คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 8 : จัดของ ( 90%)
8
จัดของ
ห้องนอนแสนเป็นระเบียบของจูเลียบัดนี้เละเทะและกระจัดกระจายไปหมด เมื่อเธอรื้อเสื้อผ้าออกมาและยัดเข้าเป้นักเรียนเก่ากึกของเจคอบที่เอามาให้วันก่อนในถุงพลาสติกสีเขียว ความจริงถ้าเธอไม่ยัดเข้ายัดออกห้องก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก จูเลียถอนหายใจ รู้สึกปลงตกหน่อยๆ พี่บอกว่าไม่ควรหอบใส่กระเป๋าที่ไม่ใช่กระเป๋าของนักเรียนเข้าไป แต่ถ้ากระเป๋าขี้ริ้วของพี่ใบเล็กขนาดนี้ เธอจะขนของทั้งหมดไปได้ยังไงกัน
“ไง เสร็จยัง” ประตูเปิดผางเข้ามา พร้อมกับความตกตะลึงมาถึงบุรุษผู้มาเยือนรังหนู “เดี๋ยวนี้หัดเลี้ยงแมลงสาบแล้วเหรอ”
“บ้าเหรอ” เด็กสาวโผล่หัวออกจากกองผ้าข้างเตียง มองพี่ชายอย่างคาดโทษ
เจคอบหัวเราะ “รื้อของออกมาทำไมเนี่ย”
“กระเป๋านั่น พี่ยัดเสื้อผ้าลงไปยังไงกัน”
เขาเลิกคิ้ว “ใส่แหวนอยู่เปล่า ใส่สิ แล้วจะรู้ว่ามันยัดไปพอ”
จูเลียลุกขึ้นไปหยิบแหวนบนโต๊ะเครื่องแป้งตามคำแนะนำของพี่ชาย เธอถอดออกเพราะรู้สึกรำคาญแล้วก็เกะกะนิ้ว แต่ถ้าแหวนดูจะเป็นทุกอย่างขนาดนี้ ต่อไปเธอก็คงต้องพยายามให้คุ้นกับมัน คงไม่สนุกนักหรอก ถ้าอยู่ที่โรงเรียนแล้วแหวนนี่หายขึ้นมา
เธอสวมมันลงนิ้วชี้ข้างซ้าย อย่างน้อยมันก็จะได้ไม่ขัดกับนิ้วเวลาทำอะไรมากนัก
ทุกอย่างดูปกติหมด ยกเว้นแต่กระเป๋าใบเล็กเก่าๆ ที่กองอยู่กับพื้น มันลานเลือนจนเหมือนภาพลวงตาที่ขยายใหญ่ขึ้นและเปลี่ยนรูปร่างไปกลายเป็นเป้ใบใหญ่ของนักเดินทาง มีสัญลักษณ์โรงเรียนติดอยู่ด้านหน้าเป็นรูปมังกรกระโจนคาบลูกแก้วเด่นชัดกว่าเป้ใบเน่าๆ ใบก่อนที่จูเลียดูไม่ออกเลยว่าเป็นรูปอะไร
เด็กสาวอ้าปากค้างยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับเวทย์มนตร์สักเท่าไร แต่เธอก็รวบรวมสติได้ดีพอที่จะหันไปมองพี่ชายที่กำลังยืนยิ้มอยู่หน้าประตู เขายังไม่กล้าเดินเข้ามาในห้อง จูเลียเลยถือโอกาสออกปากไล่เจ้าคนเยาะเย้ยความตกใจของเธอออกไป
“ยังไม่เสร็จ ออกไปไป๊ คนจะจัดของ”
ถึงแม้ว่าวันนี้จะยังไม่เปิดเทอม แต่ว่านักเรียนโครงการบางส่วนเริ่มแบกกระเป๋าเดินเข้าโรงเรียนมาจัดของและดูโรงเรียนกันแล้ว ถึงตอนนี้จูเลียยังไม่ได้เครื่องแบบนักเรียนและหนังสือเล่มอื่นๆ นอกจากของเจคอบ แต่กระเป๋าของเธอก็หนักเอาการ เต็มไปด้วยเสื้อผ้า รองเท้าและของจุกจิกอื่นๆ
