ตอนที่ 2 : Chapter1
GOLDEN CLOSET
Chapter1
ก๊อกแก๊ก...
มือเล็กดันของชิ้นสุดท้ายเข้าชั้นวางเรียบร้อยก่อนจะกวาดสายตาไปรอบห้อง พัคจีมินเดินทางมาถึงเกาหลีเมื่อ 3 ชั่วโมงที่แล้ว คนตัวเล็กเลือกที่จะเดินทางโดยแท็กซี่เพื่อมายังห้องพัก เข้าไปติดต่อกับพนักงานขายก่อนที่จะได้กุญแจห้องและคีย์การ์ดมา จีมินเลือกซื้อคอนโดที่ตั้งอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยเพราะการเดินทางสะดวก ห้องชุดในย่านดังก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่แพงเอาเรื่อง
จีมินเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้บนโซฟาก่อนจะกดเข้าแอพพลิเคชั่นสีเหลืองที่โหลดมาเพื่อคุยกับแทฮยองโดยเฉพาะ ก่อนจะกดส่งข้อความไปหาเพื่อนที่ย้ำนักย้ำหนาว่าจะทำอะไรก็ให้บอก
‘เราถึงห้องแล้วนะ’
ข้อความสั้นๆถูกส่งออกไปก่อนที่โทรศัพท์จะถูกวางลงใกล้ๆจุดเดิมที่มันเคยวางอยู่ จีมินเดินสำรวจของในห้องก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงกว้าง เขาซื้อที่นี่และเฟอร์นิเจอร์ที่ตกแต่งห้องก็เป็นของที่สั่งไว้ โชคดีที่เจอพนักงานขายที่คุยง่าย สภาพห้องถึงได้ออกมาในรูปแบบที่น่าพอใจ
พอตัวได้สัมผัสกับเตียงนุ่มความง่วงก็ตามมา อาการล้าจากการนั่งเครื่องบินมาสิบกว่าชั่วโมงบวกกับความเหนื่อยจากการนั่งจัดของเข้าห้องทำให้คนตัวเล็กตาปรือเข้าไปทุกที สุดท้ายแล้วความง่วงก็ชนะความหิว เขาตัดสินใจว่าจะนอนก่อนแล้วค่อยออกไปหาอะไรกินทีหลัง พอคิดได้แบบนั้นก็จัดการพาตัวเองขึ้นไปนอนบนเตียงดีๆก่อนจะหลับไป
ตอนแรกก็คิดว่าจะนอนเอาแรงสักสองสามชั่วโมงแล้วค่อยออกมาหาของกิน แต่เพราะความเหนื่อยทำให้หลับยาวจากหกโมงเย็นถึงเช้าของอีกวัน จีมินลุกขึ้นมองนาฬิกาบนหัวเตียงก่อนจะพาตัวเองไปห้องน้ำ ในห้องยังไม่มีของใช้ส่วนตัวอะไรมากมาย เสื้อผ้าก็มีอยู่แค่สามสี่ชุดที่ขนมาจากอเมริกา เห็นทีวันนี้เขาคงต้องออกไปซื้อของเข้าห้องซะแล้วสิ
คนตัวเล็กที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเดินมาคว้ากระเป๋าสะพายก่อนจะออกจากห้องไป เขาตัดสินใจว่าวันนี้จะไปเดินดูรอบๆมหาวิทยาลัยก่อนแล้วค่อยไปซื้อของเข้าห้องตอนเย็นๆ
บรรยากาศในมหาวิทยาลัยค่อนข้างดี อาจจะเพราะตอนนี้เป็นฤดูในไม้ผลิ สองเท้าพาเจ้าของร่างก้าวเดินไปเรื่อยๆ ตลอดเส้นทางมีผู้คนอยู่ประปราย ดูๆแล้วก็คงจะเป็นเด็กๆนักศึกษาที่เข้ามาทำกิจกรรมก่อนเปิดเทอม จีมินมองไปรอบๆเพื่อหาทางไปคณะนิเทศศาสตร์ที่เขาจะเข้าเรียน เพื่อที่เวลามายื่นเอกสารจะได้ไม่เสียเวลา แต่มหาลัยที่นี่ก็กว้างเกินกว่าที่จะหาได้ง่ายๆ
ก่อนจะก้าวเท้าต่อสายตาก็เหลือบไปเห็นป้ายคณะ ‘ศิลปกรรมศาสตร์’ เข้าซะก่อน เขาใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปดู ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าที่ที่เพื่อนเรียนอยู่จะเป็นยังไง นักศึกษากลุ่มหนึ่งกำลังทำกิจกรรมอยู่ที่ลานกว้างหน้าคณะ จีมินกวาดสายตามองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ร่างสูงของเด็กหนุ่มที่คิดว่าน่าจะรู้จักตรึงสายตาของเขาไว้ก่อนที่รถยนต์ขนาดกลางจะแล่นเข้ามาขวางทางสายตา
“หายไปไหนแล้วนะ” พึมพำกับตัวเองเมื่อพบว่าสิ่งที่จ้องมองอยู่ก่อนหน้าหายไป
“เฮ้ย น้อง!”
