คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ทะเลทราย#2
ลำคอที่แห้งฝาดยากจะกลืนน้ำลายลงไปทุกที เขาไม่มีเวลาลังเลแล้ว หลังจากเก็บข้าวของเข้าที่เสร็จ ก่อนออกจากหลังก้อนหินเขามองไปยังสองฟากฝั่งของถนนอย่างระมัดระวังแล้วจ้ำอ้าวออกไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาเริ่มกลัวการพบผู้คนเสียแล้ว
เมื่อข้ามไปอีกฝั่ง เขาก็พบเจอสิ่งหนึ่งอยู่ห่างออกจากริมถนนไปไม่มากตกอยู่ มันเป็นถุงขยะใบเล็กสองสามถุงที่น่าจะถูกเหวี่ยงทิ้งออกจากรถตกกระจัดกระจายไปคนละทิศทาง ไม่รอช้าสองเท้าของโจฮาลรีบเข้าไปดู เขาหวังว่าจะพบขวดน้ำที่กินเหลือ
ถุงแรกเขาไม่พบอะไรที่เป็นประโยชน์ ถุงที่สองไร้ขวดน้ำแต่มีกระป๋องเบียร์สองกระป๋องที่บุบบี้ กับซองขนมคบเคี้ยวที่เกลี้ยงถุง
“กินจนหมดเลยเหรอ ก็สมควร ยุคนี้จะกินทิ้งกินขว้างได้ไงเงินทองยิ่งหายากอยู่” เขาบ่นพึมพำกับตนเอง ก่อนไปพุ่งความหวังกับถุงสุดท้ายที่ค่อนข้างหนัก ดวงตาเขาเริ่มมีความหวังขึ้นมา
“อะไรเอ่ย ดูหน่อยซิ!? ...ให้ตายเถอะ!” เมื่อมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านเขาอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา ในนั้นไม่มีน้ำแต่เป็นเปลือกผลไม้
โจฮาลทำใจสักครู่กับความผิดหวัง ก่อนจะเทมันออก
เศษเปลือกผลไม้มากมายหล่นออกมา แต่มีสิ่งหนึ่งทำให้เขาตาลุกวาว
“แอบเปิ้ล!” ผลสีแดงที่มีรอยสีน้ำตาลขึ้นเป็นวงๆ บ่งบอกว่ามันเริ่มเน่าเสียแล้ว แต่โจฮาลไม่สนใจ เขาหยิบมันขึ้นมาทั้งหมดที่เห็น ตอนนี้เขาหิวกระหายมากจนบดบังความคิดรักษาอนามัยไปจนหมด
เขาได้มันมาห้าลูก เก็บมันใส่ไว้ในถุงดำอีกครั้งแล้วหันซ้ายขวาเพื่อหามุมหลบแดดและบดบังสายตาจากคน สุดท้ายก็เลือกร่มเงาของต้นกระบองเพชรใหญ่ต้นหนึ่งที่ห่างไกลจากถนน
ลูกแอปเปิ้ลห้าลูกถูกนำออกมาอีกครั้ง เขาจัดการปลอกเปลือกและตัดเอาส่วนที่เน่าทิ้ง เขาเลือกกินส่วนที่ยังดีอยู่ น้ำจากในผลไม้สีแดงหวานชุ่มเข้าในลำคอทำให้เขามีความสุขแทบตัวลอย โจฮาลไม่คิดว่าชีวิตตัวเองจะลำบากขนาดนี้ แต่เพื่อความอยู่รอด เขาจะเลือกมากไม่ได้
หลังจากกำจัดผลแอปเปิ้ลทั้งห้าลูกลงท้องทั้งหมด เขาก็ออกเดินทางต่อ ตลอดระยะทางเขาเปิดแผนที่สลับกับดูเข็มทิศไปด้วย เขาไม่คิดว่าความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาตอนเข้าเกณฑ์ทหารจะได้ถูกนำมาใช้จริง เมื่อเห็นว่าจุดดังกล่าวอยู่ข้างหน้าอีกไม่ไกล ประกอบกับดวงอาทิตย์เริ่มย้อยต่ำใกล้ขอบฟ้า เขาจึงรีบก้าวเท้าอย่างรวดเร็ว
พอใกล้ถึงเขาอยากโห่ร้องให้ดังๆ เมื่อเห็นแสงระยิบระยับเป็นประกายอยู่ข้างหน้า
“ไม่ขาดน้ำตายแล้วโว้ย!”
