ตอนที่ 14 : Chapter13
GOLDEN CLOSET
Chapter13
“เอากุญแจมา เดี๋ยวเราขับเอง”
จีมินยื่นมือไปขอกุญแจรถจากเด็กตัวสูงหน้าหล่อที่วันนี้ดูไม่ค่อยมีแรงนักเพราะโต้รุ่งปั่นงานมาสองวันติด ท่าทางอ่อนเพลียของจองกุกทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้จนต้องตามออกมาด้วย มือหนาของเด็กตัวโตยื่นกุญแจรถมาให้อย่างไร้ข้อโต้แย้ง จีมินมองตามคนที่เดินไปขึ้นรถด้วยความเป็นห่วง ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติจองกุกไม่มีทางยอมให้เขาเป็นคนขับรถง่ายๆแบบนี้แน่
“นอนพักไปก่อน เดี๋ยวถึงแล้วจะปลุก” จีมินเอ่ยกับคนที่นั่งทำหน้าง่วงอยู่ในรถ
“ขอบคุณนะครับ” คำขอบคุณสั้นๆดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะผล็อยหลับไปทั้งๆที่ยังไม่ได้รัดเข็มขัด จีมินหลุดขำออกมาเพราะนานๆทีจะได้เห็นจองกุกในสภาพนี้ มือเล็กเอื้อมไปดึงสายเบลท์มาคาดให้ก่อนจะลูบผมเด็กตัวโตเบาๆด้วยความเอ็นดู
รถยนต์ขนาดกลางแล่นไปตามท้องถนน วันนี้จองกุกมีนัดกับเพื่อนที่ร้านขายอุปกรณ์งานศิลป์ เพราะที่คณะศิลปกรรมศาสตร์กำลังจะจัดงานนิทรรศการขึ้นจองกุกก็เลยต้องโหมงานหนักกว่าปกติเพราะเจ้าตัวเป็นที่รู้จักของหลายๆคน การประสานงานส่วนใหญ่ก็เลยตกมาอยู่ที่เดือนมหาลัยปีสามที่ทุกคนต่างรู้จัก ทั้งงานของคณะแล้วไหนจะนิทรรศการภายถ่ายของเจ้าตัวเองด้วย เพราะงั้นก็เลยต้องทำงานหนักเป็นสองเท่าของคนอื่น
หลังจากที่พูดคุยปรับความเข้าใจกันวันนั้นก็ผ่านมาเกือบสองอาทิตย์แล้ว เจ้าเด็กตัวโตที่หลับอยู่ข้างๆขนเสื้อผ้าบางส่วนเข้ามาอยู่ในห้องของจีมินทั้งๆที่ยังไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของห้อง ความสัมพันธ์ตอนนี้ก็เรื่อยๆไม่ได้มีอะไรหวือหวาแต่ก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน อีกทั้งจีมินตัดสินใจลาออกจากการเป็นพนักงานที่ร้านกาแฟของโฮซอกเพราะเริ่มเรียนหนักขึ้นและอยากให้เวลากับคนใกล้ตัวมากขึ้นด้วย แต่วันไหนว่างๆก็ยังเข้าไปช่วยงานที่ร้านอยู่เรื่อยๆ
“จองกุก ถึงแล้วนะ” รถยนต์คันใหญ่แล่นเข้ามาจอดที่ลานจอดรถ จีมินเอื้อมมือไปแตะแขนคนที่นั่งอยู่ข้างๆก่อนจะเอ่ยเสียงเรียกคนที่กำลังหลับอยู่
“อือ...” คนที่อดหลับอดนอนมาหลายวันลืมตาขึ้น มือหนายกขึ้นมาลูบหน้าตัวเองเบาๆเพื่อให้ตื่นตัวก่อนจะเอ่ยถามคนที่อาสาขับรถให้ “ไปด้วยกันไหม”
“เดี๋ยวเราไปรอที่ร้านกาแฟ” จีมินส่ายหน้าแล้วชี้ไปที่ร้านกาแฟที่อยู่ติดกัน ถึงจะเป็นห่วงจองกุกแต่ก็ไม่อยากจะเข้าไปรบกวนคนอื่น เขาไม่ค่อยรู้จักเพื่อนของจองกุกมากนัก เพราะแบบนั้นเลยเลือกที่จะนั่งรออยู่ข้างนอก
