ตอนที่ 12 : Chapter11
GOLDEN CLOSET
Chapter11
สามนาที...สามนาทีแล้วที่จีมินเดินวนอยู่หน้าห้องจองกุก คนตัวเล็กกำลังจะออกไปทำงานแต่ก็ยังไม่ได้ไปสักทีเพราะตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำยังไงกับถุงผ้าในมือ ถืออยู่อย่างนั้นแล้วเดินคิดไปมาก็ยังไม่ได้ข้อสรุป คิดไม่ออกจริงๆว่าควรจะทำยังไงกับมันดี
...ก็ทำมาแล้ว ถ้าไม่เอาให้ก็คงเสียของ
“เฮ้อออ...” เสียงถอนหายใจดังออกมาหลังจากคิดทบทวนจนได้ข้อสรุปแล้วว่าควรจะทำยังไง มือเล็กนำถุงผ้าไปแขวนไว้ที่หน้าประตูห้องของจองกุกก่อนจะออกไปทำงาน วันนี้เขาไม่มีเรียนก็เลยต้องไปทำงานที่ร้านกาแฟทั้งวัน จีมินเดินไปตามทางเหมือนหลายๆวันที่ผ่านมา ผ่านจุดที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้นเมื่อวาน สัมผัสที่เกิดขึ้นยังติดอยู่ที่ริมฝีปากเหมือนกับจะย้ำเตือนว่าเขาไม่ได้รู้สึกหรือคิดไปเอง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจริงๆ
เดินคิดไปเรื่อยๆจนถึงทางเข้าสถานีรถไฟ มือเล็กล้วงกระเป๋าหาบัตรโดยสารเพื่อจะเข้าไปข้างใน ปากอิ่มเบะออกน้อยๆเมื่อรู้ตัวว่ามันหายไป หันไปมองคนข้างหลังที่เริ่มจะหงุดหงิดเพราะรอนาน เพราะตอนนี้เป็นช่วงเวลาเร่งรีบของคนวัยทำงาน จีมินกำลังเอ่ยขอโทษกับคนด้านหลังถ้าเสียงเครื่องตรวจบัตรโดยสารไม่ดังขึ้นซะก่อน
คนที่เข้ามาช่วยในช่วงเวลาวิกฤตกวักมือเรียกให้เดินตาม คนตัวเล็กหันไปโค้งน้อยๆให้คนข้างหลังก่อนจะรีบวิ่งตามไป สองเท้าพาตัวมาหยุดอยู่จุดที่ยืนรอรถไฟก่อนจะเอ่ยขอบคุณ
“ขอบคุณมากนะครับ คุณยุนกิ”
“อือ ไม่เป็นไร” มือหนายื่นบัตรโดยสารใบเล็กให้คนตรงหน้า ท่าทางเหมือนคนง่วงนอนตลอดเวลาทำเอาจีมินนึกขำ ทุกๆครั้งที่เขาเจอคนๆนี้ หน้าตาก็จะเป็นแบบนี้ตลอด ไม่รู้ว่าง่วงจริงๆหรือเป็นแบบนี้ตลอดเวลาอยู่แล้ว
“ขอบคุณครับ” จีมินยื่นมือไปรับมาก่อนจะเอ่ยขอบคุณ
“พักอยู่แถวนี้เหรอ”
“ครับ คอนโดตรงหัวมุมน่ะครับ”
“อ่อ ...ที่พักราคาแพงขนาดนั้นทำไมต้องไปทำงานร้านกาแฟล่ะ” คนตัวเล็กสะดุ้งกับคำถามเรียบๆกับสายตาและน้ำเสียงที่ส่งมา สัญชาตญาณบอกให้อยู่ห่างคนๆนี้ไว้น่าจะดีกว่า แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็คงจะผละตัวออกไปตอนนี้ไม่ได้
“แค่อยากทำน่ะครับ แล้วคุณยุนกิพักอยู่แถวนี้เหมือนกันเหรอครับ”
“เปล่า แค่มาทำธุระน่ะ”
บทสนทนาหยุดลงแค่นั้นเมื่อรถไฟขบวนต่อไปมาถึง ทั้งๆที่สัญชาตญาณบอกว่าให้อยู่ห่างๆแต่จีมินกลับเลือกที่จะเดินตามคนตัวขาวไป เหมือนกับคำที่ว่ายิ่งอันตรายมันก็ยิ่งน่าค้นหา...
