ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Hazy World โลกทะลุเดือด เชือดไม่เลี้ยง

    ลำดับตอนที่ #4 : ทะเลทราย#3

    • อัปเดตล่าสุด 19 ธ.ค. 66


    ชายหนุ่มลังเลว่าจะเดินลงเนินไปดูดีไหม เพราะระยะทางค่อนข้างไกลจากรถบ้านเกือบหนึ่งกิโลเมตร เขาสองจิตสองใจอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็กระชับเสื้อทหารของเขาแน่น ยกคอเสื้อยืดขึ้นมาปิดปากจมูกฝ่ากระแสลมหมุนที่พัดเอาเม็ดทรายลอยฟุ้งเป็นระลอกพร้อมกับคลื่นความร้อน

    เขาค่อยๆไถลตัวลงเนินทรายไปอย่างช้าๆสายตากวาดดูการเคลื่อนไหวบริเวณโดยรอบตัวรถ เขาชักมีดออกมากำไว้ในมือแน่นย่องไปใกล้ตัวรถ เมื่อเขามองผ่านกระจกที่ขุ่นมัวก็ไม่พบเห็นใคร เขาเปิดประตูรถฝั่งคนขับออก แต่บานประตูเปิดอ้าได้เพียงคืบเดียวเท่านั้น เหมือนมีอะไรขัดไว้ เขาจึงง้างออกสุดแรง

    “แกร้งๆ” เสียงบานประตูขยับไหวไปมา แต่ไม่มีทีท่าจะเปิดกว้าง สุดท้ายเขาเลือกไปยังบานอื่นแทน

    “ล๊อค! นี่ก็ล๊อค! แล้วบานนี้..เปิดได้!” เสียงโจฮาลเอ่ยขึ้นทุกครั้งที่เปิดประตูจนกระทั่งบานสุดท้ายเมื่อได้ยินเสียงแกร๊กเขาถึงกับดีใจ

    ประตูฝั่งข้างคนขับเปิดออกตามแรงดึง เมื่อโจฮาลเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน เขาก็ต้องผวาถอยห่างออกมาทันที ศพของผู้หญิงนอนตายอยู่บนที่นั่งคนขับ เนื่องจากเบาะถูกเอนลงจนสุดทำให้เขามองไม่เห็นในตอนแรก

    โจฮาลไล่สายตาดูสภาพศพ มือปิดกุมจมูกแน่น ผู้หญิงคนนี้น่าจะตายไม่เกินวันสองวันมาแล้ว สภาพศพซีดขาวจนเขียวและแข็งทื่อ ตัวเริ่มอืดบวมส่งกลิ่นเหม็น ชายหนุ่มเริ่มลังเลคิดว่าจะทำยังไงต่อ เขาเห็นลิ้นชักรถตรงหน้าศพ อยากเปิดออกดูแต่ก็กลัวว่าศพจะฟื้นขึ้นมาทำร้ายเขา ช่วงนี้เขาเต็มไปด้วยความระแวงจนหลอน

    “ไปดูบานอื่นก่อนก็ได้” เขายอมถอยก่อน แล้วเดินอ้อมไปอีกด้าน มองหาก้อนหินที่พอดีมือแล้วทุบไปยังกระจกของประตูที่ถูกล๊อคไว้

    “ปึงๆ ปึงๆ เพล๊ง!” กระจกแตกออกแต่ไม่ร่วงหล่นมาทั้งหมด เขาจึงใช้สันมีดเคาะกระจกออกพอที่จะเอื้อมไปปลดอ๊อคประตูจากด้านใน

    ที่นั่งโดยสารด้านหลังมีกระเป๋าเดินทางขนาดกลางสองใบอยู่ ตาชั้นเดียวของเขาตวัดไปที่ศพหญิงสาวทันที

    “มีสองคน? แล้วอีกคนหายไปไหน!?”

    “พลั่ก!”

    วินาทีที่เขากำลังครุ่นคิดก็มีสิ่งหนึ่งผลักเขาล้มลงไปกับพื้นทรายทันที สติของโจฮาลแตกกระเจิง เขาใข้มือข้างหนึ่งค้ำยันมันเอาไว้สุดแรง อีกข้างควานหามืดที่หลุดมือ สายตาจับจ้องไปยังชายผู้หนึ่งที่ขึ้นคร่อมบนตัวเขา

    “แฮร่! แฮร่!” เสียงร้องอย่างคลุ้มคลั่งของชายที่กำลังโจมตีด้วยการใช้ปากไล่กัดโจฮาลสลับกับเสียงกระทบกันของฟันดังกึกๆทุกครั้งที่กัดโดนอากาศ

