ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Hey bro! : พี่(รหัส)ครับ 【สนพ.ลาเวนเดอร์】END

    ลำดับตอนที่ #14 : ไม่แสดงออก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.16K
      100
      1 เม.ย. 64

     

     

    ตอนที่ 14

    ไม่แสดงออก
     

     

    งานประกวดดาวเดือนคณะนิติศาสตร์จบลงไปได้ด้วยดี แต่ไม่ค่อยจะสวยเท่าไหร่นักในสายตาของผม ก็เพราะได้ไฮไลต์โยนช่อดอกไม้นั่นแหละ เล่นเอาวุ่นวายไปหมดแทบทั้งงาน ผมที่โชคดี (?) ถูกช่อดอกกุหลาบของพี่ปูนประเคนมากระแทกหน้าก็เกือบเอาตัวไม่รอดอยู่เหมือนกัน เพราะทันทีที่คนรู้ว่าผมรับช่อดอกไม้ได้ก็รีบกรูเข้ามาขอช่อดอกกุหลาบนั้นกับผม บางคนมาขอซื้อต่อยังมี และอีกข้อเสนอสารพัดเพื่อแลกกับดอกกุหลาบช่อเดียว

    แล้วทุกคนคิดว่าผมจะยอมแลกมันไหมครับ กับช่อดอกกุหลาบธรรมดาๆ ที่ไม่มีความพิเศษอะไรนอกจากมันจะพุ่งเข้ามากระแทกหน้าผมจังๆ บวกกับหนามกุหลาบเล็กน้อยที่ข่วนหางคิ้วผมไปสองเซนติเมตร

    ตอนแรกผมโคตรจะคิดหนัก แต่ไปๆ มาๆ รู้ไหมครับว่าผมตัดสินใจจะไม่ยอมปล่อยช่อดอกกุหลาบนี้หลุดมือไป ก็ไม่รู้สินะครับ ไหนๆ มาก็พุ่งเข้ามาหาผมเอง อีกอย่างผมก็รู้สึกว่าคนที่โยนเจ้านี้มาให้ก็ดูจะไม่ได้เสียใจอะไรที่ผมเป็นคนรับได้ด้วย

    เพราะฉะนั้นขอเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกก็แล้วกันว่าครั้งหนึ่งพี่รหัสที่เป็นถึงเดือนคณะสุดฮอตเขวี่ยงช่อดอกกุหลาบอัดหน้าน้องรหัสน่ะ

    “เฮ้ยไอ้ขมิ้น จะไปเรียนยัง”

    “แป๊บ ขอกูซื้อลาเต้ก่อน พวกมึงขึ้นตึกไปก่อนเลยก็ได้ไม่ต้องรอกู”

    “เค งั้นตามมาล่ะกัน” พวกไอ้ข้าวพากันเดินล่วงหน้าไปก่อน ผมก็เดินเลี้ยวแวะมาทางโรงอาหารคณะมนุษย์เพื่อมาสั่งลาเต้เย็นๆ สักแก้วกินแก้ง่วงสักหน่อย เดี๋ยวผมมีคาบเรียนยาวถึงสี่โมงครับ นี่เพิ่งจะบ่ายโมงเอง ผมต้องทนนั่งฟังเลคเชอร์สองชั่วโมงกว่าแน่ะ ผมว่าถ้าไม่มีคาเฟอีนเข้ากระแสเลือดผมต้องหลับคาโต๊ะแน่ๆ

    “ป้าครับ ขอลาเต้เย็นแก้วหนึ่งครับ”

    ผมสักเมนูที่ต้องการแล้วเขยิบมานั่งรอตรงม้านั่งข้างร้าน ในระหว่างที่รอก็ไถโทรศัพท์เล่นไปพลางๆ และตอนนั้นเองผมก็ได้ยินลูกค้ารายใหม่เกินเข้ามาสั่ง

    “สตรอว์เบอร์รี่โซดาครับ”

    อืม ผมว่าเสียงมันคุ้นมากเลยนะครับ แต่ไม่หรอกช่วงนี้ผมอาจจะหลอนๆ ไปเอง

    ผมไม่ได้สนใจก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ต่อ จนป้าตะโกนเรียกว่าลาเต้เย็นผมได้แล้ว ผมจึงลุกขึ้นไปจ่ายเงิน