เสียงตะโกนเรียกดังขึ้นข้างๆหูทำให้จีมินสะดุ้งตกใจ ก่อนจะหันไปมองที่มาของเสียงที่ว่า เด็กผู้ชายที่ดูแล้วน่าจะอายุสัก 19-20 ปีฉีกยิ้มมาให้ ข้อมือเล็กโดนคว้าไว้ก่อนที่จะถูกลากข้ามถนนไปยังลานกว้าง
“มายืนทำอะไรตรงนี้ เห็นไหมว่าเพื่อนเขาทำกิจกรรมกันอยู่”
“เดี๋ยว...”
“อ่ะ ห้อยป้ายนี่ไว้แล้วก็ไปรวมกับเพื่อนตรงนู้นนะ” ป้ายคล้องคอที่ทำจากกระดาษกับเชือกถูกคล้องให้กับคนตัวเล็กก่อนจะโดนดันให้ไปรวมกลุ่มกับเด็กๆที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่
จนถึงตอนนี้จีมินก็เพิ่งสังเกตว่าลักษณะการแต่งตัวของเขากับคนกลุ่มนี้คล้ายกันขนาดไหน เสื้อยืดสีขาวบวกกับกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบ มองผ่านๆแล้วก็เหมือนมาร่วมกิจกรรมกับคนกลุ่มนี้จริงๆนั่นแหละ จะแตกต่างหน่อยก็คงเป็นผมสีบลอนด์ท่ามกลางกลุ่มผมสีน้ำตาลและสีดำ
อ่า...รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง
“นี่” เสียงเรียกดังขึ้นพร้อมกับแรงสะกิดตรงหัวไหล่ของจีมิน เขาหันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
“มีอะไรหรอ”
“กะ...เราชื่ออูจิน นายชื่ออะไร” พัคอูจินชะงักเมื่อเห็นหน้าคนที่หันมาตอบชัดๆ เขาเดินเข้ามาทักเพราะเห็นว่าอีกคนน่าจะยังไม่มีเพื่อน แถมสีผมโดดเด่นขนาดนี้ก็คงจะแสบพอตัว ไม่คิดว่าหลังจากได้เห็นหน้าชัดๆแล้วจะเป็นผู้ชายน่าตาน่ารัก...ขนาดนี้
“กูมึงก็ได้ เราไม่ถือ”
“อื้อ!”
