คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 7 : คำบอกเล่าจากคนแปลกหน้า
7
คำบอกเล่าจากคนแปลกหน้า
แสงจันทร์ส่องผ่านผ้าม่านผืนบางเข้ามาในห้องแคบๆ ความเงียบสงบในยามค่ำคืนที่ช่วยให้หลายชีวิตได้พักผ่อนจากวันอันแสนยุ่งเหยิง
ประตูไม่แง้มเปิดออกช้าๆ จนแทบไม่ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดตามมา ไฟดวงเล็กลอยไปมาอยู่กลางอากาศขับไล่ความมืดมิดออกไป แต่เพียงครูเดียวแสงสว่างนั้นก็ดับวูบ
ร่างสูงเดินเข้ามาเงียบกริบ นัยน์ตาสีฟ้าจ้องมองน้องสาวที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง
“จูเลีย” เจคอบกระซิบเสียงเบา ก้าวขาเดินมาใกล้ขึ้น
เขาวางมือลงบนหน้าผากน้องสาวเบาๆ ก่อนหลับตาลง
สายลมเริ่มกรรโชกแรงขึ้น ม่านขาวปลิวพลิ้วไหวตามแรงจนเกิดเงาวูบวาบในห้องน่ากลัว
จูเลียหอบหายใจ เหงื่อเม็ดเล็กผุดมาเต็มไปหน้า แต่ทั้งร่างกลับนอนนิ่ง มีเพียงลมหายใจที่ผิดจังหวะ
“อดทนไว้นะ” พี่ชายพึมพำ
สายลมค่อยผ่อนแรงจนสงบเงียบเช่นเดิม เป็นเวลาเดียวกับที่เด็กสาวกลับมายึดจังหวะสูดอากาศปกติ
เจคอบยิ้มบางๆ นึกย้อนไปถึงตัวเองที่ต้องเผชิญหน้ากับฝันร้ายนี้เพียงลำพัง
ในที่สุด... เธอก็ผ่านพ้น
แพขนตายาวกระพริบลืมขึ้นมองเพดานอย่างงุนงง
เมื่อยไปทั้งตัวเลย… ปวดหัว… ความฝันบ้านั่น
เด็กสาวขยับพลิกตัวจะลุกขึ้น ก่อนสะดุ้งโหยงเมื่อสังเกตเห็นนาฬิกาที่หัวเตียง
สิบโมงยี่สิบสาม !
จูเลียเหวี่ยงผ้าห่มออกให้พ้นร่าง แล้วกระโดดตุบลงจากเตียง วิ่งไปคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเผ่นเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว นึกโมโหพี่ชายในใจ
บ้าชิบ แทนที่จะปลุก
เธอด่าในใจ แม้ว่าลึกๆ จะรู้สึกขอบคุณเพราะเธอก็ไม่ค่อยอยากตื่นเช้าๆ เวลาปวดหัวตุบๆ แบบนี้ซักเท่าไร
เด็กสาวมองตัวเองในกระจกสลับกับหวีบนโต๊ะเครื่องแป้ง ตัดสินใจว่าจะยอมเสียเวลาแปรงผมยุ่งๆ ของเธอดีไหม
โครม! เพล้ง!
เธอสะดุ้ง สุดท้ายเลยเพียงแค่เอามือสางๆแล้วเกล้ารัดขึ้นไปเป็นหางม้า
จูเลียหมุนศีรษะดูขณะหันหลังออกจากห้อง
ก็… ไม่ยุ่งน่ะนะ
ภาพตรงหน้าทำให้คนเบื่อโลกเกิดอาการอยากฆ่าตัวตายมาทันควัน
ข้าวของในตู้เก็บล้มครืนลงมากองแหมะอยู่บนพื้น แค่ที่แย่กว่าคือแจกันใบสวยข้างโต๊ะวางโทรศัพท์ก็แปลงร่างเป็นเศษกระเบื้องนอนอยู่เบื้องล่างเป็นที่เรียบร้อย
“พี่ทำอะไรน่ะ” จูเลียเผลอตะโกนถามเสียงสูงด้วยความตกใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า จนเธอรู้สึกคล้ายๆ กับใครบางคนที่โรงเรียน “บอกแล้วไงว่าให้ระวังๆ เวลาจะ...”