“คุณยุนกิทำงานกับพี่นัมจุนนานแล้วเหรอครับ” จีมินเป็นคนเริ่มบทสนทนาก่อนเมื่อเดินเข้ามาด้านใน ผู้คนมากมายที่เดินทางในช่วงเวลานี้ทำให้รถไฟขบวนนี้ค่อนข้างที่จะแออัด เพราะเป็นแบบนั้นก็เลยต้องยืนชิดกันมากกว่าปกติ
“เพิ่งทำได้ปีกว่าๆ” ยุนกิดันตัวจีมินที่ตัวเล็กกว่าเข้าไปด้านในก่อนที่จะเอาตัวเองยืนบัง รถไฟเวลานี้ไม่ค่อยจะปลอดภัยนัก ยิ่งกับพวกที่ชอบล้วงกระเป๋าหรือพวกโรคจิตที่ชอบลวนลาม
“อ่อ ผมนึกว่าทำมานานแล้วน่ะครับ เห็นดูสนิทกัน” จีมินยืนหลังชิดประตูรถไฟอีกด้าน ทั้งๆที่ขนาดตัวไม่ได้ห่างกันมากแต่คนๆนี้ก็เลือกที่จะดันเขาเข้ามาด้านในแล้วเลือกที่จะยืนอยู่ตรงนั้นแทน
“เพื่อนสนิทน่ะ แยกกันตอนเรียนปริญญา มันขอให้มาช่วยก็เลยมา”
“แบบนี้นี่เอง...”
“อยากรู้อะไรก็ถามมา” คำพูดที่เหมือนจะรู้ทันทำให้ต้องแอบเบะปาก ในเมื่อไม่มีทางให้หนีก็ต้องเผชิญหน้าอย่างเดียว และในเมื่อคู่สนทนาเป็นพวกฉลาดทันคนขนาดนี้ก็คงต้องระวังให้มากกว่าเดิมหน่อย
...ผู้ชายคนนี้อันตรายชะมัด
“แล้วปกติพกบัตรโดยสารสองใบตลอดเลยเหรอครับ” คนตัวเล็กเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องที่จะทำให้คนตรงหน้าระแคะระคาย
“เปล่า นั่นของนัมจุน แล้วปกติลืมของแบบนี้ตลอดเลยเหรอ” คำถามที่เลียนแบบวิธีการพูดทำให้เผลอทำหน้าตาน่าหมั่นไส้ใส่อีกคนไป
“เปล่าครับ นี่ครั้งแรก”
“หึ...” เพราะหน้าตาไม่สบอารมณ์ของคนอายุน้อยกว่าที่ยืนอยู่ตรงหน้าทำให้อารมณ์ที่ไม่ค่อยดีเลือนหายไปเกือบหมด ยุนกิมองคนที่ทำหน้าบูดแล้วได้แต่ยิ้มเอ็นดู
“หัวเราะทำไมครับ”
“น่ารักดีนะ”
“.....”
“...ชมเรานั่นแหละ ไม่ต้องทำหน้างง” คนโดนชมทำหน้าเหวอจนที่คนเอ่ยปากชมอดที่จะยกมือขึ้นไปวางแปะไว้บนหัวไม่ได้ ยุนกิขยี้ผมคนอายุน้อยกว่าเบาๆ เด็กคนนี้ทำให้เขาคิดถึงใครบางคน...
