คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : หมาน้อยกับเด็กหญิง
“ ปู่ฮะ !!!!!! ผมไปเล่นในสวนตรงนู้น....น..นนน.... นะฮะ ”
“ อือระวังด้วยน่ะริวอิจิ ”
“ คร้าบ.......บ..บบบ...”
หนูน้อยหน้าตาน่ารัก พูดกับปู่ด้วยท่าทางตื่นเต้นบอกให้รู้ว่าตนพร้อมที่จะไปโลดเล่นในสวนเต็มที่ ทำให้ผู้เป็นปู่ใจอ่อนและจำนนกับท่าทางของหนูน้อยไปด้วย
เมื่อแยกจากผู้เป็นปู่เด็กชายได้วิ่งเล่นอยู่ในสวนที่เต็มไปด้วยดอกลาเวนเดอร์ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ซึ่งทำให้ผู้ที่เข้ามาสัมผัสต้องหลงไหลและเคลิบเคลิมไปกับมัน ยิ่งบวกกับสายลมอ่อนๆและแสงตระวันยามจะลับขอบฟ้ายิ่งทำให้สวนแห่งนี้ดูมีมนต์ขังมากขึ้น ด้วยเหตุนี้เด็กชายจึงเพลดเพลินไปกับเสน่ห์อันน่าหลงไหลของสวนจนไม่ทันสังเกตเห็นผู้ที่กำลังย่างกายเข้ามาใกล้แม้แต่น้อย
“ นี่นายเป็นใครอ่ะ?มาทำอะไรในสวนดอกไม้ของฉัน?! ”
เด็กหญิงท่าทางน่าเอ็นดูและสง่างามพูดขึ้นด้วยร้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของทำให้เด็กชายผู้กำลังวิ่งเล่นในสวนอย่างสบายใจต้องหยุดชะงักและหันไปมองรอบๆเพื่อให้แน่ใจว่าเธอกำลังพูดอยู่กับเขา
“ เธอพูดกับฉันเหรอ? ”
“ ก็นายนั่นแหละไม่ใช่นายแล้วจะเป็นใครแถวนี้มีหมาที่ไหนอีกล่ะหา?!!! ”
เด็กชายถามกลับไปเพื่อความแน่ใจแต่เด็กหญิงกลับทำท่ารำคาญนิดๆใส่คนถามซะงั้น...
“ ว่าแต่ที่ฉันถามว่านายเป็นใคร...ตกลงนายเป็นใครล่ะ? ”
“ ฉันชื่อริว...คุโด้ซุน ริวอิจิเป็นหลานชายของท่านแคนนาดะน่ะ ”
คนถูกถามตอบกลับไปด้วยท่าทางกล้าๆกลัวๆว่าคนถามจะสวนอะไรมาให้อีกแต่คนถามกลับทำท่าตกใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าเด็กชายคนนั้นเป็นใคร
“ หา!!!นายเนี่ยนะ?? เป้นหลานชายท่านเเคนนาดะผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้น! ”
“ ก็ใช่น่ะดิหรือจะไม่เชื่อหา?! ”
“ ก็ไม่เชื่อน่ะดิหมาอย่างนายเนี่ยนะจะเป็นหลานของผู้ที่ใครๆต่างก็นับถือ จ้างให้ฉันก็ไม่เชื่อหรอกถ้านายเป็นสัตว์เลี้ยงเค้าก็ว่าไปอย่าง ”
เด็กผู้หญิงพูดด้วยท่าทางและน้ำเสียงที่บอกถึงความไม่เชื่อถือและดูหมิ่นเด็กชายแบบสุดๆทำให้คนฟังถึงกับเลือดขึ้นหน้า
“ พูดงี้หมายความว่าไงนะ? ”
“ ก็หมายความอย่างที่พูดไง ดูยังไงๆนายก็เป็นหมาชัดๆ...ไอ้หมาน้อย ”
“ พูดให้มันดีๆหน่อยนะอย่าถือว่าตัวเองเป็นผู้หญิงแล้วฉันจะไม่กล้าทำอะไรน่ะ...ยายบ๊อง ”
“ นี่นายกล้าดียังไงมาหาว่าฉันบ๊อง?! ก็นายมันหมาชัดๆดูยังไงก็หมา ”
“ อย่ามาว่าฉันเป็นหมานะ!”
