่นชมแลน่าครอบครองที่สุดคงหนีไม่พ้นเด็กชาย (คนเดิม) ผิวขาวดุจสุนัขจิ้งจอกหิมะที่ยืนนิ่งดั่งรูปปั้นทอดสายตาชื่นชมทัศนียภาพรอบนอกอาคารอย่างเหม่อลอยไร้จุดหมายแลไร้ขอบเขตผ่านหน้าต่างบานเล็กๆ (แต่ก็ใหญ่กว่าตัวเด็กชายแหละ) ที่สามารถมองเห็นทุกมุมในสวนอันเต็มไปด้วยดอกไม้สีม่วงอ่อนซึ่งส่งกลิ่นหอมจางๆ แต่ชวนดึงดูดให้เข้าไปใกล้และน่าไขว่ว้ามาครอบครอง (ยังจะบรรยายอีก -3- <คนอ่าน>) (คับๆเข้าเนื้อเรื่องให้เดี๋ยวนี้ล่ะคับ >o< <คนเขียน>) ถึงแม้สายตาของเด็กชายจะจดจ่ออยู่ในสวนของดอกลาเวนเดอร์ที่บานสะพรั่งรับสายวาโยอันเบาบาง แต่ภายในใจดวงน้อยของเด็กชายกับคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่ได้พบเจอกับเด็กหญิง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เจอกันครั้งแรกหรือตอนที่เจอกันในงาน คิดไปคิดมาเด็กชายก็เพียงได้แต่ต้องปลงตกก็เหตุการณ์แต่ล่ะครั้งมันชั่งน่าจดจำทั้งนั้นนี่    

                ตกลงก็ไม่ได้คุยกันดีๆซะที แต่ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยก็รู้ว่ายายนั่นชื่อ มามุระ ดิวมารุ ดิวมารุเหรอ ชื่อแปลกจัง หวังว่าคงได้เจอกันอีกนะเอ้อ…...แต่ไม่แน่ใจแล้วดิ ว่าเจอกันคราวหน้า เค้าจะพูดดีกับเราป่ะ ก็ดันไปยั่วเค้าไว้เยอะนี่เนอะ ช่วยไม่ได้ (-o-)

            เด็กชายอยู่ในพะวงความคิดของตนได้ไม่นานสายตาก็ไปสะดุดกับเงาตะคุ่มๆ ภายในสวนที่ดูแล้วมันชั่งคุ้นตานัก (เอาเข้าไป -_-) ยิ่งมองดูเงานั้นก็ยิ่งคุ้นตา ยิ่งดูอีก ก็ยิ่งคุ้นอีก

                “ เอ๋หรือว่าจะเป็นยัยนั้น ”

                เมื่อเด็กชายคิดได้ดังนั้น ก็ตัดสินใจใช้สองเท้าหลังใส่ตีนหมา ( ปกติก็หมาอยู่แล้ว -_- ) ตะบึ่งไปหาเงานั้นทันทีภายในใจก็คุ่มคิดไปว่า

                เป็นไงเป็นกัน ยังไงซะ วันนี้จะต้องพูดดี กับยัยนั่นให้ได้

            หากแต่เมื่อกลับสู้โลกแห่งความเป็นจริง เท้าเจ้ากรรมดันไปสะดุดกันเองซะนี่ (สมชอบว่าคนอื่นซุ่มซ่ามดีนัก ) พร้อมกับกรรมซ้ำเวรซ้อนอะไรก็มิอาจทราบได้ จาอะไรน่ะเหรอ ก็ไอเท้าเจ้ากรรมจะสะดุดตรงไหนไม่สะดุด ดันมาสะดุดตรงหน้าลำธารเล็กๆอันใสแจ๋วประดุจนัยน์ตาที่คลอไปด้วยน้ำตาของเด็กน้อย (เอากะมัน <จากคนอ่าน>) แต่แค่นี้มันยังซวยไม่พอ ก็มันยังมีมีมีมีเจ้าของไอเงาที่เห็นเมื่อกี้อีกไงล่ะ มันจึงทำให้เหตุการณ์ที่คาดคิดเกิดขึ้น (ไม่ได้ตกหรอก ก็ถ้ามันไม่คาดคิดจะเดาได้ไงว่าเกิดอะไรขึ้นหง่ะ -_-v ) จึงทำให้คนที่จะมาพูดดีด้วยกับเจ้าของเงาพากันตกลงไปในลำธารนั้นกลายเป็นคู่กัดตกน้ำซะได้ แต่เมื่อเจ้าคนที่จะมาพูดดีด้วยตั้งสติได้ แทนที่จะกล่าวคำขอโทษกับทำปาก DOG ใส่เค้าอีก ซะงั้น

                “ ยัยเบื๊อก มายืนทำงั่ง ทำไมแถวนี้ เห็นไม๊ !!! ทำให้ฉันต้องตกน้ำเลย ”