“แล้วก็ เราชื่อจีมิน”
“จีมินไปรวมกับกลุ่มเราตรงนั้นไหม” ถึงจะบอกว่าไม่ถือ แต่พัคอูจินก็ยังไม่กล้าใช้ศัพท์ที่ค่อนข้างหยาบคายกับเพื่อนใหม่อยู่ดี เขายกมือขึ้นแล้วชี้ไปทางกลุ่มเพื่อนที่ยืนอยู่ จีมินมองตามมือของอูจินแล้วก็เจอกับผู้ชายประมาณ 4-5 คน
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวต้องไปแล้ว” จีมินบอกปฏิเสธ
“เฮ้ย กิจกรรมเข้าแล้วโดดไม่ได้นะเว้ย เดี๋ยวก็โดนหมายหัวหรอก” ...สีผมยิ่งเด่นๆอยู่ด้วย ไม่มีทางที่รุ่นพี่จะจำไม่ได้
“ไม่เป็นไรๆ เราไม่ได้จะมาเข้ากิจกรรมอะไรอยู่แล้ว”
“ถ้าจะโดด นายก็ไม่ควรมาตั้งแต่แรกนะ”
“เราไม่ได้โดดนะ”
“เอาเถอะ ไปรวมกันตรงนู้นก่อน เดี๋ยวค่อยแอบออกไปกัน” ข้อมือเล็กโดนคว้าไว้เป็นรอบที่สองของวัน ก่อนแรงดึงจะตามมาส่งผลให้ต้องก้าวเท้าตามไปทั้งที่ไม่ได้เต็มใจ
‘คนที่นี่ทำไมเป็นแบบนี้นะ หนึ่งคนก็ไม่ฟังอะไร ส่วนอีกคนก็พูดไม่รู้เรื่อง’ จีมินรู้สึกว่าความหงุดหงิดของเขาเริ่มเพิ่มขึ้นทีละน้อย และคิดว่าถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่อีกไม่นานเขาคงเผลอใส่อารมณ์กับคนพวกนี้แน่ๆ
“พวกมึง นี่จีมิน”
“หวัดดี”
“หวัดดีๆ เดี๋ยวค่อยคุย ไปรวมก่อน พ่อมึงมาล่ะเดี๋ยวแม่งซวยกันหมด”
นักศึกษาปีหนึ่งที่ยื่นกระจัดกระจายกันอยู่เมื่อครู่กำลังวิ่งต่อแถวกันให้วุ่น มองดูแล้วเวียนหัวแปลกๆ จีมินก้มลงมองข้อมือตัวเองที่ยังถูกจับไว้ก่อนจะพยายามดึงออก ทว่าแรงจับยิ่งเพิ่มมากขึ้นก่อนจะถูกกึ่งจูงกึ่งลากให้ไปต่อแถว
“นาย เราจะกลับแล้ว” จีมินไม่ยอมเดินตาม เขาฝืนแรงดึงนั้นไว้ก่อนจะดึงคนกำลังลากให้หันกลับมามอง
“ปล่อยมือเรา” แรงบีบจากการดึงไม่ใช่เบาๆ และนั่นทำให้จีมินเจ็บ เด็กพวกนี้ไม่ถามอะไรเขาสักคำ เอาแต่ลากไปนั่นไปนี่ และถ้าจะให้พูดตรงๆก็คงบอกได้เลยว่าตอนนี้ความหงุดหงิดมันพุ่งขึ้นมาเกือบจะถึงจุดสูงสุดแล้ว
“โทษทีๆ ปล่อยแล้ว”
“อือ เราไปนะ” จีมินบอกลาและอูจินเองก็ไม่ได้ห้ามอะไร อาจจะเพราะรู้ว่าจีมินอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แขนขาวเป็นรอยแดงจากการบีบรัด จีมินยกแขนตัวเองขึ้นมาดูก่อนจะถอนหายใจออกมา เขาเป็นพวกช้ำง่าย รอยพวกนี้ก็เกิดขึ้นง่าย อาจจะเป็นเพราะผิวที่ขาวมากหรืออะไรก็ตาม แต่จีมินไม่ชอบมันเลย รอยพวกนี้ทำให้เขาดูเหมือนคนอ่อนแอ ทั้งที่จริงๆแล้วไม่ใช่
“ไอ้เด็กผมบลอนด์นั่น ออกมานี่!” ก้าวขาออกมายังไม่ถึงห้าก้าวก็ต้องชะงัก ผมบลอนด์...ตอนที่กวาดสายตามองรอบๆก็ไม่เห็นมีใครผมสีนี้ จะมีก็แต่พัคจีมินคนนี้นี่แหละ
“นายเรียกเราหรอ” คนตัวเล็กหันไปถาม เด็กๆปีหนึ่งนั่งต่อแถวกันเป็นระเบียบทำให้มองหาคนที่ตะโกนเรียกเขาเมื่อกี้ได้ไม่ยาก ท่าทางข่มขวัญกับสายตาเอาเรื่องนั่นกำลังจ้องมาที่เขา
“เออ เดินมานี่”
“เดินไป” แรงผลักจากด้านหลังทำให้ต้องตวัดสายตาไปมอง เด็กตัวโตท่าทางหาเรื่องเป็นคนทำ จีมินได้แต่กดความหงุดหงิดเอาไว้ในใจก่อนจะเดินไปหาผู้ชายที่เป็นคนเรียก
“มีอะไร”
“ไม่มีใครบอกมึงหรือไงว่าเด็กปีหนึ่งห้ามย้อมผม!” คนตัวโตกระชากเสียงถาม
“ไม่มี”
“เด็กเหี้ย พูดกับรุ่นพี่ให้มันดีๆ!”