“ จะไม่ให้ว่าได้ไง..ก็นายมีหางแล้วก็หูหมาด้วยนะ ไอลูก... อุ๊บ!!...”
คนพูดพูดยังไม่ทันขาดคำ คนฟังก็เอาปากของตัวเองประกบเข้ากับริมฝีปากคนพูด ทำเอาคนถูกจูบถึงกับอึ้งพร้อมกับยกมือขึ้นตบหน้าคนจูบอย่างจัง
เพี๊ยะ!!!
“ฉันเตือนแล้วก็ไม่เชื่อเองนะ หึ!”
คนถูกตบยังไม่สำนึกดันพูดยั่วคนถูกจูบอีก ทำให้คนที่ถูกจูบยกมือขึ้นเพื่อที่จะตบอีกครั้ง แต่คราวนี้เจ้าคนที่ยั่วโมโหก็เอามือขึ้นมาจับมือที่กำลังจะตบพร้อมทำท่ายียวน
“ เอ๋? ทำท่าแบบนี้แสดงว่าอยากโดนอีกล่ะซิ ”
เมื่อคนฟังได้ฟังก็ถึงกับอึ้ง แล้วเอามือจับที่ปากพร้อมกับน้ำตาซึมและวิ่งหนีไป
“ หึ!ผู้หญิงอะไรปากจัดชะมัด แถมมือหนักอีกตะหาก ”
คนพูด พูดด้วยท่ายิ้มๆพร้อมเอามือลูบแก้มข้างที่โดนตบอย่างสุขใจที่ได้แกล้งผู้หญิงจนร้องไห้
“ คุณชายคะ มาอยู่ที่นี่เอง หาซะตั้งนาน ”
เมื่อคนถูกเรียกหันไปตามเสียงที่เรียก ตนก็เห็นหญิงวัยกลางคน ท่าทางใจดีกำลังเดินเข้ามาหา
“ คุณชายของป้ามาทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะคะ ?”
“ อ๋อ! พอดีผมมาเดินเล่นน่ะฮะ แต่ดันโชคไม่ดี ไปเจอคนปากจัดเข้านะครับป้าอี้ ”
“ เหรอคะ? งั้นกลับกันเถอะค่ะ คุณท่านให้มาตาม ”
“ คับ! ”
เด็กชายพูดพร้อมเดินตามผู้ที่มาตามไป แต่ก็ไม่วายที่จะหันกลับไปมองทางที่เด็กสาวเดินไป แล้วคิดในใจว่า 'เฮ้อ!มัวแต่ทะเลาะกัน เลยไม่รู้เลยว่ายัยบ๊องนั่นเป็นใคร'
“อ้าว?! กลับมาแล้วเหรอริวอิจิ สนุกไหมล่ะ?”
เมื่อเด็กชายกลับมาถึงบ้านก็ได้ยินคำทักทายจากชายสูงอายุท่าทางน่าเกรงขาม ซึ่งในน้ำเสียงบอกถึงความอ่อนโยนและห่วงใย
“ ตอนแรกก็สนุกดีอยู่หรอกฮะ แต่ต้องมาเสียอารมณ์เพราะยัยบ๊องปากจัดที่ไหนก็ไม่รู้ครับปู่”
เด็กชายตอบด้วยท่าทางและน้ำเสียงที่บอกให้รู้ถึงความไม่พอใจ ทำให้ผู้เป็นปู่อดที่จะยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้
“ว่าแต่ปู่เถอะฮะ เรียกผมมาทำไมมีอะไรเหรอฮะ?”