เธอก้มหน้ามองพื้นหญ้าสีเขียวชอุ่มขณะเดินเข้าปราสาท มันต่างลิบลับกับวันก่อนที่เธอมาโรงเรียน อันที่จริงปราสาทเบื้องหน้าดูสง่าและสวยงามราวกับพระราชวังโบราณเลยที่เดียว
“หวัดดี” เสียงฝีเท้าตามมาจากข้างหลัง จูเลียเงยหน้าไปมอง “ฉันจำได้ว่าเธอก็อยู่หอเดียวกับฉัน”
โอลิเวียนั่นเอง เธอยังคงสวมชุดนักเรียนของโรงเรียนเก่าทับแจ็กเก็ตเดินตามหลังจูเลียมา
“อืม” จูเลียพึมพำ “ไม่ยักรู้ว่ามีหอหญิงอีก”
“มีสิ” เธอหัวเราะ แล้วผลักประตูหน้าปราสาทเดินเข้าไป ข้างในอบอุ่นกว่าด้วยคบเพลิงรายรอบกำแพง โอลิเวียถอดเสื้อตัวนอกออกมาพันรอบเอง แล้วเรียกแผนที่มาอยู่ในมือ
“เธอนำทางไปแล้วกัน” จูเลียนำเสนอ เพราเธอยังไม่คิดจะทำอะไรประหลาดๆ ก่อนจะทำใจยอมรับได้
โอลิเวียไม่ว่าอะไร เธอเดินนำขึ้นบันไดไปอย่างว่าง่าย “แปลกดีนะ เวทมนตร์เนี่ย ฉันคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระมาตลอด”
จูเลียกัดริมฝีปาก ยัยนี่ก็เพ้อพอๆ กับเกรซเลยแฮะ
“อยากรู้จังว่าเรียนจบแล้วจะเป็นยังไง” นัยน์ตาสีเขียวสบมอง “เธอนอนกับใครหรอ ฉันได้ห้องสาม กับสเตลล่าแล้วก็ญิลยา”
“ฉันนอนห้องสี่น่ะ เกรซกับลูน่า” จูเลียตอบ ขนลุกซู่เมื่อเอ่ยชื่อลูน่า “แย่จัง ฉันอยากให้เธอย้ายห้องชะมัดเลย”
ย้ายมาแทนยัยลูน่าพระจันทร์อาถรรพ์นั่น
“เนอะ” โอลิเวียขยับยิ้มบาง “ฉันยังไม่ค่อยรู้จักใครเท่าไหร่เลย พรุ่งนี้ก็จะเปิดเรียนแล้วด้วย”
จูเลียไม่ตอบ เธอค่อนข้างไม่เชื่อว่าคนพูดเก่ง อัธยาสัยดีแบบโอลิเวียจะไม่รู้จักเพื่อน แต่พอจูเลียนึกถึงบทสนทนาเมื่อตอนวันรายงานตัว ก็ออกจะไม่แปลกใจนัก
“คิดเรื่องหอพักยัง” เธอ เริ่มบทสนทนาบ้าง
“ไม่เลย” โอลิเวียตอบพลางก้มดูแผนที่ในมือ “เด็กผู้หญิงอีกสองคนในห้องมันตกลงคุยจัดการกันเองเสร็จสรรพ” เธอพูดกลั้วหัวเราะ จูเลียเลยเดาไม่ออกว่าเรารำคาญหรือว่าพอใจกันแน่ แต่ขณะเดียวกันก็ออกจะกังวลอยู่หน่อยๆ ที่ห้องเธอยังไม่ได้แท้แต่จะคิด แต่พอจินตนาการถึงสีหน้าของเพื่อนร่วมห้องอีกคน เธอก็ถอนหายใจเฮือกจนโอลิเวียเหลือบมองอย่างงุนงง
“ลูน่าคิดไว้ให้แล้ว!” จูเลียรู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นสาดใส่ ขณะทวนคำของเกรซอีกครั้งว่าเธอไม่ได้หูฝาด โชคดีว่าในห้องรวม ไม่มีแม้แต่เงาของคนต้นคิด เธอไม่อยากแม้แต่จะจินตนาการถึงเหตุการณ์นั้น
