ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : คำสัญญา
ร่างบางนั้นเดินกระทืบเท้ามาตลอดทาง หันมาค้อนให้อีกหลายวง พยายามเดินหนีเจ้าชายหนุ่ม รวมไปถึงแสดงอากัปกิริยางอนเต็มที่ ...การกระทำที่ทำให้คาโลรู้สึกเหนื่อยใจพอสมควร บางครั้งการที่ทำให้เจ้าหล่อนมีความเป็นกุลสตรีมากขึ้นก็ทำให้หล่อนงอนเก่งและมีเล่ห์กลมากขึ้นด้วย
เขาพยายามสงบสติอารมณ์ให้นิ่งและมั่นคง.. ก่อนจะเปิดประตูห้องแล้วเชื้อเชิญให้หล่อนเข้าไปก่อนอย่างหวังเอาใจนิดๆหน่อยๆด้วยมาดสุภาพบุรุษ แม้หล่อนอาจจะไม่ได้ใส่ใจก็เถอะ
แม่ยอดยุ่งของเขาเดินสะบัดฉึบเข้าไปแล้วก็กระโจนลงบนเตียงแล้วหันหน้ามากอดอกอย่างหงุดหงิดเหมือนเดิม เขาพยายามถ่วงเวลานิดๆด้วยการปิดประตูให้ช้าลงเผื่อหล่อนอาจจะใจเย็นลงสักนิด แม้ใจส่วนใหญ่จะบอกว่านั่นไม่เป็นผลก็ตาม
หญิงสาวมองสบนัยน์ตาสีฟ้าสวยที่ยังคงมีแววเรียบเฉย ยิ่งเห็นอากัปกิริยาช้าๆนั่นมันยิ่งชวนหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ เมื่อร่างสูงค่อยๆขยับช้าๆเข้ามาใกล้ มีเพียงความเงียบสงัดที่ปกคลุมทั่วบริเวณ มีเพียงเสียงลมหายใจ และเสียงหัวใจของหล่อนเต้นอย่างรุณแรงบ้าคลั่ง..
เจ้าชายคาโลมองสบลงไปในนัยน์ตาสีน้ำตาลสดใสของหล่อน พยายามปรับลมหายใจให้เบาลง เรียกสติให้กลับมาแล้วนั่งลงข้างๆ ยังไม่ละสายตาจากร่างของหญิงสาวที่กำลังมีอารมณ์คุกรุ่น ก่อนจะยิ้มบาง.. "ไงบ้าง ไปอยู่ห้องเดียวกับพวกโรน่ะสนุกไหม?"
เฟรินถอนหายใจดังพรืดอย่างหมดอารมณ์.. มันก็ยังพูดไม่ถูกจังหวะเหมือนเคย มีที่ไหนไปตามกลับมาเสื-อกถามแบบนี้! คิดแล้วก็หงุดหงิดพาลจนต้องโพล่งออกมาให้เขารับรู้ไปด้วย "โว้ย นี่แกเรียกฉันกลับมาเพราะเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ! ไอ้ประสาท"
คำด่าของหล่อนกลับทำให้เขาขยับรอยยิ้ม ยิ้มอย่างอ่อนโยน.. ยิ้มอย่างอบอุ่นที่สุด จนอารมณ์หงุดหงิดของเธอถูกปล่อยให้ค้างอยู่อย่างนั้นด้วย
เจ้าตัวกำลึงอึ้งหนัก นี่มันยิ้มรับคำด่า
อะไรจะน่ารักขนาดนี้วะเนี่ย?
มือของเขาค่อยๆขยับไปไล้เรือนผมสีน้ำตาลนั้นอย่างเบามือด้วยความทะนุถนอม แสงจันทร์นวลกระจ่างยิ่งทำให้หล่อนงดงามยิ่งขึ้น ...คนที่เขารัก คนที่สวยที่สุด คนที่เป็นห่วงเขาที่สุด
"ไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคนนานแล้วนะ"
"อือ"
น่าแปลกที่ความสงบเงียบที่เป็นศัตรูสำหรับหล่อนเสมอคราวนี้กลับทำให้อารมณ์หล่อนเย็นขึ้นอย่างน่าประหลาด คำพูดเพียงไม่กี่คำจากปากของเขา นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนโยน น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ฟังแล้วแทบอยากลืมหายใจ เหล่านี้กลับทำให้อารมณ์รุณแรงของหล่อนหายไปจนหมดสิ้นจนกลายเป็นคนถามคำตอบคำแทนการพูดไม่หยุด
ลมจากนอกหน้าต่างพัดพาความเย็นสบายมาโอบล้อมทำให้บรรยากาศแสนสงบเงียบยามค่ำคืนของป้อมอัศวินดูมีมนตร์ขลังศักดิ์สิทธิ์อย่างน่าประหลาด ....ความสบายใจ นานแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัส รวมไปถึงนานแล้วอีกเช่นกันที่ไม่ได้คุยกับหล่อนแบบนี้เลย
มือของเขาไปถือสิทธิ์โอบกอดเอวบางไว้หลวมๆ แล้วขยับใบหน้าไปเกยคางบนหัวไหล่มนของหล่อน.. น่าแปลกอีกเช่นกันที่หล่อนไม่ได้ขัดขืนแม้แต่อย่างใด
"ขอบใจ"
นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ยังคงปล่อยให้คนตัวโตกว่ากอดโดยขยับมือไปจับแขนเขาราวกับอยากคงสภาพนี้ต่ออีกสักนิด ยิ้มออกมาแล้วเอ่ยถามเบาๆ "เรื่องอะไร"
"ทุกอย่าง" น้ำเสียงเกือบจะเบาเท่ากระซิบแนวอยู่ข้างหู เรียกให้แก้มบางมีสีระเรื่อนิดๆแล้วก็ปรือนัยน์ตาลง ยังคงรอยยิ้มไว้เช่นเคย "อื้อ.. ไม่เป็นไร คราวหลังอย่าทำตัวงี่เง่าอีกแล้วกัน"
"งี่เง่า?.. แบบไหนกันล่ะ"
"ก็.." เธออมยิ้มแก้มป่องแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ "แบบประมาณว่า 'แค่บอกว่าจะรับไว้พิจารณา แต่ไม่ได้บอกว่าต้องทำ' แล้วฉีกกระดาษแควก.. หรือจะให้ยกตัวอย่างก่อนหน้านี้อีกดีล่ะ" ได้รับรอยยิ้มจากเจ้าตัวมาแทนคำตอบ ทำให้หล่อนใจชื้นยิ่งขึ้นแล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่พยายามดัดให้ต่ำ " 'รู้ไหมว่าการประชุมไม่ควรไปสาย' 'เสนออะไรที่มันเข้าท่าหน่อยสิ' 'เรื่องนี้จะทำได้ยังไง' บลาๆๆ แกรู้ไหมว่าทำอย่างนี้น่ะงี่เง่าชะมัด"
คาโลหัวเราะยอมรับความผิด แล้วหอมแก้มเธอเบาๆ "จะพยายามแก้แล้วกัน ...ขอโทษนะ"
นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างอีกครั้งด้วยความตื่นตะลึง ...มัน.. มันขอโทษจริงหรือนี่?? มาดเจ้าชายนักรบแห่งคาโนวาลหายไปไหนหมด? ราวกับคนที่กำลังเกยคางกับไหล่ของเธอคนนี้เป็นเพียงแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น...
