ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Hazy World โลกทะลุเดือด เชือดไม่เลี้ยง

    ลำดับตอนที่ #1 : จุดเริ่ม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 61
      3
      19 ธ.ค. 66

    “ติ๊ดๆ”

    “Warning ! This building is desolated! Please do the evacuation in 30 minutes. The self-destruction system is activated.”

    (คำเตือน! อาคารแห่งนี้ถูกทิ้งร้าง กรุณาทำการอพยพภายใน 30 นาที ระบบทำลายตัวเองดำเนินการเรียบร้อยแล้ว)

    เสียงสัญญาณส่งเสียงเตือนลั่นสถานีวิจัยยอร์ค นากาต้าบนคาบสมุทรซีเรีย เร่งให้เหล่าเจ้าหน้าที่ทุกคนอพยพโดยเร็ว แต่ภายในสถานีกลับว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คนใดๆ มีเพียงชายผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ริมระเบียง สายลมโบกพัดผมสีเหลืองบรอนซ์ของเขาที่เรียบเป็นทรงให้ดูยุ่งเหยิง มือของเขาล้วงเข้าไปในกางเกงทั้งสองข้างด้วยท่วงท่าผ่อนคลายราวกับว่าเสียงเตือนนั้นไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่เขายืนอยู่

    “กึกๆกึกๆ” เสียงส้นสูงเดินเข้ามาเบื้องหลังเขาเป็นจังหวะ น้ำหนักการลงเท้าแสดงถึงความมั่นใจของเจ้าของ

    “มาแล้วหรือแอลเซ่ เจอโนเอลแล้วใช่ไหมถึงได้มั่นใจขนาดนี้” ชายผมบรอนซ์เอ่ยขึ้นกับหญิงสาวที่อยู่ในชุดสูทหนังสีดำรัดรูป เผยให้เห็นทรวดทรงอันงดงามที่เย้ายวนเด่นชัด

    “เรียบร้อย” แอลเซ่เอ่ยพร้อมรอยยิ้มตรงมุมปาก แขนเรียวยกกระเป๋าเอกสารไม่ใหญ่มากสะบัดไปมาเป็นการโอ้อวด

    “ติ๊ดๆ”

    “Warning ! This building is desolated! Please do the evacuation in 20 minutes. The self-destruction system is activated.”

    (คำเตือน! อาคารแห่งนี้ถูกทิ้งร้าง กรุณาทำการอพยพภายใน 20 นาที ระบบทำลายตัวเองดำเนินการเรียบร้อยแล้ว)

    เสียงประกาศเตือนการของระบบทำลายตนเองของสถานีดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้ทั้งสองรีบวิ่งไปยังลานจอดเฮลิคอปเตอร์ที่อยู่บนชั้นดาดฟ้าของสถานี

    แต่พอไปถึงแทนที่พวกเขาจะขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปด้วยกัน แอลเซ่กลับชะลอฝีเท้าพร้อมโยนกระเป๋าไปให้ชายผมบรอนด์ที่ขึ้นไปนั่งในเครื่องก่อนเรียบร้อยแล้ว

    “ฟาแอล หน้าที่ต่อไปเป็นของนายแล้ว” แอลเซ่ตะโกนขึ้น ก่อนจะรีบยิงปืนเชือกไปยังกำแพงตึกอีกข้าง แล้วพุ่งตัวปีนไต่ผนังตึกเข้าไปในอาคารอย่างช่ำชอง

    ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ได้แต่ยกมือโบกลา ก่อนสั่งให้คนขับรีบเอาเครื่องขึ้น แอลเซ่เธอมีอีกภารกิจหนึ่งต้องไปทำ เขาเองก็เช่นกัน

    ชายหนุ่มเปิดกระเป๋าเอกสารออก ข้างในมีหลอดแก้วทรงกระบอกอยู่หกหลอด มีสีม่วงกับสีเขียวอย่างละสองสี เขารี่สายตาลงก่อนยิ้มกว้างหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย

    “เปลี่ยนเส้นทาง ไปฐานทัพอากาศแอสต้า”

    อีกด้านหนึ่งร่างบางพลิ้วไหวไปตามตัวอาคารมุ่งหน้าไปยังโรงบำบัดของเสียของศูนย์วิจัย ขาเรียวรีบก้าวยาวอย่างรีบเร่งเข้าสู่ลานทิ้งขยะ ดวงตาเรียวสวยมองไปรอบๆก่อนเห็นสิ่งหนึ่งอยู่บนกองขยะกองหนึ่ง

    “เจอแล้ว” ปากสีแดงสดยิ้มกว้าง ก่อนตวัดแส้ที่ห้อยอยู่ข้างเอวออกไปคว้าสิ่งนั้นออกมา กระเป๋าเอกสารรูปทรงเดียวกันกับที่มอบให้ฟาแอลตกลงมาที่มือ

    “Warning ! This building is desolated! Please do the evacuation in 5 minutes. The self-destruction system is activated.”

    (คำเตือน! อาคารแห่งนี้ถูกทิ้งร้าง กรุณาทำการอพยพภายใน 5 นาที ระบบทำลายตัวเองดำเนินการเรียบร้อยแล้ว)

    เสียงกล่าวเตือนระบบทำลายตัวเองของสถานีดังขึ้นอีกครั้งทำให้หญิงสาวรีบหนีไปยังทางออกทันที ด้านข้างโรงบำบัดเป็นชายฝั่งทะเลมีท่าเรือเล็กอยู่สำหรับใช้ในการขนถ่ายสิ่งของพวกสารเคมีสำหรับฆ่าเชื้อ

    แอลเซ่ขึ้นเรือเร็วลำหนึ่งที่ได้จัดเตรียมการไว้ล่วงหน้าและพุ่งทะยานออกมาทันที

    “ตูม! ตูม! ตูม!”

    เสียงระเบิดดังสนั่นอย่างต่อเนื่องไปทั่วศูนย์วิจัยที่อยู่ด้านหลังของหญิงสาว เธอสามารถหนีออกมาได้หย่างหวุดหวิด

    ศูนย์วิจัยยอร์ค นากาต้า เป็นศูนย์วิจัยตัวยาลับของบริษัทชิลด์ คอมปานี ตอนนี้ถูกรัฐบาลเพ่งเล็งว่าลักลอบผลิตอาวุธชีวภาพผิดกฎหมายขายให้พวกก่อการร้าย ก่อนที่จะถูกสืบถึง บริษัทจึงสั่งให้ทำลายและกำจัดหลักฐาน พร้อมให้นำตัวอย่างที่ยังอยู่ในระหว่างวิจัยออกมา ส่วนบันทึกการวิจัยถูกนำไปเก็บซ่อนยังสถานีลับอีกแห่งหนึ่งไว้แล้ว

    แอลเซ่ขับเรือเร็วออกห่างไม่ทันไร ก็ได้ยินเสียงหนึ่งเคลื่อนผ่านบนท้องฟ้า เส้นสีขาวสองสายแสดงเป็นริ้วยาวพาดผ่านแสงสีฟ้าครามมุ่งหน้าไปยังเมืองใหญ่ มันคือจรวดมิสไชล์

    “ให้ตายเถอะ! ฟาแอล นายคิดบ้าอะไรอยู่?” แอลเซ่ขมวดคิ้วบางแน่น บิดเครื่องสุดแรง หันเรือเร็วไปทางตรงกันข้ามกับทิศทางของจรวด

    ทำเนียบรัฐสภา

    “ตู๊ดๆ” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในห้องประธานณาธีบดีไม่ขาด ผู้คนในห้องต่างวิ่งพล่านไปมา