    โจฮาลคิดในใจว่าตัวเองไม่น่าเอ่ยถึงเลย พูดถึงไม่ทันไรเจ้าตัวก็โผล่มาแล้ว เขามองไปยังชายที่จู่โจมเขาซึ่งยามนี้เป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว สภาพเขายังดีกว่าซอมบี้เจ้าหน้าที่ทหารก่อนหน้านี้ ทำให้โจฮาลไม่ตื่นกลัวเท่าไหร่นัก เมื่อตั้งสติได้ก็ดันให้ตัวซอมบี้ออกห่างช่วงหนึ่งเขาจึงใช้เท้าถีบยันมันออกไป

    ทันทีที่ได้จังหวะเขารีบลุกขึ้นและมองหามีดพก ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับซอมบี้ที่ถูกเตะออกพุ่งเข้าหาเขาอีกครั้ง ไม่รอช้าเขาจับมีดแน่นทั้งสองมือเงี้ยงขึ้นเหนือศีรษะและใช้แรงทั้งหมดปักมีดเข้ากลางหน้าผากซอมบี้จนเกือบมิดด้าม

    “ฉึก!”

    ร่างซอมบี้หงายหลังล้มลงผืนทรายทันที แต่โจฮาลยังไม่ผลุนผลันเข้าไป เขาต้องดูว่ามันตายสนิทแล้ว หากคาดเดาได้ถูกต้อง การโจมตีที่หัวจะทำให้มันไม่ฟื้นขึนมาอีก

    “แฮ่กๆ” เสียงหอบจนตัวโยน โจฮาลมองไปรอบๆ เพื่อดูว่ายังมีซอมบี้ตัวอื่นอีกหรือไม่ ตอนนี้เขารู้สึกว่าการลงมาที่นี่เป็นความคิดที่ไม่ฉลาดสักเท่าใดนัก

    เมื่อเห็นว่าไม่มีวี่แววว่าซอมบี้ตัวนี้จะลุกขึ้นมาอีก เขาก็เดินเข้าไปดึงมีดพกออกมาอย่างพะอืดพะอม

    “แค่กๆ น่าขยะแขยงชะมัด จะต้องเจอแบบนี้ไปตลอดเลยเหรอไง?” ชายหนุ่มบ่นพึมพำพยายามไม่มองไปยังศพชายผู้ที่เป็นซอมบี้ มือก็ถูมีดลงกับผืนทรายเพื่อเช็ดคราบเลือดและสิ่งสีขาวออกจากมีดซึ่งก็คือคราบสมอง

    จากนั้น เขาเดินกลับไปที่รถ ดึงเอากระเป๋าเดินทางออกมารื้อค้นดู และในที่สุดเขาก็ค้นพบสิ่งหนึ่งที่คุ้มค่ากับการมาที่นี่ เมื่อเห็นกระเป๋าถือพกพาใบเล็กที่ข้างในอัดเต็มไปด้วยยาและอุปกรณ์ทำแผล โจฮาลยิ้มกว้างจนเต็มใบหน้าตัวเอง เขาไม่ตายเพราะแผลติดเชื้อแล้ว

    ชายหนุ่มจัดแยกข้าวของที่จำเป็นใส่ไว้ในกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบ ก่อนจะทำใจเดินไปยังที่นั่งข้างคนขับที่มีศพอยู่

    “ขอโทษนะ” เขาเอ่ยขึ้นก่อนที่จะใช้มือที่สวมถุงมือยางที่ได้จากกระเป๋าเดินทางดึงกระชากศพของผู้หญิงลงจากรถอย่างแรง แล้วลากศพออกไปให้ห่างตัวรถช่วงหนึ่งที่คิดว่าปลอดภัย หากศพนี้กลายเป็นซอมบี้ขึ้นมาเขาก็สามารถหลบทันได้

    จากนั้นก็ได้เวลาสำรวจรถ เขาค้นดูลิ้นชักรถพบกับสมุดบันทึกเล่มหนึ่งกับกองเอกสาร ใบหน้าฉายแววผิดหวังเล็กน้อยก่อนกระแทกฝาปิดลง

    “แคร่ก” เสียงหนึ่งดังขึ้นใต้ลิ้นชักเรียกความสนใจให้เขาก้มตัวไปดู เขามองเห็นแผ่นเทปหลุดออกมาเส้นหนึ่งจึงอดไม่ได้ที่จะไปดึงมัน

    “ตุ๊บ!” ปืนพกกระบอกหนึ่งร่วงหล่นลงมา โจฮาลอึ้งครู่หนึ่งก่อยเผยรอยยิ้มกว้าง

    “นี่สิของดี” น้ำหนักของมันพอๆ กับกระบอกก่อนหน้านี้ เมื่อเช็ดดูกระสุน...

