ตอนที่ 13 : 2 0 6 M I L E S | Chapter11
2 0 6 M I L E S
Chapter_11
วันนี้เป็นดอกกุหลาบสีแดง
จีมินหยิบดอกกุหลาบสีแดงที่วางอยู่บนเตียงขึ้นมา วันนี้เป็นแค่กุหลาบสีแดงเพียงดอกเดียว ไม่มีริบบิ้นหรือเชือกอะไรตกแต่ง เขานำมันไปวางรวมไว้กับดอกไม้ที่เหลือ ยิ้มออกมาบางๆตอนที่มองกองดอกไม้บนโต๊ะ ไม่รู้ว่าคนให้ขยันอะไรนักหนา เมื่อก่อนก็ยังแค่สามสี่วันครั้ง แต่พอกลับมาแล้วทำไมถึงได้มีดอกไม้มาให้ทุกวันขนาดนี้กันเล่า
ถึงจะแอบบ่นในใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละว่าดีใจขนาดไหนตอนที่เห็นมันวางอยู่บนเตียง
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าดอกไม้ที่วางอยู่บนเตียงนั้นไม่ใช่บริการของทางโรงแรม แต่เป็นบริการพิเศษจากคุณจอนที่เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของโรงแรมต่างหาก
จีมินเพิ่งได้รู้ว่านายจ้างของเขาคือคิมซอกจินเมื่อวันก่อน เพราะปกติเขาทำงานผ่านหัวหน้าที่รับผิดชอบด้านนี้โดยตรง ไม่เคยเจอผู้ว่าจ้างและรู้แค่ว่าโรงแรมนี้อยู่ในเครือตระกูลคิม แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะเป็นคิมซอกจิน อดีตคุณหมอที่เคยทำแผลให้เขาวันนั้น
จีมินเจอกับซอกจินในวันนั้นส่วนคุณจอนที่เป็นหุ้นส่วนคนสำคัญนั้นบินกลับโซลตั้งแต่เช้ามืด เพราะมีงานด่วนที่ต้องกลับไปจัดการ ไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกยังไงที่จองกุกบินมาหาเขาทั้งๆที่ตัวเองก็มีงานด่วนต้องทำ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องเหนื่อยขนาดไหนกับการเดินทางไปๆมาๆแบบนั้น
แต่รู้สึกดีเป็นบ้าเลย ที่รู้ว่าตัวเองสำคัญขนาดนั้น
จีมินเดินไปหยิบชุดที่เตรียมเอาไว้ เขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จและกำลังเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก เพราะวันนี้เป็นวันหยุดเลยอยากจะพักผ่อนก่อนจะกลับไปลุยงาน เป้าหมายคือการเดินเล่นไปเรื่อยเพื่อหาไอเดียให้กับงานที่กำลังทำอยู่
ชุดที่เลือกมาคือกางเกงขาสั้นสีครีมและเสื้อเชิ้ตแขนห้าส่วนสีขาวพร้อมกับรองเท้าผ้าใบสีขาว แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็คว้ากระเป๋ากล้องกับแว่นกันแดดเดินออกจากห้อง
จีมินเวลาครึ่งวันในการเดินเที่ยว ภาพสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งถูกบันทึกไว้ในกล้องตัวเล็กที่เขาพกไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ตลาดปลา หรือแม้กระทั่งพื้นที่รอบๆ ทุกๆอย่างถูกเก็บลงในกล่องความทรงจำขนาดเล็กที่สามารถบันทึกเรื่องราวต่างๆได้มากมาย
คนที่เที่ยวจนหนำใจแล้วตัดสินใจว่าจะกลับไปนอนเล่นที่ห้องระหว่างรอเวลาฟ้ามืด จะได้ออกมาถ่ายรูปท้องฟ้าสวยๆกับพระอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าในช่วงเย็น