                เมื่อเด็กหญิงได้ยินเสียงเห่าของเด็กชาย ก็ทำให้ได้สติและตัดสินใจทำปากเก่งด่าเด็กชายกลับไป เพราะหวังว่าเด็กชายจะสำนึกได้และเอ๋ยคำขอโทษออกมา

                “ นายนั่นล่ะ ที่วิ่งมาชนฉันตกน้ำ แล้วยังมาด่าฉันอีก ไม่ทราบว่าสมองมีปัญหารึไง -_-*

                “ เธอว่าใคร สมองมีปัญหาฮะ!!! ก็ถ้าเธอไม่มายืนงั่งอยู่ตรงนี้ ฉันก็คงไม่ตกน้ำหรอก ยัยบ๊อง ”

                “ คำก็ งั่ง สองคำก็ บ๊อง สามคำก็ เบื๊อก นายนี่มัน ปากม๊อมมอมเหมือนหน้านายเลยนะ น้องมอมน้อย

                “ นี่!!! หยุดเรียกฉันว่า หมาน้อยนะ เพราะฉันน่ะ เป็นหมาที่โตแล้ว”

                OO ( สติกระเจิง )”

                หลังจากสิ้นเสียงเด็กชายก็ทำเอาคนงั่งที่อยู่ตรงหน้า ถึงกับงั่งเข้าไปอีก สมองก็คิดว่า

                ไอหมอนี่ อะไรกันนะ หน้าหนาชะไม่มี ฉันคงคิดผิดแล้วมั้ง ที่จะหวังได้ยินคำ ขอโทษ จากไอคนแบบนี้

            “ นี่ ( จิ้มๆๆ )”

                -_- ( เฉย )”

                “ นี่….( จิ้มๆๆๆ )”

                -_- ( เฉย )”

                “ นี่ ( จิ้มๆๆๆๆ )”

                -_- ( เฉย )”

                นี่ยัยบ๊อง!! เป็นไรไปหง่ะ ( เขย่าๆ )”

                “ (ฟื้นคืนสติ ) หา!! นายว่าไงนะ (00)”

                “ ฉันถามว่า เป็นไรรึป่าว อ้อ..รู้แล้ว คงอึ้งกับความ น่ารัก ของฉันละสิ ยัยบ๊อง”

                “ หน้าด้านชะมัด ฉันพึ่งว่านายเป็นหมาเมื่อกี๊ ตอนนี้กลับมาคิดว่า ตัวเองน่ารัก อีก คิดได้ไงเนี่ย ”

                “ ก็ใช้สมองคิดดิ หรือเธอหัว หัวแม่มือคิดล่ะ ”

                “ นี่!! นี่!!! (++) ”

            “ นี่ไร ( เสียงอวดดี ) ”

                “ เฮ้อ…...พอกันที ฉันไม่อยากจะ สนทนา กับนายแล้ว ไปดีกว่า ชิ ”

                หลังจากที่เด็กหญิงกล่าวจบก็เดินหนีห่างเด็กชายไป หากแต่ก็เดินได้แค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น ก็มีมือเล็กๆมาคว้าข้อมือของเธอไว้ พร้อมกับเอ่ยคำที่เธออยากจะได้ยิน แต่ถ้ามันมาจากปากของบุคคลที่อยู่ตรงหน้ามันก็คงไม่มีทางที่เธอจะได้ยิน

            “ ฉัน..ฉัน..เออ..ฉัน..ฉันขอโทษนะ ”

                O_O

                “ เออเออเออคือคือคือ ไม่รู้จะพูดไงดีเออเออเอาเป็นว่า นับจากนี้ไป เรามาเป็นเพื่อนกันนะ ( >< )”

                OO

                อะไรของหมอนี่นะ เปลี่ยนอารมณ์ง่ายชะมัด เมื่อกี้ยังทำปากหมาอยู่แท้ๆ บทจะซึ้งก็ซึ้งเอาง่ายๆ แล้วนี่ยังจะมาขอเป็นเพื่อนเอาดือๆอีก มันอะไรกันน้าทำฉันงงไปหมดแล้ว

            นี่คือความคิดของเด็กหญิง หลังจากได้ยินคำพูดอันไม่คาดฝัน แต่เธอก็ได้แต่คิดเท่านั้นเพราะตอนนี้ ตั้งแต่ปลายเส้นผมจรดปลายเล็บเท้าของเธอ ได้หยุดทำงานอันเป็นเหตุมาจากการได้ยินคำพูดบ้าๆนั้นของเด็กชายเข้า แต่ก็เป็นได้แค่เพียงชั่ววินาทีเท่านั้นจะอะไรซะอีกล่ะก็อย่างที่คิดไง

                OO ” ( เด็กหญิง )

                “ ก๊อก ก๊อก ก๊อก ( ตีแขน ) ” ( เด็กชาย )

            OO ” (ไรปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้า )

            “ จี้ จี้ จี้ ” ( จี้เอว )

                OO ” ( ใช้การนิ่งเฉยเป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้า )

                “ ดึง ดึง ดึง ” ( ดึงผมเล่น )

                OO ” (ไม่รับสิ่งเร้าเข้าสู่ซีรีบรัม )

    (ไอที่ตัวชาหง่ะ คงไม่ใช่เพราะคำพูดมั้ง <คนเขียน>)

                “ เฮ้!!!!! ยัยบ๊อง เป้นไรไปเนี่ย ” ( ใช้มือตบศีรษะเข้าเต็มรัก )

            “ โอ๊ย!!! ทำบ้าอะไรของนายหน่ะ ”

                “ ก็ชุบชีวิตยัยเหม่อไง ^^

                “ ยัยเหม่อ ?? ใครหน่ะ ?