“ครับ เสร็จแล้วเดี๋ยวโทรหา” จองกุกเอ่ยขึ้น จริงๆแล้วเขาไม่อยากให้จีมินมาด้วยซ้ำ แต่เพราะสภาพตัวเองตอนนี้ค่อนข้างที่จะ...แย่ ก็เลยต้องยอมให้จีมินขับรถมาส่ง และถ้าจะถามถึงเหตุผลก็คงเป็นเพราะเจ้าของรถที่เพิ่งจะแล่นเข้ามาจอดข้างๆกันนี่ล่ะมั้ง
จองกุกละความสนใจจากรถคันที่ว่าก่อนจะก้าวลงรถพร้อมๆกับจีมิน มือหนายกขึ้นกวักมือเรียกคนที่เพิ่งจะจัดการกับกระเป๋าสะพายเสร็จ จีมินเดินเข้าไปหาตามที่เจ้าเด็กตัวโตต้องการ จังหวะเดียวกับที่ชเวจงชินก้าวลงมาจากรถ และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะชะงักเล็กน้อยตอนที่เห็นหน้าเขา จีมินยิ้มให้น้อยๆก่อนจะก้าวเข้าไปหาคนที่กำลังยืนรอ
“มีอะไรเหร...” คำพูดถูกดูดกลืนหายไปพร้อมกับริมฝีปากบางที่แนบลงมา อดตกใจไม่ได้ที่อยู่ๆก็โดนจูบกลางลานจอดรถที่มีคนเดินผ่านไปมาอยู่ตลอดเวลา
“หึ...ขี้หวงจริง” เสียงทุ้มดังแว่วเข้ามาก่อนที่จองกุกจะผละออกไป จีมินมองค้อนคนที่ทำอะไรตามใจแต่ก็ได้เพียงรอยยิ้มน้อยๆตอบกลับมา
“เดี๋ยวเถอะ!” คนตัวเล็กเอ่ยเตือน มือน้อยๆยกขึ้นเหมือนจะตีคนที่ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ตรงหน้า เจ้าเด็กกระต่ายเหมือนจะเสพติดการจูบไปแล้ว เพราะตั้งแต่วันนั้นก็ชอบเข้ามาวอแวขอจุ๊บขอจูบอยู่เรื่อย
“อยากยิ้มให้มันเองนี่ครับ” คนขี้หวงว่า ถึงแม้ตอนนี้เขากับจงชินจะไม่ได้ทะเลาะกันทุกครั้งที่เจอหน้าอย่างแต่ก่อนเพราะโดนจีมินเรียกไปปรับทัศนคติกันตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วและจบด้วยการต่อยกันจนปากแตกความสัมพันธ์ที่เคยแตกหักไปก็เหมือนจะดีขึ้น แต่มันก็เท่านั้น...
ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็เหมือนกับแก้วที่แตกไปแล้วนั่นแหละ ถึงจะพยายามต่อมันเข้าด้วยกันขนาดไหนมันก็ยังมีรอยร้าว เหมือนความสัมพันธ์ของเขากับชเวจงชินที่ถึงจะเปิดใจคุยกันไปแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
“ก็แค่ยิ้ม”
“ก็แค่หวง” จองกุกเอ่ยขึ้นพร้อมกระตุกยิ้มมุมปาก ท่าทางน่าหมั่นไส้จนจีมินเบ้ปากใส่ทั้งๆที่ยังเขินกับคำพูดนั้น
“ระวังไว้เถอะ เดี๋ยวเราจับขังไว้ด้วยกันอีกรอบ” คนตัวเล็กยกเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อนอาการเขินอายที่กำลังเป็นอยู่ มือเล็กๆดันแผ่นหลังของเด็กขี้หวงให้เข้าไปในร้านก่อนที่ตัวเองจะเดินไปที่ร้านกาแฟ
ไม่อยากจะบ่น แต่เพราะจอนจองกุก ช่วงนี้หัวใจเขาเลยดูเหมือนว่าจะทำงานหนักมากขึ้นทุกวัน