“แล้วมาชมทำไมล่ะครับ”
“มีแฟนหรือยัง”
“ตอบคำถามบ้างสิครับ!” มือเล็กยกขึ้นมาปิดปากอย่างไวเพราะเผลอพูดเสียงดัง โชคดีที่รถไฟมาถึงสถานีปลายทางที่ต้องการลงพอดี คนตัวเล็กรีบเดินหนี แต่ก็ไม่ทันเพราะอีกคนดันรู้ทัน
“ตามมาทำไมครับ”
“ไม่ได้ตาม แค่จะไปร้านกาแฟ” รอยยิ้มมุมปากนั่นทำเอาจีมินเริ่มอารมณ์เสีย ยุนกิหัวเราะน้อยๆให้กับปฏิกิริยาของเด็กตรงหน้าก่อนจะก้าวเท้าเดินตามคนที่กำลังเดินเร็วๆเหมือนกับว่าต้องการที่จะหนีเขา
เรื่องปั่นหัวคนอื่นนี่งานถนัดเขาเลยล่ะ
“เดินช้าๆหน่อย เดี๋ยวก็สะดุดล้มหรอก”
“ไม่ล้มหรอกครับ”
“เฮ้ แล้วเรื่องที่ถามไปล่ะ” ยุนกิตะโกนถามคนที่แทบจะวิ่งหนีเขา เจ้าเด็กตัวเล็กเดินเร็วจนเขากลัวว่าขาจะพันกันจนเผลอหกล้ม ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรอีกคนที่กำลังเดินหนีก็หมุนตัวกลับมาแล้วเดินเข้ามาหา
“ยังไม่มีครับ แต่มีคนที่ชอบมากๆ มากที่สุดอยู่แล้ว ถามทำไมครับ”
“น่าเสียดายนะ ...แต่ก็พอจะรู้อยู่”
“รู้อะไรครับ”
“รู้ว่าเด็กน้อยกำลังทะเลาะกับใครสักคน แต่วันนี้อาจจะหายโกรธกันแล้ว หรือเปล่านะ...” คนอายุมากกว่าเอ่ยแซว แค่เห็นท่าทางเมื่อวานกับวันนี้ก็รู้แล้วว่าคงจะทะเลาะกับแฟน แต่ถ้าบอกว่าไม่มีแฟนก็คงจะเป็นใครสักคนที่น่าจะสำคัญมากๆนั่นแหละ
“ไม่คุยด้วยแล้วครับ” คนตัวเล็กที่เริ่มอารมณ์ฉุนเฉียวรีบเดินหนีก่อนที่จะเผลอใส่อารมณ์กับคนอายุมากกว่า
ยุนกิมองตามคนที่ทำหน้ายุ่งแล้วเดินหนีเข้าร้านกาแฟไป คนตัวขาวเดินเข้าร้านกาแฟตามไปติดๆ จริงๆเขาเป็นพวกที่ไม่ค่อยได้เข้าร้านกาแฟสักเท่าไหร่ เพราะงานเขายุ่งเกินกว่าจะลงมาซื้อด้วยตัวเอง ก็เลยต้องฝากคนในบริษัทมาซื้อ ไม่เหมือนท่านประธานที่ชอบมาขลุกอยู่ที่นี่ทุกวันตอนเลิกงานนั่นหรอก
“อเมริกาโน่หนึ่งแก้วครับ”
“อ่าว ยุนกิ... มาพอดี ฝากนี่ไปให้เจ้านายของนายหน่อย ฉันขี้เกียจขึ้นไป” เจ้าของร้านเอ่ยทักคนที่เพิ่งจะเดินเข้ามา แก้วกาแฟถูกยื่นมาตรงหน้า ยุนกิทำหน้าเหม็นเบื่อใส่คนที่บอกว่าขี้เกียจ เขากับโฮซอกอายุเท่ากัน แต่เพราะเขาดรอปเรียนไปหนึ่งปีก็เลยต้องมาอยู่ชั้นปีเดียวกับนัมจุน
“เอาขึ้นไปให้เองสิ”
