ตอนที่ 3 : ข้างบ้านวันที่สาม ( 100% )
ข้างบ้านวันที่สาม
-
“มันหยดแล้วครับน้องฟาวดอง”
ความยากลำบากของการกินไอติมในช่วงฤดูร้อนก็คือการต้องรีบไล่ต้อนไอติมก่อนที่มันจะละลายหยดลงพื้นหรือใส่มือใส่เสื้อนี่แหละ
พี่ฮั่นหยุดเดินก่อนจะล้วงเอาทิชชู่ในกระเป๋ากางเกงตัวเองมาแล้วฉวยเอาไอติมในมือฉันไปพันกระดาษทิชชู่รอบโคน แล้วก็แอบขโมยกินไปคำเบ้อเร้อจนหน้ามันหายไปครึ่งนึงอีก!
“พี่ฮั่นอย่าแย่ง”
“ก็ตังพี่มั้ยอ่ะคะ”
ก็อยากจะเลี้ยงเองไม่ใช่หรือไงเล่า
เอาเถอะ พี่มันเคี้ยวกลืนลงท้องแล้วหันมายิ้มแป้นได้ขนาดนั้นแล้ว จะให้ผ่าท้องพี่มันเอาหน้าไอติมคืนมาเหมือนเดิมคงทำไม่ได้
เราเดินออกจากเซเว่นแถวโรงเรียนฉันเพื่อกลับไปที่รถมอเตอร์ไซต์ฮอนด้าเวฟคันเดิมกับเมื่อเช้าที่พี่มันขี่มาส่งฉันที่จอดอยู่ในโรงเรียน กระเป๋านักเรียนที่แบกหนังสือ และสมุดการบ้านมากมายยังอยู่บนไหล่ของพี่มัน และก็ดูพี่ฮั่นจะชิวมากก็เลยปล่อยให้สะพายไปแบบนั้นไปนั้นแหละ
“เออน้องฟาวดอ—“
“ฟองดาว”
“ฟาวดอง”
แล้วจะผวนชื่อฉันเพื่ออะไรวะเนี่ยอิพี่
“เย็นนี้หมูกระทะป่ะ เพื่อนพี่จะมา”
“เพื่อนพี่หล่อมั้ย ถ้าหล่อก็กิน”
“กินหมูกระทะ?”
“กินเพื่อนพี่”
“ไม่ผิดหวังจริงๆ”
พี่ฮั่นหัวเราะ ฉันยกยิ้มมุมปาก – อาจจะดูเหมือนว่าฉันแค่เล่นมุกนะ แต่ถ้าเพื่อนพี่ฮั่นหล่อ นี่มันก็ไม่ใช่แค่มุกหรอกค่ะ
จะมีอะไรในโลกที่น่ากินไปมากกว่าผู้ชายหล่อๆ อีกเหรอคะ สำหรับฉันก็ไม่มีนะ
“เพื่อนพี่หล่อนะ แต่หล่อได้ไม่เท่าพี่เลยอ่ะค่ะ พี่หล่อที่สุดในมหา’ลัยแล้ว”
โอ๊ย ตายแล้ว มั่นหน้ามั่นโหนกมั่นกะโหลกมั่นเบ้ามาจากไหนล่ะคุณ
“แล้วจะกินมั้ยเนี่ย”
“ไม่ดีกว่า พี่กินกับเพื่อนพี่ไปเถอะค่ะ”
“เฮ้ย ให้พี่กินกับเพื่อนมันก็น่าขนลุกนะ คือเป็นเพื่อนกันมันดีกว่าน่ะ”
มันคนละความหมายมั้ยอิพี่ฮั่น!
