ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : เจ้าชายดิออซ
"ยินดีต้อนรับกลับนครกระหม่อม"
เสนาคาร์ทฟอลซึ่งได้รับมอบหมายหน้าที่เป็นคนถวายการต้อนรับเอ่ยอย่างยินดี เมื่อร่างสูงสง่าของเจ้าชายแห่งคาโนวาลย่างเท้าเข้ามาถึง นัยน์ตาสีฟ้าสดสวยไร้อารมณ์ เรือนผมสีเงินสว่างตา หน้าคมคายพยักรับเบาๆก่อนที่จะส่งเสื้อคลุมตัวนอกให้กับคนที่มารับไป
"จะเข้าประทับที่ห้องบรรทมเลยไหมกระหม่อม?"
"เอากระเป๋าไปเก็บเลยก็ดีเหมือนกัน" เขาตอบเบื่อๆ ก่อนจะเดินตามคาร์ทฟอลไปเรื่อยๆตามทางเดินในราชวัง... อาจจะเรียกได้ว่าเขาคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี มันก็เปรียบเสมือนบ้านหลังใหญ่ของเขา เหล่านางกำนัลและทหารต่างก้มกายถวายความเคารพ มันเป็นภาพที่เขาเห็นจนชินตาเหลือเกิน
หากเขาแพ้ จะมีหน้าไปสู้เสด็จพ่ออีกไหม? ...คำตอบของคำถามนี้เขาได้คิดไว้แล้ว คิดไว้นานพอสมควรตั้งแต่วันที่ได้รู้ถึงกฎการต่อสู้นี้ หากเขาไม่ได้ชนะ หากเขาไม่ได้เป็นกษัตริย์แล้วไซร้ ...เขาคงจะออกเดินทางไปไกลแสนไกล แล้วเปลี่ยนหน้าตา เปลี่ยนชื่อเสียใหม่ เพราะความหยิ่งในศักดิ์ศรีที่เขาคุ้นเคยกับมันมาตลอดชีวิตไม่มากพอจะให้เขาสู้หน้าเหล่าเสนาหรือทหารต่อไปได้
ผลจะออกหัวหรือก้อยก็วันพรุ่งแล้ว...
"ห้องของฝ่าบาท" คาร์ทฟอลยิ้มก่อนจะผายมือ "นางกำนัลประจำกายฝ่าบาทยังยินดีและพร้อมถวายการรับใช้เสมอ ...การ์เดรียล ฝ่าบาทเสด็จแล้ว ข้าขอฝากฝ่าบาทให้เจ้าดูแลด้วยนะ" ประตูห้องถูกเปิดจากข้างใน พร้อมกับรอยยิ้มของหญิงวัยกลางคนที่เขาคุ้นเคยแต่เด็ก นางกำนัลที่เขาสนิทสนมราวกับเป็นแม่บังเกิดเกล้า นางยังคงอยู่รับใช้เขาอีกหรือนี่..
คาโลยิ้มเบาๆ ก่อนจะขยับกายเข้าไปในห้องของเขา ..กระเป๋าถูกย้ายเข้ามาแล้ว หลังจากการเดินทางที่กินระยะเวลาพอสมควร สิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดในตอนนี้คือพักผ่อน ด้วยความเหนื่อยและอ่อนล้าทำให้คนขยันอย่างเขาถึงกับสลบไสลได้แม้ในกลางวันอันแสนสดใสก็ตาม
"ฝ่าบาทเพคะ.. จะเสวยอะไรหน่อยไหม?"
ถ้อยคำที่เขาฟังแล้วรู้สึกขื่นหู ...นานแล้วที่เขาไม่ได้กลับมาที่นี่ นานแล้วที่ไม่มีใครพูดกับเขาอย่างสุภาพและแลเห็นถึงฐานะที่แตกต่าง อาจจะเป็นเพราะโรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์กไม่มีใครใช้ราชาศัพท์กับเขา..
ไอ้คาโลแทนที่จะเป็นฝ่าบาท..
แต่น่าแปลก.. ที่เขากลับชอบคำหยาบคายโผงผางแบบนั้นและคุ้นเคยมากกว่าคำสุภาพ
"การ์เดรียล"
นางรับใช้คนสนิทสะดุ้งเล็กน้อย ...นี่หล่อนทำอะไรผิดไปหรือเปล่า น้ำเสียงฝ่าบาทดูไม่ค่อยพอพระทัยเลย จึงพยายามรวบรวมสติแล้วเอ่ยถาม "ทำไมหรือเพคะ"
คาโลทิ้งกายลงบนที่นอนอย่างอ่อนล้า ประโยคสุดท้ายหลุดออกมาเบาๆก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา...