“อ้าว! แล้วเราไม่รุ้เหรอว่าวันนี้วันอะไรน่ะหา?”
“ก็วันคริสมาสต์ไงครับปู่”
“ใช่ วันคริสมาสต์แล้วเราจะมาทำอะไรที่นี่ล่ะ หือ?”
“ก็ป้าอี้บอกว่าคุณปู่มาธุระที่นี่ไงครับ”
“นี่!ตกลงเราไม่รู้จริงๆเหรอว่าวันนี้สำคัญยังไงน่ะ?”
“รู้สิครับ! ก็ผมบอกปู่แล้วไงฮะว่าวันนี้วันคริสมาสต์นะครับ”
“เอ้อ! จริงๆเล้ย...เราเนี่ยลืมแม้กระทั่งวันเกิดตัวเอง”
หลังจากบอกใบ้เจ้าหลานชายผู้ไม่รู้อะไรอยู่นาน ผู้เป็นปู่ก็ทนไม่ไหวจึงต้องเฉลยให้เจ้าหลานผู้ขี้ลืมฟัง เมื่อเจ้าคนจี้ลืมได้ฟังก็ถึงกับร้องอ๋อทันที แล้วทำท่าเขินอายกับความขี้ลืมของตน จนทำให้ผู้เป็นปู่อมยิ้มให้กับท่าทางน่ารักของหลานชายขี้ลืม
“จริงด้วยสินะฮะ วันนี้วันเกิดผม”
“ใช่ วันเกิดเรา ฉะนั้นไปอาบน้ำแต่งตัวซะเดี๋ยวปู่จะพาไปงานเลี้ยง”
“งานเลี้ยงอะไรเหรอฮะ?”
เจ้าคนขี้ลืมแสดงความเปิ่นของตัวเองออกมาอีกแล้วด้วยคำถามที่แม้แต่เด็กทารกก็ตอบได้ ทำเอาผู้เป็นปู่ถึงกับทำท่าเซ็งกับหลานคนนี้เลย
“ก็งานเลี้ยงวันเกิดเราไงล่ะริวอิจิ...ถามได้”
“จริงด้วยฮะ งั้นผมขอตัวนะฮะ เดี๋ยวไม่ทัน”
ว่าแล้วเจ้าคนขี้ลืมก็รีบวิ่งแจ้นไปไปอาบน้ำแต่งตัวทันทีด้วย กลัวว่าจะไม่ทันการ ผู้เป็นปู่เห็นท่าทางของหลานชายก็ถึงกับส่ายหัวพร้อมยิ้มแบบเอือมระอากับพฤติกรรมของหลานคนนี้เหลือเกิน
ณ บริเวณห้องโถงกว้างได้ถูกตกแต่งประดับประดาด้วยลูกโป่งและดอกกุหลาบหลากสี ซึ่งประดับกันได้อย่างลงตัว และตลอดห้องโถงใหญ่บริเวณรอบๆได้เรียงรายไปด้วยอาหารมากมายซึ่งแต่ละอย่างล้วนเป็นอาหารชั้นดี และเลิศรส สีสันสะดุดตาน่ารับประทาน ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแขกภายในงานล้วนเป็นแขกมีระดับ ชั้นมหาเศรษฐีกันทั้งนั้น แต่ละคนแต่งตัวด้วยเครื่องเพชรเม็ดใหญ่น้อย เพื่ออวดฐานะของตนเองบวกกับเสื้อผ้าเยื้อดีราคาแพง ยิ่งทำให้พวกเขาเหล่านั้นไม่น้อยหน้ากันเลย
เด็กสาวผมสีน้ำตาลเข้มจนออกดำ กับนัยน์ตาสีน้ำตาลแดง ริมฝีปากเรียวบางได้รูปที่ออกสีชมพูอ่อนๆช่างเข้ากับผิวสีขาวอมชมพู มีเลือดฝาดดุจกลีบซากุระ ใบหน้านวลได้รูป ทำให้เด็กสาวคนนี้ดูสวยงามและสะดุดตาคนมองได้มากทีเดียว ยิ่งบวกกับชุดสีอเมทินอ่อนๆ ที่ตัดเย็บจากผ้าเนื้อดีกับรองเท้าแก้วสีใสทำให้เธอดุจเป็นเทพธิดาองค์น้อยที่จุติลงมาจากสรวงสวรรค์เลยก็ไม่ปาน(ถ้ามีปีกที่หลังด้วยละก็ยิ่งเหมือน) แค่ก้าวเท้าเข้ามาในงานก็ทำให้บรรดาผู้ที่อยู่ในงานหันมามองตามๆกันแต่เธอก็ไม่ได้สนใจสายตาของผู้คนในงานนัก เพราะเธอได้ใช้สายตาสอดส่องมองหาคนผู้หนึ่งที่เธอเจอเมื่อตอนเย็นและได้ทำให้เธอร้องไห้ เขาผู้นั้นจะมางานนี้หรือไม่?