_____GOLDEN CLOSET_____
จองกุกเดินเข้ามาในร้านที่มีเพื่อนยืนจับกลุ่มกันอยู่ประมาณห้าหกคน ก้มหน้าลงไปมองนาฬิกาบนข้อมือที่เข็มสั้นชี้ไปที่เลขสิบและเข็มยาวชี้ไปที่เลขสี่ สองเท้าก้าวเข้าไปหาเพื่อนเมื่อมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้มาสาย
“มากันครบหรือยัง” จองกุกเอ่ยถามออกไปหลังจากที่เดินมาถึงจุดที่เพื่อนร่วมคณะยืนอยู่ กวาดสายตามองไปรอบๆเพื่อดูว่ามีใครบ้าง แต่เพราะตอนนี้สมองเขาเบลอเกินกว่าที่จะนับว่าใครอยู่ในกลุ่มบ้างจึงเอ่ยถามออกไป
“ยัง เหลืออีกสอง” เป็นจงชินที่เอ่ยตอบกลับมา จองกุกพยักหน้ารับแล้วถอยหลังไปพิงกับผนังเพื่อรอเวลา คนอื่นๆดูแปลกใจไม่น้อยเมื่อเห็นว่าเขากับจงชินไม่ได้หาเรื่องทะเลาะกันเหมือนที่ผ่านมา แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยถามอะไร
จองกุกก้มลงมองนาฬิกาอีกครั้งหลังจากที่ยืนรออยู่นานแต่อีกสองคนที่เหลือก็ยังไม่โผล่มา เขาหันไปมองผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังโทรตามเพื่อน แต่คำอธิบายที่ได้รับมากลับทำให้หงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม คำอธิบายสั้นๆที่บอกว่า ‘ตื่นสาย’ ...เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนเลือกคนพวกนี้ให้จัดการงานนี้ เพราะถ้าเป็นเขาคงไม่เลือกคนที่แค่ความรับผิดชอบของตัวเองยังทำไม่ได้มาทำงานแน่ๆ
จากนั้นไม่นานนักผู้ชายสองคนก็เดินเข้ามาพร้อมกับผู้หญิงอีกหนึ่งคนที่เอ่ยออกมาว่าเป็นแฟน จองกุกไม่ได้สนใจเรื่องนั้นแล้วจัดการแจกจ่ายงานให้ทุกคน วันนี้พวกเขามาซื้ออุปกรณ์ในการจัดงานนิทรรศการของคณะ และที่ต้องรอให้คนครบเพราะต้องแยกกันหาของตามสายที่เรียนมา และขั้นตอนการจ่ายเงินก็ต้องเป็นการเบิกจ่ายจากคนที่ถือเงินไว้อย่างเขา จริงๆจะเรียกว่าถือเงินไว้ก็ไม่ถูกสักเท่าไหร่ คงต้องบอกว่าให้เขาออกไปก่อนแล้วค่อยไปเบิกคืนที่คณะน่าจะเข้าเค้ากว่า
“งานมึงเป็นยังไงบ้าง” จงชินที่เดินตามหลังจองกุกมาเอ่ยถาม เขาแค่ต้องการให้บรรยากาศมันผ่อนคลายขึ้นก็เท่านั้น เพราะไหนๆคนของมันก็อุตส่าห์ลากให้มาปรับความเข้าใจกันแล้ว
“เรื่อยๆ”
“หวังว่าในงานคงไม่ได้มีแค่รูปพี่เขาเต็มห้องจัดแสดงหรอกนะ” จงชินเอ่ยเย้าแหย่คนที่กำลังตังหน้าตั้งตาเลือกของ ไม่ได้อยากจะคุยเล่นกันสักเท่าไหร่ แต่พอได้เห็นเดือนมหาลัยหัวร้อนก็สนุกดีเหมือนกัน
“ไม่หรอก มีแต่ภาพวิว” จองกุกเอ่ยตอบกลับไป เขามั่นใจว่าจงชินตั้งใจจะกวนประสาท แต่แล้วยังไงล่ะ เขาไม่จำเป็นที่จะต้องเต้นตาม แล้วก็นะ...