“ทำไมหรอ” เกรซถามงงๆ ดูเธอจะไม่รู้สึกถึงรัศมีความร้ายกาจของคนๆ นั้นแม้แต่น้อย
จูเลียอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะตอบคำถามแสนตรงไปตรงมาอย่างไร แต่เกรซก็ไม่ได้เว้นช่วงนานพอให้เธอพูด ราวกับกำลังเดาวาจูเลียจะพูดอะไร
“ไม่ต้องห่วงหรอก... ยังไงเราก็ต้องรอเธอก่อนอยู่แล้ว”
ไอ้มั่ว จูเลียด่าในใจ สลดเล็กน้อยเมื่อคิดถึงที่ซ่อนห้องจากความคิดลูน่า
“อืม” เธอไม่ต่อปาก แต่โยนกระเป๋าโครมลงบนโซฟาข้างเกรซซึ่งดูตกใจเล็กน้อย จูเลียไม่มีเวลามาใส่ใจท่าทางเพื่อนร่วมห้อง เธอทิ้งตัวลงนั่งบนที่วางแขนโซฟา ตอนนี้นักเรียนส่วนใหญ่เริ่มมาจัดของเข้าห้องไปหมดแล้ว แต่เธอกับเกรซยังต้องนั่งแหมะรอลูน่ามาเปิดห้องก่อน
โอลิเวียมองมาอย่างสงสาร เธอส่งยิ้มแห้งๆ ให้พร้อมกับโบกมือแล้วหันหลังหายตัวไปพร้อมกระเป๋าเป้ที่กลางห้องรวม
ถ้างั้นก็เดาไม่ออกเลยสินะ ว่าอยู่ตรงไหน จูเลียขยับตัวอย่างเกียจคร้าน เธอลุกไปที่โซฟาตัวข้างๆ ที่ว่างอยู่ และทำท่าจะล้มตัวลงนอน
ปึ้ง!
เสียงประตูกระแทกผนังดังลั่น จูเลียรีบผุดขึ้นมานั่งใหม่และมองผู้มาเยือน
ลูน่าปรากฏตัวในชุดคลุมสีขาวสะอาด ผมสีเงินบลอนด์ปลิวสยายคลุมไหล่ เปียเล็กๆ สองข้างสะบัดตามความเร็วที่เธอพุ่งมา
โชคดีว่าห้องรวมไม่มีใครนอกจากจูเลียกับเกรซซึ่งทั้งสองคนก็สะดุ้งกับการปรากฏตัวของลูน่าพอๆ กัน
ยังไม่ทันที่เกรซจะเอ่ยปากทัก ลูน่าก็เหวี่ยงประตูปิดโครม เห็นได้ชัดว่าเธอค่อนข้างรีบแม้อยู่ห่างขนานนั้น แต่ไฟจากเตาผิงก็ทำให้หยาดเหงื่อบนใบหน้าที่ผุดมาสังเกตได้ง่าย
“เปิดห้องเลย” เธอหอบหายใจ เดินมาที่โซฟา
จูเลียรวบรวมสติใหม่ สงสัยว่าเสียงโครมครามพวกนี้จะทำให้คนอื่นๆ ในห้องมีปฏิกิริยาอย่างไร
“ฉันยังไม่รู้ที่ซ่อนเลย”
“อ๋อ” ลูน่าร้องช้าๆ “วันก่อนข้าคุยกับเกรซคนเดียว เจ้าไปอยู่ไหนหรอ”
จูเลียกระพริบตาปริบๆ ไอ้คนนี้ไม่แปลกแค่ท่าทาง สรรพนามยังหลุดโลกด้วย
เธอตัดสินใจไม่เสียมารยาทถาม ลูน่ายังดูแทบจะเป็นคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง จูเลียเหลือบมองเกรซซึ่งดูไม่ประหลาดใจนัก
“แล้วสรุปเอาที่ไหน” เกรซขัด
“ไม่ใช่เธอรู้หรอ” จูเลียหันไปมองงงๆ
เกรซส่ายหน้าช้าๆ “ลูน่าบอกจะรอเธอก่อน”
“เตาไฟ” เสียงที่ตอบกลับมาอย่างราบเรียบของลูน่าเอ่ย นิ้วเรียวชี้ตรงไปที่กองไฟในเตาผิงพร้อมรอยยิ้มบาง
จูเลียอ้าปากค้าง
ยัยนี่คงไม่ใช่คนสติดีแล้วล่ะ
ปึง! โครม!