“ดิวมารุลูกมองหาใครอยู่หรือจ๊ะ?”
เสียงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงดังขึ้นจากปากรุปกระจับบางของหญิงสาววัยสามสิบต้นๆ แต่หน้าตาของเธอกลับสวยดูอ่อนวัยขนาดเด็กสาวๆยังอาย ซึ่งคนผู้นี้ยืนอยู่ข้างๆเธอและเดินเคียงข้างเข้ามากับเด็กสาว
“เปล่าค่ะแม่”
คนถูกถามตอบปฏิเสธแม่ แต่ตรงกันข้ามกับท่าทางที่หันขวาหันซ้ายมองหาคนอยู่อย่างเห็นได้ชัด แต่ผู้เป็นแม่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรมากเพราะถึงถามไปก็ไม่รู้คำตอบอยู่ดี จึงไม่ใส่ใจและเดินไปนั่งที่โต๊ะ ปล่อยให้ผู้เป็นลูกยืนสอดส่องต่อไป แต่รู้สึกตัวอีกทีก็เห็นผู้เป็นแม่ไปนั่งคุยกับเพื่อนอยุ่ที่โต๊ะแล้ว จึงได้วิ่งตามไปหาผู้เป็นแม้ แต่ไอชุดสีม่วงอ่อนที่ยาวจนถึงปลายเท้ากับรองเท้าแก้วส้นสูงเนี่ยดันไม่เป็นใจ ทำให้เธอสะดุดปลายกระโปรง เธอรู้แน่ว่าจะล้มหน้าจูบกับพื้น จึงได้แต่หลับตาปี๋เตรียมรับความเจ็บปวด
โครม!!!! (ใช่แล้ว...ล้มไปแล้วล่ะ - -“)
แต่เมือล้มลงมาไม่ยักเป็นอย่างที่คิดไว้ กลับรู้สึกถึงอะไรนุ่มๆที่รองรับเธออยู่ (แน่นอน..มันไม่ใช่พรม) เด็กสาวจึงตัดสินใจลืมตาขึ้นมา ก็ต้องพบดวงตาสีดำสนิทประกายดุจไข่มุกดำใต้ท้องทะเล อีกทั้งสีผมที่เป็นสีเดียวกับนัยน์ตานั้น ทำให้เขาช่างดูมีเสน่ห์นัก ยิ่งตัดกับผิวขาวขนาดหิมะยังเรียกลูก(คือแบบว่า...ถ้าเรียกพี่มันต้องขาวกว่าแต่นี่แค่เหมือน) ทำให้เด็กชายที่อยู่ตรงหน้ามีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น(แน่นอน...เป็นแบบที่คุณคิด) บวกกับหูสองข้างที่งอกขึ้นกลางหัวเหมือนหูของสุนัขก็ไม่ปานและแน่นอนเมื่อมีหูก็ต้องมีหางสุนัขจิ้งจอกหิมะสีขาวที่เข้ากับสีผิวและชุดสีขาวบริสุทธิ์ ทำให้เขาดูน่ารักจนทำให้เด็กสาวมองอย่างตาค้าง(ไม่ใช่หลงเสน่ห์ แค่ตกใจนะ)