    “อ้อ ไม่ต้องจ่ายจ้ะ”

    “อ้าว ทำไมล่ะครับ” ผมนี่งงมากป้าขายกาแฟแต่ไม่เก็บเงิน

    “พ่อรูปหล่อนู่นเขาออกค่ากาแฟให้เราแล้ว”

    ผมหันขวับไปมองตามที่ป้าบอก แล้วก็เห็นร่างสูงของใครคนหนึ่งที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี

    “ไงไอ้ลูกหมา”

    ยังจะมาไงอีก นี่พี่ปูนโผล่มาได้ไงเนี่ย?

    “พี่เลี้ยงกาแฟผมเหรอ” ผมพูดออกมาพลางทำหน้าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เจอ

    “เออ”

    “ละ เลี้ยงกาแฟผมเนี่ยนะ?”

    “เออ มึงจะตกใจโอเวอร์ทำเชี่ยไร”

    “ก็มัน…”

    “กูเลี้ยงก็ดีแล้วนี่”

    “อ่า ครับ แต่มันรู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้”

    “ทำไม กูเลี้ยงกาแฟแล้วแดกไม่ลง”

    “เปล่าครับ แค่ไม่คิดว่าคนอย่างพี่จะเลี้ยงกาแฟผม”

    “นี่กูดูเป็นพี่รหัสที่เหี้ยขนาดนั้นเลย?”

    “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”

    “แต่ก็คิดว่าเหี้ย”

    “...” ผมเม้มปากแน่น ไม่รู้จะตอบไปว่ายังไงดี เพราะในใจผมก็มีแอบคิดแบบนั้นอยู่บ้างเหมือนกัน

    แต่ว่าตอนนี้ผมเริ่มทำความเข้าใจพี่ปูนใหม่แล้วนะครับ จากหลายๆ เหตุการณ์ที่ประสบพบเจอมา มันเป็นเครื่องยืนยันกับผมว่าคนคนนี้ไม่ได้ดูเย็นชาไม่หมดซะทุกอย่าง ก็มีมุมน่ารักกับเขาอยู่บ้างแต่เจ้าตัวนี่สิดันไม่ค่อยชอบเปิดเผย

    ชอบอุบเอาไว้จริง ๆ เลยเชียว

    “มองไรเล่า กูไปเรียนและ มึงไม่มีเรียนต่อรึไง”

    “มีครับ”

    “มีก็รีบไปเรียนดิจะเข้าคาบอยู่แล้ว”

    ออกปากไล่คนอื่นแต่ตัวเองยังยืนดูดน้ำสตรอว์เบอร์รี่โซดาสบายใจเฉิบเนี่ยนะ?

    “ไปดิ ยืนรออะไรอยู่ล่ะ”

    อ้าวไล่กันงี้เลย?

    “ยังไม่รีบไปอีก”

    “ครับๆ ผมไปแล้วครับ”

    ผมเลยต้องรีบคว้าแก้วลาเต้เดินหนีออกมาอย่างงงงวย

    เฮ้อ อะไรของเขาวะครับ?

     

    ***

     

    P’ Poon’ Part

     

    ผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้วหลังวันประกวดดาวเดือนคณะ ผมก็ไม่ค่อยจะออกไปเดินเตร่ที่ไหนมากนัก ตรงกันข้าม เลิกปุ๊บผมจะรีบขี่บิ๊กไบค์กลับคอนโดทันที จนไอ้นิกมันแซวผมใหญ่เลยว่าเป็นมนุษย์ถ้ำ ออกจากถ้ำมานาน ๆ ไม่ได้

    มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นซะหน่อยหนึ่ง ผมก็แค่ไม่ค่อยชอบพวกที่มาดักรอผมตอนเลิกเรียน ไม่ว่าจะมาด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ผมไม่อยากยุ่งด้วย ผมเหนื่อยจะรับมือครับ และเพราะเหตุนี้มั้งช่วงนี้ผมเลยไม่สังเกตเห็นว่าเจอกับไอ้น้องรหัสหน้าแป้นแล้นนั่นบ่อยขึ้น ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออะไร แต่ที่ผมพอจะมั่นใจได้ก็คือไอ้ลูกหมาไม่ได้มาดักรอผมแน่ๆ เพราะทุกครั้งที่มันเจอผม มันจะชอบทำหน้าเหวอเป็นหมางงตลอด