ฉันเลิกคุยกับพี่มันหลังจากที่ตระหนักได้ว่าหากถ้าพูดคุยต่อไปอาจจะต้องมีคนปวดหัวตาย และคนๆ นั้นก็คือฉันเองนี่แหละ
เดินแทะไอติมกันจนมาถึงฮอนด้าเวฟคันเดิม และพี่ฮั่นก็ใส่หมวกกันน็อคลงบนหัวให้ฉันเหมือนเดิมกับเมื่อเช้าพร้อมทั้งทุบกำปั้นลงบนหมวกดังปั๊ก กวนได้กวนดีกวนเก่งจริงๆ – ฉันแยกเขี้ยวใส่อิคนพี่ผ่านหมวกกันน็อคก่อนจะรวบกระโปรงขึ้นไปซ้อนท้ายเหมือนเดิม
พี่ฮั่นขี่มอเตอร์ไซต์ไม่ช้า แต่ก็ไม่ได้เร็ว อยู่ในระดับที่ไม่เร็วจนน่าหวาดเสียว แต่ก็ไม่ได้ช้าจนน่าหงุดหงิดใจ ใช้เวลาประมาณสิบนาทีก็มาถึงบ้านของเราทั้งคู่โดยสวัสดิภาพ พี่ฮั่นชะลอรถลงก่อนจะจอดลงตรงหน้าบ้านของฉัน เขาส่งกระเป๋านักเรียนที่วางอยู่ตรงหว่างขาเขาคืนให้แลกกับหมวกกันน็อคที่ฉันถอดคืนเหมือนกัน
“ถ้าอยากกินหมูกระทะก็มาได้นะ”
“กินเพื่อนพี่ดีกว่าอีก”
“งั้นก็กินพี่ดีกว่าอีกค่ะน้องฟาวดอง”
ฉันกรอกตามองบนเป็นเลขแปดไทยพร้อมกับถอนหายใจแรงๆ ให้อีกหนึ่งที พี่ฮั่นหัวเราะก่อนจะเคาะกำปั้นลงบนหัวฉันเบาๆ
“เข้าบ้านไปได้แล้วไป”
“ค่า ไปแล้วค่า”
ฉันโบกมือลาพี่ข้างบ้านก่อนจะหมุนตัวเปิดรั้วบ้าน ก่อนจะนึกขึ้นได้แล้ววางกระเป๋านักเรียนลงกับพื้นก่อน หันไปมองพี่ฮั่นที่ยังคงนั่งคร่อมมอเตอร์ไซต์ของตัวเองอยู่ท่าเดิม
พี่ฮั่นเลิกคิ้วมองเชิงถามว่ามีอะไรหรือเปล่า ฉันฉีกยิ้มก่อนจะประนมมือขึ้นกลางอกพร้อมกับกวาดขาวาดไปด้านหลังแล้วย่อลงอย่างสวยงาม
“ขอบคุณสำหรับการไปรับหนูที่โรงเรียน และค่าไอติมนะคะพี่ฮั่น”
พูดจบก็ฉีกยิ้มไปให้อีกหนึ่งที
“โอ้โห เพิ่งรู้ว่ามีมารยาทด้วยนะเนี่ยน้องฟาวดอง”
เอ๊ะ นี่อิพี่มันด่าฉันหรือเปล่าวะ
พี่มันพูดไปก็หัวเราะไปพลางยกนิ้วโป้งให้ฉัน ไม่รู้เลยจริงๆ นะว่าชื่นชมกันจากใจหรือชื่นชมเพราะอยากจะกวนตีน
“หนูก็มีมารยาทตลอดแหละค่ะ แต่ไม่ค่อยเอาออกมาใช้เดี๋ยวจะเสียมารยาท”
“กวนตีนด้วย นี่น้องอยู่กับพี่มากไปแล้ว”
“ให้พูดใหม่นะคะ หนูไม่เคยไปยุ่งวุ่นวายกับพี่เลย มีแต่พี่นั่นแหละมาวุ่นวายกับหนู”
พี่ฮั่นยักไหล่ โบกมือไล่ฉันเข้าบ้านก่อนที่ตัวเองจะขี่มอเตอร์ไซต์เลยไปที่บ้านหลังข้างๆ ของตัวเอง – ฉันแลบลิ้นใส่หลังอิพี่ก่อนจะปิดรั้วบ้านแล้วอุ้มกระเป๋าสะพายเข้าบ้านแต่ก็โดนเสียงพี่ข้างบ้านเรียกรั้งเอาไว้ก่อน
“น้องฟองดาว”
แปลกมาก พี่มันเรียกชื่อฉันถูกโดยไม่ผวน
พี่ฮั่นเดินมาวางแขนลงบนกำแพงที่กั้นระหว่างบ้านเราเอาไว้ก่อนที่เขาจะส่งรอยยิ้มที่ฉันมองว่าเป็นรอยยิ้มที่ไร้พิษภัยที่สุดของพี่มันเท่าที่รู้จักกันมาเลยมั้ง
“ที่พี่วุ่นวายกับหนูก็เพราะพี่อยากคุยกับหนูบ่อยๆ ไงคะ”
“...”