"ช่วยพูดกับผมแบบธรรมดาหน่อยนะครับ"
เสียงประตูค่อยๆเปิดมา... ไม่มีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดเกิดขึ้นเพราะมันเป็นประตูที่เป็นมันวาว นางรับใช้การ์เดรียลละจากการเก็บเสื้อผ้าของเจ้าชายคาโลเข้าตู้แล้วหันมามองผู้มาเยือน ...ร่างสูงโปร่งใหญ่ของเจ้าชายดิออซแห่งคาโนวาล เจ้าของรูปหน้าคมเข้ม เรือนผมสีดำนิลกาฬนั้นราวระต้นคอ นัยน์ตาสีเขียวใบไม้นั้นหรี่ลงมองร่างของชายหนุ่มวัยใกล้เคียงกันที่ยังคงทอดกายบนเตียงแล้วผ่อนลมหายใจอย่างสงบ
..คาโล
แล้วก็พยายามแค่นยิ้มออกมาในรูปลักษณ์น่าเกลียด.. เรียวปากงามบิดเบี้ยวโดยที่นางรับใช้ยังคงไม่สังเกตเห็น ความเคียดแค้นในอดีตไหลวนท่วมทะลักเข้ามาราวกับน้ำป่าเดือนห้า แล้วเอ่ยถามออกไปเบาๆดูเกรงใจหากแต่สยดสยอง
"การ์เดรียล เจ้าชายคาโลเพิ่งมาถึงหรือ?"
"เพคะ" นางยิ้ม "ฝ่าบาทมีธุระกับฝ่าบาทคาโลหรือเพคะ? หม่อมฉันคงจะเรียกให้ได้หากต้องการ"
ดิออซแค่นยิ้ม.. ปรายนัยน์ตาสีเขียวหรี่เล็กนั้นไปทางร่างของศัตรูคู่อาฆาตตลอดกาล ...ณ เวลานี้ มันอ่อนแอที่สุด อ่อนล้า อ่อนแรง ความคิดชั่วร้ายมหาศาลหลั่งทะลักเข้ามายิ่งทำให้เรียวปากยิ้มชั่วร้ายยิ่งขึ้น ..แต่จิตสำนักด้านดีอันน้อยก็ยังข่มไว้ให้ไปแก้แค้นในที่ที่เหมาะสม ไม่ใช่ที่นี่..
ณ ลานประลอง.. เจ้าชายคาโละจักเสื่อมเสียเกียรติ และกษัตริย์องค์ต่อไปต้องจารึกชื่อดิออซ เรนิววาลัส!
"ไม่มีอะไรหรอก" เจ้าชายร่างสูงหมุนกายแล้วเริ่มก้าวเท้าออกไปช้าๆ.. แล้วคำพูดสุดท้ายที่การ์เดรียลได้ยินก่อนที่พระองค์จะปิดประตูนั่นก็คือ
"เพียงแต่จะมาเจอหน้าทักทายในฐานะญาติเท่านั้น ขอบใจ"
มือทั้งสองที่ประคองหนังสือเล่มหนาไว้ปิดดังพึ่บขณะหลับตาลงแล้วเอ่ยท่องเสียงเจื้อยแจ้ว "..เมื่อ 678 ปีก่อนมีการปฎิวัติของชาวสโนว์แลนด์ต่อองค์ราชินีของพวกเขาเนื่องจากกดขี่ข่มเหงมากเกินไป และได้หาแนวร่วมที่สำคัญนั่นคือเดมอส ส่วนเอเดนไม่ขอยุ่ง"
ก่อนจะเปิดหนังสือแล้วกวาดสายตาอ่านแล้วก็ยิ้ม.. "เย่ส! ในที่สุดก็ท่องถูกเสียที"
"จะสอบแล้ว ตื่นเต้นหรือเครียดไหม" เพื่อนรักนักฆ่าเอ่ยทักขณะที่นั่งเช็คความเรียบร้อยของคทาเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าหญิงหัวขโมยพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะหันไปดูคทาและดาบของตนเองบ้างแล้วถอนหายใจ "ถ้าฉันสอบตกจะเป็นยังไงวะคิล"
"แกก็ไม่จบไง" คิลยิ้มกว้าง
"โด่! ไอ้เพื่อนเลว" เธอร้องออกมาเสียงดังขณะกุมขมับแล้วหันมาส่งสายตาบูดๆให้ "บางครั้งไอ้ความจริงน่ะแกไม่ต้องพูดหมดก็ดีเหมือนกันนะเฟ้ย ..บางครั้งคนฟังเขาก็รับไม่ได้เหมือนกัน"
แล้วเจ้าหล่นก็นิ่งเงียบในความรู้สึก.. แล้วค่อยๆสาวเท้าไปยืนที่ริมหน้าต่างแล้วเท้าคางมองออกไปนอกฟ้าอย่างเหม่อลอย ..เย็นแล้ว ความมืดกำลังจะมาเยือน ความมืดที่ทำให้ใจปวดร้าว ความมืดที่ทำให้เงียบเหงา
เฟรินแค่นยิ้ม ..ธิดาความมืดกลับเป็นฝ่ายจมอยู่กับความมืดเสียเอง.. ใช้ไม่ได้จริง
ท้องนภาทำให้นึกถึงนัยน์ตาสีฟ้างาม ...ยามท้องนภาเป็นสีเทาก็ทำให้นึกถึงเรือนผมสีเงินสดใส ยามนี้นึกถึงร่างของคนที่อยู่ห่างไกล...