    “ท่านครับ! เมืองปาราและเมืองจอเรสถูกโจมตี ตอนนี้ผู้ก่อการร้ายยึดฐานอากาศแอสต้าไว้ กองกำลังทหารในท้องที่กำลังเร่งเข้าจู่โจมเพื่อยึดคืน”

    ประธานธิบดีจาราดบัดนี้ทำหน้าเคร่งขรึมในห้องประชุม ที่มีเหล่าเจ้าหน้าที่และพลทหารยศใหญ่นั่งอยู่

    “เป็นฝีมือของฝ่ายไหน? แล้วพวกมันติดต่อมาหรือยัง?” จาราดเอ่ยถาม

    “จากรายงานยังไม่สามารถระบุว่าเป็นฝ่ายใด? เจ้าหน้าที่ในฐานแอสตร้าแจ้งมาก่อนสัญญาณจะถูกตัดขาดว่า มีคนเพียงกลุ่มหนึ่งเข้ามา จากนั้นเกิดอันใดไม่ทราบ เหล่าทหารและเจ้าหน้าที่มีอาการคลุ้มคลั่งทำร้ายกันเอง” 

    “อาวุธเคมี!?” นายพลที่นั่งอยู่ถามขึ้น

    “แต่อาวุธเคมีจะทำให้เกิดอาการเจ็บปวดจนตาย แต่นี่ต่างออกไป” เจ้าหน้าที่รัฐที่นั่งตรงกันข้ามกล่าวแย้ง

    “บางทีอาวุธนี้อาจทำให้เกิดอาการประสาทหลอน” นายพลอีกคนเอ่ย เขาเคยเห็นอาวุธเช่นนี้มาก่อน

    “ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อร้ายฝ่ายไหน? ตอนนี้ต้องเร่งรีบอพยพพลเรือนและควบคุมสถานการณ์ให้เร็วที่สุดก่อนจะเกินการควบคุม” เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนรีบกล่าวแทรกขึ้นมาในที่ประชุม เขาต้องการให้ประธานาธิบดีตัดสินใจส่งกำลังเสริมเข้าช่วยเหลือก่อนที่จะควบคุมความแตกตื่นของประชาชนไม่อยู่

    จาราดได้ยินก็พยักหน้า จึงสั่งให้เร่งตรวจสอบอีกทีเรื่องผู้ก่อการร้าย ตอนนี้การควบคุมประชาชนให้ไม่ตื่นกลัวเป็นสิ่งสำคัญมิเช่นนั้นอาจสร้างความเสียหายมากกว่าเดิม

    “เรียกระดมพลกำลังเสริมจากพลเรือนออกมาไปช่วยบรรเทาความเดือดร้อนยังเมืองที่ได้รับผลกระทบ ส่วนเจ้าหน้าที่และทหารให้คอยควบคุมสถานการณ์และลำเลียงการอพยพชาวบ้านไปยังเมืองที่ปลอดภัย”

    การประชุมดำเนินไปอย่างกดดันและตึงเครียด มีข่าวสารคืบหน้าเข้ามารายงานไม่ขาดสายเช่นเดียวกับคำสั่งที่ถ่ายทอดออกไปจากห้องประชุม

    ยามนี้ในสื่อต่างๆต่างรายงานถึงเหตุการณ์การก่อการร้ายที่เกิดขึ้นรวมถึงภาพผู้คนที่คลุ้มคลั่งไล่ทำร้ายกัน สร้างความตื่นตะหนกให้กับผู้ที่เห็นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะภาพข่าวจากสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งที่ลงไปทำรายงานข่าวในเมืองปารา ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองที่โดนจรวดมิสไซด์โจมตี

    “เพื่อนผมๆ ผมนึกว่าเขาโดนชายคนนั้นฆ่าตายไปแล้ว แต่ว่าไม่ทันไรมันก็ฟื้นขึ้นมา” ชายคนนั้นให้สัมภาษณ์ถึงสิ่งที่ตัวเองเจอด้วยอาการแตกตื่นและลนลาน “ผมดีใจที่มันยังไม่ตาย จึงรีบเข้าไปช่วยมัน แต่กลายเป็นว่ามันกลับเข้ามากัดผมตรงนี้!” เขาชี้ไปยังหัวไหล่ของเขาและเปิดเสื้อให้เห็นว่ามีรอยฟันจมลึกเข้าไปในเนื้อ เลือดยังไหลซึมออกมา