แม้เธอจะพยายามเฝ้าอ้อนวอนขอให้มันเป็นอย่างนี้มาตลอด.. แต่ ความรู้สึกมันไม่ใช่แบบนี้ มันไม่เหมือนกัน... นี่มันเป็นอย่างนี้เฉพาะกับเธอ
มันต้องทนเธอรึเปล่า มันต้องพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองมากไหม หรือว่า.. ทำอย่างนี้มันรู้สึกผิดไหม
"คาโล?"
"...."
"คือฉันสงสัย" น้ำเสียงเฟรินเบาลง ก่อนจะหันกลับมามองสบลงไปในนัยน์ตาสีฟ้าที่ดูมีแววฉงนเล็กน้อย ...ดูอย่างนี้เหมือนมันไม่คิดอะไร แต่
ในใจมันล่ะ มันรู้สึกอย่างไรกันแน่..
"ว่า?"
"ตอบมาตามตรงนะ" น้ำเสียงเธอยิ่งเบาลง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบแล้วเจ้าตัวก็ตัดสินใจขยับเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นแผ่วเบาราวกับไม่แน่ใจในตนเอง "นายคิดยังไงกับการที่ต้องมาเป็นผู้ชายที่อ่อนโยนแบบนี้.. ฉันหมายถึง ที่นายต้องทำตัวให้เป็นคนอบอุ่นและอ่อนโยนแบบนี้เฉพาะกับฉัน แต่กับคนอื่น นายจะเย็นชาและไร้อารมณ์ ฉันสงสัยมานานแล้ว คาโล.. อันไหนคือตัวตนที่แท้จริงของนาย เจ้าชาย? หรือแค่ผู้ชายคนหนึ่ง"
สีหน้าของคาโลมีท่าทีแปลกใจเล็กน้อย แต่เฟรินก็ยังไม่หยุดพูด.. ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่อยู่ในใจเธอมาตลอด และบุรุษตรงหน้าก็เป็นคนที่เธอควรจะพูดเรื่องนี้ด้วยมากที่สุด
"ฉัน.. ฉันขอบอกตามตรงว่าฉันปรับอารมณ์ไม่ถูก คาโล ...ครู่หนึ่งนายเป็นเจ้าชายที่ดี สง่างาม ดูท่าทางหยิ่งยโส แต่ก็เฉลียวฉลาดและเก่งกาจ ชำนาญเวทมนตร์เป็นที่หนึ่ง ..แต่อีกครู่หนึ่งนายก็เป็นผู้ชายที่หล่อเหลา อบอุ่นและอ่อนโยน รอยยิ้มกลับไม่ใช่สิ่งต้องห้าม รวมไปถึงการกระทำของนายบางอย่างซึ่งฉันไม่ปฏิเสธว่าฉันมีความสุขกับมัน อย่างคำขอโทษเมื่อครู่นั่น ฉันดีใจมาก ดีใจที่สุด"
"เฟริน.."
"ถ้านายคือคนละคนกันกับเจ้าชายคาโล วาเนบลีเมื่อตอนประชุมนั้นคงจะเป็นสิ่งแสนธรรมดา แต่นี่นายกลับเป็นคนคนเดียวกัน คนที่บุคลิกสองมุมมองที่แตกต่างกันคนละขั้ว ฉันไม่เข้าใจนายเลย คาโล... ไม่เข้าใจเลย ..ความกังวลที่สุดของฉันก็คือ ฉันไม่รู้ว่าจะไว้ใจนิสัยด้านไหนของนายดี เจ้าชายที่สง่างาม หรือผู้ชายที่แสนดีคนหนึ่ง"
น้ำเสียงของหล่อนสั่นเครือ
"ถ้านายกำลังหลอกฉันด้วยตัวตนที่แสนดีเช่นนี้ของนาย.. นั่นคงจะเป็นความเสียใจที่สุดในชีวิตของฉัน"
เอวบางถูกรั้งเข้ามาช้าๆและนุ่มนวล ไม่ใช่การบีบบังคับแต่อย่างใด ...เธอซบหน้าลงกับบ่าของเขา ในขณะที่ริมฝีปากของเขายังคงอยู่ข้างๆหูของเธอ แล้วเอ่ยคำพูดอย่างแช่มช้า
"ฉันไม่เคยหลอกอะไรนาย เฟริน.. ทั้งสองด้านที่นายเห็นคือตัวตนของฉันทั้งคู่"
"...?..."
"แบบแรกคือสิ่งที่ฉันถูกสั่งสอนและปลูกฝังมาทั้งชีวิต.. แบบแผนของเจ้าชาย การคิดแบบเจ้าชาย การวางตัวแบบเจ้าชาย เพราะฉันไม่เหมือนนายตรงที่ฉันเกิดมาด้วยศักดิ์ศรีของเจ้าชาย นั่นคือสิ่งที่ฉันอยู่ด้วยมาตลอดชีวิต"
"..."
"มันคือสิ่งที่ต้องแสดงออก เพราะฐานะในสังคมมันแตกต่างกัน ฉันอยู่ในจุดนั้น อยู่ในตำแหน่งของหัวหน้าป้อม ฉายาห้อยท้ายว่าเดอะปรินซ์ ไม่ใช่เดอะทีฟหรือเดอะเบ็กการ์ หากการวางตัวของฉันไม่อยู่ในสถานะเจ้าชาย มันจะเสื่อมเสียถึงราชวงศ์ได้ เข้าใจไหม?"