ใช้เวลาเดินกลับห้องเกือบสิบนาที คนที่เริ่มล้าจากการเดินถอดรองเท้าทันทีที่เปิดประตูห้องปิดลง กระเป๋ากล้องกับแว่นกันแดดถูกวางลงบนโต๊ะก่อนที่เจ้าของมันจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้าง ยังไม่ทันจะถึงครึ่งชั่วโมงก็เผลอหลับไปทั้งๆอย่างนั้น
คนที่ตั้งใจว่าจะกลับไปถ่ายรูปท้องฟ้าสวยๆที่ทะเลตอนเย็นนอนหลับอุตุอยู่บนเตียง ไร้วี่แววที่จะตื่นขึ้นมา เวลาเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งเข็มสั้นบนนาฬิกาชี้ไปที่เลขห้า
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังอยู่หลายครั้งจนคนที่กำลังหลับสบายงัวเงียตื่นขึ้นมา มือเล็กถูกยกขึ้นมาขยี้ตาเบาๆ ขยับตัวลงจากเตียง อาจจะเป็นคุณป้าแม่บ้านเอาผ้าที่เขาฝากส่งซักรีดมาส่งให้ จีมินเดินช้าๆพร้อมกับขยี้ตาไปด้วย ตรงไปที่ประตูเพราะไม่อยากให้คุณป้าแม่บ้านรอนาน
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมรับแขกเท่าไหร่ก็ตาม มือเล็กเอื้อมไปจับลูกบิดที่ประตูก่อนจะเปิดออก ภาพตรงหน้าไม่ใช่คุณป้าแม่บ้านอย่างที่คิด แต่เป็นผู้ชายที่ตัวสูงเกือบๆร้อยแปดสิบเซนติเมตร
ความหนักอึ้งที่ตาถูกสลัดทิ้ง ดวงตาเล็กๆเบิกโพลงขึ้นทันทีที่เห็นว่าคนที่ยืนรออยู่หน้าประตูเป็นใคร เขาได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆที่คุ้นเคย เสื้อยืดสีขาวและกางเกงยีนส์สีซีดเป็นภาพที่ดูแปลกตาไม่น้อย
“มาได้ยังไงครับ” เอ่ยถามคนที่ยืนยิ้มมุมปากอยู่หน้าห้องพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบเล็ก
“ต้องมาตรวจงานที่นี่สามวันครับ”
จีมินขยับไปทางซ้าย หลีกทางให้อีกคนเดินเข้าห้องมาพร้อมกับกระเป๋า จองกุกเพิ่งจะกลับไปเมื่อสองวันที่แล้ว แต่วันนี้เจ้าตัวกลับโผล่มาอีกรอบ และดูเหมือนว่ารอบนี้จะต่างออกไป
“คิดถึงจังเลยครับ”
“คิดถึงเหมือนกันครับ” จีมินอ้าแขนรับอ้อมกอดที่ห่างหายไปเกือบสามวัน รู้สึกถึงแรงจูบที่ขมับด้านขวาก่อนที่อีกฝ่ายจะผละออกไป
จอนจองกุกในชุดง่ายๆสบายๆไม่ใช่สิ่งที่เขาจะได้เห็นบ่อยนัก เพราะปกติอีกฝ่ายจะอยู่ในชุดทำงานที่เป็นเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแล็คที่ดูเป็นทางการ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นจอนจองกุกก็ยังคงดูดีเสมอไม่ว่าจะอยู่ในชุดไหน
แต่ตอนนี้ก็อาจจะ...ดูเด็กลงนิดนึง
“จะว่าอะไรไหมครับถ้าจะขอพักด้วยสักสองคืน”
จีมินมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ยิ้มออกมาน้อยๆตอนที่ได้ยินประโยคคำถามจากอีกฝ่าย แค่กระเป๋าเดินทางกับคำตอบที่ว่าต้องมาตรวจงานที่นี่สามวันเขาก็รู้แล้วว่าจองกุกต้องการอะไร