"เฟริน.. ไปกินข้าวเย็นกันได้แล้ว"
เธอพยักหน้ารับเนือยๆก่อนจะละสายตาไปจากท้องฟ้าสีส้มที่พระอาทิตย์กำลังจะลากลับจนลับสายตา...
ยามใดใดใคร่คำนึงถึงกาลลา..
เสียงช้อนส้อมโลหะกระทบกันอย่างแผ่วเบาแสดงออกถึงความเป็นผู้ดีมีตระกูล เจ้าชายคาโลค่อยขยับทั้งช้อนและส้อมวางกันไว้อย่างเรียบร้อยขณะมองอย่างเลื่อนลอยไปทางสุดขอบโต๊ะตัวยาวซึ่งเรียงรายไปด้วยอาหารรสเลิศและผู้ร่วมโต๊ะเสวยซึ่งเป็นทั้งขุนนางและพระญาติ
ไม่มีซึ่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวโหวกเหวกวุ่นวาย
เขาได้แต่คิดถึงช่วงเวลาอันแสนชุลมุนนั้นหากแต่มันสุขสม เมื่อได้มองหน้าหน้ายิ้มแย้มของเพื่อนรักทั้งหลายซึ่งร่วมเป็นร่วมตายกันมาตลอดหกปี แทนที่จะมามองหน้าเคร่งขรึมของเหล่าผู้ร่วมโต๊ะในคราวนี้
เขายิ้มออกมาบางเบาขณะคิดจะปัดความคิดถึงทิ้งเสีย..
" เป็นอะไรหรือ คาโล "
น้ำเสียงราบเรียบไม่ได้แสดงความเป็นห่วงเป็นใยสักนิดเรียกให้นัยน์ตาสีฟ้าสวยหันไปสบอย่างมีมารยาท นัยน์ตาสีเขียวมรกตคู่นั้นแม้จะงดงามไม่แพ้กัน หากแต่ประกายระริกนั้นกลับทำให้มันไม่น่ามองเลยสักนิด
" มิได้กระหม่อม หม่อมฉันมิได้เป็นอะไร "
เขาตอบกลับไปอย่างสุภาพและราบเรียบที่สุด ..เจ้าชายดิออซผู้มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้อง ด้วยอายุยี่สิบห้าซึ่งไล่เลี่ยกับเขาทำให้พอจะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก
นัยน์ตาสีฟ้าดูเรียบเฉยแม้จะรู้ดี.. ดิออซกับเขาไม่ถูกกันเท่าไหร่นัก เพราะเจ้าชายดิออซชอบเจ้าหญิงเรนอน แต่เนื่องจากเรนอนไม่ได้รักเขาตอบแต่กลับมาให้ความสนใจกับเขามากกว่า จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ดิออซไม่ชอบเขา แต่ว่าถึงกระนั้นเขาก็ยังชำนาญด้านการใช้ดาบมากกว่าคาโล แต่เขาก็สามารถข่มได้ด้วยพลังเวทมนตร์..
ทั้งสองเหมือนลิ้นกับฟัน กระทบกระทั่งกันเสมอ ..ยิ่งโตขึ้นมาทุกวี่ทุกวันก็ยิ่งทำให้เป็นการทะเลาะที่เป็นผู้ใหญ่ยิ่งขึ้น
และยิ่งทวีความน่ากลัวขึ้นทุกที..