“งานเยอะ ไม่ว่าง” คนงานเยอะปฏิเสธหน้าด้านๆ เขาไม่อยากขึ้นไปเพราะสายตาของคนอื่นที่มองมานั่นแหละ แต่คุณประธานก็ชอบโทรมาวอแวให้เอาขึ้นไปให้อยู่เรื่อย
“ไม่อยากไปก็บอกมาตรงๆสิ” ยุนกิยิ้มน้อยๆเพราะโดนคนที่กำลังไล่ต้อนชักสีหน้าใส่ เหมือนกันทั้งเจ้านายทั้งลูกน้อง อ่านง่ายขนาดนี้ไม่รู้ทำไมนัมจุนมันดูไม่ออก
“เอาเป็นว่าฝากไปหน่อยก็แล้วกัน แล้วก็ฝากบอกเขาด้วยว่าให้เลิกกินกาแฟวันละห้าหกแก้วได้แล้ว มันเสียสุขภาพ” คนโดนต้อนพูดรัวๆก่อนจะเดินหนี ทิ้งแก้วกาแฟไว้ตรงหน้าอดีตเพื่อนร่วมชั้น
“บอกเองสิ” ยุนกิยื่นบัตรให้พนักงานเพื่อจ่ายค่ากาแฟก่อนที่จะคว้าแก้วกาแฟเดินออกจากร้าน ไม่ได้สนใจว่าคนที่ฝากคำพูดมาจะว่ายังไง แค่เรื่องที่นัมจุนโทรมาขอให้ช่วยก็ทำเอาเขาปวดหัวจะแย่ ขืนเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องนี้อีกวันนี้เขาคงได้ปวดหัวทั้งวัน
แบบนั้นน่ะไม่เอาด้วยหรอก
_____GOLDEN CLOSET_____
“อะไรนักหนาวะพี่” ร่างสูงที่เดินบ่นกับคนปลายสายกำลังหัวเสีย คิมแทฮยองเป็นผู้ชายกวนประสาท และถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่าและเขาไม่มีเรื่องต้องขอคำปรึกษาก็คงด่าแรงๆแล้วตัดสายทิ้งไปนานแล้ว จองกุกเดินขึ้นบันไดคอนโดพร้อมกับคุยโทรศัพท์ไปเรื่อย เขาไม่ใช้ลิฟท์เพราะอยากปล่อยเวลาทิ้งไปกับการเดินมากกว่าที่จะไปนั่งอยู่คนเดียวในห้อง
มือหนาที่กำลังจะเอื้อมไปเปิดประตูทางหนีไฟต้องชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นคนตัวเล็กที่เดินวนอยู่หน้าห้องของเขา จองกุกแอบมองคนที่เพิ่งจะถอนหายใจออกมาแล้วเอาถุงผ้าในมือไปแขวนไว้กับประตูห้องก่อนจะเดินออกไป ...จีมินเอาอะไรมาแขวนไว้หน้าห้องเขากันนะ
“แค่นี้ก่อนนะพี่ เดี๋ยวโทรไปใหม่” นิ้วเรียวกดวางสายโดยที่ไม่สนใจเสียงโวยวายที่จะตามมา จองกุกเปิดประตูออกก่อนจะเดินไปที่ห้องของตัวเอง เอื้อมมือไปหยิบถุงผ้าที่แขวนอยู่กับลูกบิดประตู ถุงผ้าสีเหลืองที่ดูเข้ากับคนที่เอามาแขวนไว้ สีเหลืองที่เขาชอบ...
“ฟู่วว~~~” เสียงพ่นลมหายใจทำให้ดูเหมือนกับว่าเป็นเรื่องเครียด แต่รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้อย่างดีว่าตอนนี้เขากำลังรู้สึกดีมากขนาดไหน
ข้าวกล่องหน้าตาน่ากินกับนมกล้วยขวดกลมๆและกระดาษโน้ตอีกหนึ่งแผ่น
‘ขอบคุณนะ...’