คำพูดสะดุด เมื่อซีรีบรัมถูกเรียกไปหาเหตุผล
ทำไมวันนี้พี่ถึงมายุ่งกับแจกัน
อย่าบอกนะว่า...
“นั่นพี่เปลี่ยนน้ำหรอ!” เสียงที่ว่าสูงอยู่แล้ว ดันสูงขึ้นไปอีกจนจูเลียแน่ใจว่าแม้แต่แพมมิล่าก็สู้เธอตอนนี้ไม่ได้
เจคอบยิ้มแห้งๆ แต่ไม่แก้ตัวอะไร ยิ่งทำให้คนกำลังปวดท้องอาการแย่ลง
“บอกมาว่ามีลูกไม้อะไร” จูเลียท้าวสะเอว
“เปล่ามี” เด็กหนุ่มเอ่ยบ้าง ก่อนล้วงกระเป๋าคว้าใบไม้สีเหมือนโอปอออกมาโชว์ให้ดู “ต้องเอามาปลูกสำหรับเทอมหน้า” เขาหย่อนกลับ
สำหรับเทอมหน้างั้นหรอ? ถ้างั้นนี่ก็พี่จริงๆสินะ
เธอทำหน้าบึ้ง “พี่ไม่เห็นเคยบอกเลยว่าเพนเดียไดมอนเป็นแบบนี้”
เจคอบยิ้มแห้ง “ก็โรงเรียนเขาห้ามบอก ไม่งั้นโดนยึดแหวนนี่”
“พี่ก็ยังโกหกเรื่องแบล็คเมจิค” จูเลียกล่าวหาต่อกับเรื่องที่โมโหที่สุด
“ก็... บอกก็รู้หมดสิ ว่านอนหอ”
“รู้แล้วไง? อย่างน้อยก็อย่าโกหกสิ”
เจคอบถอนหายใจ เอนหลังพิงพนัก ก่อนยกแหวนที่นิ้วชี้ตัวองมาดูเล่น นึกอยากเปลี่ยนเรื่องคุยเหลือเกิน ดูจูเลียก็จะโมโหเอาการ
“ถ้าโกรธ เราก็ขอโทษที่ไม่ได้บอก”
จูเลียเบือนหน้าหลบ ไม่ตอบอะไรต่อ เธอเดินไปหยิบเศษกระเบื้องโยนโครมใส่ถังขยะ
“นี่... อย่าเอาแต่งอนสิ” เจคอบเดินตามน้องที่ไม่พูดไม่จา
เดี๋ยวนี้นิสัยอย่างนี้แล้วเรอะ
“ใครงอนกัน” เธอเชิดใส่
“ไม่งอนก็ดี... เอางี้ดีไหม เรามาแลกกัน...” เจคอบเริ่มจะเสนอ แต่คนไม่อยากคุยกำลังเดินหนี “เอ๊ะ! ฟังก่อนสิ จูเลีย อย่าไร้สาระไปหน่อยเลย”
คำสั่งสอนแกมด่าของพี่ชายเรียกให้ร่างบางหยุดกึก
“พี่ไม่รู้สินะว่าที่ผ่านมาเป็นยังไง...” เธอทำหน้าบึ้ง แต่ก่อนที่จะสาธยายต่อ เจคอบก็ยกมือห้าม
“รู้... แบล็คเมจิคไม่จำเป็นต้องทำตามที่รับปาก หน้าที่ของมันเป็นแค่เดินไปกลับโรงเรียนทุกวัน แล้วก็ตอบคำถามคนที่มาคุยด้วยให้จบอย่างเร็วที่สุดเท่านั้น” เขาก้มหน้าลง “เราจะแคนเซิลมันแล้วล่ะ ในเมื่อจูเลียก็รู้ด้วยแล้ว คงไม่มีเหตุผลที่จะเสี่ยง”
“เสี่ยงเหรอ?” เธอขมวดคิ้วงุนงง
“ก็แอบไง... คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนอื่นเห็นตัวเราอีกคนเดินเพ่นพ่านอยู่ต่างที่กันในเวลาใกล้ๆ กันน่ะ”
แล้วจูเลียก็ถึงบางอ้อ ถ้างั้นตอนที่แอบตรงประตูทิศตะวันออกก็ด้วยสินะ
“พี่บอกว่าโรงเรียนน่าเบื่อ” จูเลียเปรย แต่เจคอบแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“แหวนแต่ละวงจะเลือกเจ้าของ”
“หือ?” เธอเลิกคิ้ว แม้จะรู้สึกหงุดหงิดที่พี่ชายไม่ยอมตอบ
“จูเลีย” เจคอบถอดแหวนที่นิ้วชี้ของตัวเองออกมาส่งให้เธอ จูเลียเดินเข้าไปรับมาดูอย่างงงๆ ก่อนสังเกตเห็นว่าหัวแหวนนั้นเป็นอัญมณีสีส้มอ่อนๆ แกะสลักเป็นรูปฮาร์ป
“ถือว่าชดเชยละกันนะ” เขาขยับตัวเดินไปลากเก้าอี้มานั่ง
“ทำไมแหวนพี่ไม่เห็นเหมือน...”