    “อะไรวะ มีแต่ปืน! แล้วลูกกระสุนมีไหน?” เขาร้องโอดครวญออกมาอย่างอ่อนแรง ก่อนลงมือรื้อค้นไปทั่วรถแต่ก็ไม่พบอะไร แม้แต่กระโปรงท้ายรถก็มีแค่ไม้เบสบอลกับลูกเบสบอล รองเท้ากีฬาสำหรับเล่นกีฬาสองคู่ และขวดน้ำแร่สองขวดซึ่งเป็นของดีทีเดียว แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เขาตามหาเลยทำให้เขาไม่เบิกบานใจเท่าไหร่นัก

    เขากลับเข้าไปนั่งในรถพักเอาแรงเพื่อปีนเนินทรายกลับขึ้นไปพร้อมกระเป๋าเดินทาง เขากวาดสายตาไปทั่วรถเพื่อดูว่าพลาดตรงไหนไปบ้าง เมื่อมองออกไปด้านนอกก็เห็นศพผู้หญิงนอนอยู่ เขารี่ตาดูบนศพก็พบคราบเลือด พอไล่สายตาย้อนรอยหยดคราบเลือดที่อยู่บนเสื้อผ้าของเธอ เขาก็เห็นรอยกระสุน ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สังเกตดี เธอใส่เสื้อยืดสีชมพูเข้มจึงไม่เห็นชัด

    “เธอถูกยิงตาย! หรือว่ากระสุนอยู่บนตัวของผู้ชาย” โจฮาลหันไปมองศพผู้ชายครู่หนึ่งแล้วลุกออกจากตัวรถ

    “!?”

    แสงสะท้อนออกมาจากมุมหนึ่งใต้พื้นเท้าคนขับกระทบกับสายตาเขาแล้วหายไป โจฮาลสงสัยกลับเข้าไปใหม่และทำทางออกจากรถอีกครั้ง คราวนี้แสงสะท้อนสาดเข้าตาเขาเต็มๆ เมื่อเขาหยุดตัวค้างเพ่งตาดูก็พบว่ามันอยู่ในกล่องสีแดง

    เขาโน้มตัวมุดเข้าไปก็พบว่ามันคือกล่องกระสุน ตัวกล่องซุกเข้ากับบานพับของประตู ทุกครั้งที่บานประตูขยับจะหนีบกล่องกระสุนที่อยู่ข้างใน โจฮาลเห็นดังนั้นก็เหงื่อตก หากเขายังดื้อจะเปิดมันให้ได้ก่อนหน้านี้มันจะเกิดอะไรขึ้น

    ในเมื่อเขาไม่สามารถทำอะไรกับประตูเพื่อเอากล่องกระสุนออกมาได้ทั้งกล่อง เขาเลยค่อยๆ แงะกระสุนออกมาทีละนัดอย่างใจเย็นท่ามกลางอุณหภูมิที่สูงขึ้นในรถจนแทบจะกลายเป็นเตาอบ เหงื่อไหลจนเปียกชุ่มกาย

    “โอ๊ย! ไม่ไหวแล้ว เอาเท่านี้แล้วกัน!” เขากวาดกระสุนที่ได้ลงในกระเป๋าเสื้ออย่างรวดเร็วแล้วออกจากตัวรถ เหมือนว่าบานประตูจะเปิดอ้าออกได้เกือบครึ่งบานแล้วแต่เขาไม่อยากยุ่งกับมันอีก สองมือคว้ากระเป๋าเดินทางและถุงผ้าที่ได้เพิ่มจากท้ายกระโปรงรถปีนกลับขึ้นเนินไปยังรถบ้านข้างแอ่งน้ำตามเดิม

    เห็นทีคืนนี้เขาต้องพักที่นั่นอีกครั้ง

    เช้าวันใหม่มาถึง โจฮาลตรวจสัมภาระอีกครั้งก่อนออกเดินทาง วันนี้เขารู้สึกดีขึ้นกว่าวันก่อนเพราะยาที่ได้มาทำให้แผลเขาไม่บวมและปวดมากนัก เขาเช็คเข็มทิศในมืออีกครั้งก่อนก้าวเดินออกจากสถานที่แห่งนี้มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่จะออกจากเขตทะเลทรายให้เร็วที่สุด

    เขากระชับผ้าปิดคลุมใบหน้าเหลือเพียงแค่ตาชั้นเดียวของเขาคู่หนึ่งโผล่ออกมาให้แน่นและกวาดตามองไปยังผืนดินสีส้มอมน้ำตาลที่ไกลสุดจนลับตาแล้วก้าวเท้าฝ่าสายลมที่เริ่มอุ่นร้อนพัดผ่านตัวเขา ไม่รู้เขาคิดไปเองหรือเปล่าว่าลมวันนี้มันแรงขึ้นกว่าเดิม