“หนัก! ลุกได้แล้วยัยบ๊อง”
“นี่นายกล้าดียังมาว่าฉันบ๊อง?! ไอลูกหมา”
เสียงดังขึ้นทำเอาเสียบรรยากาศที่เด็กสาวอุตส่าห์สร้างขึ้นมาหมด ซึ่งเสียงนั้นย่อมเป็นเสียงยียวนกวนบาทาของเด็กหนุ่ม ซึ่งถ้าเป็นสาวคนอื่นๆฟังเป็นต้องกรี๊ดสลบแน่ แต่ไม่ใช่สำหรับเด็กสาวที่ล้มทับคนนี้แน่ เพราะไม่งั้นเธอคงไม่สวนกลับดังควับ! ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนักพร้อมดีดตัวออกจากเด็กชายทันทีแต่เด็กชายก็ไม่ยอมน้อยหน้า ลุกขึ้นคว้าแขนเด็กสาวทันที
“นี่! คำขอโทษก็ไม่มาแล้วยังมาหาว่าเค้าเป็นหมาอีก ยัยบ๊อง”
“อย่ามาว่าฉันบ๊องนะ!”
“จะไม่ให้เรียกว่ายัยบ๊องแล้วจะให้เรียว่ายังไงล่ะยัยบ๊อง?!”
“นี่!”
“ทำไม?”
“ฉันชื่อมามูระ ดิวมารุ เรียกให้ถูกด้วยไม่ใช่ยัยบ๊อง”
“รู้ว่าไม่ใช่ยัยบ๊องอย่างเดียวยังซุ่มซ่ามอีก”
“นี่!”
“มีเรื่องอะไรกันหรือเด็ก?”
ขณะที่ทั้งคู่เถียงกันอย่างออกรสออกเดชก็มีเสียงดังขึ้นจากบุคคลที่ใครๆก็ให้การนับถือและแน่นอนว่าคนผู้นั้นต้องเป็นปู่ของเจ้าลุกหมาที่กำลังมีเรื่องกับเด็กสาวอยู่ด้วย ทำเอาทั้งคนทั้งหมาต่างชะงักและหันมามอง
“เปล่าครับคุณปู่ แค่เจอกับยัยซุ่มซ่ามคนนึงเองครับ”
“นี่นายว่าใครซุ่มซ่าม หา?!”
“ก็เธอนั่นแหละ ยัยซุ่มซ่าม”
“พอได้แล้ว เลิกเถียงกันได้แล้วล่ะ ว่าแต่หนูเป็นใครเหรอ?”
คนเข้ามาห้ามเลยดูเข้าให้ ทำเอาผู้ที่กำลังก่อสงครามน้ำลายรอบสองต่างจ๋อยไปตามๆกัน และจากคำดุยังไม่วายที่จะส่งคำถามไปให้เด็กสาวที่กำลังจะถูกหมากัดอีกด้วย (อ้าวไหนว่าไม่ใช่หมาไง?)
“หนูชื่อ มามูระ ดิวมารุ ค่ะ”
“ดิวมารุจังงันเหรอ? อือ หนุอย่าไปถือสาเจ้าริวอิจิเลย เด็กคนนี้น่ะปากเก่งชอบยั่วโมโหแบบนี้แหละ”
“อ้าว?!ได้ไงล่ะครับปู่?”