“เรากำลังจะบอก อย่าขัดได้ไหม” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ดูไม่พอใจชั่วแวบตาหนึ่ง “ไอ้เพิร์ตคงจะบอก...” เขากำลังเริ่มต่อ
“รู้ได้ไงว่าใครมาบอก” จูเลียถามอย่างสงสัย พร้อมกับกอดอกแล้วพิงฝาผนัง
“หึๆ มันเพื่อนเราเองแหละ” เขาหัวเราะ ก่อนเข้าเรื่องเดิมใหม่
“เราอยากจะเตือนจูเลีย... ถึงเพนเดียไดมอนจะทำให้เราใช้เวทมนตร์ได้ แต่มันก็ไม่ได้มาฟรีๆ หรอกนะ”
“หมายความว่าไง”
เจคอบเอื้อมมือมาดึงแหวนกลับไปสวมที่นิ้ว ยังคงไม่ตอบคำถาม
“ที่สำคัญอย่าเอาแหวนตัวเองส่งให้คนอื่นแบบนี้ด้วยล่ะ” เขาทำท่าจะลุกขึ้น ขณะที่จูเลียกำลังนึกอยากจะสวนว่า ถ้างั้นจะมาส่งให้หาเหวอะไร แต่ไม่คิดว่าจะเป็นไอเดียที่ดีจึงตัดสินใจหุบปากต่อ
“จำไว้ว่าโรงเรียนนี้อันตรายมาก ถึงมีเวทมนตร์ก็เหมือนไม่มี” เขาถอนหายใจพร้อมลุกเดินไปที่หลังตู้เก็บของและเลื่อนมันออกจากผนัง เจคอบเอื้อมมือเข้าไปในซอกและล้วงตำราเก่าๆ ออกมาสามเล่มส่งให้น้องสาว
“นี่หนังสือวิชาเพิ่มเติมของเรา เอาไปใช้ก็ได้จะได้ไม่ต้องซื้อ” เขาดึงถุงพลาสติกสีเขียวออกมารายถัดไป ปากถุงถูกมัดอยู่แน่นหนาและมีฝุ่นจับ
“วันแรกต้องใช้สำหรับเดินเข้าโรงเรียน” เขายิ้มบาง “ไว้หอบหนังสือใส่ล็อคเกอร์น่ะ”
แล้วเจ้าตัวก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังๆ
ขณะที่จูเลียกำลังคิดว่าโลกจะแตก เสียงกริ่งก็ดังขึ้นช่วยชีวิต
“หือ?” เด็กหนุ่มแย้มยิ้ม ก่อนหันมาหาน้องสาว “จะมาด้วยกันไหม”
“แย่มาก... แย่มากเลยครับ”
จูเลียแอบมองอยู่หลังม่านสีม่วง พี่ชายในหน้ากากเวทย์ตีสีหน้าเซ็งแบบจอมปลอม ขณะจ้องมองเข้าไปในลูกแก้วใสต่อหน้าผู้หญิงคนหนึ่งท่าทางอมทุกข์
หลังจากพยักหน้ารับตกลง ยังไม่ทันได้กระพริบตา เจคอบก็คว้าข้อมือเธอวิ่งขึ้นชั้นบนไปห้องนอนเขาและรูดม่านหน้าต่างเปิดออก แต่แทนที่มันจะเจอกระจกอย่างที่ควรเป็น กลับกลายเป็นห้องเล็กๆ อีกห้องหนึ่ง ตกแต่งด้วยสีม่วงเกือบทั้งหมดจนทำให้มันดูอึมครึมและแคบลงถนัดตา จูเลียอดสงสัยไม่ได้ว่าถ้าเธอเป็นคนรูดม่าน มันจะโผล่มาที่นี่หรือไม่
“ฉันควรจะทำยังไงดีคะ” คนแปลกหน้าเอ่ยถาม จูเลียแอบมองเห็นหยาดน้ำตาใต้แสงเทียนไขบนใบหน้าของเธอ
เจคอบทำท่าครุ่นคิด ขณะที่จุเลียอยากจะบอกผู้หญิงตรงหน้าเหลือเกินว่าอย่าไปเชื่อมัน!