เฟรินพยักหน้าเบาๆ ทำให้เขายิ้มแล้วขยี้หัวเธอ
"แต่ที่นายเห็นเสมอๆเวลาที่ฉันอยู่กับนาย ...บอกตามตรง มันคือช่วงเวลาที่ฉันชอบและสบายใจมากที่สุด" เขายิ้ม "ช่วงเวลานี้อาจจะเป็นเวลาสั้นๆที่ฉันไม่ต้องคิดเรื่องฉายาห้อยท้าย ไม่ต้องมีหน้าตาหรือต้องมาพะวงเรื่องศักดิ์ศรี แสดงนิสัยของตนเองออกมาได้เต็มที่ ไม่ว่าจะร้ายหรือจะดียังไงก็ตาม ...แต่นิสัยเสียบางอย่างของฉันนายก็รับได้ ในขณะเดียวกัน ฉันก็ชอบนายที่ตัวตนแบบนี้ อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะนะ.."
คาโลขยับรอยยิ้มแล้วกอดเธอให้แน่นขึ้น
"ให้ช่วงเวลานี้ เรามาทำตามใจตนเองให้มากที่สุดกันเถอะ"
รอยยิ้มกว้างเป็นของหล่อน รอยยิ้มอย่างสบายใจเป็นที่สุดแล้วขยับแขนขึ้นโอบกอดรอบคอคนตัวสูงกว่า ...ความกังวลสุดท้ายของหล่อนแทบจะหมดไปแล้ว หมดไปกับความจริงใจที่มีให้แก่กัน ..เธอเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว เขาไม่เคยคิดจะหลอกอะไรเธอ
"บางครั้ง ในฐานะที่แตกต่าง คนเราก็จำต้องดึงหน้ากากมาใช้"
คำพูดของมหาปราชญ์วิลเลี่ยม
"ยังไงก็ตาม.. จำไว้ให้ดี เฟริน" เขากระซิบข้างหูของเธอ... คำพูดที่ทำให้หลอ่นเคลิบเคลิ้ม ราวกับคำพูดนั้นสายลมพัดพาไปจนสุดขอบสายตา แผ่ไพศาลไปทั่วทุกทิศทาง ประกาศิตหนึ่งเดียวที่เจ้าชายได้มอบให้กับเจ้าหญิงที่ตนรักให้ทุกผู้ที่ได้ยินเป็นสักขีพยาน
"ไม่ว่านายจะเห็นฉันตอนไหน เฟริน.. ฉัน คาโลคนนี้ ก็จะยังเป็นคาโลของนายเสมอ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง"
ฤดูแห่งการร่วงโรยมาเยือน ใบไม้สีน้ำตาลเหลืองที่หมดค่าแล้วจึงทิ้งตัวลงมาตามแรงลมที่พัดปลิวให้มาประดับบนพื้นดิน อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆต้อนรับการมาเยือนของฤดูใบไม้ร่วง แต่สำหรับชาวนักเรียนโรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์ก มันคือฤดูที่แสนจะเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก
ฤดูแห่งการสอบ...
ชาวป้อมอัศวินที่แสนครึกครื้นทั้งหลายจึงเปลี่ยนกิจกรรมยามว่างจากการละเล่นทั่วไปมาเป็นการนั่งเคร่งเครียดอยู่บนตัวป้อม ...เตาผิงอุ่นๆแผ่ไอความร้อนมาปกคลุมให้อากาศสบายยิ่งขึ้นราวกับให้กำลังใจ แต่นั่นไม่ได้ทำให้บรรยากาศน่าตึงเครียดนี้ลดลงแม้แต่น้อย ..ปีเจ็ดแล้ว ปีสุดท้ายที่จะได้อยู่ที่เอดินเบิร์ก การสอบครั้งนี้คือตัวชี้วัดชะตา ตราที่ประดับกายติดอยู่.. อาจเป็นตราเกียรติยศ หรือตราแห่งความอัปยศ หากคะแนนออกมาดี ย่อมทำให้มีงานดีๆทำ หากตรงกันข้าม ผลเสียก็จะเกิดกับตัวเอง
แน่นอน คราวนี้.. เจ้าตัวยุ่งจึงต้องมานั่งเครียด
"สงครามครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อสี่ปีที่แล้ว สมัยพ่อปีศาจของแกเกิดคิดบ้าอาละวาด" เจ้าตัวพยายามเอามืออุดหูรวบรวมสมาธิ ขณะเหล่ไปมองลูกของปีศาจที่นั่งอยู่ไม่ห่างแล้วก็ท่องต่อ "แล้วป๊ะป๋าเอวี่ของฉันก็เกิดคิดศึกอุบาทว์สงครามชิงราชบุตรเขยขึ้นมา แต่สรุปว่า ด้วยการเสียสละของไฮคิง ทำให้เกิดฝนทองทำให้แผ่นดินชุ่มชื้น ...แล้วทุกอย่างก็กลับมาแฮปปี้เอ็นดิ้งในที่สุด"
เจ้าตัวยิ้มร่าขณะหันไปขอความเห็น "ไงบ้างๆๆ ถูกต้องมะ?"
"นายท่องมายี่สิบแปดรอบแล้วเฟริน" คำตอบไม่ค่อยถูกใจเจ้าหล่อนเท่าไหร่นักจึงได้แต่นั่งแก้ต่างให้ตนเอง ...ก็มันเป็นเหตุการณ์สำคัญนี่นา อาจจะออกสอบก็ได้ไม่ใช่รึ?
"ฉันแนะนำ" เจ้าชายน้ำแข็งยังไม่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือประวัติศาสตร์กษัตริย์ "นายอ่านเรื่องสงครามแบ่งแยกดินแดนสโนว์แลนด์เมื่อประมาณห้าร้อยปีก่อนดีกว่า ฉันว่ามันน่าสนใจกว่ากันเยอะ"
"หา" คิ้วเรียวมุ่นหนัก แล้วก็ยิ้มกว้าง "ไอ้สงครามที่เกิดจากการที่น้องสาวของเจ้าหญิงแห่งสโนว์แลนด์ต้องการพิสูจน์ตนเองต่อหน้าชายหนุ่มชาวมนุษย์ที่เป็นคนรักของพี่ แล้วพี่ของหล่อนก็เป็นคนยอมตายโดยการยุติสงครามน่ะเหรอ"
"ถ้านายเห็นว่าไม่สำคัญงั้นก็ไปอ่านกบฎโจรสลัดดีกว่า จำได้หมดรึยังน่ะ สมองอย่างนั้น"
เธอหัวเราะเหอะๆ ก่อนจะคว้าหนังสือสามกิโลขึ้นมาแล้วเปิดบทนั้น ...นั่งอ่านออกเสียงดังๆกวนประสาทเจ้าชายหนุ่มเล่นๆ แม้ว่าในใจจะแอบยิ้มก็ตาม แต่แล้วความอารมณ์ดีก็ทำให้อารมณ์อยากอ่านหนังสือหมดลงเมื่อเจ้าหล่อนหบุดอ่านแล้วยิ้มกว้าง
เจ้าชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเป็นทำนองว่าหยุดอ่านทำไม? แต่เฟรินก็ชิงตอบเสียก่อน
"ยิ้มกับคนใจอ่อนที่นั่งอยู่แถวๆนี้น่ะ" แล้วหล่อนก็หัวเราะหึหึกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
"สอบ!!"