บิลเหวี่ยงเป้ใบใหม่เอี่ยมขึ้นบนเตียงอย่างไม่สนใจ หลังจากดึงประตูห้องปิดดังสนั่นแล้ว เขาก็ยังรู้สึกไม่สบอารมณ์พอที่จะสนใจห้องพัก การพบหน้าแสนกวนตีนของอาราธอร์นชวนให้นึกถึงสงครามสัตว์ดูดเลือดกับหมาน้อยน่ารักคราวก่อนระหว่างเขาสองคน ไกอาก็ไม่ช่วยให้เขาเย็นลงนัก ด้วยคำพูดโประชดเงียบของมัน
บิลถอดรองเท้าแล้วล้มตัวลงบนเตียงอันนุ่มนิ่ม เพื่อนร่วมห้องทั้งสองกำลังจัดการเก็บของกันวุ่นวาย แต่คนที่โหวกเหวกมีแค่อาราธอร์นซึ่งตะโกนตามหาของแต่ละอย่างที่เจ้าตัวทั้งไว้กระจัดกระจาย
สุดท้ายที่บิลเสนอให้ใช้หน้าต่างเป็นทางเข้าก็เป็นอันตกไป เพราะอาราธอร์นขัดขึ้น พร้อมยักคิ้วอย่างรู้ทันว่าให้ซ่อนในอากาศเลยดีกว่า ส่วนไกอาก็เห็นดีเห็นงามตาม บิลซึ่งหัวเดียวกระเทียมลีบจึงจำใจต้องตอบตกลงด้วยความหงุดหงิดใจ
ห้องพักค่อนข้างโล่งและกว้าง มีหน้าต่างอยู่สองบาน เตียงสามเตียงแยกไปแต่ละมุมห้อง มีเสาสีและผ้าม่านกั้นความเป็นส่วนตัว มีตู้เสื้อผ้าขนาดมหึมาแบบที่เดินเข้าไปได้และกระจกติดอยู่กับประตูตู้ ถัดมาเป็นโต๊ะตัวใหญ่พร้อมเก้าอี้สามตัวและชั้นวางของ พื้นห้องปูด้วยพรมจึงค่อนข้างอุ่นพอสมควร ข้อเสียอย่างเดียวของห้องพักคือมันไม่มีห้องน้ำ แต่บิลเดินร่อนไปสำรวจแล้วว่าถัดจากล็อคเกอร์มีประตูไปห้องน้ำรวมซ่อนอยู่ในความมืด
“เอ๊ะ! ฉันวางกางเกงไว้แถวนี้นี่น่า...” เสียงอาราธอร์นดังอู้อี้มาจากตู้เสื้อผ้า บิลพลิกตัวกลิ้งไปมาบนเตียง ล้มเลิกความตั้งใจจะจัดของพร้อมกับหมอนี่ เขารู้สึกอิจฉาไกอานิดหน่อยที่สามารถทนมันได้อย่างไม่ต้องพยายามเลย
เสียงจัดของในตู้ดังขึ้นอีก คนความอดทนต่ำเริ่มข่มใจทำคะแนนพระพุทธศาสนา
“แปรงสีฟันล่ะ ฉันว่าเอามาแล้วนะ แล้วยัง...”