ฉันขมวดคิ้ว มองพี่ข้างบ้านที่ยังคงส่งรอยยิ้มค้างไว้อยู่แบบนั้น พี่ฮั่นไม่ได้พูดอะไรต่อ ฉันก็ไม่ได้พูดอะไร เรามองหน้ากับอยู่แบบนั้น
พี่ฮั่นยักคิ้วข้างขวาให้ฉันทีนึงพร้อมกับแลบลิ้นใส่แล้วโบกมือหย็อยๆ ให้สองทีแล้วหมุนตัวเดินเข้าบ้านของตัวเองไปทันที
ฉันมองตามหลังพี่ฮั่นไปจนเขาหายเข้าไปในบ้านตั้งนานแล้วฉันถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองมองประตูบ้านพี่มันนานเกินไปแล้ว
พี่มันพูดอะไรของเขาวะ แล้วจะมาอยากคุยกับฉันทำไมเนี้ย
#พี่ฮั่นที่อยู่ข้างบ้านอ่ะ
50%
ผมจะบ้าตาย
นี่ผมพูดอะไรของผมออกไปวะเนี่ย
ผมปิดประตูบ้านแล้วยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองดังแปะ ประโยคที่พูดออกไปแม่งโคตรจะเสี่ยวได้โล่เลย อันที่จริงเอ็งไม่ต้องพูดทุกอย่างที่อยู่ในใจออกก็ได้มั้ยวะไอ้ฮั่นเอ๊ย
ผมแอบมองไอ้เด็กข้างบ้านผ่านหน้าต่าง น้องฟองดาวยังคงยืนอยู่ที่เดิม ขมวดคิ้วเอียงคอขมุบขมิบปากเหมือนคุยกับตัวเองอยู่ตรงนั้นซักพักก่อนจะค่อยหมุนตัวเดินเข้าบ้านของตัวเองไป
น้องมันก็คงสงสัย ว่าอิพี่ฮั่นมันพูดอะไรของมัน แต่น้องไม่สงสัยหรอกว่ามันหมายความว่าอะไร
“ไอ้ฮั่น”
“เฮ้ย! มะนาวนั้นที่ฉันทำตกเอาไว้หยิบหน่อยได้มั้ยพี่มากอยู่ไหน พี่มากขา!"
“คำอุทานเอ็งยาวกว่าอนาคตตัวเองอีกนะ”
“ป๊า! แล้วก็มาไม่ให้ซุ้มให้เสียง!”