“แล้วเราพูดไม่ดีตรงไหน เราด่านายเหรอ ก็ไม่หนิ เราขึ้นมึงกูกับนายหรอ ก็ไม่ แล้วเราเรียกนายว่าไอ้เด็กเหี้ยหรอ ก็ไม่”
คำพูดตอกกลับทำเอาอีกฝ่ายหน้าชา จีมินไม่ชอบคนแบบนี้ เอาแต่ด่าหรือโทษคนอื่นทั้งๆที่ไม่มองดูสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ เขาไม่คิดด้วยซ้ำว่าเข้ามาในมหาลัยแล้วจะเจอกับอะไรแบบนี้
“มึง...” เสียงกัดฟันกรอดดังมาจากคนตรงนี้ ดวงตาที่จ้องมองมามีแววขุ่นเคือง
“ผมกับคุณ ใครกันแน่ที่ไม่มีมารยาท” สรรพนามที่เปลี่ยนไปบ่งบอกได้ว่าจีมินเองก็อารมณ์เสียไม่แพ้กัน
“ผมไม่ใช่เด็กแล้วก็ไม่ใช่รุ่นน้องของคุณ และถึงจะเป็นรุ่นน้องคุณก็ไม่มีสิทธิ์มาพูดกับผมแบบนี้”
คำพูดราวกับสั่งสอนที่ออกมาจากปากเล็กๆนั่นยิ่งเพิ่มความโกรธให้อีกฝ่าย สายคล้องคอของคณะที่ห้อยอยู่บนคอนั่นบอกได้ว่ามันเป็นเด็กปีหนึ่งในคณะเขาแน่ๆ ชเวจงชิน ขบกรามแน่น ไอ้เด็กตัวกระเปี๊ยกตรงหน้ามันกล้าหักหน้าเขา
“...ไปตาม...มา” เสียงของพวกเด็กปีสองที่แว่วเข้าหูยิ่งทำให้อารมณ์เสียงหนักเข้าไปใหญ่ ถึงจะได้ยินไม่ชัดก็พอรู้ว่าพวกมันจะไปตามใครมา พี่ปีสี่ที่มีอำนาจมากที่สุดไม่อยู่ ก็คงเหลือแค่คนเดียว...อดีตเดือนมหาลัยปีสามที่เขาโคตรจะไม่ชอบขี้หน้า
“เรื่องที่จะพูดกับเรามีแค่นี้ใช่ไหม” คนตัวเล็กเอ่ยถาม แววตาและท่าทางแสดงความเบื่อหน่ายออกมาอย่างชัดเจน
“ไปนะ” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบก็สรุปเอาเองและถือโอกาสบอกลาไปในตัว ก่อนจะเดินออกไปก็นึกขึ้นได้ว่าบนคอมีป้ายเจ้าปัญหาอยู่ด้วย จีมินถอดมันออกพร้อมกับยื่นให้คนตรงหน้า
“เอานี่คืนไปด้วย เราไม่ได้อยากได้”
“มึง!” ความโมโหทะละถึงขีดสุดทำให้อีกฝ่ายถลาตัวเข้ามาเพื่อหวังจะสั่งสอนด้วยความรุนแรง ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติก็คงจะหลบได้ทัน แต่ตอนนี้พัคจีมินอยู่ในโหมดที่ไม่ได้กินข้าวมาเกือบจะครบวันแล้วแถมยังโดนลากไปโน่นมานี่ พลังกายหดหายทำให้ขาก้าวหลบช้ากว่าที่ควรจะเป็น
พลั่ก!!
กรี๊ดดดดดด!