เป็นข้อความสั้นๆที่ถูกเขียนไว้ แค่คำขอบคุณสั้นๆที่ทำให้คนได้รับยิ้มหน้าบาน รอยยิ้มที่เหือดแห้งไปหลายวันปรากฏขึ้นมาให้เห็น จองกุกเก็บของที่ว่าใส่ถุงผ้าตามเดิมก่อนจะเปิดประตูห้องเข้าไป เขาวางถุงของใช้และอาหารที่เพิ่งจะซื้อมาไว้บนโต๊ะ และดูเหมือนว่าข้าวกล่องจากมินิมาร์ทจะเป็นหมันไปเรียบร้อยเมื่อคนที่ซื้อมาไม่ได้มีท่าทีสนใจมันอีกต่อไป
กระดาษโน้ตแผ่นเล็กถูกเก็บเข้าลิ้นชักไปรวมอยู่กับของสำคัญ ข้าวกล่องที่ประกอบไปด้วยข้าวห่อสาหร่ายกับเครื่องเคียงหลายชนิดและอาหารอีกสองอย่างถูกเปิดออกพร้อมกับนมกล้วยที่ถูกเจาะ จองกุกรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กวัยรุ่นผู้หญิงก็ตอนที่เขายกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปอาหารพวกนี้นี่แหละ
หัวเราะน้อยๆให้กับการกระทำของตัวเอง วางโทรศัพท์ไว้ข้างตัวแล้วลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้า มันไม่ได้อร่อยเลิศเลอแต่อย่างน้อยก็ดีกว่าข้าวกล่องเย็นชืดจากมินิมาร์ท ไม่ได้อร่อยถึงขั้นที่ว่าต้องกินไปยิ้มไป แต่ก็ห้ามรอยยิ้มของตัวเองไม่ได้ สิ่งที่ได้รับมาทำให้เขารู้สึกอิ่มใจมากกว่าอิ่มท้องเสียอีก
ข้าวในกล่องพร่องลงไปเรื่อยๆจนหมดไปในที่สุด นมกล้วยที่วางอยู่ข้างๆถูกยกขึ้นมาดื่ม ความทรงจำที่เคยได้รับนมกล้วยขวดกลมๆทุกเที่ยงวันแล่นเข้ามาในหัวราวกับจะย้ำเตือน ย้ำเตือนว่าเขาควรจะทำอะไรสักอย่างได้แล้ว
กล่องพลาสติกที่บรรจุข้าวมาถูกนำไปล้างแล้วเก็บไว้อย่างดีรอเวลาที่จะนำไปคืนให้เจ้าของเดิม ขวดกลมๆของนมกล้วยถูกตั้งไว้ข้างๆกันโดยที่คนที่กินมันเข้าไปไม่คิดจะทิ้ง ร่างสูงของอดีตเดือนมหาลัยเดินกลับมาที่โต๊ะทำงาน หยิบกระดาษโน้ตแผ่นเล็กออกมาอ่านซ้ำๆ บนโต๊ะมีสร้อยข้อมือสองเส้นวางคู่กันอยู่พร้อมกับอุปกรณ์งานศิลป์ที่ใช้แกะสลัก จองกุกวางกระดาษโน้ตลงในกล่องที่มีสร้อยข้อมือสองเส้นวางอยู่ ปิดกล่องแล้วเก็บลงลิ้นชักตามเดิม
เขาไม่อยากจะคิดอะไร ไม่อยากจะทำอะไร สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวตอนนี้คือความคิดถึง คิดถึงจนไม่อยากจะทำอะไร แต่งานที่ค้างอยู่ก็ต้องส่งวันนี้ เพราะแบบนั้นเลยต้องจำใจนั่งลงบนเก้าอี้แล้วเริ่มทำงานที่ค้างอยู่สักที แต่ก็นั่นแหละ...ถึงจะทำงานอยู่แต่ในหัวก็คิดเรื่องอื่นไปด้วย มือหนาลากเม้าส์ไปเรื่อยๆพร้อมกับคิดไปพลางๆว่าเขาจะทำยังไงต่อไปดี
จะทำยังไงดีล่ะ ในเมื่อเขาอยากจะกินข้าวกล่องนั่นอีก
ต้องทำยังไงถึงจะได้กินอีก
หรือต้องไปเอาตัวคนทำกลับมา
แค่นั้นจะพอหรือเปล่า
หรือว่าเขาควรจะทำยังไง .....แต่ก็ช่างเถอะ ตอนนี้ก็ทำงานให้เสร็จก่อนแล้วกัน
