ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Hey bro! : พี่(รหัส)ครับ 【สนพ.ลาเวนเดอร์】END

    ลำดับตอนที่ #11 : หมากระทุ หมูกระทะ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.8K
      109
      31 มี.ค. 64

     

     

    ตอนที่ 11 

    หมากระทุ หมูกระทะ 

     

     

    สุดท้ายการวิ่งสามขารอบคณะแบบมาราธอนยี่สิบห้ารอบก็จบลงด้วยดี...ดีกับผีน่ะสิครับ แม่งเล่นเอาผมปวดขาไปตั้งหลายวัน อย่างว่าแหละนะคนไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย จู่ๆ ก็ต้องมาวิ่งสามขารอบคณะตั้งยี่สิบห้ารอบ แถมก่อนวิ่งผมก็ไม่ได้วอร์มร่างกายด้วยอาการเลยหนักครับ ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาผมเหมือนคนแก่อายุแปดสิบเลย ลุกก็โอย นั่งก็โอย ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวอะไรก็ปวดระบมไปหมดเลยล่ะครับ TOT

    “วันนี้มึงเดินลงบันไดไหวไหมเนี่ย” ไอ้การ์ฟิลด์ถามผม

    “พอไหว”

    “ไม่ต้องให้พวกกูหิ้วปีกแล้วแน่นะ” ไอ้ข้าวถามย้ำอีกครั้ง เพราะไอ้ข้าวกับไอ้ฟิลด์รับหน้าที่คนหามส่งผมขึ้นลงตึกเรียนช่วงที่ขาผมเดี้ยง

    “เออ” ผมเก็บชีทเรียนและเครื่องเขียนใส่กระเป๋าสะพาย แต่ยังไม่ออกจากห้องในทันที ขอนั่งแช่แอร์เย็นๆ อีกสักพักเถอะ ไม่อยากรีบกลับหอไปนอนร้อนตากพัดลมที่ไม่มีความเย็นใด ๆ

    “งั้นพวกกูกลับหอละนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้"

    “เค บาย ผมโบกมือลาพวกไอ้ข้าวกับไอ้ฟิลด์ที่สลายตัวกลับหอเนื่องจากผมไม่ต้องวานคนหามลงบันไดแล้ว 

    ...

    ในห้องเหลือแค่ผมที่ยังขี้เกียจลุกกับไอ้ฐานทัพที่นั่งสไลด์ไอแพดดูนั่นดูนี่ของมันไปเรื่อยเปื่อย พวกผมดูเหมือนว่าง จริงๆ ก็ว่างนั่นแหละครับไม่มีกิจกรรมรับน้องแล้ว พอเลิกเรียนถ้าไม่นัดเพื่อนๆ ไปกินข้าวเย็น ก็ไม่มีอะไรจะทำ เหมือนอย่างตอนนี้เป็นต้น

    “ไอ้ฐานพรุ่งนี้เย็นไปกินข้าวร้านป้าผ่องกันไหม”

    “อืมได้ ชวนพวกไอ้ข้าวด้วย”

    “เดะค่อยชวนในไลน์”

    “เค”

     

    และในห้องก็เงียบไปเพราะไม่มีใครพูดอะไรออกมา ผมเองก็เกือบจะผล็อยหลับไปแล้วถ้าไม่ติดที่ว่าโทรศัพท์ผมที่วางอยู่บนโต๊ะมันสั่นครืดๆ 

    ใครโทรมาวะ?

    หน้าจอโทรศัพท์ผมปรากฏเบอร์แปลกที่ผมไม่คุ้นตา ดังนั้นพอผมกดรับสายผมจึงพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพไว้ก่อน

    “ฮัลโหล ใครครับ” ผมกรอกเสียงลงไป ไม่นานปลายสายก็ต้องกลับมาด้วยเสียงห้วนๆ และคำตอบที่ผมสงสัยก็ถูกคลี่คลาย คนที่โทรมาคือพี่ปูนครับ!

    ผมรีบถามกลับไปโดยอัตโนมัติว่ารู้เบอร์โทรผมได้ไง แต่ฝ่ายนั้นก็กวนตีนผมด้วยการบอกว่าไม่ต้องรู้ ละยังบอกให้ผมไปเจอกันที่ร้านบุฟเฟต์หน้ามอตอนหกโมงอีก ละพี่แม่งก็ตัดสายไปดื้อๆ คือผมงงนะครับเนี่ย? จู่ ๆโทรมาบอกปุบปับไม่อธิบายอะไรเลย

    “เป็นไรวะ ทำหน้าเหมือนคนปวดขี้”

    “ปวดขี้พ่อง กูแค่งงแดกอะดิ”

    “งงแดกอะไร”

    “พี่ปูนโทรมา”

    “อ้าวก็ดีละนิ”

    “ดีไม่ดีกูก็ไม่รู้ แต่พี่เขาบอกให้ไปเจอกันที่ร้านบุฟเฟต์หน้ามอตอนหกโมงเย็น”