ผมสะดุ้งพอหันไปตามเสียงเรียกชื่อแล้วเห็นหน้าพ่อตัวเองอยู่ในระยะประชิด ป๊ากอดอกยืนพิงเสาข้างๆ มองออกไปนอกหน้าต่างตามผมแล้วขมวดคิ้ว
“เอ็งมองอะไรข้างบ้านนักวะ”
“เปล่าป๊า ไม่ได้มองอะไร”
“โกหก ก็เห็นอยู่ว่ามอง ป๊าไม่ได้ตาบอดนะ”
แล้วจะถามทำไมถ้าไม่เชื่อล่ะป๊า
ป๊ายังคงไม่หยุดมองไปข้างบ้านทางเดียวกับที่ผมมองเมื่อกี๊ แถมยังชะเง้อคอมองหาสิ่งที่น่าสนใจอยู่นั่นแหละ – มองจนถึงตีสามก็ไม่เจอหรอกป๊า คนที่ผมมองน่ะเข้าบ้านไปตั้งนานแล้วเถอะ
“แล้วม๊าไปไหนอ่ะป๊า”
“อยู่ในครัว เตรียมหมูกระทะให้เองกับเพื่อนอยู่ไง แล้วสรุปเอ็งมอ—”
ผมถือโอกาสตรงนี้เดินหนีป๊าไปหาแม่ที่ห้องครัวแทน ปล่อยให้ป๊ามองบ้านข้างๆ อยู่ตรงนั้นไปนั่นแหละ ได้ยินเสียงป๊าบ่นตามหลังมาแต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก
ห้องครัวทางหลังบ้าน หม่าม๊าคนสวยของผมกำลังหั่นเนื้อหมูเตรียมสำหรับหมูกระทะตอนเย็นให้ผมกับเพื่อนอีกสี่คนที่จะมากินฉลองส่งงานผ่าน และข้างๆ ม๊าผมก็มีไอ้หัวทองตัวคุ้นเคยหั่นผักอยู่ข้างๆ
“อ้าวเพื่อนฮั่นสุดที่รัก นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย”
ไอ้ซีนเงยหน้าจากผักตรงหน้าขึ้นโบกมือทักทายผมในขณะที่ผมหันไปยกมือสวัสดีแม่ที่ยิ้มกว้างรับ
“ฉันสิต้องถามนาย มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
โอเค มันอาจจะดูขัดใจเล็กน้อย (ถึงมากสุดๆ) ที่ผมกับไอ้ซีนต้องกัดฟันพูดคุยกันด้วยภาษาที่สุดแสนจะสุภ๊าพสุภาพ ที่โคตรจะไม่เข้ากับพวกผมเลยซักนิด แต่เพราะว่าคุณม๊าคนสวยของผมไม่ชอบให้ลูกชาย (และเพื่อนๆ ของลูก) พูดคำหยาบ ดังนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าม๊า ผมกับเพื่อนๆ จะต้องพูดภาษาสุภาพให้ได้มากที่สุด
“เพื่อนหนูเขามากันตั้งนานแล้วลูก น้องเจมส์ไปตั้งกระทะอยู่หลังบ้านนู้นแหนะ แล้วก็น้องชานออกไปซื้อน้ำอัดลม”
ม๊าตอบทุกคำถามภายในใจผมได้เสร็จสรรพพร้อมกับรอยยิ้ม เอาตรงๆ ผมละไม่ชอบจริงๆ ที่่ม๊าเรียกลูกชายแมนๆ ที่โตเข้ามหา’ลัยแล้วอย่างผมว่าหนู แต่ก็นั่นแหละ ผม(และป๊า) ไม่สามารถขัดใจอะไรพระมารดาผู้ยิ่งใหญ่ของบ้านได้
“น้องซีนไม่ต้องช่วยแม่แล้วก็ได้ลูก อีกนิดเดียวก็เสร็จละ ไปนั่งคุยกับเพื่อนกันดีกว่าลูก”
“โอเคครับม๊า ขอบคุณครับ”
ซีนโกยผักใส่จานเสร็จสรรพก่อนที่มันจะถือออกไปข้างหลังบ้านที่มีไอ้เจมส์ เพื่อนอีกคนผมรออยู่แล้ว - มันก้มๆ เงยๆ ใส่ถ่านในเตาปิ้งแล้วเอาเนื้อหมูบางส่วนคีบไปวางบนกระทะอย่างสวยงามระหว่างรอพวกเรา
“เฮ้ ว่าไงครับคุณเจ้าของบ้าน เสด็จมาตั้งแต่เพลาใดกันรึ”
“มึงเว่อร์ไปละ”
“พอพ้นหลังม๊ามึงก็เอาเลยน้า”