รีบทำงานให้เสร็จแล้วไปรับตัวคนทำกับข้าวกลับมาสักที
พอคิดได้แบบนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานรอเวลา นั่งอมยิ้มอีกทั้งยังเครียดกับตัวเองว่าที่ผ่านมาเขามัวไปทำอะไรอยู่ แต่พอนึกถึงเรื่องราวเมื่อตอนนั้นก็ทำให้รู้ ความผิดของเขามันไม่มีวันหายไป ความรู้สึกผิดที่กัดกินเขามาตลอดก็ยังคงอยู่ แต่หากต่อจากนี้ไปเขาจะเดินหน้าใช้ชีวิตของตัวเองแบบที่ไม่จมปรักอยู่กับอดีต
จองกุกนั่งทำงานอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง นาฬิกาปลุกที่เคยตั้งไว้ดังขึ้นเหมือนกับทุกๆวัน ไม่ได้ตั้งไว้เพื่อปลุกจากการนอนหลับ แต่ตั้งไว้เพราะต้องไปรับใครอีกคนที่กำลังจะเลิกงานต่างหาก มือหนากดส่งงานก่อนจะปิดคอมพิวเตอร์แล้วเตรียมตัวออกไปรับคนที่กำลังคิดถึง
_____GOLDEN CLOSET_____
หงุดหงิด... พัคจีมินกำลังหงุดหงิดเพราะผู้ชายตัวขาวซีดตาขีดที่ยืนอยู่ตรงหน้า มินยุนกิมาร้านกาแฟแต่ไม่สั่งกาแฟและเรียกพนักงานมาเพื่อกวนประสาทแทน ดีหน่อยที่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ร้านกำลังจะปิดก็เลยไม่ค่อยมีลูกค้าเข้ามา ทำให้การยืนคุยกันแบบนี้ไม่รบกวนเวลางาน แต่เขาก็ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมอยู่ดีๆมินยุนกิถึงได้อยากคุยกับเขาขึ้นมา ทั้งๆที่ปกติเจ้าตัวแทบจะไม่ค่อยพูดเลยด้วยซ้ำ
จีมินยู่ปากใส่คนที่ยืนอยู่ จริงๆก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไรมากมายที่ต้องมายืนคุยกับคนๆนี้ แต่ท่าทางที่แสดงออกมาเหมือนกับว่าตัวเองเป็นคนคุมเกมทุกอย่างนั่นมันน่าหมั่นไส้ เขารู้สึกแบบนั้นทั้งๆที่ไม่ได้เล่นเกมอะไรแปลกๆกับมินยุนกิ แต่ความกดดันแบบแปลกๆที่แผ่ออกมานั่นทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกเป็นรอง
อะไรกันนะ...ความรู้สึกแบบนี้
“คุณมีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”
“ไม่ได้มีอะไร แค่มาเอาบัตรคืน” น้ำเสียงเมาๆกับรอยยิ้มมุมปากนั่นทำให้ผู้ชายคนนี้ดูเท่อย่างบอกไม่ถูก คนโดนทวงของเริ่มสับสนกับความคิดของตัวเอง ไม่รู้ว่าควรมองคนๆนี้ในรูปแบบไหนกันแน่
มือเล็กล้วงเข้าไปหยิบบัตรโดยสารที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อส่งคืนให้เจ้าของเดิมของมัน จีมินโค้งของคุณคนที่ยืนพิงเสาอยู่ก่อนจะเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง
“ขอบคุณที่ให้ยืมนะครับ ผมเติมเงินคืนให้แล้วนะ” จีมินว่า เมื่อช่วงเที่ยงวันที่ผ่านมาเขาวิ่งออกไปซื้อบัตรโดยสารใบใหม่พร้อมกับเติมเงินคืนให้ยุนกิด้วย