หมัดหนักๆโดนเข้าที่โหนกแก้ม ถึงจะไม่โดนเต็มๆแต่ก็เจ็บใช่เล่น เสียงของเด็กผู้หญิงที่เห็นเหตุการณ์พากันหวีดร้องจนแสบหูไปหมด จีมินใช้มือดันตัวให้ลุกขึ้น เด็กตรงหน้าส่งยิ้มเยาะมาให้ เห็นแล้วมันหงุดหงิดใจแต่ก็ไม่คิดจะเอาคืนด้วยวิธีสิ้นคิดแบบนั้น
“เด็กเดี๋ยวนี้ใช้ความรุนแรงในสถานศึกษากันด้วยเหรอเนี่ย ไร้มารยาทจริงๆ”
จีมินยกมือขึ้นแตะแก้มตัวเองเบาๆ เด็กตัวโตนั่นยังมีท่าทีคุกคามไม่หยุดและพูดกันตามตรงเขาเองก็ไม่ใช่คนใจเย็นสักเท่าไหร่ แต่จะให้มาตีกับเด็กผู้ชายที่ตัวโตกว่าตัวเองเป็นคืบในสภาพไม่พร้อมรบแบบนี้ก็คงจะไม่ไหว
ให้ตายเถอะ ไอ้เด็กนี่ทำเขากินข้าวไม่อร่อยไปอีกสองสามวัน!
“มึงว่าไงนะ!” ร่างสูงของชเวจงชินถลาเข้ามาหาเขาอีกรอบ แต่ก่อนจะถึงตัวก็โดนเพื่อนสองคนเข้ามาห้ามไว้ก่อน
“ใจเย็นดิวะ!” คิมจองฮันที่ดึงแขนเพื่อนไว้ร้องเตือน
“นั่นสิ มีอะไรก็คุยดีๆอย่าใช้แต่กำลังแก้ปัญหา ไม่สิ...ที่นายทำอยู่เขาไม่เรียกแก้ปัญหา แต่เขาเรียกว่าสร้างปัญหา”
จีมินเดินเข้าไปใกล้เด็กตัวโตก่อนจะยืนจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมความ เขาเคยมีเรื่องมาบ้างตามประสาเด็กผู้ชาย แต่ก็ไม่มีใครที่จะไร้เหตุผลในการหาเรื่องคนอื่นมากเท่าเด็กคนนี้
ดูท่าแล้วก็คงเป็นลูกคนใหญ่คนโต ถึงได้ทำตัวกร่างได้แบบไม่กลัวอะไรขนาดนี้
“และอีกอย่าง เราไม่ได้เป็นน้องในคณะนาย ไอ้ป้ายบ้าบอนั่นก็มีใครไม่รู้เอามาคล้องคอให้ แค่เรามีป้าย เราแต่งตัวคล้ายพวกนาย แค่เราย้อมผมบลอนด์ และนายเองที่พูดไม่รู้เรื่อง ถ้าทั้งหมดนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเจ็บตัว เราก็ขอบอกไว้เลยว่ามันงี่เง่าและไร้เหตุผลที่สุด”
“มึง!” จงชินสะบัดแขนทั้งสองข้างหลุดจากมือเพื่อนก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาคนตัวเล็กอีกรอบ
“หยุด!” มือเล็กๆยกขึ้นชี้หน้า จงชินชะงักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ...ไม่มีใครเคยชี้หน้าเขาแบบนี้ ถึงมีตอนนี้มันก็คงไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว
“อย่ามาเรียกเราแบบนั้น เราอายุมากกว่านายตั้งกี่ปี่!”
“อะไรนะ”
“อยู่ปีไหน”
“.....”
“เราถามว่าอยู่ปีไหน อายุเท่าไหร่ แล้วก็เลิกจ้องหน้าเราได้แล้ว!”