    ชายนักข่าวที่สัมภาษณ์อยู่เห็นบาดแผลก็ตกใจ “คุณบาดเจ็บอยู่นี่! ผมว่าคุณควรรีบไปหาหมอรักษาก่อนเถอะ ทางเราขอบคุณที่.... อ๊ากก!”

    ชายนักข่าวยังไม่ทันได้กล่าวจบ ชายที่ให้สัมภาษณ์กลับเกิดอาการคลุ้มคลั่งกะทันหัน ท่าทีคนปกติก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นดุร้ายราวสัตว์ป่า พุ่งเข้าไปกัดคอนักข่าวทันที ก่อนที่จอภาพจะดำมืด

    “นี่มันเกิดอะไรขึ้น!? น่ากลัวชะมัดเลย!” เสียงหญิงวัยกลางคนอายุประมาณ50ปี ร้องขึ้นมาอย่างตื่นตะหนก มือหนึ่งทาบไว้บนอก ส่วนอีกข้างยกรีโมทกดเปลี่ยนไปยังอีกช่องหนึ่ง

    “ทางกองทัพเรียกระดมทหารพลเรือนเพื่อเข้าไปช่วยบรรเทาภัยให้กับเมืองที่ได้รับการเสียหายจากการโจมตี ขอให้ชายที่ผ่านการเกณฑ์ทหารแล้วและอายุไม่เกิน 60ปี เข้าไปรายงานในค่ายทหารประจำท้องที่ที่ตนเองอาศัยอยู่ ประกาศอีกครั้ง! ขอให้ชายผู้ที่ผ่านการเกณฑ์ทหารแล้วเข้าไปรายงานตัวในค่ายทหารประจำท้องที่โดยเร่งด่วน หากผู้ใดมีปัญหาไม่สามารถเข้าร่วมได้ขอให้นำหลักฐานเข้ามาชี้แจง...”

    “ตายแล้ว! นี่จะเกิดสงครามขึ้นงั้นเหรอ!”

    “แม่! เลิกตะโกนโวยวายได้แล้ว! ผมต้องใช้สมาธินะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นในห้องด้านข้าง ทำให้ใบหน้าหญิงสาวผู้ที่ถูกเรียกว่าแม่หน้าดำคล้ำทันที ก่อนที่จะยกตัวอวบอ้วนด้วยน้ำหนักเกือบ 80 กิโลออกจากโซฟา คว้าหมอนอิงติดมือก้าวเท้าไปห้องด้านข้าง

    “ปึงๆ” เสียงทุบประตูรัวๆ

    “เปิดประตูเดี๋ยวนี้! ไม่เปิดแม่จะพังเข้าไป” เสียงดุดังแสบแก้วหูลอดเข้ามาในห้อง ทำให้ชายหนุ่มวัยย่าง25ปีเริ่มทนไม่ไหว มือสองข้างรัวนิ้วกดบนเมาส์และแป้นพิมพ์

    “ตายสิวะ! ตายเร็วๆ อึดเป็นบ้าเลย!” เสียงกดต่ำลอดออกมาจากไรฟัน ชายหนุ่มว่าเขาเอ่ยเบาแล้วแต่ทำไม..