คนเข้ามาห้ามแทนที่จะเข้าขางหลานชายของตัวเองแต่ดันไปเข้าข้างเด็กสาวแทน(หัวงูอ้ะเปล่าเนี่ย?) ทำเอาเจ้าคนถูกรุมถึงกับโวยกลับทันที แต่ก็เป็นที่พอใจของคนซุ่มซ่ามที่ถูกเข้าข้างซะงั้นล่ะ
“สวัสดีครับแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายที่มาในงานวันเกิดครบรอบ 7 ขวบของคุณชายตระกูลเราทั้งสองคน ขอเชิญคุณชายทั้งสองทานกล่าวอะไรกับแขกที่มาร่วมงานหน่อยครับ”
เมื่อสิ้นเสียงพิธีกรกล่าวเปิดงาน ก็ตามมาด้วยเสียงปรบมือของแขกผู้มาร่วมงานที่ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งบริเวณและผู้มาร่วมงานได้สอดส่องสายตาไปเจอสองพี่น้องที่พิธีกรกล่าวที่เดินขึ้นเวทีเพื่อกล่าวทักทายแขกในงาน แขกทั้งหลายต่างปลาบปลื้มและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นสองทายาทแห่งตระกูล”คุโด้ ซุน” ที่ได้ชื่อว่าร่ำรวยที่สุดในโลก แต่ก็มีคนๆนึงที่รู้สึกตรงข้ามกับคนอื่นโดยสิ้นเชิง(พูดง่ายๆว่าขวางโลกอ่ะ” คนๆนั้นจะเป็นใครซะอีกนอกจากเด็กสาวเจ้าของชุดสีอเมทินนามว่า ดิวมารุ เธอคิดว่ามีเจ้าหมาที่ชอบยั่วโมโหคนเดียวยังไม่พอ ยังจะมีฝาแฝดอีกแบบนี้ต้องประสาทยกกำลังสองแน่
“สวัสดีครับ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ทุกท่านได้ให้เกียรติมาร่วมในงานวันเกิดของผมและน้องชายผมในวันนี้ ผมขอขอบคุณทุกท่านมากเลยนะครับ ขอให้ทุกท่านสนุกอย่างเต็มที่นะครับ”
พอสิ้นเสียงของเด็กชายผู้เป็นฝาแฝดของเจ้าหมาที่หน้าตาเหมือนกันยังกะลิง ขาดแต่ก็หูและหางที่ผู้พี่ไม่มี ก็มีเสียงปรบมือดังกระหึ่มทั่วทั้งบริเวณงาน สิ้นเสียงปรบมือฝาแฝดทั้งคู่ก็เดินลงมาจากเวที และเข้าไปทักทายกับแขกตามโต๊ะต่างๆ ทำให้บรรยากาศภายในงานกลับสู่สภาวะปกติ
ในมุมหนึ่งของบริเวณงานที่เงียบสงบเหมือนไม่ได้อยู่ในที่เดียวกันแล้ว ดิวมารุได้เดินเข้ามาเจอกับริวอิจิที่นั่งเหม่อมองดวงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้าอยู่คนเดียว เธอเลยเดินเข้าไปนั่งข้างๆกับเด็กชายพร้อมส่งเสียงหวานใสน่ารักออกปนแนวกวนโอ๊ยออกมา
“มานั่งหากระดูกแถวนี้เหรอคุณหมาน้อย?”
เมื่อคนถูกยั่วโมดหได้ยินถึงกลับผงักออกจากวังวนความคิดหันไปหาผู้พูดด้วยท่าทางเอาเรื่อง
“โธ่ นึกว่าใครที่แท้ก็ยัยบ๊องเซ่อ นี่เอง ทำเอาเสียบรรยากาศหมด”
“นี่นายว่าใครบ๊องเซ่อยะ?”
“ไม่รู้ ใครอยากรับก็รับไปสิ”
“นายนี่มัน...มัน...”
“มัน..อะไรไม่ทราบ? พุดให้ดีนะเผื่อจะได้ทำเหมือนเมื่อตอนเย็น”
“ไอหมาบ้า”
“จะถือว่าชมแล้วกัน”
“หน้าด้าน”
“ขอบคุณครับ”
แทนที่คนเริ่มยั่วโมโหจะทำให้คนถูกยั่วประสาทแตก แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่ประสาทแตกคือคนที่เริ่มยั่วโมโหเขานั่นเอง(และจะทำไปทำไมเนี่ย?)