“ปีสาม...” คนตัวโตกว่าตอบออกไปเหมือนคนละเมอ เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องยอมหยุดและยอมทำตามที่คนๆนี้บอก
“อายุเท่าไหร่”
“21…”
“เราอายุ 23 เพราะงั้นขอให้รู้ไว้ว่าคนที่เสียมารยาทคือนาย ไม่ใช่เรา”
“อายุ 23 แล้วมาทำเหี้ยไรแถวนี้วะ!” จงชินตะคอกใส่เสียงดังจนคนตัวเล็กสะดุ้ง จะอายุเท่าไหร่แล้วมันยังไง ในเมื่อที่นี่มันถิ่นเขา ในเมื่อเสนอหน้าเข้ามาเองก็รับผิดชอบชีวิตตัวเองไปก็แล้วกัน
“นี่มันที่ดินของนายหรือไงคนอื่นถึงได้ไม่มีสิทธิ์มาเหยียบน่ะ”
เหลืออด เด็กคนนี้มันกู่ไม่กลับแล้วจริงๆ
“คนอะไรเป็นบ้าได้ขนาดนี้วะเนี่ย เฮ้อออ” จีมินบ่นและถอนหายใจให้กับวันซวยๆของตัวเอง
“มึงว่ากูเหรอ!”
“เออ ว่ามึงนั่นแหละ!” ในเมื่อพูดดีๆไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องพูดมันล่ะ โดนแทฮยองบ่นสามสี่วันก็ไม่เห็นจะเป็นไร
“มึง!!!”
“มึง ๆๆ เรียกอยู่นั่นแหละ เรียกอะไรนักหน...อ๊ะ” แรงบีบรัดตรงต้นแขนทำให้คนตัวเล็กต้องร้องอุทานออกมา คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเมื่อครู่พุ่งเข้ามาบีบแขนเขาอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บไปหมด
สายตาโกรธเคืองที่มองมาทำให้รู้สึกแปลกจนขนลุก มันมากเกินไปสำหรับเหตุการณ์ทะเลาะกันเล็กๆน้อยๆแบบนี้
หมับ
แรงกระชากที่ข้อมือของชเวจงชินทำให้จีมินเองก็โดนดึงจนเซไปด้วย
“ปล่อย”
น้ำเสียงคุ้นหูที่คิดว่าไม่ได้ยินมาหลายปีดังขึ้น พร้อมกับแผ่นหลังที่บังภาพตรงหน้าจนมิด แรงบีบคลายลงแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยตามที่เสียงนั้นสั่ง
“มึงอย่ามายุ่ง”
“ปล่อยมือ” เสียงทุ้มเอ่ยด้วยประโยคคล้ายเดิมอีกรอบ
“ยุ่งอะไรด้วยวะ!” เสียงของจงชินตวาดดังไปทั่วลานกว้างหน้าคณะ คนรอบข้างละจากกิจกรรมต่างก็พากันมองดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่กลับไม่มีสักคนที่กล้าจะเดินเข้ามาห้ามปรามเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
ลูกชายจากครอบครัวที่บริจาคเงินทุนให้มหาวิทยาลัยกับอดีตเดือนมหาลัยคนดังกำลังจะมีเรื่องกัน เพราะบุคคลแปลกหน้าที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน
“เด็กมึงหรือไง” จงชินมองหน้าอีกฝ่ายอย่างหาเรื่อง เขาไม่ชอบคนตรงหน้าเลยจริงๆ ตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงตอนนี้ไม่มีครั้งไหนที่ไม่รู้สึกเกลียดขี้หน้ามันเลยสักครั้ง
“ปล่อยมือแล้วคุยกันดีๆ”
“ก็แค่บอกมาว่าเด็กมึง แล้วกูจะไม่ยุ่ง” ถึงจะไม่ชอบขี้หน้าขนาดไหน แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นคนที่สองรองจากไอ้พี่ปีสี่ที่ไม่ควรจะมีเรื่องด้วย ครอบครัวเขาใหญ่ขนาดไหน อีกฝ่ายก็คงไม่แพ้กัน
“ไม่ใช่”