เขาไม่อยากเกิดเรื่องกลางโต๊ะอาหารนี่.. จึงตัดสินใจเอ่ยขออนุญาต " ฝ่าบาท หม่อมฉันอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนกระหม่อม "
บาโรเลิกคิ้วสีทองขึ้นแต่ก็ไม่ได้ส่ายหน้าขัดขวาง คาโลจึงถือโอกาสลุกขึ้นแล้วเดินหมุนตัวหายจากไป..
จนไม่ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ อย่างพึงใจของใครคนหนึ่ง
" เฟริน... แกได้ยินฉันไหม "
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนล้าค่อยลืมขึ้นอย่างแผ่วเบา เมื่อสบเข้ากับดวงตาสีม่วงของเพื่อนรักที่คอยยิ้มให้อยู่ไม่ห่าง.. เจ้าตัวจึงค่อยมีแรงถาม
" ฉันมานอนบนเตียงได้ไง คิล "
"แกกินข้าวอยู่ แล้วก็เกิดไข้ขึ้นจนเกือบเป็นลม ฉันเลยพาขึ้นมา " น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาและแสดงความห่วงใย " กินซุปซะ กำลังร้อน.. ไม่ต้องทำอะไรแล้ว นอนไปซะ "
ดวงหน้าสีแดงก่ำเพราะพิษไข้ค่อยหันไปมองชามซุปที่อยู่ข้างเตียง.. พยายามยิ้มให้เพื่อนรักแม้ร่างกายจะร้อนเป็นเปลวไฟ " อืม.. ขอบใจนะ แค่ก แค่ก "
" แกกินไหวไหม ไม่ไหวฉันป้อนก็ได้นะ " คิลรีบเอ่ยขณะรีบพยุงให้เจ้าหล่อนนั่งขึ้น.. แต่ถึงกระนั้นร่างของเฟรินก็ดูจะอ่อนปวกเปียกจนเกือบเซคะมำมาข้างหน้า จนเขาต้องพาให้พิงหลังไปหัวเตียง.. ก่อนจะยกชามซุปขึ้นมา ตักแล้วเป่าให้เบา ๆ
" อ้ะ กิน "
เธอกินอย่างว่านอนสอนง่าย คิลจึงยิ้มออก.. ขณะป้อนช้อนต่อไปเรื่อย ๆ
เสียงฝีเท้าเบาย่ำมาใกล้ อย่างที่หูของหัวขโมยไม่มีวันฟังพลาด
นัยน์ตาของเธอปรือเต็มทนด้วยอาการงัวเงียเนื่องจากความง่วงนอนกอปรความเหนื่อยล้าจนไม่สามารถเปิดเปลือกตาได้.. รู้แต่เพียงว่ามีคนเดินมาใกล้
คิลแน่ ๆ
แต่มันก็น่าจะนอนไปแล้วนี่.. เธอคิดในใจแล้วยิ้ม หรือมันคิดจะเป็นองครักษ์ขนาดยอมอดนอนทั้งคืนเพื่อมาดูแลเธอ
รักตายเลย ไอ้คิลเอ๋ย
ตาของเขาฝาดรึเปล่า ?
หูของนักฆ่าก็ไวพอกับหูของหัวขโมย แถมตาก็สามารถทำงานได้ดีในความมืด... เขาเห็นอะไรบางอย่างอยู่ใกล้เตียงเฟริน !
แต่มันก็เป็นภาพที่แปลกประหลาดพอดู
ก็ผ้าชุบน้ำที่วางอยู่บนหน้าผากเนียนนั้นกำลังลอยลงมาด้วยมือของใครบางคน ชุบน้ำข้างเตียงที่เขาไปวางไว้ บิดให้แล้วเอาไปวางบนหน้าผากของเฟรินอีกครั้ง
แถมยังไม่ได้ทำร้ายอะไร ..เพราะคนทำมองเหม่อลอย
แต่เขาก็ง่วงเกินกว่าจะอยู่ดูให้ดีว่ามันเป็นใคร.. จึงได้แต่ทิ้งกายลงบนเตียงอย่างสงบ
ภายใต้ความมืดของห้องนั้น.. มีเพียงดวงตาสีฟ้ามองยังร่างน้อยที่กำลังแดงด้วยพิษไข้อย่างเป็นห่วงเป็นใย กุมข้อมือบางไว้ไม่แน่นนัก
เจ้าหล่อนกำลังทรมาน..
เขาทำได้เพียงแค่นี้ ได้เพียงดูแลในเงามืดตลอดคืนนี้เท่านั้น..