ก็แน่นอน จะเอาอะไรกับคนที่หัดพูดคำหยาบตั้งแต่ปอสี่แบบผมล่ะ ให้พูดคำสุภาพกับพวกมันที่เริ่มพูดคำหยาบมาพร้อมๆ กันแบบนี้ผมกัดลิ้นตายดีกว่า
“คุณฮั่น คุณเจมส์ คุณซีนครับ! ผมเอาเป๊ปซี่ โค้ก เอส-- เอ่อ พูดได้มั้ยเนี่ย เขาไม่ได้เข้าโฆษณาเราอ่ะ”
ครับ และไอ้ชาน - เพื่อนคนสุดท้ายในแก๊งของผมก็โผล่หัวมาพร้อมกับสองมือที่ชูถุงน้ำอัดลมขวดใหญ่หลายขวดในมือ
“มึงซื้อมาถมบ้านกูเหรอชาญ”
“หนูพูดได้เหรอพี่จี้ ไม่ต้องพูดคำสุภาพแล้วเหรอ”
“ม๊ามันไม่อยู่ก็พูดไปเหอะ ว่าแต่พี่จี้คือใครวะ”
แล้วบทสนทนาที่หาสาระไม่ได้ระหว่างผมกับพวกแก๊งสี่เทพบุตรฉุดมาจากนรก (ชื่อแก๊งนี้ไอ้เจมส์เป็นคนตั้งครับ มันบอกว่าเหมาะกับใบหน้าอันหล่อเหลาของพวกเราได้ดีมาก) ก็เริ่มต้นขึ้น
การตั้งวงหมูกระทะที่สวนหลังบ้านของผมเริ่มต้นด้วยบทสนทนาเรื่องพี่จี้ที่ไอ้ชานพูดขึ้นมาพร้อมกับคำถามของไอ้ซีนที่ถามว่าพี่จี้คือใคร ลามไปจนถึงข่าวดราม่า ข่าวเรื่องชาวบ้านในทวิตเตอร์ที่ไอ้เจมส์จุดประเด็นขึ้นมาต่อ และตามมาด้วยข่าวการบ้านการเมืองทั่วๆ ไปที่ผมเป็นจุดประเด็นพร้อมจะลากพวกมันเข้าคุกไปด้วยกัน
ม๊าเข้ามาเสิร์ฟหมูให้กับพวกเราเพิ่ม และไอ้ชานก็เอ่ยชวนให้นั่งกินด้วยกันเป็นมารยาท โชคดีที่แม่ไม่ตอบตกลงเพราะไม่อย่างนั้นเราจะต้องนั่งประดิษฐ์คำพูดที่สุภาพและสวยงามกันตลอดวงหมูกระทะแน่นอน
“แล้วฮั่นไม่ชวนน้องฟองดาวมาด้วยล่ะลูก”
“ฮั่นชวนแล้วแม่ แต่น้องบอกไม่มา”
“น้องฟองดาวคือใครวะ”
เสียงไอ้ซีนกระซิบถามเงียบๆ แต่พวกเพื่อนอีกสองคนของผมก็ส่ายหน้าไม่รู้เหมือนกัน - มันจะไปรู้กันได้ไงก็มันไม่เคยเจอน้อง และผมก็ไม่อยากให้น้องมาเจอไอ้พวกเพื่อนไร้สาระของผมซักเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนแม่จะไม่คิดแบบผม
“ไปชวนน้องมาอีกสิลูกไป วันนี้น้าตาลกลับเย็นๆ น้องอยู่บ้านคนเดียวไม่ดีหรอก”
แต่ก็นั่นแหละ เพราะน้าตาล แม่ของเด็กข้างบ้านไม่อยู่ด้วย ผมเลยพาตัวเองมาหยุดอยู่ที่กำแพงระหว่างบ้านเราที่เดิมที่เมื่อเช้าและตอนเย็นใช้คุยกับน้อง - ผมตะโกนเรียกชื่อน้องฟองดาว และไม่นานเจ้าของชื่อก็โผล่หัวออกมาจากบ้านพร้อมกับแว่นกลมและหนังสือเรียนเล่มหนาปึ้ก
ถึงว่าทำไมกระเป๋าน้องมันหนัก หนังสือเรียนเล่มเบ้อเร้อขนาดปาหัวหมาแตกนี่เอง
“มากินหมูทะบ้านพี่มาเร็ว”
“ไม่เป็นไร หนูกำลังจะกินมาม่า”
พูดจบน้องก็ชูถ้วยมาม่าคัพจากอีกมือนึงขึ้นมาให้ดูด้วยอีกต่างหาก
“ไม่ต้องกิน มากินหมูกระทะกับพี่มา - เพื่อนพี่หล่อมากนะ บอกให้ฟัง”
แต่น้องฟองดาวก็ถอนหายใจแล้วส่ายหน้า เปลี่ยนมาชูหนังสือเล่มหนาในมือให้ผมดูแทน
“หนูจะอ่านหนังสือ”
“พี่ติวให้ - พี่ได้ท็อปห้องวิทย์-คณิตน้า”
“หนูเรียนศิลป์จีนค่ะพี่ฮั่น และหนูอ่านภาษาจีน”
อ่า หน้าแตกหมอไม่รับเย็บเลยกู...