“พ่อหมดคะ มีทางหาลูกชายฉันได้มั้ย”
พ่อหมอดังคำกล่าวอ้างถอนหายใจเฮือกๆ จูเลียแอบเบ้ปากนิดๆ
“ผมคิดว่าคงหมดหวังครับ ลูกชายคุณคงไม่โผล่กลับมาแล้วล่ะครับ” เจคอบลูกลูกแก้วใส ทันทีที่ฝ่ามือเขาเลื่อนผ่าน ผ้าสีม่วงก็ปรากฏขึ้นคลุมลูกแก้วไว้มิด
ชั่วขณะหนึ่งจูเลียเห็นเธอร้องไห้อยู่หลังม่านผม แต่แล้วเธอก็เงยหน้ากลับขึ้นมายิ้มเศร้าๆ ให้เจคอบ พร้อมกับยื่นถุงสีแดง ถุงเล็กๆ มาให้
“ขอบคุณนะคะ เพียงแค่ฉันรู้ว่าเขามีความสุขก็พอ” เธอลุกขึ้นหันหลังและเปิดประตูออกไป ข้างนอกดูแออัด กำแพงฝั่งตรงข้ามเก่าและผุพัง มีมอสปกคลุมอยู่ มันชื้น แฉะ และสกปรก
“เอาล่ะ” พี่ชายขัดจังหวะเขาถอดหน้ากากเวทย์ที่ทำให้ตัวเองดูแก่ขึ้นอีกสัก 20 ปีออกวางบนโต๊ะ “มีเงินสำหรับเดือนนี้แล้ว มาเอาไปสิจูเลีย ต่อไปก็ต้องมาแทนเราบ้างนะ สลับกัน”
เจคอบหยิบส่วนของตัวเองใส่กระเป๋าและยื่นถุงให้เธอ
“ที่ไหนเนี่ย?” จูเลียถาม มองพี่ชายวุ่นวายอยู่กับการถอดผ้าคลุมออก
“ไม่รู้สิ ที่ไหนสักแห่งในเจเวนิส เราไม่เคยออกไปดู” เขาตอบปัดๆ แล้วก็ลากจูเลียกลับเข้าหลังม่านก่อนเธอจะเดินไปเปิดประตูดู
เด็กสาวหยิบถุงสีแดงออกมาดูและออกจะตกตะลึงที่ข้างในเป็นเหรียญทองทั้งหมด แต่ก็ไม่เท่ากับที่รู้ว่าพี่เป็นพวก 18 มงกุฎ
“ลูกชายของผู้หญิงคนนั้นหายไป” เจคอบเปรย “และนี่เป็นรายที่สองแล้วสำหรับนักเรียนโครงการเพนเดียไดมอนภายใน 2 ปีที่ผ่านมา” เขาขมวดคิ้วท่าทางจริงจัง “แปลกที่แบล็คเมจิคไม่ทำงานนะ ปกติมันไม่พลาดเลยล่ะ ถ้าเจ้าตัวยังคงอยู่...”
จูเลียเสียวสันหลังวูบ บางทีพี่อาจไม่ได้โกหกเธอ อย่างน้องเขาก็รู้ว่าเด็กคนที่ว่าเป็นนักเรียนโครงการในเพนเดียไดมอน!!
ความคิดเห็น