    “ไอ้ลูกไม่รักดี! อยู่ๆมาแช่งแม่งั้นเหรอ? ดี! แกเจอดีแน่”

    “ปึงๆ” เสียงประตูคราวนี้หนักหน่วงขึ้นกว่าเดิม

    “แม่! ไม่ใช่! หยุด! ประตูห้องผมจะพังแล้ว!” ชายหนุ่มตื่นผวาเผลอปล่อยมือออกจากแป้นพิมพ์และเมาส์

    "ติ๊ดๆ ระวัง! พลังชีวิตของคุณเหลือน้อยแล้วรีบรักษาทันที!" เสียงระบบเกมเตือนขึ้นในช่วงเวลาที่เขากำลังพะว้าพะวงระหว่างประตูกับศึกด่านสุดท้ายในหน้าจอ 

    และเขาเลือกกลับไปยังหน้าจอ แต่ด้วยความรีบร้อนทำให้วางมือลงแป้นพิมพ์อีกครั้งกลายเป็นวางผิดตำแหน่ง

    “ซวยล่ะ! จะเข้าไปตายหรือยังไง? ออกไปสิเว้ย!” เขาจะกดปุ่มถอยแต่กลายเป็นเข้าไปยังระยะการโจมตีของบอสแทนจนเผลอตวาดเสียงออกมาดังลั่น

    “กูไม่เข้าไปตาย! แต่จะเอาให้เอ็งตายนั่นแหละ!” เสียงแม่ดังสนั่นอยู่ข้างหลังเขา มือเท้าเอวทำหน้าปั้นบึ้งสุดขีด ไม่รู้ว่าบานประตูถูกเปิดอ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ ยามนี้มันเอียงผิดรูปออกจากกรอบเสียแล้ว

    “แม่! ผม!”

    หมอนอิงพุ่งเข้ามาปะทะหน้าเขาอย่างแรง

    “วันๆ งานการไม่ยอมไปหาสมัครทำ มัวแต่จ้องหน้าจอ ตั้งแต่เรียนจบมาเอ็งหาเงินเข้าบ้านบ้างไหม!?”

    “แม่ก็..ผมกำลังลงหาสมัครอยู่ ใจเย็นๆสิ เดี๋ยวได้เงินมาผมยกให้แม่พันหนึ่งเลย”

    “พันหนึ่ง? แล้วตอนนี้ได้งานหรือยัง?” 

    “ยังครับ” ชายหนุ่มยิ้มเจื่อนออกไป

    “ขอสักทีเถอะ! ฉันได้ยินแกพูดแบบนี้เป็นร้อยครั้งแล้ว ปีกว่าแล้วก็ยังจะพูดแบบนี้อีก!” ผู้เป็นแม่เงื้อฝ่ามือหนาอวบหวดตีลงบนตัวลูกชายดังป๊าบใหญ่

    “โอ๊ยๆ แม่หยุดก่อน ผมเสร็จจากตรงนี้ผมจะรีบแต่งตัวไปหางานหาเงินให้แม่จริงๆเลย” 

    เสียงดังขึ้นที่หน้าจอพร้อมตัวหนังสือสีแดงปรากฎขึ้น “ภารกิจล้มเหลว โปรดลองเพิ่มค่าความแข็งแกร่งหรืออาวุธแล้วลองใหม่อีกครั้ง”

    “แม่! ผมตายแล้วเห็นไหม?” ชายหนุ่มร้องโอดครวญออกมา เขาเสียดายกว่าจะบุกผ่านด่านเข้ามาถึงบอสตัวสุดท้ายได้

    “ตาย? อะไร? ตีแค่นี้ทำมาจะตาย ตัวโตยังกับหมีควาย ไม่มีความอดทนเสียเลย” ผู้เป็นมารดาอดไม่ได้ที่จะต่อว่าอย่างเจ็บแสบ

    “ก็ผมไม่ได้หมายถึงแม่ ผมหมายถึงที่ผมกำลังเล่นอยู่ ผมอุตส่าห์รบและฝ่าฟันผู้ร้ายจนจะเอาชนะหัวหน้ามันได้อยู่แล้วถ้าแม่ไม่มาขัดเสียก่อน”