ทำเอาคุณเธอค้อนเข้าให้และขณะที่กำลังจะเดินหนีไปเจ้าคนที่ทำให้ประสาทแตกกลับคว้ามือและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังที่ไม่เหลือวี่แววกวนโอ๊ยออกมา
“นี่รู้ไหม? ทุกคนต่างก็มีความลับที่ไม่อยากให้ใครรู้แม้แต่ดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้ายังมีความลับของมันเลย”
จากน้ำเสียงและคำพูดของเด็กชายทำเอาเด็กหญิงถึงกับอึ้งและตะลึงไปชั่วขณะเพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าคนที่กวนประสาทเธออยู่เรื่อยจะพูดแบบนี้กับเธอ จึงทำให้เธอเผลอมองเด็กชายและพูดออกไปอยย่างลืมตัวด้วยน้ำเสียงและแววตาที่แม้แต่เธอเองก็ไม่คิดว่าจะใช้กับเขาได้
“แล้วความลับของดวงดาวคืออะไรเหรอ?”
สิ้นสียงเด็กหญิงเด็กชายได้หันหน้าจากที่แหงนมองท้องฟ้ามามองหน้าเด็กหญิงด้วยแววตาที่เศร้าสร้อยและอบุอ่นทำให้เด็กหญิงสบตากับเด็กชายซักพัก พร้อมคิดว่า 'นี่นะเหรอตัวตนที่แท้จริงของคนๆนี้?'
แต่เด็กหญิงก็คิดแบบนั้นได้แค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้นเมื่อเด็กชายที่เธอกำลังคิดถึงอยุ่นั้นส่งเสียงยียวนใส่เธออีกครั้ง
“แล้วจะอยากรู้ไปทำไมยัยบ๊อง?”
“ก็นายอยากพูดขึ้นมาให้อยากรู้ทำไมล่ะยะ?”
“ที่พูดขึ้นมาก็ไม่ได้ให้อยากรู้ซักหน่อย”
“แล้วจะพูดทำไมล่ะ?”
“ก็อยากพูดแล้วทำไม? มันหนักส่วนไหนมิทราบ?”
“...”
เด็กหญิงไม่รู้จะเถียงอะไร(เถียงไม่ออกว่างั้นเถอะ)จึงได้แต่นึกในใจว่าที่คิดว่าไอหมอนี่อบอุ่นเนี่ยขอถอนคำพูดเลยนะ พร้อมกับก้าวเท้าน้อยๆของเธอออกจากบริเวณนั้นก่อนที่จะมีอะไรไปกระทบเซลล์ประสาทให้มันระเบิดออกมาอีกครั้ง
" ตกลงตัวตนที่แท้จริงของผู้ชายคนนั้นเป็นยังไงกันแน่นะ ทั้งๆที่ดูกวนประสาทขนานนั้นแต่อีกแนวกับเป็นคนที่ดูเศร้าสร้อยและอบอุ่น ...เขาเป็นคนยังไงกันน่ะ... เฮ้อ...แต่ทำไมเราต้องไปคิดถึงคนแบบนั้นด้วยน้า.....น้...นน.นนน.น้า.... คนที่ไม่มีความสุภาพแถมปาก dog อีกตะหาก ..” ( คิดในใจนะขอรับ )
“ อุ๊บ ..”