...ภาพของพัคจีมินน่ะ มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์จะได้เห็น
“มึงมาเดินเล่นหรือมาทำงาน” จองกุกหันไปมองคนที่กำลังเดินตามหลัง ท่าทางสบายๆนั่นทำให้เขาหงุดหงิดจนอยากจะเอากรอบรูปฟาดหัวมันสักครั้ง
“มาทำงานสิ”
“งั้นก็กรุณาไสหัวมึงมาช่วยกูเลือกของด้วย”
ภาพของผู้ชายสองคนที่เคยไม่ถูกกันกำลังช่วยกันยืนเลือกของอยู่ในสายตาของคนที่เหลือ ความงุนงงเกิดขึ้นเมื่อไม่รู้ว่าสองคนนั้นแอบไปดีกันตอนไหน แต่หากในความงุนงงยังมีความไม่พอใจของใครบางคน เพราะแค่คนเดียวก็เด่นจนพวกเขาแทบจะไม่ได้เกิด ยิ่งมาอยู่รวมกันก็ยิ่งเด่นขึ้นไปจนกลบทุกอย่างจนมิด
“หึ แดกเด็กคนเดียวกันจนเป็นบ้าไปแล้วหรือไง” เสียงพึมพำดังขึ้นพอให้ได้ยินกันแค่ในกลุ่ม สายตาจ้องมองเดือนคณะที่พ่วงตำแหน่งเดือนมหาลัยกับลูกชายคนเดียวขอตระกูลดังอย่างดูถูกดูแคลน
“น่าสมเพช...”
“วันก่อนกูยังเห็นเด็กมันเดินห้างกับผู้ชายคนอื่นอยู่เลย มีเขาบนหัวแล้วยังยิ้มหน้าระรื่นอยู่ได้” น้ำเสียงไม่พอใจดังขึ้นจากคนที่ยืนอยู่ข้างกัน
ใช้เวลาเลือกของอยู่เกือบชั่วโมงกว่าจะได้ของที่ต้องการครบ จองกุกเดินไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงินพร้อมๆกับคนที่เหลือ มือหนาล้วงหากระเป๋าสตางค์ที่จำได้ว่าก่อนออกจากห้องเอาใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จนคนข้างๆหันมาถาม
“จองกุก มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“หากระเป๋าไม่เจอน่ะ ...จงชิน มึงจ่ายไปก่อนได้ไหม” คนตัวสูงเงยหน้าขึ้นมาตอบหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ พยายามล้วงหากระเป๋าแต่ก็เจอแค่โทรศัพท์เครื่องบาง
“กูโดนลอยแพอยู่” แค่ประโยคเดียวก็เข้าใจทุกอย่าง โดนลอยแพของจงชินหมายถึงโดนควบคุมการใช้จ่าย นั่นหมายความว่าตอนนี้มันไม่สามารถใช้บัตรรูดซื้อของได้ตามใจ จองกุกถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเอ่ยถามคนที่เหลือ
“มีใครออกก่อนได้บ้างไหม” สิ้นคำถามหลายคนพากันส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่ไหว ราคาของเยอะเกินกว่าที่นักศึกษาธรรมดาคนหนึ่งจะจ่ายไหว
“ความรับผิดชอบอยู่ไหนวะ แค่กระเป๋าเงินตัวเองยังทำหาย” น้ำเสียงค่อนขอดดังมาจากด้านหลัง จองกุกตวัดสายตาไปมองคนที่มาสายแล้วยังกล้ามาเอ่ยปากสั่งสอนคนอื่น มือหนายกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาคนที่น่าจะยังนั่งรออยู่ในร้านกาแฟข้างๆ รอไม่นานเสียงรอสายก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงเล็กๆ
‘เสร็จแล้วเหรอ’
“ยังครับ จีมินเดินไปดูในรถให้หน่อยได้ไหม ผมหากระเป๋าเงินไม่เจอ”
‘ได้ๆ เดี๋ยวเราไปดูให้ จองกุกรีบไหม’ เสียงเลื่อนเก้าอี้ดังแทรกเข้ามาให้ได้ยิน เหมือนจีมินจะลุกออกจากร้านกาแฟแล้ว
“เร็วหน่อยก็ดีครับ”