เมื่อรุ่งเช้ามาเยือน เขาก็คงจะต้องจากไป...
เสนาคาร์ทฟอลซึ่งได้รับมอบหมายหน้าที่เป็นคนถวายการต้อนรับเอ่ยอย่างยินดี เมื่อร่างสูงสง่าของเจ้าชายแห่งคาโนวาลย่างเท้าเข้ามาถึง นัยน์ตาสีฟ้าสดสวยไร้อารมณ์ เรือนผมสีเงินสว่างตา หน้าคมคายพยักรับเบาๆก่อนที่จะส่งเสื้อคลุมตัวนอกให้กับคนที่มารับไป
"จะเข้าประทับที่ห้องบรรทมเลยไหมกระหม่อม?"
"เอากระเป๋าไปเก็บเลยก็ดีเหมือนกัน" เขาตอบเบื่อๆ ก่อนจะเดินตามคาร์ทฟอลไปเรื่อยๆตามทางเดินในราชวัง... อาจจะเรียกได้ว่าเขาคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี มันก็เปรียบเสมือนบ้านหลังใหญ่ของเขา เหล่านางกำนัลและทหารต่างก้มกายถวายความเคารพ มันเป็นภาพที่เขาเห็นจนชินตาเหลือเกิน
หากเขาแพ้ จะมีหน้าไปสู้เสด็จพ่ออีกไหม? ...คำตอบของคำถามนี้เขาได้คิดไว้แล้ว คิดไว้นานพอสมควรตั้งแต่วันที่ได้รู้ถึงกฎการต่อสู้นี้ หากเขาไม่ได้ชนะ หากเขาไม่ได้เป็นกษัตริย์แล้วไซร้ ...เขาคงจะออกเดินทางไปไกลแสนไกล แล้วเปลี่ยนหน้าตา เปลี่ยนชื่อเสียใหม่ เพราะความหยิ่งในศักดิ์ศรีที่เขาคุ้นเคยกับมันมาตลอดชีวิตไม่มากพอจะให้เขาสู้หน้าเหล่าเสนาหรือทหารต่อไปได้
ผลจะออกหัวหรือก้อยก็วันพรุ่งแล้ว...
"ห้องของฝ่าบาท" คาร์ทฟอลยิ้มก่อนจะผายมือ "นางกำนัลประจำกายฝ่าบาทยังยินดีและพร้อมถวายการรับใช้เสมอ ...การ์เดรียล ฝ่าบาทเสด็จแล้ว ข้าขอฝากฝ่าบาทให้เจ้าดูแลด้วยนะ" ประตูห้องถูกเปิดจากข้างใน พร้อมกับรอยยิ้มของหญิงวัยกลางคนที่เขาคุ้นเคยแต่เด็ก นางกำนัลที่เขาสนิทสนมราวกับเป็นแม่บังเกิดเกล้า นางยังคงอยู่รับใช้เขาอีกหรือนี่..
คาโลยิ้มเบาๆ ก่อนจะขยับกายเข้าไปในห้องของเขา ..กระเป๋าถูกย้ายเข้ามาแล้ว หลังจากการเดินทางที่กินระยะเวลาพอสมควร สิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดในตอนนี้คือพักผ่อน ด้วยความเหนื่อยและอ่อนล้าทำให้คนขยันอย่างเขาถึงกับสลบไสลได้แม้ในกลางวันอันแสนสดใสก็ตาม
"ฝ่าบาทเพคะ.. จะเสวยอะไรหน่อยไหม?"
ถ้อยคำที่เขาฟังแล้วรู้สึกขื่นหู ...นานแล้วที่เขาไม่ได้กลับมาที่นี่ นานแล้วที่ไม่มีใครพูดกับเขาอย่างสุภาพและแลเห็นถึงฐานะที่แตกต่าง อาจจะเป็นเพราะโรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์กไม่มีใครใช้ราชาศัพท์กับเขา..
ไอ้คาโลแทนที่จะเป็นฝ่าบาท..
แต่น่าแปลก.. ที่เขากลับชอบคำหยาบคายโผงผางแบบนั้นและคุ้นเคยมากกว่าคำสุภาพ
"การ์เดรียล"
นางรับใช้คนสนิทสะดุ้งเล็กน้อย ...นี่หล่อนทำอะไรผิดไปหรือเปล่า น้ำเสียงฝ่าบาทดูไม่ค่อยพอพระทัยเลย จึงพยายามรวบรวมสติแล้วเอ่ยถาม "ทำไมหรือเพคะ"
คาโลทิ้งกายลงบนที่นอนอย่างอ่อนล้า ประโยคสุดท้ายหลุดออกมาเบาๆก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา...