“ก็แบบ...ไปกินหมูกระทะก่อนค่อยอ่านต่อก็ได้ไง - เพื่อนพี่ก็อยู่เนี่ย ไปทำความรู้จักกันหน่อยไป”
“ไม่เป็นไร”
“ดื้อเหรอ พี่ฉุดนะ”
ผมไม่ได้พูดเล่นแต่ถกขากางเกงขึ้นเตรียมปีนข้ามรั้วกำแพงระหว่างบ้านผมกับบ้านน้องฟองดาวไปจริงๆ แต่เพราะน้องยกมือขึ้นเป็นปางห้ามญาติไว้ก่อนผมเลยแค่ยกขาค้างไว้บนอากาศสี่สิบห้าองศาก่อน
“ประตูมี ไม่ต้องปีนก็ได้พี่”
“เฮ้ย ไม่ห้ามนี่คือจะให้ผู้ชายเข้าบ้านใช่ป่ะ”
น้องฟาวดองไม่ได้ตอบอะไรผมแต่กรอกตาขึ้นบนม้วนเป็นเลขแปดไทยไปประมาณสามรอบ เป็นการกระทำที่ผมมองแล้วก็แน่ใจได้เลยว่าน้องมันจะต้องด่าผมว่ากวนตีนอยู่ในใจแน่นอน
“จะไปไม่ไป?”
“เปลี่ยนกางเกงแปปนึงเดี๋ยวหนูเดินไปค่ะ”
เยส
เป็นไงล่ะ ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก - ไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่ร้อยปีคำนี้ก็ยังได้ผลเสมอ
ผมยิ้มตอบน้องฟาวดองที่ยอมเดินเข้าบ้านไปเปลี่ยนกางเกงตามคำพูดของตัวเอง และผ่านไปประมาณสามนาทีน้องมันก็กลับออกมาพร้อมกับกางเกงขายาว ถึงจะหายเข้าบ้านปเปลี่ยนกางเกงมา แต่หนังสือภาษาจีนเล่มหนาปึ้กนั่นมันก็ยังอยู่ในมือน้องอยู่ดี
“เอาหนังสือมาไมอ่ะ”
“อ่านตอนกิน”
ผมเปิดประตูรั้วบ้านให้น้องเดินเข้ามา น้องฟองดาวตอบด้วยน้ำเสียงที่ติดออกจะเบื่อหน่ายนิดหน่อย ผมเคยได้ยินแม่เม้าท์กับน้าตาล แม่ของน้องอยู่ว่าสอง-สามเดือนมานี่น้องติดอ่านหนังสือมาก ก็เพราะอยู่มอหกแล้วนี่นะ จะฟิตอ่านหนังสือก็ไม่แปลก แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะติดอ่านถึงขนาดที่ว่าชวนมากินหมูกระทะก็ต้องแบกหนังสือเล่มหนาปึ้กนี่มาด้วย
และมันเล่มหนาชนิดที่ว่าถ้าผมเผลอพูดกวนตีนน้องไปอีกซักสาม-สี่รอบอาจจะโดนหนังสือเล่มนี้ลอยมาฟาดที่หัวจนสลบก็เป็นได้
น้องเดินเข้าบ้านผมอย่างกับเป็นบ้านของตัวเองทั้งๆ ที่นี่มันคือครั้งแรก - เด็กมอปลายเหน็บหนังสือเล่มบึ้กไว้กับแขนพร้อมกับยกมือสวัสดีป๊าผมที่นอนเกาพุงดูทีวีอย่างสบายใจกับม๊าที่ส่งแอปเปิลเข้าปากป๊าที่เหมือนจะเป็นการยัดมากกว่าการป้อน - ผมเดินนำน้องไปสวนหลังบ้าน ไอ้เจมส์กับไอ้ชานกำลังเถียงกันว่าหมูชิ้นนี้ควรเป็นของใคร (ซึ่งเป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก) ส่วนไอ้ซีนก็นั่งชันเข่ากินอย่างสบายใจ ไม่สนอะไรทั้งสิ้น