    ซึ่งผมก็แปลกใจตัวเองอีกนั่นแหละครับว่าทำไมถึงได้ชอบมองหน้าไอ้หมาลูกมันจังเลย หรือมันชอบทำหน้าตาตลกๆ อย่างคืนประกวดดาวเดือน ผมสารภาพเลยครับว่าไอ้ช่อดอกกุหลาบที่รุ่นพี่กับเพื่อนบอกให้ผมโยน ผมไม่ได้โยนหรอกครับ…ผมเขวี้ยง

    คือตอนนั้นสายตาผมมันดันเหลือบไปเห็นไอ้หนุ่มเสื้อเหลืองยืนทำหน้าตาเด๋อด๋า ผมก็แค่รู้สึกหมั่นไส้อย่าจะแกล้งมันนิดหน่อย แต่ก็ไม่นึกว่าตัวเองจะแม่นขนาดปาใส่หน้ามันเต็มๆ อันนี้ก็ขอโทษด้วยละกันไม่ได้ตั้งใจแต่เจตนานิดหน่อย หวังว่าคงไม่ถือโทษโกรธกันหรอกนะ

     

    ช่วงบ่าย ผมแวบลงมาซื้อน้ำที่ร้านประจำแถวโรงอาหารคณะมนุษย์ก็ดันเจอเข้ากับไอ้ลูกหมาที่มาสั่งกาแฟพอดี

    ไหนๆ ก็เจอมันแล้ว ผมก็เลยถือโอกาสเลี้ยงกาแฟมันสักแก้ว ก็แบบ...อยากทำหน้าที่พี่รหัสที่ดีบ้าง

    ละดูสิครับ พอมันรู้ว่าผมเลี้ยงกาแฟ ดันทำหน้าเหวอเหลือเชื่อมากกว่าดีใจที่ได้กินกาแฟฟรี ตลกไหมล่ะครับ แต่ผมว่ามันทำหน้าโคตรตลก เหมือนหมาอะไรนะผมลืมไปแล้ว ที่ตัวเล็ก ๆ ขาสั้นๆ ตาโตๆ ...อ๋อ หมาชิวาว่านี่เอง ผมว่ามันเหมือนหมาชิวาว่ามากครับ ดูจากรูปทรงตัวเล็กขาสั้นชอบทำตาโต แถมพูดฉอดๆ เป็นต่อยหอย ถ้ามันเป็นหมาคงต้องเรียกว่าเห่าเก่งชิบเป๋ง

    เออ แถมไม่เป็นมิตรกับผมด้วย นี่ไม่ได้คิดไปเองหรอกนะผมสังเกตมันมาตั้งแต่รับน้องแรกแล้วๆ มันชอบทำตัวต่างจากคนอื่นครับ จะอธิบายยังไงดีนะคือมันมีแววตาที่อคติกับผมครับ เพราะแบบนี้ตอนแรกผมก็ไม่ชอบขี้หน้ามันสักเท่าไหร่ แล้วยิ่งตอนจับได้ชื่อมันเป็นน้องรหัสนะ โคตรของโคตรดวงซวย

    ไอ้ผมก็นึกว่าน้องรหัสผมเป็นผู้หญิง เห็นชื่อขมิ้น ชื่อจริงชื่อเขมณัฏฐ์ด้วย ผมก็เลยซื้อเค้กสตรอว์เบอร์รี่ให้ เพราะคิดว่าน่าจะชอบของหวาน แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าคนที่ได้เค้กผมไปดันเป็นไอ้ลูกหมานี่ซะงั้น