“ไม่เห็นต้องเติมคืน”
“ไม่ได้หรอกครับ เติมไปแล้ว” คนตัวเล็กว่าพร้อมกับส่ายหัวน้อยๆ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้ไหมว่าการกระทำแบบนั้นมันดูน่ารักน่าเอ็นดูมากขนาดไหน ยุนกิได้แต่ยิ้มให้กับเด็กน้อยตรงหน้า วันนี้เขาต้องนั่งจัดการเอกสารทั้งวันจนหัวหมุนไปหมด กว่าจะเสร็จก็เกือบจะหมดวัน การที่ได้มาเห็นภาพแบบนี้มันทำให้คนที่ห่อเหี่ยวกับกองเอกสารพอจะสดชื่นขึ้นมาได้บ้าง
“แล้วนี่กลับยังไง” ยุนกิเอ่ยถามออกไปเพราะตอนนี้ใกล้เวลาปิดร้านแล้ว เขาหันไปมองเพื่อนสนิทที่นั่งอ่านเอกสารอยู่ตรงมุมร้านกับเจ้าของร้านกาแฟที่นั่งเล่นอยู่ข้างกัน
คิมนัมจุนกับจองโฮซอกไม่ใช่แฟนกัน แต่สิ่งที่แสดงออกมามันยิ่งกว่านั้น ความสัมพันธ์ที่ชัดเจนแต่ไม่มีชื่อเรียกเพราะโฮซอกไม่ยอมรับนัมจุนเป็นแฟนสักที มองดูแล้วก็ได้แต่หวังว่าท่านประธานของเขาจะหาทางทำอะไรสักอย่างกับเรื่องนี้สักที
“รถไฟครับ”
“เดี๋ยวไปส่ง...” ประโยคที่กำลังเอ่ยออกไปถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโมบายกระดิ่งที่แขวนอยู่ตรงประตูทางเข้า ยุนกิตวัดสายตาไปมองคนที่เข้ามาขัดจังหวะการพูดคุยของตัวเอง
แต่ทว่าคนที่เดินเข้ามานั้นทำเอาเขาต้องแปลกใจ คนที่ขาดการติดต่อไปแรมปีกำลังเดินเข้ามาในร้าน ส่วนสูงที่ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นทำให้ดูแปลกตากว่าที่เคยเป็น ยุนกิจ้องมองคนที่กำลังมองไปรอบๆร้านเหมือนกำลังหาอะไรสักอย่าง ก่อนที่ตาเรียวเล็กจะสบเข้ากับสายตาคมที่กำลังกวาดมองไปรอบๆ ท่าทางตกใจของอีกคนทำเอาคนที่อายุมากกว่าต้องหลุดขำ
“พี่ยุนกิ...” คนที่ไม่ได้เจอกันนานก้าวเท้าเข้ามาหา แต่หากสายตากลับจับจ้องไปที่คนที่ยืนอยู่ข้างๆเขา แค่เห็นสายตาก็ดูออกแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ถึงจะพึมพำเรียกชื่อเขาแต่กลับมองจีมินไม่วางตา
“แค่เจอกูทำไมมึงต้องตกใจขนาดนั้นด้วยวะ จองกุก”
“พี่ก็น่าจะรู้...” ว่าทำไมถึงได้ตกใจ หน้าตาที่แทบจะถอดแบบกันมา ทุกอย่างที่เป็นยุนกิทำให้เขานึกถึงใครอีกคน คนที่อยู่ในความทรงจำ จองกุกมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า แปลกใจที่เห็นอดีตนายตำรวจแต่งกายด้วยชุดที่ค่อนข้างเป็นทางการ เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็คสีดำและรองเท้าหนัง เขาไม่ได้เจอยุนกิตั้งแต่อีกฝ่ายลาออกจากราชการแล้วไปย้ายไปต่างประเทศ
มินยุนกิ...พี่ชายของคนที่เขาเคยให้คำสัญญาไว้
“ลืมๆไปบ้างเถอะ เรื่องในอดีตน่ะ” ยุนกิเอ่ยออกมาหลังจากได้ยินคำพูดของเด็กที่เคยคบหากับน้องสาวเขา เขากังวลมาตลอดว่าจองกุกจะแบกความรู้สึกผิดไว้ในใจคนเดียว ...ทั้งๆที่จริงๆแล้วไม่ใช่ความผิดของมันเลย