หลังจากที่เด็กหญิงแยกตัวจากเด็กชายเธอก็ใช้สมองน้อยๆคิดถึงตัวตนที่แท้จริงของคนที่ชอบยั่วคนนั้นตลอด จนไม่ได้ระวังทางที่เท้าน้อยๆของเธอก้าวไปว่ามีใครหรืออะไรอยู่หรือป่าว จนทำให้เธอก้าวขาไปชนกับเด็กชายที่ หน้าตา รูปร่างและน้ำเสียงเหมือนกับเจ้าคนที่เธอคิดถึงอยู่ไม่มีผิด ( นี่ล่ะนิยายของแท้ )
“ ขอโทษเผอิญคิดอะไรเพลินๆๆอยู่เลยไม่ได้มอง นายคงไม่โกรธนะ ”
เด็กหญิงพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อยเพราะกลัวไอคนที่เธอเดินชนจะมีอย่างอื่อที่เหมือนไอคนที่เธอพึ่งเดินจากมา นอกจากรูปร่างน่าตาที่เหมือนกันยังกะหมาพันธุ์เดียวกัน ( คือแบบว่าจะใช้คำว่าแกะมันก็คงจะไม่ได้เพราะเจ้านั่นมันเหมือนหมานี่ ) แต่เธอก็ต้อง อึ้ง ทึ้ง และตะลึง เมื่อเจ้าคนที่อยู่ตรงหน้ากลับเป็นคนที่สุภาพ อ่อนโยน และดูเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งต่างจากเจ้าหมาอีกตัวที่หน้าเหมือนกัน ( นี่ล่ะนิยายน้ำเน่าจริงๆ )
“ ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมก็ต้องขอโทษด้วยที่เดินไม่ระวังเหมือนกัน ว่าแต่คุณเถอะเป็นอะไรมากรึป่าวครับ ”
“ ไม่เป็นไร ว่าแต่นายกับไอหมอนั่นนี่ต่างกันมากเลยนะทั้งๆที่เป็นแฝดกันแท้ๆ ”
“ ไอหมอนั่นคงหมายถึงเจ้าริวน้องชายผมใช่ไหมครับ ”
เมื่อเด็กหญิงรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าต่างจากเจ้าคนชอบยั่วคนนั้นอย่างสิ้นเชิง เธอเผลอปากพูดในสิ่งที่คิดในใจออกมา โดยไม่ได้คิดว่าคนที่อยู่ตรงหน้าจะนำคำพูดของเธอไปบอกเจ้าคนที่เธอนินทารึป่าว
“ใช่ ไอหมอนั่นล่ะ ฉันล่ะไม่รู้เลยว่านายทนอยู่กับไอคนแบบนั้นได้ไงน้า...น้า.....นา....น..น...น..น....น้า ทั้งๆที่นายออกจะสุภาพ ซึ่งต่างจากไอหมอนั่นทั้งชอบยั่ว กวนประสาท แถมยัง...ยัง...ยัง ชั่งเถอะ ขอถามตรงๆเลยนะว่าเป็นแฝดกันจริงหรือป่าวเนี่ย ”
เด็กหญิงนินทาเด็กชายไปในใจก็คิดถึงภาพที่เธอถูกเด็กชายคนที่กำลังพูดถึงยั่วโมโหต่างๆนาๆ จนต้องไปชะงักเมื่อเธอนึกถึงภาพที่ถูกเด็กชายคนนั้นขโมยจูบแรกไปแบบไม่ทันตั้งตัว
“ น้องชายผมไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกครับ ”
“ จะไม่ใช่ได้ไง !!!!! ก็ไอหมอนั่นทั้งกวนประสาท ทั้งชอบยั่วแบบสุดๆ ”
“ งั้นเหรอครับแต่ผมว่าไม่ใช่ ”
“ ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ ”
“ แล้วสักวันคุณจะรู้เอง แล้วเจอกันใหม่ครับ ”
แทนที่เด็กหญิงจะเข้าใจอะไรได้ดีขึ้นกลับต้องมางงเป็นคนตาแตกซะงั้น ( ...... ไม่มีคำอธิบายใดๆ ...... ) และเมื่อคนที่ทำให้เธองงเดินจากไปเธอก็กลับมาอยู่ในวังวนความคิด ( เพ้อเจ้อนิดๆด้วย ) ของเธอตามเดิม
'อะไรกันนะพี่น้องสองคนนี้ อีกคนก็ชอบยั่วโมโห อีกคนก็พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง สมกับเป็นพี่น้องกันจริงจริ๊ง'
ความคิดเห็น