    ตอนนั้นผมมีเงิบครับบอกเลย จนต้องไปถามเนยอีกครั้งให้แน่ใจว่าคนที่ผมจับชื่อได้เป็นไอ้ลูกหมานี้แน่เหรอ แล้วปรากฏว่าก็ใช่ครับ ทั้งคณะปีหนึ่งที่ชื่อเขมณัฏฐ์ชื่อเล่นว่าขมิ้นเห็นจะมีอยู่คนเดียว เฮ้อ ผมก็เลยตามเลยครับ จะไปขอแลกกับเพื่อน พวกเพื่อนๆ มันก็ส่ายหน้าปฏิเสธผมกันทั้งนั้น ซ้ำยังบอกอีกว่าผมได้ไอ้ลูกหมาเป็นน้องรหัสน่ะดีแล้ว ไอ้ลูกหมาน่ารักอย่างนู้นน่ารักอย่างนี้ ชมกันไม่หยุดปากเลยพวกกิ๊ยพวกเนยน่ะ แต่ไม่มีใครยอมแลกกับผมสักคน เฮ้อ ให้มันได้ยังงี้ดิ แม่งเอ๊ย

    และเพราะแบบนี้ผมก็เลยซื้อเค้กให้มันอยู่เรื่อย ๆ ถ้าวันไหนผมแวะร้านประจำผมน่ะนะ ไม่บางทีก็ฝากตังไว้กับฐานทัพเพื่อนมัน เวลามันอยากกินอะไรก็ซื้อให้มันแทนผมหน่อยเพราะผมคงไม่โผล่หน้าไปให้มันเห็นบ่อยๆ หรอกจริงไหมครับ

    จนมาถึงวันนี้อคติที่ผมมีต่อมันก็ค่อยๆ เจือจางลงจนผมเองก็แปลกใจว่าทำไม

    แต่คงเพราะไอ้ลูกหมาเองก็ไม่ค่อยมีอคติกับผมแล้วมั้งครับ ไม่รู้ดิ มันดูพูดมากเวลาอยู่กับผมทั้งที่ตอนแรกๆ นู่นแทบไม่ค่อยจะปริปากพูด

    มันก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีนะครับที่ไม่ต้องมาเกลียดหรือไม่ชอบขี้หน้ากัน ยังไงๆ มันก็น้องรหัสผม ผมก็เป็นพี่รหัสมัน ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ในสายสั่นคลอนน่ะครับ เป็นมิตรต่อกันไว้น่ะดีที่สุด

    แต่ไม่รู้ว่าผมทำตัวเป็นมิตรกับมันมากเกินไปหน่อยรึเปล่า ไอ้ลูกหมานี่จึงเริ่มมาตามติดผมแจ บอกก่อนนะครับว่าไม่ได้คิดไปเองเพราะมันมายืนหัวโด่อยู่หน้าห้องเรียนผมเนี่ย

    “มาทำไม” ผมถามพลางยืนพิงประตูรอคำตอบ

    “เพื่อนผมให้มาตาม”

    พอมันพูดแบบนั้น ผมก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ผมมีนัดกับฐานทัพเรื่องการซ้อมเดินเวทีประกวดดาวเดือนมหาวิทยาลัยที่กำลังจะจัดขึ้นในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ คือผมถูกพี่บีบีกับพี่จีจี้บังคับให้มาเป็นเทรนเนอร์สอนน้องมันซ้อมเดิน ด้วยเหตุผลที่ว่าผมเคยไปเป็นนายแบบให้นิตยสารนายแบบมาครั้งหนึ่งเมื่อตอนสมัยเรียนมัธยมปลาย

    อันที่จริงมันก็แค่โฆษณาธรรมดาๆ ไม่เชิงว่าถ่ายแบบหรอก แต่ก็นั่นแหละพวกเจ๊ๆ เขาทึกทักว่าผมต้องโปร มีประสบการณ์บลาๆ ซึ่งผมเถียงไปก็ไม่มีประโยชน์ครับ เปลืองน้ำลายเปล่าๆ

    ผมเลยต้องจำใจไปเป็นเทรนเนอร์จำเป็นให้แบบขอไปที

    “เลิกเรียนแล้วเหรอ”

    “ไม่เลิกจะมาตามพี่ได้ไหมล่ะครับ”

    ไอ้เด็กเวรนี่กวนตีนผมได้ตลอดสิน่า

    “ล่ะมึงแดกข้าวยัง”

    “ครับ?”