‘โอเค รอแป๊บนะ’ จองกุกถือโทรศัพท์รอคนที่กำลังหากระเป๋าสตางค์ของเขาอยู่ แต่ยังไม่วายได้ยินเสียงค่อนขอดจากคนๆเดิม
“ไว้ใจถึงขนาดฝากของสำคัญไว้เลยหรือไง ถ้าเงินหายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ” คนปากมากยังไม่หยุดพูด แต่หากครั้งนี้ไม่ใช่แค่จองกุกที่ตวัดสายตาไปมอง คนอื่นๆที่ยืนอยู่ก็เช่นกัน
“มึงมีปัญหาอะไร” จงชินเอ่ยถามขึ้นมาแทน และดูเหมือนว่าคำถามนั้นจะเป็นการเปิดทางให้อีกฝ่ายได้พูดในสิ่งที่กำลังคิด
“เปล่านี่ แค่จะเตือนว่าไม่ควรจะฝากของสำคัญไว้กับเด็กขายพวกนั้น” สีหน้าท่าทางที่ดูอวดเบ่งทำให้คนที่อดนอนเริ่มอารมณ์เสียขึ้นทุกที จองกุกจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่วางตา เขาพอจะรู้อยู่บ้างเรื่องที่คนลือกันว่าจีมินเป็นเด็กขายที่เขารับเลี้ยง แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากเพราะจีมินเป็นคนขอไว้
“ระวังปากหน่อยก็ดี” จองกุกเอ่ยเตือนคนปากมากที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น เขาไม่อยากมีเรื่องนักเพราะแค่นี้ก็เหนื่อยจนแทบจะไม่มีแรงอยู่แล้ว อีกทั้งยังไม่อยากโดนจีมินโกรธเพราะเรื่องนี้ด้วย
"หรือไม่จริง วันก่อนยังเห็นเดินกับผู้ชายคนอื่นอยู่นี่ เขาเอาเงินมึงไปเปย์ผู้ชายคนอื่นหรือเปล่า"
“จีมินไม่ใช่เด็กขาย” จองกุกเอ่ยเสียงเรียบ ความอดทนเขามีไม่มากนักหรอก ยิ่งในช่วงเวลาแบบนี้แล้วด้วย ถ้ามันยังไม่หยุดพ่นคำพูดเหี้ยๆออกจากปากเขาก็ไม่ประกันว่าจะห้ามตัวเองไม่ให้เข้าไปซัดปากมันสักครั้งได้ไหม
"เขาลือกันให้ทั่วทั้งมหาลัย ว่าพี่เขาขายให้มึง" ความอดทนหมดลงเมื่อจบประโยค สองเท้าก้าวเข้าไปหาคนปากมาก แต่ยังไม่ทันจะถึงตัวเสียงหวานคุ้นหูก็ดึงขึ้น
“เหรอ เขาพูดกันว่ายังไงล่ะ” คนที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยถาม จีมินก้าวไปยืนอยู่ข้างๆจองกุกที่ยืนกำหมัดแน่น มือเล็กคว้าข้อมือของเด็กตัวโตที่กำลังโมโหไว้ก่อนจะลูบเบาๆ “พูดมาสิ คนพวกนั้นพูดถึงเราว่ายังไง”
คนปากดีไม่ยอมพูดเมื่อคนที่กำลังโดนนินทาว่าร้ายยืนอยู่ตรงหน้า ท่าทางเหมือนคนโดนจับได้ว่ากำลังทำเรื่องไม่ดีทำเอาจีมินนึกขำระคนสมเพช
นินทาเขา แต่พอเขามายืนอยู่ตรงหน้ากลับไม่กล้าพูด
“พูดสิ อย่าปากเก่งแค่ตอนเอาคนอื่นมานินทาว่าร้ายสิ” จีมินยิ้มเยาะคนที่ดูแล้วน่าจะโมโหแต่กลับไม่กล้าพอจะเอาเรื่องเขาเพราะจงชินขยับเขามายืนข้างๆ “เราไม่รู้นายไปฟังมาจากไหน แต่จำใส่หัวนายไว้ว่าเราไม่ได้ขายตัว”
“.....” สายตาโกรธเคืองที่มองมาทำให้จีมินยิ่งรู้สึกว่าคนๆนี้นอกจากจะน่าสมเพชแล้วยังนิสัยเสียจนไม่อยากจะเข้าใกล้
“หรือถ้านายมีปัญหาอะไรกับเราก็พูดมา”
“ไม่มี”