    หญิงกลางคนมองไปตามนิ้วที่ลูกชายชี้ไปยังหน้าจอ รูปทหารมากมายถืออาวุธสงครามครบมืออยู่ล้อมรอบรถถังและเครื่องบินขับไล่ ใบหน้าอ้วนกลมพยักน้อยๆทำทีเข้าใจ

    “แกชอบสู้รบใช่ไหม? ดีเลย! รีบไปจัดกระเป๋าเก็บข้าวของให้เรียบร้อย” น้ำเสียงอ่อนลงของมารดาแต่ก็ยังเต็มไปด้วยความโกรธอยู่ ทำให้เขานึกสงสัยกับคำสั่งของแม่

    “แม่จะไล่ผมออกจากบ้านเลยเหรอ? แม่ผมขอโทษ ผมจะออกไปหางานทำแล้ว ผมไม่จมอยู่กับหน้าจออีก” ลูกชายรีบเข้าไปสวมกอดร่างอวบอ้วนของแม่ตัวเองพร้อมทำเสียงอ้อนทันที เขาหวังจะใช้ลูกไม้นี้เช่นเดิม แต่พอเห็นสีหน้าแม่ที่เคร่งเครียดใจเขานึกกลัวขึ้นมาทันใด

    “ไม่ใช่! แม่จะให้แกไปรายงานตัวกับค่ายทหาร แกไม่ต้องมารบในหน้าจอนี้อีกแล้ว เพราะตอนนี้ทางการประกาศแจ้งระดมคน ทีนี้นึกไม่อยากรบก็ปฎิเสธไม่ได้หรอก แล้วแกก็จะได้ไปสัมผัสของจริงเลย ไม่ดีเหรอ?” น้ำเสียงของแม่ช่วงสุดท้ายเหมือนเอ่ยประชด แต่สายตาที่มองมาสั่นไหวเล็กน้อย

    “แม่พูดจริงเหรอ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามย้ำอีกครั้ง เพราะคิดว่าแม่ขู่เขาเล่น

    แต่ความเงียบที่ตอบมาพร้อมใบหน้าที่จริงจังบ่งบอกว่าคือเรื่องจริง

    “ครั้งนี้หวังว่าเจ้าจะตั้งใจเหมือนอย่างที่ทำอยู่ทุกวี่ทุกวันในห้องเป็นปีแล้วกัน แล้วฆ่าบอสรอดกลับมาบ้านให้ได้ล่ะ” ร่างอวบอ้วนเดินเอ่ยหันหลังออกจากห้องไปอย่างช้าๆ  ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเรียกแม่อีกครั้ง แต่ไม่ทันอ้าปากก็ถูกขัดขึ้นมาเสียก่อน

    “อ่อ! รอดหลับมาก็อย่ามามือเปล่าล่ะ! เอาเงินมาแบ่งให้แม่ด้วย ไม่งั้นแกก็ไม่ต้องเข้าบ้านมาอีก”

    คราวนี้ชายหนุ่มถึงกลับอ้าปากค้างมองหลังของแม่ลับหายไปจากห้อง ไม่นานก็ได้ยินเสียงทีวีดังอีกครั้ง

    “ติงๆจ๊ะ ติงๆจ๊ะ” เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เป็นเพื่อนของเขา

    “มีอะไรวะ?”

    “เฮ้ย! โจฮาล ประกาศเรียกระดมพลทหารมาแล้ว รีบเตรียมตัวเร็วเข้าแล้วไปเจอกันที่หน้าค่าย”

    “เฮ้ย! คาเตอร์ นี่จริงเหรอวะที่มีการเรียกพลทหาร? กูนึกว่า..”

    “เอ็งไปหลบอยู่ไหนมา? รีบมาเร็ว หากโดนหมายเรียกตามถึงบ้านจะโดนปรับเอานะเว้ย!”

    “ตู๊ดๆๆ” เสียงโทรศัพท์ขาดหายไป โจฮาลตัวค้างแข็งกับที่ เขาต้องออกไปรบจริงๆใช่ไหม?

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×