การพยักหน้ารับเบาๆของหัวหน้าป้อมอัศวินแสดงอย่างจริงจังว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น เล่นเอาเฟรินวิ่งวุ่นไปทั่วพลางร้องลั่น "สอบ.. เวรกรรม สอบ สอบ สอบ!!"
"นายจะแหกปากไปทำไม เฟริน" คิลเอ่ยขึ้นขำๆ ไม่เข้าใจความรู้สึกไอ้เพื่อนบ้านี่ แต่เฟรินหัวขวับกลับมา สีหน้าจริงจัง น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นก็ขึงขัง "มันเรื่องเครียดนะเฟ้ย ไอ้คิล แกพูดอย่างกับมันเป็นเรื่องล้อเล่น"
"แล้วไง.. คนอย่างแกเคยเครียดเรื่องสอบด้วยเหรอวะ" ครี้ดหัวเราะก๊าก แล้วเจคผู้น่ารักก็เอ่ยเสริม "ก็เห็นเอาตัวรอดมาได้ทุกทีก็เพราะไอ้คาโลมันไม่ใช่เหรอ คราวนี้ก็ทำเหมือนเดิมอีกสิ"
เฟรินดีดนิ้วเปาะแล้ววิ่งจี๋ไปเกาะแขนเจ้าชายหนุ่มท่ามกลางเสียงหัวเราะ แต่คาโลยิ้ม.. แล้วส่ายหน้า "ถ้านายไม่พยายาม เมื่อไหร่นายจะเก่งล่ะ"
"โธ่ คาโล.. แฟนกันก็ช่วยหน่อยสิ" ครี้ดยังไม่เลิก แล้วก็หันไปทางเฟรินที่เริ่มหน้ามุ่ย "เฟริน.. น่า ให้รางวัลไอ้คาโลมันหน่อยสิ" เจ้าตัวหันไปขอเสียงหัวเราะก๊ากๆจากเพื่อนๆที่ให้การตอบรับโดยดี หญิงสาวแยกเขี้ยวแล้วก็หันไปยิ้มหวานให้กับเจ้าชายหนุ่มต่ออย่างไม่หวังสนใจเสียงนกเสียงกา
"หรือว่า... นายไม่อยากให้ว่าที่พระชายานายฉลาด เก่ง คอยช่วยงานนายที่คาโนวาลกันล่ะ" เจ้าหญิงจอมกะล่อนแทบอยากกัดลิ้นตัวเองตายแทบจะในทันทีเมื่อคนเจ้าเล่ห์ยิ้มบางๆ แล้วก็พยักหน้ารับโดยดี
"เอางั้นก็ได้ ว่าที่พระชายา"
มันใจอ่อนยอมช่วยติวก็จริง ...แต่มันยังเน้นให้ผู้เรียนเป็นจุดศูนย์กลาง
เฟรินหัวเราะแห้งๆชณะหมุนปากกาเล่น ...ฟังดูดี หรู มีระดับดีหรอกนะ แต่ความหมายน่ะมันเอาง่ายๆ! นั่นก็คือ เรียนเอง! อ่านเอง!! โดยไอ้คำว่า "ยอมช่วย" ของมันน่ะก็คือแค่มานั่งบอกๆว่าตรงนี้สำคัญนะ อ่านเน้นตรงนี้หน่อยนะ แต่คนอ่านคือใคร! ก็เธอไง!! อะโด่
เธอนั่งถอนหายใจอีกเฮือก แล้วก็คว้าหนังสือหนักสามกิโลขึ้นมาทูนหัวเล่นต่อ
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าหล่อนซีเรียสจริงจัง?
นัยน์ตาสีฟ้ายังคงมองภาพการกระทำของเจ้าหล่อนทุกขั้นตอนผ่านทางหนังสือที่ยกมาบังหน้า มือเปิดหน้าอย่างเลื่อนลอยด้วยสายตาที่ไม่ได้จับจ้องอยู่ที่ตัวหนังสือรอยยิ้มน่ารัก การกระทำแก่นๆ รวมไปถึงเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากที่เขาไม่เคยคิดว่ามันจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเจ้าชายของเขา
ภาพที่อาจดูน่ารำคาญใจ แต่มันก็เป็นความสุขอีกอย่างหนึ่งของเขา
ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา เขายังคงมองการกระทำของหล่อนและเพื่อนๆมาตลอด ...มิตรภาพ ความรัก ความลึกซึ้ง ความผูกพันระหว่างผองเพื่อนและเรื่องเปิ่นๆฮาๆ ชวนตลกขบขันและอับอาย อาจจะเป็นชีวิตวัยรุ่นที่เขาไม่เคยสัมผัส
คาโลขยับมืออีกมือหนึ่งขึ้นมาดูจดหมาย... เมื่อรำลึกได้ถึงข้อความภายในนั้น นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยก็มีแววเจ็บช้ำและอาดูรอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เลือนหายไปโดยไม่มีใครทันสังเกตเห็น
ภาพของเพื่อนๆทั้งหลายผ่านทางดวงเนตร เจ้าชายคาโลจึงวางหนังสือลงและนั่งด้วยท่าทีสบายๆอย่างที่แทบไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน ...สูดลมหายใจเข้าลึกๆ กวาดสายตาไปรอบๆ สมองพยายามจดจำภาพความทรงจำให้ได้มากที่สุด ความคุ้นเคย ความอบอุ่นที่อาจไม่มีวันได้หวนระลึกถึงอีกต่อไป..
เมื่อเขาออกไปข้างนอก ไปสู่โลกภายนอกแล้ว ..อาจไม่มีหัวหน้าป้อมที่ต้องคอยมาตามผู้ร่วมประชุมตามห้อง อาจไม่มีชายหนุ่มที่เฝ้าคอยบอกว่าห้องสมุดไม่ควรเสียงดัง อาจไม่มีคนที่คอยรักษาให้เหล่าสหายทโมน และอาจไม่มีชายหนุ่มผู้แสนดีและอบอุ่นอย่างที่หล่อนคุ้นเคย
โลกภายนอก.. ที่มีชื่อว่า ราชวงศ์วาเนบลีแห่งคาโนวาล!!