    มันจะทำหน้างงทำไมวะ แค่ผมถามว่ามันแดกข้าวรึยัง เฮ้อ ถามใหม่ก็ได้วะ

    “พวกมึงแดกข้าวกันยัง”

    “อ่อ ยังครับ”

    “งั้นไปหาไรแดกก่อน บอกฐานทัพมันด้วยว่าเตรียมออกรถ กูจะไปแดกเอ็มเค”

    “อะ เอ็มเค?” ไอ้ลูกหมาถามย้ำพลางขมวดคิ้วทำหน้างง

    “เออ กูจะไปแดกเอ็มเคก็อยากกินจบปะ”

     

     

    ***

     

    ภายในรถบีเอ็มของไอ้ฐานตอนนี้เต็มไปด้วยความอึมครึมของผู้โดยสารที่ไม่คิดปริปากพูดอะไรออกมาสักคำตั้งแต่ก้าวเข้ามานั่งในรถ ผมเหลือบมองพี่ปูนจากกระจกมองหลัง เห็นพี่แกนั่งเอาแขนเท้าประตูตามองออกไปข้างนอกราวกับสนใจทัศนียภาพการจราจรที่ติดขัด

    “จะถึงห้างยังวะ” ผมแอบกระซิบถามไอ้ฐานคนขับรถ

    “ยัง อีกสองไฟแดงก็ถึงแล้ว แต่รถติดแบบนี้คงก็ต้องรอกันไปยาวๆ”

    “อ่า เค” ผมกลับมานั่งจ๋องตามเดิม ส่วนตาก็เหล่มองผู้โดยสารที่นั่งอยู่ข้างหลังเป็นระยะๆ

    พี่ปูนก็ยังคงนั่งอยู่ท่าเดิมแทบไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ไม่รู้ว่าไม่เมื่อยบ้างหรือยังไง

    “ระวังตาเหล่”

    ไอ้ฐานจู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาทำเอาผมตกอกตกใจแทบแย่ ผมนี่หันขวับไปจ้องมันเขม็งเลย ละดูมันยิ้มแซวผมสิครับน่าไล่เตะตูดฉิบหาย และเพราะเมื่อกี้ไอ้ฐานเล่นโพล่งขึ้นมาซะดัง คนที่นั่งอยู่เบาะหลังเลยหันมาให้ความสนใจ

    อุ่ย...ฉิบหายล่ะต้องรับกลบเกลื่อน

    “ระ รถติดจังเลยนะครับว่าไหม”

    “ก็ติดมาตั้งนานแล้ว มึงความรู้สึกช้าเหรอ”

    เออ ก็จริงมาทักเหี้ยอะไรตอนนี้ T - T

    “เอ่อ แล้วทำไมพี่อยากกินเอ็มเคล่ะครับ”

    “อยากแดกก็คืออยากแดกต้องมีเหตุผลด้วย?”

    อ้าว แค่ถามเฉยๆ ทำไมต้องทำหน้าดุวะ ผมเงียบไปสักพักก่อนพี่ปูนจะถามขึ้นมาว่า

    “มึงไม่ชอบกินเอ็มเคเหรอ?”

    “หะ ผมเหรอ เอ่อ…เปล่าครับก็กินได้ แต่ปกติจะชอบกินบุฟเฟต์แถวหลังมอมากกว่า เอ็มเคผมว่ามันแพงไป”

    “มีคนเลี้ยงก็แดกๆ ไปเถอะน่า”

    “หะ? พี่จะเลี้ยงเหรอ?”

    “หรือมึงอยากจ่ายตัง”

    “ก็ต้องอยากกินฟรีสิ”

    “งั้นก็อย่ายึกยัก”

    ยึกยักอะไรล่ะผมเปล่านะ ก็แค่ประหลาดใจไงครับประหลาดใจน่ะ ก็เห็นบอกอยากกินเอ็มเค ก็นึกว่าพี่เขาจะไปกินคนเดียวแต่ปกติก็ไม่มีใครเขามากินเอ็มเคคนเดียวนี่หว่า เออผมก็บ้าคิดไปได้

    ว่าแต่เดี๋ยวนะ พี่ปูนบอกว่าจะเลี้ยงนี่หรือหมายความว่า พี่เขาจะญาติดีกับผมแล้ว?

    “มองหน้ากูทำไม”

    “ผมแค่แปลกใจ”

    “แปลกใจอะไร”

    “นี่พี่ตัวจริงหรือโดนอะไรเข้าสิงมาครับ”

    “…”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×