มันคือแอ่งน้ำขนาดใหญ่กินพื้นที่กว้างเกือบสองไร่แทบคล้ายทะเลสาบขนาดเล็ก รอบแอ่งมีต้นไม้พุ่มสีเขียว และต้นมะพร้าวสูงสองสามต้นอยู่ล้อมรอบ สถานที่แห่งนี้เหมือนโอเอซิสกลางทะเลทราย
เมื่อเข้าใกล้แอ่งน้ำ โจฮาลชะลอฝีเท้าตัวเองลงทันที กวาดตามองโดยรอบอย่างระแวง เขาได้ยินมาว่าตามแหล่งน้ำธรรมชาติมักมีสัตว์ร้ายซุ่มโจมตีเหยื่อที่เข้ามาดื่มน้ำ แต่แล้วเขาก็สังเกตเห็นสิ่งหนึ่งหลังพุ่มไม้ฝั่งตรงข้าม มันไม่ใช่สัตว์ร้ายแต่เป็นสิ่งที่คุ้นตาเขามาก และทำให้เขาเกิดความลังเลสงสัยว่าที่นี่จะปลอดภัยสำหรับเขาไหมหรือว่าเขาควรรีบตักน้ำและออกไปจากที่นี่?
หลังพุ่มไม้มีรถบ้านสีขาวคันหนึ่งจอดอยู่ หลังจากกวักน้ำในแอ่งน้ำมาจิบให้หายคอแห้งแล้ว โจฮาลก็ค่อยๆก้าวย่องไปทางรถบ้าน หูฟังเสียงเคลื่อนไหวรอบตัวไปตลอดทาง เขาต้องการแอบไปดูลาดเลาก่อน หากเจอคนดีเขาคงขอร้องให้ช่วยพากลับเข้าเมืองแต่หากเป็นคนไม่ดีอย่างน้อยเขาจะได้ถอยหนีได้ทัน
สายลมเย็นๆเริ่มพัดเอื่อยผ่านพร้อมกับอุณภูมิที่ลดลงกะทันหัน ร่างของชายหนุ่มที่เร้นกายอยู่ในพงหญ้าถึงกับหนาวสั่นไปทั้งตัว โจฮาลดักซุ่มสังเกตการเคลื่อนไหวของรถบ้านที่อยู่เบื้องหน้าเขามาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว เขาดูนาฬิกาบนข้อมือมันบ่งบอกว่าตอนนี้เกือบสองทุ่มอีกไม่นานตะวันคงลาลับขอบฟ้า ถึงตอนนั้นถ้าเขาหาที่หลบความหนาวเย็นไม่ได้ ตัวเขาต้องแข็งตายอย่างแน่นอน
จดจ้องอยู่สักพักหนึ่ง ทุกอย่างยังเงียบกริบไร้การเคลื่อนไหวใดๆ แต่สาเหตุที่เขาลังเลก็คือ สภาพของกองไฟ ข้าวของและโต๊ะเก้าอี้ที่อยู่ด้านนอกพึ่งถูกผ่านการใช้งานมาไม่นานนี้ หากที่นี้เป็นที่ซ่อนตัวของพวกก่อการร้าย เขาคงไม่รอดแต่ถ้าหากอยู่ข้างนอกในคืนนี้เขาก็ไม่รอดเช่นกัน
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะบุกเข้าไป ร่างอวบอ้วนสูงใหญ่ของเขาก้มตัวย่องเข้าไปใกล้ประตูรถบ้าน มือถือมืดพกทหารไว้แน่น ใช้มืออีกข้างเปิดกลอนประตู
“แกร่ก!” เสียงประตูเปิดออก มันไม่ได้ล็อค
ข้างในรถบ้านค่อนข้างมืดกว่าด้านนอก เขาเพ่งสายตามองไปทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา ด้านขวาคือห้องน้ำ อีกด้านคือทางไปห้องนอนซึ่งมีผ้าม่านปิดอยู่ โจฮาลนิ่งเงียบสักครู่เพื่อฟังเสียงการเคลื่อนไหวรอบกายอีกครั้งและลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากก่อนที่จะขยับไปข้างหน้าหนึ่งก้าว สองก้าว ทุกย่างก้าวใจเขาเต้นตึกตักโครมคราม สมองเขาเริ่มคิดฟุ้งซ่าน ถ้าเกิดมีคนอยู่ข้างใน เขาจะเลือกฆ่าหรือเจรจากับอีกฝ่าย