เขาพยายามสงบสติอารมณ์ให้นิ่งและมั่นคง.. ก่อนจะเปิดประตูห้องแล้วเชื้อเชิญให้หล่อนเข้าไปก่อนอย่างหวังเอาใจนิดๆหน่อยๆด้วยมาดสุภาพบุรุษ แม้หล่อนอาจจะไม่ได้ใส่ใจก็เถอะ
แม่ยอดยุ่งของเขาเดินสะบัดฉึบเข้าไปแล้วก็กระโจนลงบนเตียงแล้วหันหน้ามากอดอกอย่างหงุดหงิดเหมือนเดิม เขาพยายามถ่วงเวลานิดๆด้วยการปิดประตูให้ช้าลงเผื่อหล่อนอาจจะใจเย็นลงสักนิด แม้ใจส่วนใหญ่จะบอกว่านั่นไม่เป็นผลก็ตาม
หญิงสาวมองสบนัยน์ตาสีฟ้าสวยที่ยังคงมีแววเรียบเฉย ยิ่งเห็นอากัปกิริยาช้าๆนั่นมันยิ่งชวนหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ เมื่อร่างสูงค่อยๆขยับช้าๆเข้ามาใกล้ มีเพียงความเงียบสงัดที่ปกคลุมทั่วบริเวณ มีเพียงเสียงลมหายใจ และเสียงหัวใจของหล่อนเต้นอย่างรุณแรงบ้าคลั่ง..
เจ้าชายคาโลมองสบลงไปในนัยน์ตาสีน้ำตาลสดใสของหล่อน พยายามปรับลมหายใจให้เบาลง เรียกสติให้กลับมาแล้วนั่งลงข้างๆ ยังไม่ละสายตาจากร่างของหญิงสาวที่กำลังมีอารมณ์คุกรุ่น ก่อนจะยิ้มบาง.. "ไงบ้าง ไปอยู่ห้องเดียวกับพวกโรน่ะสนุกไหม?"
เฟรินถอนหายใจดังพรืดอย่างหมดอารมณ์.. มันก็ยังพูดไม่ถูกจังหวะเหมือนเคย มีที่ไหนไปตามกลับมาเสื-อกถามแบบนี้! คิดแล้วก็หงุดหงิดพาลจนต้องโพล่งออกมาให้เขารับรู้ไปด้วย "โว้ย นี่แกเรียกฉันกลับมาเพราะเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ! ไอ้ประสาท"
คำด่าของหล่อนกลับทำให้เขาขยับรอยยิ้ม ยิ้มอย่างอ่อนโยน.. ยิ้มอย่างอบอุ่นที่สุด จนอารมณ์หงุดหงิดของเธอถูกปล่อยให้ค้างอยู่อย่างนั้นด้วย
เจ้าตัวกำลึงอึ้งหนัก นี่มันยิ้มรับคำด่า
อะไรจะน่ารักขนาดนี้วะเนี่ย?
มือของเขาค่อยๆขยับไปไล้เรือนผมสีน้ำตาลนั้นอย่างเบามือด้วยความทะนุถนอม แสงจันทร์นวลกระจ่างยิ่งทำให้หล่อนงดงามยิ่งขึ้น ...คนที่เขารัก คนที่สวยที่สุด คนที่เป็นห่วงเขาที่สุด
"ไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคนนานแล้วนะ"
"อือ"
น่าแปลกที่ความสงบเงียบที่เป็นศัตรูสำหรับหล่อนเสมอคราวนี้กลับทำให้อารมณ์หล่อนเย็นขึ้นอย่างน่าประหลาด คำพูดเพียงไม่กี่คำจากปากของเขา นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนโยน น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ฟังแล้วแทบอยากลืมหายใจ เหล่านี้กลับทำให้อารมณ์รุณแรงของหล่อนหายไปจนหมดสิ้นจนกลายเป็นคนถามคำตอบคำแทนการพูดไม่หยุด
ลมจากนอกหน้าต่างพัดพาความเย็นสบายมาโอบล้อมทำให้บรรยากาศแสนสงบเงียบยามค่ำคืนของป้อมอัศวินดูมีมนตร์ขลังศักดิ์สิทธิ์อย่างน่าประหลาด ....ความสบายใจ นานแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัส รวมไปถึงนานแล้วอีกเช่นกันที่ไม่ได้คุยกับหล่อนแบบนี้เลย
มือของเขาไปถือสิทธิ์โอบกอดเอวบางไว้หลวมๆ แล้วขยับใบหน้าไปเกยคางบนหัวไหล่มนของหล่อน.. น่าแปลกอีกเช่นกันที่หล่อนไม่ได้ขัดขืนแม้แต่อย่างใด
"ขอบใจ"
นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ยังคงปล่อยให้คนตัวโตกว่ากอดโดยขยับมือไปจับแขนเขาราวกับอยากคงสภาพนี้ต่ออีกสักนิด ยิ้มออกมาแล้วเอ่ยถามเบาๆ "เรื่องอะไร"
"ทุกอย่าง" น้ำเสียงเกือบจะเบาเท่ากระซิบแนวอยู่ข้างหู เรียกให้แก้มบางมีสีระเรื่อนิดๆแล้วก็ปรือนัยน์ตาลง ยังคงรอยยิ้มไว้เช่นเคย "อื้อ.. ไม่เป็นไร คราวหลังอย่าทำตัวงี่เง่าอีกแล้วกัน"
"งี่เง่า?.. แบบไหนกันล่ะ"
"ก็.." เธออมยิ้มแก้มป่องแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ "แบบประมาณว่า 'แค่บอกว่าจะรับไว้พิจารณา แต่ไม่ได้บอกว่าต้องทำ' แล้วฉีกกระดาษแควก.. หรือจะให้ยกตัวอย่างก่อนหน้านี้อีกดีล่ะ" ได้รับรอยยิ้มจากเจ้าตัวมาแทนคำตอบ ทำให้หล่อนใจชื้นยิ่งขึ้นแล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่พยายามดัดให้ต่ำ " 'รู้ไหมว่าการประชุมไม่ควรไปสาย' 'เสนออะไรที่มันเข้าท่าหน่อยสิ' 'เรื่องนี้จะทำได้ยังไง' บลาๆๆ แกรู้ไหมว่าทำอย่างนี้น่ะงี่เง่าชะมัด"
คาโลหัวเราะยอมรับความผิด แล้วหอมแก้มเธอเบาๆ "จะพยายามแก้แล้วกัน ...ขอโทษนะ"
นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างอีกครั้งด้วยความตื่นตะลึง ...มัน.. มันขอโทษจริงหรือนี่?? มาดเจ้าชายนักรบแห่งคาโนวาลหายไปไหนหมด? ราวกับคนที่กำลังเกยคางกับไหล่ของเธอคนนี้เป็นเพียงแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น...