“ได้ครับ” และตัวเขาเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ดีซะอีกที่จะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันนานๆ เพราะหลังจากที่จองกุกจัดการธุระทางนี้เสร็จก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นมีเหตุผลอะไรที่เขาต้องปฏิเสธ
จีมินเดินไปหยิบไม้แขวนเสื้อในตู้ให้คนที่กำลังทยอยหยิบเสื้อผ้าออกจากกระเป๋า จัดการกับเสื้อผ้าสามสี่ชุดของจองกุกเสร็จก็นำไปแขวนไว้ในตู้ข้างๆเสื้อผ้าของเขา
ส่วนเจ้าของเสื้อผ้าก็ได้แต่นั่งยิ้มอยู่บนเตียง มองคนตัวเล็กเดินจัดนั่นจัดนี่ให้จนครบ คราวที่แล้วเขามาแค่สิบกว่าชั่วโมงก็ต้องกลับไปทำงาน บอกตรงๆเลยว่ายังไม่หายคิดถึงแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะงานมันค้ำคออยู่ แถมตอนนั้นยังเหนื่อยจนเผลอหลับไปอีก เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลยด้วยซ้ำ
นั่งเครื่องจากต่างประเทศมาสิบกว่าชั่วโมง ต่อเครื่องมาปูซานอีกราวๆหนึ่งชั่วโมงเพื่อมานอนกอดจีมินแล้วก็ต้องบินกลับไปทำงานอีกรอบ
ให้ตายเถอะ...ถ้าจีมินไม่กลับโซลเร็วๆนี้เขาไม่อยากจะคิดสภาพตัวเองที่ต้องบินไปกลับโซลปูซานทุกๆอาทิตย์เลย จะหาว่าบ้าก็คงใช้ แต่เพราะระยะทางมันไม่ได้ไกลมากมายอะไรและเขาสามารถมาหาจีมินได้โดยใช้เวลาแค่หนึ่งถึงสองชั่วโมง ถึงจะเหนื่อยแต่ก็คุ้มที่จะทำ
ระยะทางแค่ 206ไมล์ ที่คั่นกลางระหว่างเขากับจีมินเอาไว้
เป็น 206ไมล์ ที่ดูเหมือนจะไกลก็ไม่ไกล จะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้
แต่ก็ช่างเถอะ แค่ 206ไมล์ ไม่ได้ไกลเกินความพยายามของเขาหรอก
น้ำทะเลช่วงเย็นกลายเป็นสีส้มอ่อนๆเพราะสะท้อนกับแสงของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า จองกุกพาจีมินมาเดินเล่นที่ทะเลเพราะอีกฝ่ายบอกว่าอยากมาถ่ายรูปท้องฟ้าช่วงเย็นๆ เวลาเกือบหกโมงเย็นกับอากาศเย็นๆและวิวสวยๆที่ดูรวมๆแล้วเหมือนจะโรแมนติก นักท่องเที่ยวเดินสวนกันบ้างประปรายตามชายหาด อาจจะเพราะอากาศเริ่มหนาวคนก็เลยไม่ค่อยออกมาดูพระอาทิตย์ตกกัน ต่างจากคนตัวเล็กที่ถือกล้องวิ่งไปถ่ายรูปมุมนั้นมุมนี้ไม่หยุด
องกุกยืนเอามือล้วงกระเป๋า มองคนที่กำลังจัดหินก้อนเล็กๆที่เก็บมาตั้งให้เป็นกองแล้วถ่ายรูป เมื่อก่อนเขาคงมองว่ามันเป็นเรื่องน่าเบื่อที่ต้องมองคนๆหนึ่งทำนั่นนี่ไปเรื่อย แต่ตอนนี้กลับต่างออกไป เขามีความสุขและยิ้มออกมาได้เพียงเพราะเห็นภาพคนๆหนึ่งกำลังทำเรื่องที่เขาเคยมองว่ามันไร้สาระ
เขายิ้มออกมาบางๆตอนที่จีมินหันมาส่งยิ้มให้ เด็กคนนั้นยังคงมีความสุขกับการถ่ายรูปสิ่งที่ตัวเองชอบ ส่วนเขาก็กำลังมีความสุขกับการได้มองภาพสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