“ชิ! ไม่ใช่ก็ถอยไป” จงชินใช่มืออีกข้างผลักอีกฝ่ายอย่างแรง แต่ถึงกระนั้นอีกคนก็ยังไม่ยอมขยับไปไหน
“โทษที แต่กูถอยไม่ได้” น้ำเสียงจริงจังที่เอ่ยออกมาทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่น และจะไม่ยอมถอยแน่ๆ
...ถ้าไม่ใช่เด็กมันแล้วมีเหตุผลอะไรที่ต้องปกป้อง ทั้งๆที่ปกติก็ไม่ได้สนใจใครแท้ๆ
“ไม่ใช่เด็กแต่สำคัญกับมึงว่างั้น” จงชินเหยียดยิ้มร้าย ถ้าสำคัญเขาจะทำลายให้ย่อยยับ...เหมือนอย่างที่เคยทำ
“ไม่ใช่กับกู แต่สำคัญกับคนที่มึงไม่อยากจะมีเรื่องด้วยแน่ๆ”
“งั้นหรอ...คิดว่ากูสนหรือไง”
“มึงสนแน่ เพราะกูรู้ว่ามึงไม่เสี่ยงหาเรื่องกับพี่แทฮยองแน่ๆ ...ใช่ไหมชเวจงชิน”
ชื่อที่ออกจากปากอีกฝ่ายทำให้จงชินชะงัก คิมแทฮยอง...คนแรกและคนเดียวที่เขาไม่อยากเสี่ยงด้วยเด็ดขาด ‘เข็ดขยาด’ คำนี้น่าจะเหมาะสมที่สุด เหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้รู้ว่าคิมแทฮยองเป็นคนที่ไม่ควรเล่นด้วยและไม่ควรเอาตัวเข้าไปเสี่ยงด้วย
“ระวังคนของมึงไว้ให้ดีเถอะ จอนจองกุก”
มือหนาค่อยๆคลายออกจากแขนเล็ก รอยแดงปรากฏเด่นชัดขึ้นมาเต็มสองตา จงชินเดินหนีหายไปพร้อมกับเพื่อนอีกสองสามคน จีมินยกมือขึ้นลูบแขนตัวเองเบาๆก่อนจะเอื้อมมือไปกระตุกชายเสื้อของคนตรงหน้า
“กุก...จองกุก”
“.....” คนตัวโตหันกลับมามองแต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกไป
“จอนจองกุก!!!” จีมินโผเข้ากอดคนตรงหน้าแน่น คนตัวเล็กเอาหัวถูกตรงไหล่อีกคนเหมือนอย่างที่เคยทำ
“ทำไมสูง!”
ตัวเล็กโวยวายเมื่อเห็นว่าเด็กที่ไม่ได้เจอกันนานตอนนี้ตัวสูงกว่าตัวเองไปประมาณหนึ่งคืบ ใบหน้าของอีกคนยังเหมือนเดิมแต่ส่วนสูงกลับล้ำหน้าเขาไปเยอะจนเขาคงจะตามไม่ทัน
เหมือนกับคิมแทฮยองไม่มีผิด ทิ้งเขาไว้กับส่วนสูงเท่าเดิมตั้งแต่เกรดสิบ พัคจีมินรับไม่ได้!
“ไม่ได้เจอกันแค่ห้าปีทำไมต้องสูงขึ้นขนาดนี้ด้วย” คนตัวเล็กมุ่ยหน้าใส่
จอนจองกุก เด็กที่เข้าเรียกที่โรงเรียนเดียวกับเขา รู้จักกันเพราะอีกฝ่ายสนิทกับแทฮยองและเพราะจองกุกเป็นเด็กหน้าตาน่ารักจีมินคนนี้ก็เลยเอ็นดูน้องจองกุกเป็นพิเศษ
เวลาเกือบห้าปีที่ไม่ได้เจอกัน
“หล่อขึ้นด้วย” จีมินจิ้มหน้าอีกคนอย่างนึกหมั่นไส้โดยไม่ทันได้สนใจสายตาจากคนรอบข้าง
เมื่อก่อนการสกินชิพเป็นเรื่องปกติของพวกเขาทั้งสามคน จีมิน แทฮยอง จองกุก พวกเขาไม่เคยคิดมากกับการสัมผัสตัวของกันและกัน แต่คงไม่ใช่ในสายตาคนนอก
และพัคจีมินเองก็คงไม่รู้ว่าเด็กที่เขาเคยรู้จักเมื่อห้าปีที่แล้วนั้นตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ตอนหน้าจะทำให้ตกใจไหมเนี่ยกับการเปลี่ยนแปลง
อ๋อยยยยย ยัยลูกแมวพอเจอเด็กยักษ์นี่กลายร่างเป็นแมวเลยน๊องงง 5555555 เอ็นดู แง้
อยากรู้มากค่ะว่าจีมินจะไปหาใคร จะใช่จองกุกมั้ยน้ออออ?
รอตอนต่อไปเลยชอบๆๆ