แม้เธอจะพยายามเฝ้าอ้อนวอนขอให้มันเป็นอย่างนี้มาตลอด.. แต่ ความรู้สึกมันไม่ใช่แบบนี้ มันไม่เหมือนกัน... นี่มันเป็นอย่างนี้เฉพาะกับเธอ
มันต้องทนเธอรึเปล่า มันต้องพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองมากไหม หรือว่า.. ทำอย่างนี้มันรู้สึกผิดไหม
"คาโล?"
"...."
"คือฉันสงสัย" น้ำเสียงเฟรินเบาลง ก่อนจะหันกลับมามองสบลงไปในนัยน์ตาสีฟ้าที่ดูมีแววฉงนเล็กน้อย ...ดูอย่างนี้เหมือนมันไม่คิดอะไร แต่
ในใจมันล่ะ มันรู้สึกอย่างไรกันแน่..
"ว่า?"
"ตอบมาตามตรงนะ" น้ำเสียงเธอยิ่งเบาลง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบแล้วเจ้าตัวก็ตัดสินใจขยับเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นแผ่วเบาราวกับไม่แน่ใจในตนเอง "นายคิดยังไงกับการที่ต้องมาเป็นผู้ชายที่อ่อนโยนแบบนี้.. ฉันหมายถึง ที่นายต้องทำตัวให้เป็นคนอบอุ่นและอ่อนโยนแบบนี้เฉพาะกับฉัน แต่กับคนอื่น นายจะเย็นชาและไร้อารมณ์ ฉันสงสัยมานานแล้ว คาโล.. อันไหนคือตัวตนที่แท้จริงของนาย เจ้าชาย? หรือแค่ผู้ชายคนหนึ่ง"
สีหน้าของคาโลมีท่าทีแปลกใจเล็กน้อย แต่เฟรินก็ยังไม่หยุดพูด.. ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่อยู่ในใจเธอมาตลอด และบุรุษตรงหน้าก็เป็นคนที่เธอควรจะพูดเรื่องนี้ด้วยมากที่สุด
"ฉัน.. ฉันขอบอกตามตรงว่าฉันปรับอารมณ์ไม่ถูก คาโล ...ครู่หนึ่งนายเป็นเจ้าชายที่ดี สง่างาม ดูท่าทางหยิ่งยโส แต่ก็เฉลียวฉลาดและเก่งกาจ ชำนาญเวทมนตร์เป็นที่หนึ่ง ..แต่อีกครู่หนึ่งนายก็เป็นผู้ชายที่หล่อเหลา อบอุ่นและอ่อนโยน รอยยิ้มกลับไม่ใช่สิ่งต้องห้าม รวมไปถึงการกระทำของนายบางอย่างซึ่งฉันไม่ปฏิเสธว่าฉันมีความสุขกับมัน อย่างคำขอโทษเมื่อครู่นั่น ฉันดีใจมาก ดีใจที่สุด"
"เฟริน.."
"ถ้านายคือคนละคนกันกับเจ้าชายคาโล วาเนบลีเมื่อตอนประชุมนั้นคงจะเป็นสิ่งแสนธรรมดา แต่นี่นายกลับเป็นคนคนเดียวกัน คนที่บุคลิกสองมุมมองที่แตกต่างกันคนละขั้ว ฉันไม่เข้าใจนายเลย คาโล... ไม่เข้าใจเลย ..ความกังวลที่สุดของฉันก็คือ ฉันไม่รู้ว่าจะไว้ใจนิสัยด้านไหนของนายดี เจ้าชายที่สง่างาม หรือผู้ชายที่แสนดีคนหนึ่ง"
น้ำเสียงของหล่อนสั่นเครือ
"ถ้านายกำลังหลอกฉันด้วยตัวตนที่แสนดีเช่นนี้ของนาย.. นั่นคงจะเป็นความเสียใจที่สุดในชีวิตของฉัน"
เอวบางถูกรั้งเข้ามาช้าๆและนุ่มนวล ไม่ใช่การบีบบังคับแต่อย่างใด ...เธอซบหน้าลงกับบ่าของเขา ในขณะที่ริมฝีปากของเขายังคงอยู่ข้างๆหูของเธอ แล้วเอ่ยคำพูดอย่างแช่มช้า
"ฉันไม่เคยหลอกอะไรนาย เฟริน.. ทั้งสองด้านที่นายเห็นคือตัวตนของฉันทั้งคู่"
"...?..."
"แบบแรกคือสิ่งที่ฉันถูกสั่งสอนและปลูกฝังมาทั้งชีวิต.. แบบแผนของเจ้าชาย การคิดแบบเจ้าชาย การวางตัวแบบเจ้าชาย เพราะฉันไม่เหมือนนายตรงที่ฉันเกิดมาด้วยศักดิ์ศรีของเจ้าชาย นั่นคือสิ่งที่ฉันอยู่ด้วยมาตลอดชีวิต"
"..."
"มันคือสิ่งที่ต้องแสดงออก เพราะฐานะในสังคมมันแตกต่างกัน ฉันอยู่ในจุดนั้น อยู่ในตำแหน่งของหัวหน้าป้อม ฉายาห้อยท้ายว่าเดอะปรินซ์ ไม่ใช่เดอะทีฟหรือเดอะเบ็กการ์ หากการวางตัวของฉันไม่อยู่ในสถานะเจ้าชาย มันจะเสื่อมเสียถึงราชวงศ์ได้ เข้าใจไหม?"
เฟรินพยักหน้าเบาๆ ทำให้เขายิ้มแล้วขยี้หัวเธอ
"แต่ที่นายเห็นเสมอๆเวลาที่ฉันอยู่กับนาย ...บอกตามตรง มันคือช่วงเวลาที่ฉันชอบและสบายใจมากที่สุด" เขายิ้ม "ช่วงเวลานี้อาจจะเป็นเวลาสั้นๆที่ฉันไม่ต้องคิดเรื่องฉายาห้อยท้าย ไม่ต้องมีหน้าตาหรือต้องมาพะวงเรื่องศักดิ์ศรี แสดงนิสัยของตนเองออกมาได้เต็มที่ ไม่ว่าจะร้ายหรือจะดียังไงก็ตาม ...แต่นิสัยเสียบางอย่างของฉันนายก็รับได้ ในขณะเดียวกัน ฉันก็ชอบนายที่ตัวตนแบบนี้ อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะนะ.."