มันเป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาวางเรื่องเครียดๆลงได้แล้วมีความสุขกับอะไรเล็กๆน้อยๆแบบนี้ ความรู้สึกมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนเขารู้สึกว่ากำลังจะหลุดจากกรอบที่เคยตีไว้ให้ตัวเอง
พัคจีมินกำลังดึงเขาออกจากโลกที่เขาสร้างไว้อยู่คนเดียว เด็กคนนั้นกำลังดึงเขาเข้าไปในโลกของตัวเองโดยที่ไม่ต้องเสียแรงพยายามเลยสักนิด เพราะขาของเขามันยินดีที่จะก้าวตามไปเอง
กี่ปีแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้ ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาชีวิตเขามีแค่งาน ไม่ใช่ว่าเขาปิดกั้นตัวเองแต่หากเป็นเพราะไม่มีคนที่ทำให้เขารู้สึกได้มากมายถึงขนาดนี้ จนกระทั่งคนๆปรากฏตัวขึ้น
อาจจะเพราะเป็นพัคจีมิน และคงมีแค่พัคจีมิน
ที่เขายินดีที่จะเปิดประตูในโลกแคบๆของตัวเองให้
“ไปเดินเล่นกันไหมครับ”
“อือ ไปสิ”
จองกุกยิ้มให้คนที่เดินกลับมาหาเขาหลังจากที่ถ่ายรูปจนพอใจแล้ว รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของจีมินมันน่ามอง เพราะแบบนั้นแหละเขาถึงได้ไม่อยากจะละสายตาไปไหน
“ถอดรองเท้าไหมครับ ใส่รองเท้าเดินบนทรายมันสำบากนะ”
“ครับ”
มองภาพคนที่ก้มลงไปถอดรองเท้าด้วยรอยยิ้มก่อนจะจัดการกับรองเท้าของตัวเองบ้าง จองกุกเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้จีมินหลังจากที่จัดการถอดรองเท้าเสร็จ ทั้งคู่ถือรองเท้าไว้ในมือ ก่อนที่เด็กซนจะวิ่งลงไปบนชายหาดจุดที่ใกล้ๆกับน้ำทะเล
“ถ้าจะเดินเล่นที่ทะเลก็ต้องเดินตรงนี้ครับ เดินตรงที่ทรายไม่เปียกมันไม่สนุก”
จองกุกมองคนที่เดินเอาเท้าไปสัมผัสกับน้ำทะเลก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาฉีกยิ้มให้เขา ก้มลงไปพับขากางเกงของตัวเองก่อนจะเดินลงไปหาคนที่ยืนรออยู่
เขาเพิ่งจะได้รู้ว่าการเดินเล่นที่ชายหาดกับการเอาเท้าจุ่มน้ำทะเลไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ อาจจะเพราะมีคนข้างๆอยู่ด้วย หรืออาจจะเพราะมีเหตุผลอื่นมาประกอบด้วยก็ตาม
แต่สุดท้ายแล้วคนที่พาให้เขามายืนอยู่ตรงนี้ก็คือพัคจีมิน
อากาศช่วงหกโมงเย็นเริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ คิดอยากจะยื่นมือไปกุมมือเล็กๆนั่นไว้แต่ก็ไม่ได้ทำ พวกเขาทำเพียงแค่เดินเล่นไปเรื่อย พูดคุยกันบ้างแม้จะเป็นเรื่องไร้สาระ แต่สุดท้ายแล้วมันก็จบลงด้วยรอยยิ้มเสมอ จองกุกไม่รู้ว่าตัวเองใช้เวลาไปเท่าไหร่กับการเดินเล่นไปพร้อมกับคนข้างๆ แต่คิดว่าคงนานพอที่จะทำให้ฟ้ามืด
ถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อและถุงอาหารจากร้านข้างทางที่แวะซื้อถูกวางลงบนโต๊ะ จองกุกแวะซื้อของจากร้านสะดวกซื้อและเบียร์หนึ่งแพคที่จีมินบอกว่าอยากจะดื่ม ไก่ทอดที่มีซอสเผ็ดๆกล่องใหญ่ที่ถูกสั่งจากร้านอาหารนั่นก็เป็นของที่จีมินอยากจะกิน
คนตัวเล็กบอกว่าอยากดูหนังที่ดูค้างไว้ให้จบ เพราะแบบนั้นเขาถึงเลือกที่จะซื้ออาหารมาทานบนห้องแทนการนั่งทานที่ร้าน ไก่ทอดรสเผ็ดกล่องใหญ่ถูกแกะแล้ววางลงบนพื้น เบียร์ถูกเปิดสองกระป๋องตามจำนวนคนที่อยู่ในห้อง
หนังที่จีมินอยากดูเป็นหนังสืบสวนสอบสวนปนกับความดราม่าของความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร จองกุกยอมรับว่าหลังจากที่เรียนจบปริญญาตรีเขาก็ไม่ได้นั่งดูหนังแบบนี้อีกเลย นี่คงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขานั่งดูหนังพร้อมกับจิบเบียร์ไปด้วยแบบนี้
“เผ็ดง่ะ” เสียบ่นเบาๆของคนที่นั่งอยู่ข้างๆทำให้จองกุกต้องละสายตาจากจอไปมอง จีมินที่มือขวาถือน่องไก่กับมือซ้ายถือกระป๋องเบียร์กำลังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ คงจะเป็นเพราะความเผ็ดจากไก่ทอดที่เจ้าตัวอยากจะลองกินนักหนานั่น
จองกุกมองคนที่กำลังกระดกเบียร์เข้าปากรัวๆเหมือนกับว่ามันจะทำให้หายเผ็ดด้วยความเอ็นดู อยากจะห้ามแต่คิดๆดูแล้วก็ไม่ทำดีกว่า เขาจำได้ว่าจีมินเคยบอกว่าตัวเองเป็นพวกดื่มเหล้าได้เยอะ แต่ดื่มแบบผสมไม่ได้เพราะจะปวดหัว ส่วนเบียร์น่ะดื่มไปแค่สองกระป๋องก็เมาแล้ว
และเขาก็อยากเห็นคนเมาด้วยสิ
“ดูหนังไปสิครับ” จองกุกขำออกมาเบาๆเมื่ออีกคนหันมาทำหน้ามุ่ยใส่หลังจากที่รู้ตัวว่าโดนมอง
แต่ให้ตายเถอะ...ปากอิ่มที่ดูเหมือนว่าจะบวมเจ่อขึ้นมาเล็กน้อยเพราะความเผ็ดกับซอสสีแดงๆที่ติดอยู่บนริมผีปากนั่นมันน่าบดเบียดริมฝีปากลงไปชะมัด
“ช่วยไม่ได้ที่คนแถวนี้น่าดูกว่าหนัง”
คนโดนหยอดพยายามกลั้นยิ้มจนหน้ายับ มือเล็กวางกระป๋องเบียร์กับไก่ทอดลง ภาพทั้งหมดนั่นอยู่ในสายตาจองกุกเสมอ ตั้งแต่ที่จีมินวางของทั้งหมดลง จนกระทั่งนิ้วเล็กๆที่เปื้อนน้ำซอสที่ถูกส่งเข้าไปทำความสะอาดในปากนั่นก็ด้วย
กระป๋องเบียร์ในมือถูกวางลง หมอนที่อยู่วางอยู่บนตักถูกหยิบออก และคนที่นั่งมองมาตลอดเริ่มขยับตัวลุกขึ้น
มันช่วยไม่ได้จริงๆนั่นแหละ ...เพราะใครจะไปทนกับภาพแบบนั้นไหวกันล่ะ
จะโทษความขี้ยั่วแบบไม่รู้ตัวของจีมิน หรือจะโทษความอดทนที่ต่ำเกินไปของเขา
สุดท้ายแล้วมันก็เกิดขึ้นเพราะคนสองคนอยู่ดีนั่นแหละ
จองกุกจับมือเล็กๆที่กำลังจะเช็ดซอสแดงๆนั่นออกก่อนจะประกบริมฝีปากของตัวเองลงไปแทน ลิ้นร้อนไล้เลียซอสที่เปรอะอยู่บนริมฝีปากอิ่ม มือใหญ่ประคองใบหน้าของจีมินให้เงยขึ้นมารับจูบ บดเบียดริมฝีปากเข้าหาราวกับว่าความต้องการที่เขามีต่อจีมินนั้นไม่มีที่สิ้นสุด