“ไอ้ฮั่น! มึงมาก็ดี! มาช่วยตัดสินทีว่าหมูชิ้นนี้ควรเป็--- โอ้ สาวน้อยข้างหลังนายเป็นใครน่ะฮั่น”
เป็นไอ้ชานที่สังเกตเห็นผมคนแรกและเอ่ยปากเรียก แต่แล้วเสียงและคำพูดของมันก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าทันทีพอเห็นน้องฟาวดองที่เดินตามหลังผมมา แถมยังแจกรอยยิ้มหวานหยดเยิ้มจนนึกหมั่นไส้อยากจะเอาหนังสือภาษาจีนของน้องมายืมปาหัวมันให้แตก
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีค่ะ พี่ชื่อพี่ชานนะคะ เป็นเพื่อนของฮั่นค่ะ”
มึงเสนอหน้ามาก ชาน มึงแบบ สุดแสนจะเสนอหน้า - นี่คือสิ่งที่ผมคิดแต่ผมไม่ได้พูดออกไปเพราะรอดูปฏิกิริยาของน้องข้างบ้าน แต่น้องฟาวดองก็ร้องอ๋อตอบรับในลำคอเบาๆ พยักหน้าแล้วก็ยิ้มให้มันไปทีนึง
ผมนั่งลงที่เดิมข้างๆ ไอ้ซีน และให้น้องนั่งลงตรงข้างๆ ผมอีกทีนึง ม๊ายกจานกับตะเกียบมาเพิ่มให้ น้องฟาวดองที่เป็นเด็กมารยาทดีกับทุกคน (ยกเว้นกับผมมั้ง) ยิ้มพร้อมกับไหว้ขอบคุณ ไอ้ชานตีแขนไอ้เจมส์รัวๆ เหมือนคนผีเข้า
“น้องฟองดาวป่ะ”
“นายรู้จักน้องได้ไงซีน!”
“ก็ไอ้ฮั่นมันเคยพูดถึง แล้วมึงจะพูดสุภาพทำไม ม๊ามันเดินเข้าบ้านไปนู้นแล้ว”
ไอ้ชานไม่ตอบแต่เหล่มามองน้องที่นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ ผม - พยายามทำตัวเป็นชายหนุ่มสุดแสนจะสุภาพเพื่อให้ผู้หญิงประทับใจว่างั้น, ปลอมมาก
“ค่ะ หนูฟองดาวเองค่ะ”
“โอ๊ย ชื่อน่ารัก หน้าตาก็น่ารัก”
ยัง มันยังไม่หยุดอีก
“พี่ชื่อซีนนะ”
“พี่เจมส์ครับ - กินเลยน้องฟองดาว อย่าไปสนใจไอ้ชาน มันปัญญาอ่อน”
“อ้าว เพื่อนเจมส์ครับ ทำไมนายว่าผมแบบนั้น”
“เลิกปลอม หยุดพล่าม แล้วก็แดกเข้าไปนะชาน อ่ะ กูยกหมูชิ้นนี้ให้ก็ได้ เอาไปแดกซะ”
เป็นเจมส์ที่หยุดปากไอ้ชานได้โดยการยัดชิ้นหมูที่พวกมันเถียงกันอยู่เมื่อกี๊เข้าปากเข้าเต็มๆ คำ ไอ้ชานมองแรงใส่อย่างคาดโทษแต่ก็ไม่ได้รับการสนใจใดๆ ทั้งสิ้น - ผมคีบหมูบนเตาใส่จานน้องฟาวดองให้สอง-สามชิ้น แต่ในขณะที่มือน้องจับตะเกียบ มืออีกข้างก็เริ่มเปิดหนังสือภาษาจีนที่หิ้วมาด้วย
“กินก่อนค่ะ ค่อยอ่าน”