    เส้นทางเกือบห้ากิโลเมตรชายหนุ่มเดินลากขาสองข้างของตนอย่างเหนื่อยอ่อน แม้จะหยุดพักบ้างแต่ความเมื่อยล้าไม่ได้หายไปเลย ความร้อนของผืนทรายยิ่งเร่งให้พลังกายของเขาลดลงเรื่อยๆ

    “ครืนๆ” เสียงฟ้าร้องลั่นไม่ไกลออกไป โจฮาลหันกลับไปดู

    “พระเจ้าช่วย! พายุฝนกำลังมา” เขาร้องขึ้นอย่างตื่นตระหนก เมื่อเห็นฟ้าที่มืดมิดไม่ไกลจากที่เขายืนอยู่ เขาหันกลับไปยังเส้นทางตรงหน้าที่ยังคงทิวทัศน์เช่นเดิม ตอนนี้เขาพะว้าพะวงว่าจะหาที่หลบฝนได้ทันหรือไม่ ฝนไม่เท่าไหร่แต่สิ่งที่เป็นเส้นสายลงมาเขาไม่ชอบมันเสียเลย

    “เปรี้ยงๆ ครืนๆ” ไม่ทันไรเสียงสายฟ้าฟาดก็ดังขึ้น เหมือนหยอกล้อกับความรู้สึกในใจของโจฮาล

    โจฮาลสับเท้าเดินให้เร็วขึ้น เขาหวังว่าพายุฝนจะไม่มาทางเขา จนกระทั่งเม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมา เขาก็ยังมองไม่เห็นสิ่งใดที่ใช้หลบฝนได้ 

    เมื่อตัวเปียกรวมถึงกระเป๋าน้ำหนักก็เริ่มเพิ่มขึ้น โจฮาลกัดฟันเดินฝ่าสายฝนที่ตกลงมา เสียงฟ้าร้องลั่นมาถึงเหนือหัวเขาแล้วยามนี้

    “ซ่าๆ ครืนๆ” สายฝนเทลงมาหนักมากขึ้น ฟ้าแลบไปมาส่องสว่างเจิดจ้าไปทั่วทิศทาง ร่างของเขาเกร็งทุกครั้งที่ได้ยินเสียงฟ้าลั่นเปรี๊ยะพร้อมกับสายฟ้าที่ฟาดลงมา

    ม่านสายฝนหนาขึ้นมองแทบไม่เห็นทางข้างหน้าแล้ว เขายกมือขึ้นปาดน้ำบนหน้าและย่ำลงบนผืนทรายที่ตอนนี้ราวกับดินโคลน

    เสียงสั่นของผืนดินสะท้อนขึ้นมาจากฝ่าเท้า โจฮาลตาเบิกกว้างมองไปรอบๆอย่างแตกตื่น

    ไม่ผิดแน่มันคือน้ำหลากที่กำลังเคลื่อนที่และมันมาทางไหนกัน?  เขามองหาพื้นที่สูงที่สุดเท่าที่มองเห็นก่อนรีบย่ำเท้าขึ้นไปหวังว่าคงหลบพ้น

    ยามนี้ความหนาวเย็นแผ่ซ่านเข้าถึงในกระดูก ตัวเขาหนาวสั่นจนฟันแทบกระทบกัน เขายอมรับเลยว่าพื้นที่ทะเลทรายอากาศค่อนข้างแปรปรวนจริงๆ

    “เหวอ!” จู่ๆตัวเขาก็ถูกผลักให้ลื่นไถลไปกับพื้น คลื่นน้ำสีน้ำตาลไม่ทราบว่าโผล่มาทางใดซัดกระแทกเอาร่างสูงใหญ่ของโจฮาลให้ไหลไปกับมัน เขาพยายามฉุดลากตัวเองขึ้นจากกระแสน้ำที่เชี่ยวกราด มองหาเนินสูงอย่างร้อนรน

    เขามั่นใจว่าที่เขายืนอยู่สูงแล้วแต่ก็ยังโดนคลื่นน้ำหลากพัดเอาจนได้ สองแขนพยุงไม่ให้จมไปกับโคลนทรายค่อยๆดันตัวไปด้านข้าง แต่ล้มลุกคลุกคลานอยู่นานก็ไร้วี่แววว่าจะหลุดออกจากความเกรี้ยวกราดของสายน้ำหลากนี้ไปได้ จนกระทั่งเขาเห็นกอหญ้าด้านหน้า จึงไถลตัวไปและยึดจับมันไว้แน่น

    “แฮ่กๆ” เสียงหอบหายใจอย่างหนัก เขาแทบจะหมดเรี่ยวแรงแล้ว เขามองขึ้นไปท้องฟ้าที่มืดครึ้ม มันไม่มีวี่แววว่าจะหยุดเลย มองไปรอบๆก็เห็นแต่เพียงม่านฝน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×