ลิ้นร้อนที่ค่อยๆแทรกเข้าไปในโพรงปากแล้วเกี่ยวตวัดกับลิ้นของอีกคนช้าๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไปเหมือนกับต้องการจะทะนุถนอมคนตรงหน้าให้ดีที่สุด ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมานั้นเกินกว่าที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูด รสจูบที่ไม่ได้หอมหวานทว่าขมปร่าเพราะรสของเบียร์ที่ยังติดอยู่ในปาก
จองกุกถอนจูบออกมาก่อนจะกดจูบลงไปบนมุมปากของจีมินเบาๆ เพียงแค่ไม่กี่วินาทีโอกาสได้กอบโกยอากาศหายใจ ริมฝีปากถูกประทับลงไปอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับต่างออกไป ลิ้นร้อนที่ตวัดเกี่ยวไม่หยุดและวนไปแบบนั้นซ้ำๆ ริมฝีปากที่ถูกดูดดึงจนบวมเจ่อ
มันร้อนแรงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
และรู้สึกดีเกินไปจนความคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่
ราวกับว่าเขาต้องการทุกอย่างที่เป็นพัคจีมิน
ทั้งหมดที่เป็นจีมิน
เสียงหอบหายใจดังขึ้นภายในห้องสีเหลี่ยม จองกุกเอื้อมมือไปเช็ดน้ำลายที่เปื้อนอยู่ตรงมุมปากของคนตัวเล็กให้หลังจากที่ถอนจูบออกมา มองหน้าคนที่นั่งหอบหายใจอยู่ตรงหน้า
“เลิกมองได้แล้วครับ”
“ทำไม่ได้ครับ”
“อย่ามาแกล้งกันสิครับ”
“พี่ไม่ได้แกล้งครับ แต่หนูน่ารักเกินไปต่างหาก”
“ให้พันวอน เลิกแกล้งแล้วกลับไปนั่งที่เดิมเลยครับ”
“ไม่ได้อยากได้เงินครับ”
“งั้นก็ไม่มีอะไรจะให้แล้วครับ” จองกุกมองคนที่ต่อล้อต่อเถียงกับเขาจ้อยๆ ปากอิ่มนั่นขยับตามจังหวะการพูดและในสายตาเขามันดูเชิญชวนเกินที่จะหักห้ามใจ
“มีครับ”
“งั้นจะเอาอะไรครับ”
“เอาหนู”
จองกุกคงคิดผิดหากคิดว่าอีกคนจะอายจนหน้าแดงแล้วหนีไปนอน ใช่ที่เขาคิดแบบนั้นและมันผิดไปหมด แขนเล็กๆที่เคยวางอยู่ข้างตัวยกขึ้นมาคล้องคอเขาให้โน้มลงไปรับจูบที่คนตัวเล็กกำลังจะป้อนให้ ริมฝีปากของทั้งคู่ประกบกันอีกครั้ง ขบเม้มและดูดดึงอย่างไม่ยอมแพ้กัน
พัคจีมินกำลังจะทำให้เขาเป็นบ้า จองกุกคิดว่าเขากำลังจะควบคุมตัวเองไม่ไหว ฟันของอีกฝ่ายที่ขบลงบนริมฝีปากของเขานั่น ลิ้นที่พยายามตวัดเกี่ยวกับลิ้นของเขา ทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ไม่ใช่สถานการณ์ที่เขาจะความคุมได้เลย
มือหนาที่เคยว่างเว้นเลื่อนขึ้นไปอยู่บนเอวบางของคนที่อยู่ใต้ร่าง กดจูบลงไปหนักหน่วงกว่าที่เคยเป็น ทั้งหมดนั่น เขากำลังบอกให้จีมินรู้....
“ถ้าพี่อยากได้มากกว่าจูบ หนูจะว่ายังไงคะ”
ว่าเขากำลังต้องการจีมินมากแค่ไหน
“แต่ว่า...พรุ่งนี้ต้องทำงานครับ”
จองกุกรู้สึกเหมือนอารมณ์ดิ่งลงเหว เพราะประโยคเมื่อครู่มันไม่ต่างอะไรจากคำปฏิเสธ เขาขยับตัวถอยออกมา ไม่ได้โกรธจีมินแต่ก็ต้องยอมรับว่ารู้สึกไม่ดี
เขาเข้าใจว่าจีมินต้องไปทำงาน
แต่ก็นั่นแหละ...