คาโลขยับรอยยิ้มแล้วกอดเธอให้แน่นขึ้น
"ให้ช่วงเวลานี้ เรามาทำตามใจตนเองให้มากที่สุดกันเถอะ"
รอยยิ้มกว้างเป็นของหล่อน รอยยิ้มอย่างสบายใจเป็นที่สุดแล้วขยับแขนขึ้นโอบกอดรอบคอคนตัวสูงกว่า ...ความกังวลสุดท้ายของหล่อนแทบจะหมดไปแล้ว หมดไปกับความจริงใจที่มีให้แก่กัน ..เธอเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว เขาไม่เคยคิดจะหลอกอะไรเธอ
"บางครั้ง ในฐานะที่แตกต่าง คนเราก็จำต้องดึงหน้ากากมาใช้"
คำพูดของมหาปราชญ์วิลเลี่ยม
"ยังไงก็ตาม.. จำไว้ให้ดี เฟริน" เขากระซิบข้างหูของเธอ... คำพูดที่ทำให้หลอ่นเคลิบเคลิ้ม ราวกับคำพูดนั้นสายลมพัดพาไปจนสุดขอบสายตา แผ่ไพศาลไปทั่วทุกทิศทาง ประกาศิตหนึ่งเดียวที่เจ้าชายได้มอบให้กับเจ้าหญิงที่ตนรักให้ทุกผู้ที่ได้ยินเป็นสักขีพยาน
"ไม่ว่านายจะเห็นฉันตอนไหน เฟริน.. ฉัน คาโลคนนี้ ก็จะยังเป็นคาโลของนายเสมอ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง"
ฤดูแห่งการร่วงโรยมาเยือน ใบไม้สีน้ำตาลเหลืองที่หมดค่าแล้วจึงทิ้งตัวลงมาตามแรงลมที่พัดปลิวให้มาประดับบนพื้นดิน อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆต้อนรับการมาเยือนของฤดูใบไม้ร่วง แต่สำหรับชาวนักเรียนโรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์ก มันคือฤดูที่แสนจะเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก
ฤดูแห่งการสอบ...
ชาวป้อมอัศวินที่แสนครึกครื้นทั้งหลายจึงเปลี่ยนกิจกรรมยามว่างจากการละเล่นทั่วไปมาเป็นการนั่งเคร่งเครียดอยู่บนตัวป้อม ...เตาผิงอุ่นๆแผ่ไอความร้อนมาปกคลุมให้อากาศสบายยิ่งขึ้นราวกับให้กำลังใจ แต่นั่นไม่ได้ทำให้บรรยากาศน่าตึงเครียดนี้ลดลงแม้แต่น้อย ..ปีเจ็ดแล้ว ปีสุดท้ายที่จะได้อยู่ที่เอดินเบิร์ก การสอบครั้งนี้คือตัวชี้วัดชะตา ตราที่ประดับกายติดอยู่.. อาจเป็นตราเกียรติยศ หรือตราแห่งความอัปยศ หากคะแนนออกมาดี ย่อมทำให้มีงานดีๆทำ หากตรงกันข้าม ผลเสียก็จะเกิดกับตัวเอง
แน่นอน คราวนี้.. เจ้าตัวยุ่งจึงต้องมานั่งเครียด
"สงครามครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อสี่ปีที่แล้ว สมัยพ่อปีศาจของแกเกิดคิดบ้าอาละวาด" เจ้าตัวพยายามเอามืออุดหูรวบรวมสมาธิ ขณะเหล่ไปมองลูกของปีศาจที่นั่งอยู่ไม่ห่างแล้วก็ท่องต่อ "แล้วป๊ะป๋าเอวี่ของฉันก็เกิดคิดศึกอุบาทว์สงครามชิงราชบุตรเขยขึ้นมา แต่สรุปว่า ด้วยการเสียสละของไฮคิง ทำให้เกิดฝนทองทำให้แผ่นดินชุ่มชื้น ...แล้วทุกอย่างก็กลับมาแฮปปี้เอ็นดิ้งในที่สุด"
เจ้าตัวยิ้มร่าขณะหันไปขอความเห็น "ไงบ้างๆๆ ถูกต้องมะ?"
"นายท่องมายี่สิบแปดรอบแล้วเฟริน" คำตอบไม่ค่อยถูกใจเจ้าหล่อนเท่าไหร่นักจึงได้แต่นั่งแก้ต่างให้ตนเอง ...ก็มันเป็นเหตุการณ์สำคัญนี่นา อาจจะออกสอบก็ได้ไม่ใช่รึ?
"ฉันแนะนำ" เจ้าชายน้ำแข็งยังไม่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือประวัติศาสตร์กษัตริย์ "นายอ่านเรื่องสงครามแบ่งแยกดินแดนสโนว์แลนด์เมื่อประมาณห้าร้อยปีก่อนดีกว่า ฉันว่ามันน่าสนใจกว่ากันเยอะ"
"หา" คิ้วเรียวมุ่นหนัก แล้วก็ยิ้มกว้าง "ไอ้สงครามที่เกิดจากการที่น้องสาวของเจ้าหญิงแห่งสโนว์แลนด์ต้องการพิสูจน์ตนเองต่อหน้าชายหนุ่มชาวมนุษย์ที่เป็นคนรักของพี่ แล้วพี่ของหล่อนก็เป็นคนยอมตายโดยการยุติสงครามน่ะเหรอ"
"ถ้านายเห็นว่าไม่สำคัญงั้นก็ไปอ่านกบฎโจรสลัดดีกว่า จำได้หมดรึยังน่ะ สมองอย่างนั้น"
เธอหัวเราะเหอะๆ ก่อนจะคว้าหนังสือสามกิโลขึ้นมาแล้วเปิดบทนั้น ...นั่งอ่านออกเสียงดังๆกวนประสาทเจ้าชายหนุ่มเล่นๆ แม้ว่าในใจจะแอบยิ้มก็ตาม แต่แล้วความอารมณ์ดีก็ทำให้อารมณ์อยากอ่านหนังสือหมดลงเมื่อเจ้าหล่อนหบุดอ่านแล้วยิ้มกว้าง
เจ้าชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเป็นทำนองว่าหยุดอ่านทำไม? แต่เฟรินก็ชิงตอบเสียก่อน
"ยิ้มกับคนใจอ่อนที่นั่งอยู่แถวๆนี้น่ะ" แล้วหล่อนก็หัวเราะหึหึกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
"สอบ!!"