มือเขากระชากผ้าม่านให้เปิดออกทันที แล้วถอยห่างเพื่อตั้งหลัก มืดพกทหารถือจ่อไปข้างหน้าแบบเตรียมพร้อมสู้ แต่...ก็พบว่าในห้องว่างเปล่าไม่มีใคร
“พู่ววว! บ้าเอ้ย!” โจฮาลถอนหายใจอย่างแรงก่อนที่จะสบถออกมาเบาๆ เขาสำรวจด้านในจนทั่ว แม้ว่าตอนนี้เขาจะโล่งอกแต่ก็ยังหวาดระแวงอยู่ดี
“แล้วคนหายไปไหน?” เขาออกมาจากรถบ้าน ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ท้องฟ้าสีครามเผยให้เห็นดวงดาวระยิบระยับ ในมือหยิบไฟฉายออกมาจากกระเป๋าเป้สาดส่องดูรอบๆเพื่อให้มั่นใจอีกครั้งว่าที่นี่ปลอดภัยจริงๆ เขายอมรับว่าเขาเป็นคนคิดมากและขี้ขลาดคนหนึ่ง ถ้าให้ทำอะไรที่มีโอกาสสำเร็จแค่60% เขาก็จะล้มเลิกทันทีหรือไม่คิดจะแตะต้องมัน
เมื่อไม่พบสิ่งใดแม้แต่สิ่งมีชีวิต เขาจึงนั่งลงก่อกองไฟ และทำอาหารเติมเต็มท้องที่ว่าง พอท้องอิ่มบวกกับความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวัน ความง่วงก็เข้าจู่โจมโจฮาล หลังจากทำแผลที่ขาเสร็จเรียบร้อย เขาก็ล้มตัวนอนหลับไปในทันทียาวนานจนกระทั่งแสงแดดส่องลอดเข้าบานหน้าต่างกระทบใบหน้าของเขา
โจฮาลส่งเสียงครางในคอทีหนึ่งอย่างหงุดหงิด ก่อนที่จะเบือนหน้าหลบแสงที่แหยงตาไปทางอื่น
“แม่! ผมยังง่วงอยู่ จะรีบเปิดหน้าต่างทำไม!?”
แม้เขาจะบ่นไปอย่างนั้น และรู้ว่าสุดท้ายเขาต้องตื่นอยู่ดีเพราะเสียงแปดหลอดของแม่เขาจะตะเบ็งเข้าหูเขาอย่างเช่นทุกที แต่ทุกอย่างกลับเงียบเชียบ วันนี้ทำไมแม่ถึงไม่ด่าเขาล่ะ?
ตาชั้นเดียวของเขาพลันเบิกกว้างทันทีก่อนจะพรวดพราดลุกขึ้นมองไปรอบๆ จึงรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนของเขา
“ให้ตายเถอะ ในที่สุดมันก็ไม่ใช่ความฝัน” โจฮาลถอดถอนใจออกมาอย่างปวดใจ ตอนนี้เขาคิดถึงเสียงแม่เขาเหลือเกิน ทำไมก่อนหน้านี้เขาถึงรู้สึกว่ามันน่ารำคาญ ตาของเขาเริ่มชุ่มน้ำและแดงก่ำ ตอนนี้เขาอยากกลับบ้านแล้ว แล้วแม่ของเขาตอนนี้ทำอะไรอยู่ ยังนั่งบ่นอยู่หน้าจอทีวีอยู่หรือเปล่า?
“จริงสิ!” โจฮาลขนลุกขึ้นมาทันที เมื่อเขาคิดถึงสิ่งที่เขาเจอก่อนหน้านี้ ซอมบี้และเหล่าผู้ก่อการร้าย! พวกมันจะไปถึงเมืองที่เขาอยู่ไหม?