"ช่วยพูดกับผมแบบธรรมดาหน่อยนะครับ"
เสียงประตูค่อยๆเปิดมา... ไม่มีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดเกิดขึ้นเพราะมันเป็นประตูที่เป็นมันวาว นางรับใช้การ์เดรียลละจากการเก็บเสื้อผ้าของเจ้าชายคาโลเข้าตู้แล้วหันมามองผู้มาเยือน ...ร่างสูงโปร่งใหญ่ของเจ้าชายดิออซแห่งคาโนวาล เจ้าของรูปหน้าคมเข้ม เรือนผมสีดำนิลกาฬนั้นราวระต้นคอ นัยน์ตาสีเขียวใบไม้นั้นหรี่ลงมองร่างของชายหนุ่มวัยใกล้เคียงกันที่ยังคงทอดกายบนเตียงแล้วผ่อนลมหายใจอย่างสงบ
..คาโล
แล้วก็พยายามแค่นยิ้มออกมาในรูปลักษณ์น่าเกลียด.. เรียวปากงามบิดเบี้ยวโดยที่นางรับใช้ยังคงไม่สังเกตเห็น ความเคียดแค้นในอดีตไหลวนท่วมทะลักเข้ามาราวกับน้ำป่าเดือนห้า แล้วเอ่ยถามออกไปเบาๆดูเกรงใจหากแต่สยดสยอง
"การ์เดรียล เจ้าชายคาโลเพิ่งมาถึงหรือ?"
"เพคะ" นางยิ้ม "ฝ่าบาทมีธุระกับฝ่าบาทคาโลหรือเพคะ? หม่อมฉันคงจะเรียกให้ได้หากต้องการ"
ดิออซแค่นยิ้ม.. ปรายนัยน์ตาสีเขียวหรี่เล็กนั้นไปทางร่างของศัตรูคู่อาฆาตตลอดกาล ...ณ เวลานี้ มันอ่อนแอที่สุด อ่อนล้า อ่อนแรง ความคิดชั่วร้ายมหาศาลหลั่งทะลักเข้ามายิ่งทำให้เรียวปากยิ้มชั่วร้ายยิ่งขึ้น ..แต่จิตสำนักด้านดีอันน้อยก็ยังข่มไว้ให้ไปแก้แค้นในที่ที่เหมาะสม ไม่ใช่ที่นี่..
ณ ลานประลอง.. เจ้าชายคาโละจักเสื่อมเสียเกียรติ และกษัตริย์องค์ต่อไปต้องจารึกชื่อดิออซ เรนิววาลัส!
"ไม่มีอะไรหรอก" เจ้าชายร่างสูงหมุนกายแล้วเริ่มก้าวเท้าออกไปช้าๆ.. แล้วคำพูดสุดท้ายที่การ์เดรียลได้ยินก่อนที่พระองค์จะปิดประตูนั่นก็คือ
"เพียงแต่จะมาเจอหน้าทักทายในฐานะญาติเท่านั้น ขอบใจ"
มือทั้งสองที่ประคองหนังสือเล่มหนาไว้ปิดดังพึ่บขณะหลับตาลงแล้วเอ่ยท่องเสียงเจื้อยแจ้ว "..เมื่อ 678 ปีก่อนมีการปฎิวัติของชาวสโนว์แลนด์ต่อองค์ราชินีของพวกเขาเนื่องจากกดขี่ข่มเหงมากเกินไป และได้หาแนวร่วมที่สำคัญนั่นคือเดมอส ส่วนเอเดนไม่ขอยุ่ง"
ก่อนจะเปิดหนังสือแล้วกวาดสายตาอ่านแล้วก็ยิ้ม.. "เย่ส! ในที่สุดก็ท่องถูกเสียที"
"จะสอบแล้ว ตื่นเต้นหรือเครียดไหม" เพื่อนรักนักฆ่าเอ่ยทักขณะที่นั่งเช็คความเรียบร้อยของคทาเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าหญิงหัวขโมยพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะหันไปดูคทาและดาบของตนเองบ้างแล้วถอนหายใจ "ถ้าฉันสอบตกจะเป็นยังไงวะคิล"
"แกก็ไม่จบไง" คิลยิ้มกว้าง
"โด่! ไอ้เพื่อนเลว" เธอร้องออกมาเสียงดังขณะกุมขมับแล้วหันมาส่งสายตาบูดๆให้ "บางครั้งไอ้ความจริงน่ะแกไม่ต้องพูดหมดก็ดีเหมือนกันนะเฟ้ย ..บางครั้งคนฟังเขาก็รับไม่ได้เหมือนกัน"
แล้วเจ้าหล่นก็นิ่งเงียบในความรู้สึก.. แล้วค่อยๆสาวเท้าไปยืนที่ริมหน้าต่างแล้วเท้าคางมองออกไปนอกฟ้าอย่างเหม่อลอย ..เย็นแล้ว ความมืดกำลังจะมาเยือน ความมืดที่ทำให้ใจปวดร้าว ความมืดที่ทำให้เงียบเหงา
เฟรินแค่นยิ้ม ..ธิดาความมืดกลับเป็นฝ่ายจมอยู่กับความมืดเสียเอง.. ใช้ไม่ได้จริง
ท้องนภาทำให้นึกถึงนัยน์ตาสีฟ้างาม ...ยามท้องนภาเป็นสีเทาก็ทำให้นึกถึงเรือนผมสีเงินสดใส ยามนี้นึกถึงร่างของคนที่อยู่ห่างไกล...