จองกุกยิ้มรับคำพูดของคนที่เขานับถือเหมือนพี่ชาย เบนสายตาไปมองคนที่ยืนทำหน้างงอยู่ จีมินมองเขากับยุนกิสลับกันไปมาแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามอะไร ตาคมจ้องมองคนตัวเล็กที่เหมือนจะเริ่มทำตัวไม่ถูกก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป
“ผมกำลังทำอยู่”
“อ่อ...” สายตาที่สื่อความหมายนั่นกำลังจ้องมองไปที่จีมิน ยุนกิหัวเราะให้กับความรู้สึกตัวเองเบาๆ ไม่คิดว่าโลกจะแคบขนาดที่จะเหวี่ยงให้พวกเขามาเจอกัน นี่สินะ...คนที่จีมินบอกว่าชอบ คนที่บอกออกมาว่าชอบมากๆน่ะ
คนที่เขารู้สึกว่ากำลังจะชอบ กับน้องชายที่เป็นคนที่เขาคนนั้นชอบ ...ตลกร้ายชะมัด
ครืด~ ครืด~~
เสียงโทรศัพท์ที่เคยนอนนิ่งอยู่ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น ยุนกิละสายตาจากจองกุกแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู รายชื่อคนที่โทรเข้ามาทำให้ต้องหยุดการสนทนาไว้เพียงเท่านี้ ...ธุระที่ท่านประธานโทรมาขอให้เขาช่วยเมื่อคืนนั่นไง
“กูต้องไปแล้ว นามบัตรอยู่กับจีมิน มีอะไรอยากพูดก็โทรมา” คนที่มีธุระด่วนพูดขึ้นรัวๆ ถึงจริงๆแล้วมันจะไม่ได้ด่วนถึงขั้นที่ว่าต้องทำตอนนี้ แต่เพราะเห็นสายตาที่จองกุกมองไปที่จีมินนั่นต่างหากที่ทำให้เขาตัดสินใจที่จะถอยออกมา
“...ชีวิตเป็นของมึง ความรู้สึกก็เป็นของมึง ...มีความสุขได้แล้ว”
จองกุกไม่ได้เอ่ยตอบอะไรกลับไป เขาทำเพียงยิ้มรับคำพูดของคนอายุมากกว่าเท่านั้น ส่วนคนที่ยืนมองอยู่ตั้งแต่ต้นอย่างจีมินก็ได้แต่ทำหน้างง อยากจะถามแต่ก็ไม่รู้จะถามว่าอะไร สุดท้ายก็ปล่อยความสงสัยให้หลุดลอยไป
“นัมจุนเป็นคนฉลาดนะ...” ยุนกิเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนที่จะเดินออกจากร้านไป ทิ้งประโยคแปลกๆไว้ให้คนที่ได้ยินต้องงงงวย จีมินมองตามหลังยุนกิไปจนกระทั่งแผ่นหลังของอีกฝ่ายเลือนหายไปถึงจะเบนสายตามามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
เด็กตัวสูงท่าทางดูเปลี่ยนไปต่างจากตอนที่ยืนคุยกับยุนกิ สายตาที่มองมาแฝงความรู้สึกไว้มากมาย จีมินไม่ได้พูดอะไรออกไป เขาทำเพียงแค่ยืนมองและรอว่าจองกุกจะทำยังไงต่อ และประโยคสั้นๆที่ถูกเอ่ยออกมาทำให้คนที่ยืนรอต้องอมยิ้ม
“มารับกลับบ้านครับ”
แค่ประโยคสั้นๆที่ทำให้หัวใจกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พยายามเข้า
แกกก อบอุ่นป่ะ เออ ไมโครเวฟเวอร์
หัวใจฟองดูว์มาก
น้องสาวยุนกิสินะ แงงงงง สงสารน้องจีมินนนนนนน