สองมือรีบค้นหาแผ่นที่ เมื่อเปิดกางดูก็พบว่าพื้นที่ตรงที่เขาอยู่กับเมืองของเขาห่างไกลหลายร้อยกิโลเมตร เขาถึงโล่งใจนั่งลงบนเตียงก่อนจะย่นจมูกเมื่อมีกลิ่นเหม็นสาปเปรี้ยวฉุนกึกลอยมา
“กลิ่นบ้าอะไรวะเนี่ย!?” เขารีบลุกออกจากรถบ้านทันที แต่กลิ่นก็ยังตามติดตัวเขาไม่จาง พอเขายกมือขึ้นปิดจมูกกลิ่นยิ่งเหม็นมากขึ้นไปอีก ถึงคราวนี้เขาก้มมองตัวเองถึงได้รู้กลิ่นพวกนั้นมาจากไหน
เมื่อวานเขาเหนื่อยมากนอนหลับไปทันที เขาไม่มีแรงแม้จะถอดเสื้อหรือชำระล้างตัว ซึ่งแน่นอนกลิ่นต่างๆที่หมักหมมบนตัวเขาทั้งคราบไคลและเลือดยามนี้ล้วนส่งกลิ่นออกมาให้คลื่นเหียนอาเจียน
“ตูม!” ร่างของชายหนุ่มกระโดดลงน้ำไปทั้งอย่างนั้น
อากาศตอนนี้เริ่มร้อนขึ้นแล้ว ทำให้น้ำในแอ่งไม่ถึงกับเย็นจัดแต่ก็ยังทำให้หนาวจนปากสั่นกระทบกัน โจฮาลรีบชำระล้างตัวเขาและซักเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ ชุดทหารของเขาแม้จะฉีกขาดจนมีรูโบ๋วและหลุดรุ่ยไปหลายแห่ง แต่ด้วยความหนาของมันที่ช่วยกันไอร้อนและความหนาวได้เขายังต้องเก็บมันเอาไว้
“โอ๊ย!” แผลที่โคนขาเจ็บแปลบขึ้นมาอีกแล้ว บาดแผลตอนนี้บวมแดงและเจ็บปวดมากขึ้นทุกที ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่น เขาต้องรีบหายาฆ่าเชื้อและยารักษาบาดแผลก่อนที่แผลจะติดเชื้อหนักกว่านี้
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เขาจึงค้นหาของที่สามารถใช้ได้รวมถึงยาภายในรถบ้าน เขาพบเสื้อและกางเกงสองสามตัวในตู้ จึงนำมาใส่ก่อนระหว่างที่รอชุดของเขาแห้ง แม้มันจะค่อนข้างเล็กก็ยังดีกว่าเปลือยเปล่าที่ตอนนี้มีเพียงผ้าห่มบางๆปกคลุมไว้
โจฮาลมองหาจนทั่วคันรถแต่ไม่พบแม้แต่ยาใดๆ เขาจึงฉีกผ้าม่านบางเอาไว้พันแผลและม้วนผ้าห่มบางๆติดบนกระเป๋าเป้ไว้ ในกระเป๋าเขามีอาหารกระป๋องและอาหารแห้ง กระติกน้ำ ปืนพก เสื้อผ้าสำรองและของใช้จำเป็น ส่วนของจุกจิกชิ้นเล็กๆเขาใส่ไว้ที่กระเป๋าคาดเอว เขามองของที่กองไว้ที่โต๊ะอย่างนึกเสียดาย แต่กระเป๋าเขาไม่มีพื้นที่ว่างแล้วจริงๆ
เมื่อเขาเดินออกมาเก็บชุดทหารที่ตากไว้มาสวม สายตาพลันเหลือบเห็นรอยล้อรถที่พื้นมุ่งหน้าออกไปยังทิศทางหนึ่ง รอยล้อรถนั้นดูแปลกๆมันไม่เป็นเส้นตรง ทั้งๆที่ทางข้างหน้าโล่งกว้างไม่มีสิ่งใดกีดขวางแต่กลับคดเคี้ยวไปมาราวกับงูเลื้อยและจางหายไปในผืนทราย
โจฮาลเดินตามรอยล้อรถขึ้นไปยังเนินทรายซึ่งเป็นจุดที่รอยล้อรถหายไป เขาก็เห็นรถคันหนึ่งหัวทิ่มปักลงไปในกองทรายข้างล่าง ฝั่งที่เขายืนอยู่นี้ดูเหมือนเป็นเนินทรายเล็กๆแต่อีกด้านกลับสูงชัน คนขับรถคันนี้ต้องเป็นเจ้าของรถบ้านอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา
ความคิดเห็น