"เฟริน.. ไปกินข้าวเย็นกันได้แล้ว"
เธอพยักหน้ารับเนือยๆก่อนจะละสายตาไปจากท้องฟ้าสีส้มที่พระอาทิตย์กำลังจะลากลับจนลับสายตา...
ยามใดใดใคร่คำนึงถึงกาลลา..
เสียงช้อนส้อมโลหะกระทบกันอย่างแผ่วเบาแสดงออกถึงความเป็นผู้ดีมีตระกูล เจ้าชายคาโลค่อยขยับทั้งช้อนและส้อมวางกันไว้อย่างเรียบร้อยขณะมองอย่างเลื่อนลอยไปทางสุดขอบโต๊ะตัวยาวซึ่งเรียงรายไปด้วยอาหารรสเลิศและผู้ร่วมโต๊ะเสวยซึ่งเป็นทั้งขุนนางและพระญาติ
ไม่มีซึ่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวโหวกเหวกวุ่นวาย
เขาได้แต่คิดถึงช่วงเวลาอันแสนชุลมุนนั้นหากแต่มันสุขสม เมื่อได้มองหน้าหน้ายิ้มแย้มของเพื่อนรักทั้งหลายซึ่งร่วมเป็นร่วมตายกันมาตลอดหกปี แทนที่จะมามองหน้าเคร่งขรึมของเหล่าผู้ร่วมโต๊ะในคราวนี้
เขายิ้มออกมาบางเบาขณะคิดจะปัดความคิดถึงทิ้งเสีย..
" เป็นอะไรหรือ คาโล "
น้ำเสียงราบเรียบไม่ได้แสดงความเป็นห่วงเป็นใยสักนิดเรียกให้นัยน์ตาสีฟ้าสวยหันไปสบอย่างมีมารยาท นัยน์ตาสีเขียวมรกตคู่นั้นแม้จะงดงามไม่แพ้กัน หากแต่ประกายระริกนั้นกลับทำให้มันไม่น่ามองเลยสักนิด
" มิได้กระหม่อม หม่อมฉันมิได้เป็นอะไร "
เขาตอบกลับไปอย่างสุภาพและราบเรียบที่สุด ..เจ้าชายดิออซผู้มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้อง ด้วยอายุยี่สิบห้าซึ่งไล่เลี่ยกับเขาทำให้พอจะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก
นัยน์ตาสีฟ้าดูเรียบเฉยแม้จะรู้ดี.. ดิออซกับเขาไม่ถูกกันเท่าไหร่นัก เพราะเจ้าชายดิออซชอบเจ้าหญิงเรนอน แต่เนื่องจากเรนอนไม่ได้รักเขาตอบแต่กลับมาให้ความสนใจกับเขามากกว่า จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ดิออซไม่ชอบเขา แต่ว่าถึงกระนั้นเขาก็ยังชำนาญด้านการใช้ดาบมากกว่าคาโล แต่เขาก็สามารถข่มได้ด้วยพลังเวทมนตร์..
ทั้งสองเหมือนลิ้นกับฟัน กระทบกระทั่งกันเสมอ ..ยิ่งโตขึ้นมาทุกวี่ทุกวันก็ยิ่งทำให้เป็นการทะเลาะที่เป็นผู้ใหญ่ยิ่งขึ้น
และยิ่งทวีความน่ากลัวขึ้นทุกที..