ขันติหนอ... เรียนจบที่นี่แล้วไปบวชคงสอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค
ครืด... ประตูตู้ลากเปิดออก พร้อมกับคำถามสำหรับบิล
“นี่! นายเห็นกางเกงฉันเปล่า”
บิลผุดลุกขึ้นนั่ง ตอนที่อาราธอร์นไม่ได้ยิ้มยียวนก็ดูเอาการเอางานพอควร แต่บิลไม่สนใจนัก
“ฉันจะรู้นายเรอะ” เด็กหนุ่มสวน พลางคิดในใจว่าเป็นความผิดของมันที่มาถามผิดเวลา เวลาที่เขาพยายามอย่างสุดขีดเพื่อรักษาขันติ แต่พอได้ยินเสียงหมอนี่แล้ว ต่อให้ขันทำจากเพชรเม็ดเอกก็แตกกระจายออกไม่มีชิ้นดี
อาราธอร์นดูอึ้งไปเสี้ยววินาที ก่อนรอยยิ้มวาบจะปรากฏบนใบหน้า “นั่นแน่! เอากางเกงฉันไปซ่อนแน่เลย”
บิลขยับปากจะเถียงว่าเขานอนอยู่บนเตียง ส่วนเอ็งอยู่ในตู้ เอาสมองส่วนไหนคิดว่าจะขโมยกางเกง
แต่อาราธอร์นไวกว่า เขารัวริมฝีปาก “เข้าใจว่านายยากจน แต่ถ้าไม่มีกางเกงใส่บอกฉันก็ได้ เพราฉันไม่พิศวาสดูนายไม่ใส่กางเกงเท่าไหร่”
อาราธอร์นตั้งท่าจะหัวเราะ ขณะที่บิลกระโดดขึ้นไปยืนบนเตียงคว้าอะไรบางอย่างขนาดเหมาะมือที่ใกล้ที่สุดได้พอดีกับเสียงก๊ากลั่นที่ระเบิดออกของอาราธอร์น
ฟ้าว~ บิลเล็งไปที่ปากหมาๆของหมอนั่น อาราะอร์นเบี่ยงตัวหลบอย่างผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นอะไรก็ตามที่บิลขว้างไปเต็มแรงนั่นจึงพุ่งตรงเข้าไปที่หน้าผากของไกอาซึ่งเดินมาอยู่หลังอาราธอร์นเพื่อจะบอกว่าเขาเจอกางเกงอยู่ตัวหนึ่งในกองผ้า
นี่คงจะเป็นความโชคร้าย แม้บิลไม่ค่อยมั่นใจว่าเป็นของเขาหรือของไกอากันแน่
เด็กหนุ่มผมสีขาวไม่ทันตั้งตัว กว่าจะเห็นอาวุธร้ายกาจของบิลหรืออีกชื่อหนึ่ง ‘เกือกแก้ว’ ด้วยเหตุที่เขาอยู่หลังอาราธอร์น ไกอาพยายามเอี่ยวหลบแต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะความกระชั้นชิดหรือความไม่เชี่ยวก็ตาม เขาก็หลบไม่พ้นรัศมีของมัน
ปั๊ก!