“ก็ดี เพราะถ้ามีนายคงต้องไปเคลียร์กับคิมแทฮยอง” เพราะเบื่อกับเรื่องแบบนี้เกินกว่าที่จะทนทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ชื่อของคนที่อยู่อีกซีกโลกถูกยกขึ้นมาอ้าง เพราะเจ้าตัวเป็นคนบอกเองว่าเมื่อไหร่ที่ไม่ไหวจริงๆก็ให้พูดชื่อออกไปได้เลย และในเมื่อเจ้าของชื่อเป็นคนอนุญาตเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งทนฟังคำนินทาที่ล้วนแต่เป็นคำโกหกพวกนี้
“ขายให้มันอีกคนล่ะสิ เหอะ”
“ขายไม่ขายก็รอถามแทฮยองเอาก็แล้วกัน อีกเดี๋ยวก็กลับมาแล้วนี่” จีมินละสายตาจากอีกฝ่ายเพราะไม่อยากทนมองให้เสียสายตาไปมากกว่านี้ เขาจะพยายามทนให้ถึงตอนนั้นก็แล้วกัน
...คงได้แต่หวังให้แทฮยองกลับมาก่อนที่เขาจะทนไม่ไหว เพราะถ้าถึงตอนนั้นขึ้นมาเขาจะไม่รับประกันความปลอดภัยของใครทั้งนั้น
“อ้อ โทษทีนะ แต่เราหากระเป๋าจองกุกไม่เจอ ใช้ของเราไปก่อนก็แล้วกัน” คนตัวเล็กที่ปรับอารมณ์ได้เร็วเอ่ยกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ มือเล็กล้วงไปหยิบกระเป๋าสตางค์ของตัวเองในกระเป๋าสะพายก่อนจะส่งให้กับจองกุก
“ขอบคุณครับ”
“ฮื่อออ ไม่เป็นไร แค่นี้เราจ่ายให้ได้ แต่ขอไม่จ่ายส่วนนั้นก็แล้วกันนะ” จีมินส่ายหน้าเบาๆก่อนจะชี้ไปที่ผู้ชายคนที่ปากเสียนินทาเรื่องของเขา ไม่ได้อยากจะแกล้ง แต่พอเป็นแบบนี้แล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้จริงๆ เขารู้หมดนั่นแหละเรื่องงานของจองกุก แล้วก็รู้ด้วยว่างานวันนี้เจ้าเด็กตัวโตต้องสำรองเงินตัวเองจ่ายก่อนแล้วค่อยไปเบิกกับคณะทีหลัง
แล้วจะทำยังไงดีล่ะ...ในเมื่อจองกุกกันทำกระเป๋าสตางค์หาย แถมเขาก็ยังไม่อยากจะจ่ายให้คนปากมากซะด้วยสิ
“พี่จ่ายให้ ส่วนที่เบิกกับคณะก็เอาไปกินขนมกันนะเด็กๆ” คนตัวเล็กฉีกยิ้มให้กับคนอื่นๆ เว้นเสียแต่คนที่ยืนหน้าเสียอยู่อีกด้าน
“มันเปลือง จ่ายให้ทำไม” จองกุกยกมือขึ้นไปยีผมคนตัวเล็กที่อายุมากกว่าจนได้สายตาค้อนกลับมา เขาหัวเราะเบาๆเพราะนานๆทีจะเห็นจีมินโหมดนี้
“ไม่เป็นไร พอดีเรารวย”
“คิดว่าตัวเองรวยนักหรือไง” จีมินหันไปมองคนที่ยังไม่ยอมหยุดหาเรื่อง ฉีกยิ้มให้คนพวกนั้นก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป
“รวยสิ ผู้บริหารของ jeweler จะฐานะธรรมดาได้ยังไงกันล่ะ” ทั้งชีวิตมีไม่กี่ครั้งที่พัคจีมินคนนี้จะอวดว่าตัวเองนั้นร่ำรวยขนาดไหน แต่ครั้งนี้ขอเถอะนะ
ขอตบเกรียนเด็กพวกนี้ด้วยเงินในกระเป๋าดูสักครั้ง
“ร้ายว่ะ...” เสียงพึมพำที่ดังมาจากคนข้างตัว จงชินยกยิ้มมุมปากมองผู้ชายสองคนกับผู้หญิงหนึ่งคนที่ยืนหน้าซีดอยู่อีกด้าน จริงๆก็พอจะรู้ว่าร้ายตั้งแต่กล้าต่อปากต่อคำกับเขาตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน แต่พอยืนอยู่อีกมุมก็ยิ่งเห็นชัดว่าคนๆนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอก
เอาเถอะ...ดูๆไปแล้วก็เหมาะสมกันดี
เพราะถ้าไม่ร้ายต่อไปก็คงได้ปวดหัวกับบรรดาผู้หญิงที่ตามกรี๊ดจอนจองกุกแย่
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จีมินรวยจ้างานนี้
ลูกกุไม่อ่อนแอนะโว้ยยยย