“อ่านไปกินไปก็ได้พี่ฮั่น”
“เดี๋ยวหนังสือเลอะนะ”
“พี่ฮั่น อย่าพูดมาก แล้วกินไป”
ตะเกียบในมือซ้ายของน้องถูกส่งมาชี้ตรงหน้าผม แล้วก็เลื่อนไปที่จานของผมเองพร้อมด้วยสายตาดุๆ ซึ่งแน่นอนว่าผมจะไม่เถียงอะไรน้องฟาวดองต่อ ทุกคนก็รู้อยู่แล้ว ว่าไอ้เด็กมอปลายข้างบ้านคนนี้เวลาดุน่ากลัวขนาดไหน และใช่ ผมกลัวน้อง
“ไอ้ฮั่น มึงนี่มีแววนะ”
“แววอะไร”
ไอ้ซีนพูดขึ้นมาเสียงเรียบแล้วคีบหมูเข้าปากตัวเองไปอีกชิ้น มันมองผมด้วยสายตาขบขัน ซึ่งผมก็รู้สึกหมั่นไส้สายตานั้นมากถึงมากที่สุด
“แววกลัวเมีย”
ผมไม่ได้พูดตอบอะไร แต่มองไปที่น้องฟาวดอง - น้องเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองคนพูดอย่างไอ้ซีนพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ แล้วปิดหนังสือเล่มหนาในมือแรงๆ จนเกิดเสียงดังปึ้ก!
“ชอบมาก ผู้หญิงสายฮาร์ดคอ”
แล้วก็เป็นชานคนเดิมที่กลับมาพล่ามประโยคน่ารำคาญไม่ค่อยเข้าหูผมและไม่น่าจะเขาหูน้องฟองดาวเองด้วยเช่นกัน
ตอนแรกหนังสือวางอยู่บนตักน้อง แต่พอได้ยินไอ้ชานพูดปุ๊บ น้องก็ปล่อยหนังสือไปวางกับพื้นแรงๆ จนเกิดเสียงดังปึ้ก! ขึ้นมาอีกครั้ง
ผมกับไอ้เจมส์นั่งเงียบ มองหน้ากันขำๆ ก่อนจะหันกลับไปมองไอ้ชานที่เปลี่ยนจากรอยยิ้มกว้างเป็นรอยยิ้มแห้งๆ แทน
“แต่ดูๆ แล้ว - ฮาร์ดคอไปก็น่ากลัวเหมือนกันเนอะ”
#พี่ฮั่นที่อยู่ข้างบ้านอ่ะ
100%
talk ;
การมีตติ้งหมูกระทะระหว่างน้องฟองดาวกับพี่ฮั่นและพี่เจมส์พี่ซีนพี่ชานยังไม่จบค่ะ เดี๋ยวมีต่อ รอดูมุกเต๊าะน้องของพี่ชานต่อได้เลย 5555555
ps. พี่เจมส์ - เซจุน , พี่ซีน - ซึงชิก , พี่ชาน - ฮอชาน (ไหนลองเดาสิคะว่าใน victon เราเมนใคร - ใครทายถูกให้พี่ฮั่นไปกอดเลย!)
( up 100% 27/06/2020 ; 22:56 )
มาๆ หายๆ แว้บไปแว้บมาเป็นผีเลยค่ะอิไร้เต้อ ไม่รู้ว่ายังมีใครรออยู่มั้ย แต่ทางนี้อยากอัพค่ะ ;---;
อีกห้าสิบเปอร์ฯ หลังจะเปิดตัวเพื่อนๆ พี่ฮั่นนะคะ มารอดูกันว่าน้องฟองดาวจะได้กินเพื่อนพี่ฮั่นหรือได้กินพี่ฮั่น 555555
( up 50% 25/06/2020 ; 21:44 )
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ปล. ตัวเองเมนพี่ชานรึเปล่าคะ เดาค่ะเพราะไม่รู้55555
มาอัพบ่อยๆนะค้าาา ชอบมากๆเลย