ไกอาเซเล็กน้อยจากแรงกระแทก แต่หลังจากนั้นก็เงียบกริบ แม้แต่อาราธอร์นก็หยุดเสียงหัวเราะบ้าคลั่งแล้วหันมามองแพะรับบาปอย่างรู้สึกผิด
ขณะที่คนรู้สึกผิดที่สุด ได้แต่ยืนแข็งอยู่บนเตียง นึกโกรธทั้งตัวเองทั้งอาราธอร์น
ไกอาขยับตัว เขาขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดใจ
“ผมจะยินดีครับ ถ้าคุณทั้งสองเลิกตบตีกันเหมือนผู้หญิงแย่งสามีซักที” ไกอาเหลือบมองสิ่งที่บิลขว้างมาซึ่งบัดนี้กองอยู่บนพื้นเป็นที่เรียนร้อยแล้ว “ถ้าคุณสวมรองเท้าของซินเดอเรลาไม่พอดี ก็อย่าเที่ยวขว้างใส่คนอื่นสิครับ”
บิลเม้มริมฝีปาก ไม่ให้เขาระเบิดอารมณ์อีกระรอก อย่างน้อยเขาก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แถมไกอาก็ยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง
คนดวงซวยมองมาที่อาราธอร์น “ที่หลังคุณก็อย่าไปยั่วเขามากสิครับ”
เทศนาจบ เจ้าคนอารมณ์เย็นผิดมนุษย์มนาก็กลับเข้าไปจัดของในตู้ต่อ เปลี่ยนใจไม่บอกอาราธอร์นเรื่องกางเกงซึ่งเป็นสาเหตุที่รองเท้าของบิลกลายร่างเป็นเกือกแก้วลอยฟ้า
พอไกอาพ้นรัศมีการมองเห็น อาราธอร์นก็ยิ้มขึ้นมาใหม่ สีหน้าสำนึกผิดหายวับไปเหมือนถูกลบด้วยยางลบที่สะอาดที่สุดจนบิลอดสงสัยไม่ได้ว่าเมื่อครู่มันเสียใจจริงๆ หรือเปล่า
สุดท้ายพอจูเลียจัดของในห้องพักเสร็จก็ออกมานั่งเล่นที่ห้องรวม คนอื่นๆ ในหอก็ออกมากันบ้างแล้ว ส่วนเกรซก็ไปจับคู่คุยกับลูน่าอย่างออกรส แม้ว่าแรกๆ จะดูราวกับว่าเกรซพูดคนเดียวก็เถอะ แต่จูเลียต้องยอมรับความสามรถในการชักแม่น้ำทั้งสิบของเกรซ เธอพล่ามชวนคุยนู่นคุยนี่ไปเรื่อย ไปๆ มาๆ ลูน่าก็เริ่มยิ้มอย่างเป็นมิตรขึ้นและเข้าวงสนทนาอย่างเต็มใจ
จูเลียมองเด็กสาวหางเปีย นึกสงสัยว่าทำไมนิสัยมันกลับกันราวฟ้ากับเหว เพราะตอนนี้ลูน่าพูดเกือบจะไม่หยุดปาก ทั้งยิ้มและที่ประหลาดที่สุด ‘หัวเราะ’
เสียงหัวเราะเธอใสเหมือนระฆังแก้วและพลิ้วไหวเหมือนสายลม ไพเราะจนแทบจะเป็นเสียงเพลง แต่เพื่อนหลายคนคุยกันสียงดังสนั่นเหมือนแผ่นดินไหว จูเลียเลยคิดว่าคงไม่มีใครได้ยินนอกจากเธอกับเกรซ
“หวัดดี” เด็กผู้หญิงผมสีเหลืองทองคนที่จูเลียยังไม่รู้จักเดินเข้ามาทัก “เธอชื่ออะไรเหรอ”
จูเลียเลิกคิ้ว อารมณ์ดีพอจะกวนเพื่อนใหม่ท่าทีเป็นมิตร “ชื่ออะไร”
คนเริ่มบทสนทนาเริ่มขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ขัด “สเตลล่า เธอล่ะ”
“ชื่ออะไร” เธอย้ำอีกรอบ
“สเตลล่า สวาย่า จากพิรามัส” จูเลียยิ้มกว้างขึ้นกับประโยคที่ตามมา “ชื่ออะไรเหรอ”
ความคิดเห็น