เขาไม่อยากเกิดเรื่องกลางโต๊ะอาหารนี่.. จึงตัดสินใจเอ่ยขออนุญาต " ฝ่าบาท หม่อมฉันอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนกระหม่อม "
บาโรเลิกคิ้วสีทองขึ้นแต่ก็ไม่ได้ส่ายหน้าขัดขวาง คาโลจึงถือโอกาสลุกขึ้นแล้วเดินหมุนตัวหายจากไป..
จนไม่ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ อย่างพึงใจของใครคนหนึ่ง
" เฟริน... แกได้ยินฉันไหม "
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนล้าค่อยลืมขึ้นอย่างแผ่วเบา เมื่อสบเข้ากับดวงตาสีม่วงของเพื่อนรักที่คอยยิ้มให้อยู่ไม่ห่าง.. เจ้าตัวจึงค่อยมีแรงถาม
" ฉันมานอนบนเตียงได้ไง คิล "
"แกกินข้าวอยู่ แล้วก็เกิดไข้ขึ้นจนเกือบเป็นลม ฉันเลยพาขึ้นมา " น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาและแสดงความห่วงใย " กินซุปซะ กำลังร้อน.. ไม่ต้องทำอะไรแล้ว นอนไปซะ "
ดวงหน้าสีแดงก่ำเพราะพิษไข้ค่อยหันไปมองชามซุปที่อยู่ข้างเตียง.. พยายามยิ้มให้เพื่อนรักแม้ร่างกายจะร้อนเป็นเปลวไฟ " อืม.. ขอบใจนะ แค่ก แค่ก "
" แกกินไหวไหม ไม่ไหวฉันป้อนก็ได้นะ " คิลรีบเอ่ยขณะรีบพยุงให้เจ้าหล่อนนั่งขึ้น.. แต่ถึงกระนั้นร่างของเฟรินก็ดูจะอ่อนปวกเปียกจนเกือบเซคะมำมาข้างหน้า จนเขาต้องพาให้พิงหลังไปหัวเตียง.. ก่อนจะยกชามซุปขึ้นมา ตักแล้วเป่าให้เบา ๆ
" อ้ะ กิน "
เธอกินอย่างว่านอนสอนง่าย คิลจึงยิ้มออก.. ขณะป้อนช้อนต่อไปเรื่อย ๆ
เสียงฝีเท้าเบาย่ำมาใกล้ อย่างที่หูของหัวขโมยไม่มีวันฟังพลาด
นัยน์ตาของเธอปรือเต็มทนด้วยอาการงัวเงียเนื่องจากความง่วงนอนกอปรความเหนื่อยล้าจนไม่สามารถเปิดเปลือกตาได้.. รู้แต่เพียงว่ามีคนเดินมาใกล้
คิลแน่ ๆ
แต่มันก็น่าจะนอนไปแล้วนี่.. เธอคิดในใจแล้วยิ้ม หรือมันคิดจะเป็นองครักษ์ขนาดยอมอดนอนทั้งคืนเพื่อมาดูแลเธอ
รักตายเลย ไอ้คิลเอ๋ย
ตาของเขาฝาดรึเปล่า ?
หูของนักฆ่าก็ไวพอกับหูของหัวขโมย แถมตาก็สามารถทำงานได้ดีในความมืด... เขาเห็นอะไรบางอย่างอยู่ใกล้เตียงเฟริน !
แต่มันก็เป็นภาพที่แปลกประหลาดพอดู
ก็ผ้าชุบน้ำที่วางอยู่บนหน้าผากเนียนนั้นกำลังลอยลงมาด้วยมือของใครบางคน ชุบน้ำข้างเตียงที่เขาไปวางไว้ บิดให้แล้วเอาไปวางบนหน้าผากของเฟรินอีกครั้ง
แถมยังไม่ได้ทำร้ายอะไร ..เพราะคนทำมองเหม่อลอย
แต่เขาก็ง่วงเกินกว่าจะอยู่ดูให้ดีว่ามันเป็นใคร.. จึงได้แต่ทิ้งกายลงบนเตียงอย่างสงบ
ภายใต้ความมืดของห้องนั้น.. มีเพียงดวงตาสีฟ้ามองยังร่างน้อยที่กำลังแดงด้วยพิษไข้อย่างเป็นห่วงเป็นใย กุมข้อมือบางไว้ไม่แน่นนัก
เจ้าหล่อนกำลังทรมาน..
เขาทำได้เพียงแค่นี้ ได้เพียงดูแลในเงามืดตลอดคืนนี้เท่านั้น..
เมื่อรุ่งเช้ามาเยือน เขาก็คงจะต้องจากไป...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น