                “ ก็เธอไง ยัยเหม่อ นี่นอกจากจะ บ๊อง เซ่อ ซุ้มซ่าม เบื๊อก แล้วยังจะชอบเหม่อ อีก อยากรู้จัก รอดมาได้ไงเนี่ย ”

                “ นี่มันจะดูถูกกันมากไปแล้วนะ ว่าแต่คนอื่น หัดดูตัวเองชะมั่งดิ จะเป็นหมาก็ไม่ใช่ คนก็ไม่เชิง ที่สำคัญปากยังไม่สร้างสรรค์อีก แล้วแบบนี้ใครเค้าอยากจะมาเป็นเพื่อนด้วยล่ะ เคยคิดบ้างไหม๊เนี่ย ตาบ้า!!

                …=_=*…

            แทนใจดำล่ะสิ ? ถึงได้ซึมไปเลยน่ะ

                (><) ในที่สุดฉันก็ทำให้ไอหมอนี่ซึมได้แล้ว ฮิ ฮิ ฮิ ต่อไปนี้คงรู้แล้วสิ ว่าใครเป็นใคร (><)

                นั่นสินะ ที่เธอพูดแบบนี้มันก็ถูก งั้นก็แสดงว่า...แม้แต่เธอก็ไม่อยากเป็นเพื่อนฉันน่ะสินะ...(=_=)

                “ … ”

                งั้นขอโทษนะที่รบกวน ขอโทษที่ฉันทำให้ลำบากใจ ต่อไปนี้ฉันจะไม่มาให้เธอเห็นหน้าอีกก็แล้วกัน (=_=)

                หลังจากกล่าวคำนั้นออกไปบุคลิกของเด็กชายก็เปลี่ยนไปจากเด็กที่กวนอวัยวะเบื้องล่างกลับกลายเป็นเด็กที่เก็บกด อดทุกข์และซึมเศร้า อย่างเห็นได้ชัดเจน จนทำเอาเด็กหญิงที่อยู่ตรงหน้าถึงกลับซึมไปด้วย แต่เธอก็มิเอ่ยคำใดออกมาได้แต่ยืนมองเด็กชายที่อยู่เบื้องหน้าเงียบๆ พร้อมกับคิดในใจไปว่า

                เราพูดแรงเกินไปรึป่าวนะ ?? ถึงทำให้ไอหมอนี่ซึมไปได้ แต่ก็คงสมควรแล้วล่ะปกติชอบยั่วคนอื่นดีนัก...เฮ้อ...ออ...อ.อ...อออออ...ยังไงเราก็ขอโทษไปก่อนล่ะกันไอหมอนั่นจะได้ไม่คิดมากให้เสียหมา

                เมื่อเด็กหญิงคิดได้ดังนั้นก็หันไปยังจุดที่เด็กชายเคยยืนอยู่ แต่บัดนี้เธอกลับมองไม่เห็นอะไรตรงจุดนั้นอีกแล้ว นอกไปเสียจากความว่างเปล่าและเหล่าดอกไม้สีม่วงที่ต่างชูช่ออวนความงาม เธอจึงสอดส่องสายตามองไปยังบริเวณรอบๆด้วยหวังว่าจะได้เห็นเด็กชาย แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อสายตาของเธอมิอาจมองเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดใดเลยนอกไปเสียจากดอกลาเวนเดอร์ที่สิ่งกลิ่นหอมละมุนรอบกาย

                ฝ่ายเด็กชาย เมื่อเดินจากเด็กหญิงมาก็ได้ปล่อยใจให้ล่อยลอยไปตามสายวาโยที่พัดพาเอากลิ่นหอมละมุนของเหล่าดอกลาเวนเดอร์น้อยไปสู่ดินแดนอันไกลโพ้น พร้อมกับใบหน้าน้อยที่ก้มลงมองพื้นอย่างเหม่อลอย แต่หามีผู้ใดรู้ไม่ว่าภายในดวงตาของเด็กชายได้ปรากฏหยดน้ำใสๆไหลออกมาเปื้อนแกล้มแดงๆทั้งสองข้างแล้วหยดย้อดลงสู้เหล่าดอกไม้สีอเมทินทำเอาบรรยากาศโดยรอบข้างของเด็กชายมีเคล้าความเศร้าหมองไปตามกัน

               

               

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×