คงต้องโลกสวยด้วยมือเราไปก่อนสินะ
ทว่ามือเล็กๆนั่นเอื้อมมาคว้าแขนของเขาเอาไว้ จองกุกหันไปมองด้วยความไม่เข้าใจ เห็นว่าอีกคนก้มหน้าอยู่แต่มือก็จับแขนเขาไว้แน่น
“จะช่วยครับ”
เขาอยากจะสบถคำอยากออกมาเสียงดังๆกับความน่ารักของจีมิน แต่บอกตรงๆเลยว่าถ้ามือเล็กๆนั่นคิดจะช่วยเขาจริงๆ มันอาจจะไม่เพียงพอกับความต้องการของเขา
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“จะช่วย”
เด็กดื้อเงยหน้าขึ้นมาจ้องตากับเขา ที่เอ่ยปฏิเสธออกไปไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากให้จีมินช่วย แต่กลัวว่ามันจะเลยเถิดต่างหาก ใครอดทนกับภาพที่คนที่ตัวเองชอบกำลังใช้มือช่วยได้บ้างวะ เขาไม่รู้หรอกว่าจะมีคนทำได้ไหม แต่ที่แน่ๆเขาคงทำไม่ได้
“ดื้อ”
“อยากช่วย”
“หนูไม่อยากทำหรอก เพราะพี่อยากได้มากกว่ามือของหนู”
“.....”
“ถ้าหนูจะช่วย พี่อยากได้มากกว่านั้น”
จองกุกใช้นิ้วลูบบนริมฝีปากของจีมินเบาๆ เป็นการบอกให้รู้ว่าสิ่งที่เขาต้องการคืออะไร และใช่...มันเป็นการเสี่ยงโชคครั้งสุดท้ายของเขา
เขาต้องการมากกว่านั้น ต้องการทุกๆอย่างในตัวพัคจีมิน
รวมถึงริมผีฝากอิ่มนั่นด้วย
“Please babe...”
และเขาก็ได้รู้ว่าปากเล็กๆนั่น ทำให้เขารู้สึกดีจนแทบบ้า มันดีเกินกว่าที่เขาจะคาดคิด
จองกุกอุ้มคนที่โดนเขารังแกมานอนบนเตียง ก่อนจะก้าวขึ้นเตียงแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวของเขากับจีมินไว้ รั้งตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดก่อนจะกดจูบลงบนขมับ
“ราตรีสวัสดิ์ครับ เด็กดีของพี่”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ใจบางไปหมดแล้วค่ะ
อรั๊ยยยยยยยย เขินนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน ละมุนเว่อๆ ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบ
รอน้าาาาาา สู้ๆค่ะ
ติดใจกับคำว่า "คนที่ตัวเองชอบ" แปลว่าอะไรคะ? คุณจอนชอบน้องจีมเหรอ? ชอบแล้วเหรอ? คิดว่าชอบแล้วเหรอ? โอเคเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้ยิ้มและยอมแหกกฏที่ตัวเองตั้งต่างๆนานาเหล่านั้น น้องจีมอาจจะดูพิเศษ แต่ว่าคุณจอนยอมรับแล้วเหรอว่าชอบน้องจริงๆ อยากขยับสถานะไหมคะ? คิคิ อ่า...ตอนแรกอ่านก็ไม่เข้าใจหรอกค่ะว่าคืออะไร พอมาอ่านซ้ำเข้าใจแล้วว่าน้องจีมช่วยคุณจอนยังไงน่ะค่ะ ก็ทำให้อายๆเหมือนกันนะคะ แหะ
ดราม่าได้แต่ว่าไม่เยอะได้ไหมคะ อย่าเอาหน่วงมากนะคะ เราใจบางงงงงง อยากอ่านคู่หลักอีกเยอะๆๆๆๆๆๆเลยค่ะ รอตอนหน้านะคะ