การพยักหน้ารับเบาๆของหัวหน้าป้อมอัศวินแสดงอย่างจริงจังว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น เล่นเอาเฟรินวิ่งวุ่นไปทั่วพลางร้องลั่น "สอบ.. เวรกรรม สอบ สอบ สอบ!!"
"นายจะแหกปากไปทำไม เฟริน" คิลเอ่ยขึ้นขำๆ ไม่เข้าใจความรู้สึกไอ้เพื่อนบ้านี่ แต่เฟรินหัวขวับกลับมา สีหน้าจริงจัง น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นก็ขึงขัง "มันเรื่องเครียดนะเฟ้ย ไอ้คิล แกพูดอย่างกับมันเป็นเรื่องล้อเล่น"
"แล้วไง.. คนอย่างแกเคยเครียดเรื่องสอบด้วยเหรอวะ" ครี้ดหัวเราะก๊าก แล้วเจคผู้น่ารักก็เอ่ยเสริม "ก็เห็นเอาตัวรอดมาได้ทุกทีก็เพราะไอ้คาโลมันไม่ใช่เหรอ คราวนี้ก็ทำเหมือนเดิมอีกสิ"
เฟรินดีดนิ้วเปาะแล้ววิ่งจี๋ไปเกาะแขนเจ้าชายหนุ่มท่ามกลางเสียงหัวเราะ แต่คาโลยิ้ม.. แล้วส่ายหน้า "ถ้านายไม่พยายาม เมื่อไหร่นายจะเก่งล่ะ"
"โธ่ คาโล.. แฟนกันก็ช่วยหน่อยสิ" ครี้ดยังไม่เลิก แล้วก็หันไปทางเฟรินที่เริ่มหน้ามุ่ย "เฟริน.. น่า ให้รางวัลไอ้คาโลมันหน่อยสิ" เจ้าตัวหันไปขอเสียงหัวเราะก๊ากๆจากเพื่อนๆที่ให้การตอบรับโดยดี หญิงสาวแยกเขี้ยวแล้วก็หันไปยิ้มหวานให้กับเจ้าชายหนุ่มต่ออย่างไม่หวังสนใจเสียงนกเสียงกา
"หรือว่า... นายไม่อยากให้ว่าที่พระชายานายฉลาด เก่ง คอยช่วยงานนายที่คาโนวาลกันล่ะ" เจ้าหญิงจอมกะล่อนแทบอยากกัดลิ้นตัวเองตายแทบจะในทันทีเมื่อคนเจ้าเล่ห์ยิ้มบางๆ แล้วก็พยักหน้ารับโดยดี
"เอางั้นก็ได้ ว่าที่พระชายา"
มันใจอ่อนยอมช่วยติวก็จริง ...แต่มันยังเน้นให้ผู้เรียนเป็นจุดศูนย์กลาง
เฟรินหัวเราะแห้งๆชณะหมุนปากกาเล่น ...ฟังดูดี หรู มีระดับดีหรอกนะ แต่ความหมายน่ะมันเอาง่ายๆ! นั่นก็คือ เรียนเอง! อ่านเอง!! โดยไอ้คำว่า "ยอมช่วย" ของมันน่ะก็คือแค่มานั่งบอกๆว่าตรงนี้สำคัญนะ อ่านเน้นตรงนี้หน่อยนะ แต่คนอ่านคือใคร! ก็เธอไง!! อะโด่
เธอนั่งถอนหายใจอีกเฮือก แล้วก็คว้าหนังสือหนักสามกิโลขึ้นมาทูนหัวเล่นต่อ
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าหล่อนซีเรียสจริงจัง?
นัยน์ตาสีฟ้ายังคงมองภาพการกระทำของเจ้าหล่อนทุกขั้นตอนผ่านทางหนังสือที่ยกมาบังหน้า มือเปิดหน้าอย่างเลื่อนลอยด้วยสายตาที่ไม่ได้จับจ้องอยู่ที่ตัวหนังสือรอยยิ้มน่ารัก การกระทำแก่นๆ รวมไปถึงเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากที่เขาไม่เคยคิดว่ามันจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเจ้าชายของเขา
ภาพที่อาจดูน่ารำคาญใจ แต่มันก็เป็นความสุขอีกอย่างหนึ่งของเขา
ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา เขายังคงมองการกระทำของหล่อนและเพื่อนๆมาตลอด ...มิตรภาพ ความรัก ความลึกซึ้ง ความผูกพันระหว่างผองเพื่อนและเรื่องเปิ่นๆฮาๆ ชวนตลกขบขันและอับอาย อาจจะเป็นชีวิตวัยรุ่นที่เขาไม่เคยสัมผัส
คาโลขยับมืออีกมือหนึ่งขึ้นมาดูจดหมาย... เมื่อรำลึกได้ถึงข้อความภายในนั้น นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยก็มีแววเจ็บช้ำและอาดูรอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เลือนหายไปโดยไม่มีใครทันสังเกตเห็น
ภาพของเพื่อนๆทั้งหลายผ่านทางดวงเนตร เจ้าชายคาโลจึงวางหนังสือลงและนั่งด้วยท่าทีสบายๆอย่างที่แทบไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน ...สูดลมหายใจเข้าลึกๆ กวาดสายตาไปรอบๆ สมองพยายามจดจำภาพความทรงจำให้ได้มากที่สุด ความคุ้นเคย ความอบอุ่นที่อาจไม่มีวันได้หวนระลึกถึงอีกต่อไป..
เมื่อเขาออกไปข้างนอก ไปสู่โลกภายนอกแล้ว ..อาจไม่มีหัวหน้าป้อมที่ต้องคอยมาตามผู้ร่วมประชุมตามห้อง อาจไม่มีชายหนุ่มที่เฝ้าคอยบอกว่าห้องสมุดไม่ควรเสียงดัง อาจไม่มีคนที่คอยรักษาให้เหล่าสหายทโมน และอาจไม่มีชายหนุ่มผู้แสนดีและอบอุ่นอย่างที่หล่อนคุ้นเคย
โลกภายนอก.. ที่มีชื่อว่า ราชวงศ์วาเนบลีแห่งคาโนวาล!!
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น