    “พี่เขาจะเลี้ยงบุฟเฟต์มึงมั้ง”

    “ในโอกาสอะไรวะ? กูเพิ่งทำให้พี่เขาต้องมาวิ่งสามขารอบคณะกับกูตั้งยี่สิบห้ารอบ พี่เขาคงไม่เลี้ยงขอบคุณกูหรอก”

    “นั่นดิ ถ้าเป็นกูนะกูอยากเขกกบาลมึงมากกว่าพาไปเลี้ยงบุฟเฟต์”

    พูดอีกก็ถูกอีก นี่สรุปว่ามันยังไงกันแน่ครับเนี่ย เฮ้อ

     

    ***

     

    P’Poon’Part

     

    กิจกรรมรับน้องต่าง ๆ ของคณะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ต่อจากนี้คงไม่มีอะไรให้วุ่นวาย ผมคงได้ใช้ชีวิตของนักศึกษามหา'ลัยอย่างสงบสุข ถ้ามันสงบสุขก็ดีน่ะสิครับรู้ไหมผมคิดผิดถนัด ผ่านมาได้ราวสามวันพี่จีจี้ก็ทักไลน์มาชวนผมไปกินบุฟเฟต์เห็นบอกว่าเป็นการเลี้ยงสายต้อนรับน้องใหม่ นี่ถามผมสักคำถามว่าผมอยากจะกินบุฟเฟ่ต์ไหม แต่ต่อให้ผมโวยไปมันก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ก็พี่จีจี้เขาจะกินซะอย่างใครก็ขวางบุฟเฟ่ต์กับเจ๊แกไม่ได้หรอก 

    เฮ้อ พูดก็พูดเถอะนะครับ ผมเตือนพี่จีจี้ไปยังไม่ทันขาดคำว่าพี่แกควรลดพวกการกินบุฟเฟ่ต์ลลงซะบ้าง แต่มีฟังกันที่ไหนล่ะ พอน้ำหนักขึ้นก็มาโอดครวญลงโซเชี่ยลอย่างนู้นอย่างนี้ ไม่ใช่แค่นั้นนะบางวันถ้าผมซวยเจอพี่แกที่โรงอาหารเป็นต้องถูกลากไปนั่งฟังเจ๊แกบ่นๆ และบ่นๆ ซึ่งนั่นแหละครับเป็นสิ่งที่ผมโคตรไม่อยากจะเจอ

    “เอาไงที่เจ๊จีจี้ชวน ไปปะเย็นนี้” ไอ้นิกกี้ถามเดินเข้ามาถามผม มันสนิทกับพี่จีจี้มากกว่าผมซะอีกมั้งเนี่ย

    “ไม่รู้ว่ะ”

    “ไม่รู้ได้ไงเลี้ยงสายมึงนะโว้ย”

    “ละมึงไปทำไม”

    “อ้าวก็เจ๊เขาชวน”

    “กูว่ามึงสลับสายรหัสกับกูเลยไหมไอ้นิก”

    “อย่าท้านะเว้ย พี่รหัสกูจ้องเขือบมึงตาเป็นมัน” ไอ้นิกยิ้มเยาะ

    ผมได้ฟังแค่นั้นก็ขนลุกเกียว พี่รหัสไอ้นิกคือพี่บีบีหนึ่งในก๊วนเดียวกับพี่จีจี้นั่นแหละ แต่รายนี้น่ากลัวกว่าพี่จีจี้เป็นร้อยเท่า

    “กูว่าพี่รหัสกูเป็นพี่จีจี้ก็ดีล่ะ” อย่างน้อยชีวิตผมก็ปลอดภัยกว่าอยู่กับพี่บีบีก็ละกัน

    “สรุปไงไปไม่ไปจะได้บอกเจ๊”

    “เออกูไป”

    “เค” ไอ้นิกหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ยิกๆ สักพักก็เงยหน้าขึ้นมามองผม

    “เจ๊เขาบอกให้มึงชวนน้องปีหนึ่งไปด้วย”

    “ทำไมพี่แกไม่ชวนเองวะ”

    “เจ๊เขาบอกว่ามึงเป็นปีสองมึงควรชวนปีหนึ่ง”

    เกี่ยวเหรอครับ ใครชวนก็เหมือนกันนั่นแหละ

    “บอกพี่จีจี้ว่าไปชวนเองเถอะ กูไม่มีไลน์มัน”

    “ทำไมมึงไม่ไลน์ไปคุยกับเจ๊จีจี้เองวะไอ้ปูน” ไอ้นิกย้อนถามผมกลับ 

    “ก็กูบล็อคไลน์พี่มันไว้”

    “โห นี่มึงถึงขั้นบล็อคเลยเหรอ”

    “เออ รำคาญ ช่วงประกวดดาวเดือนปีก่อนชอบไลน์มาจิกหัวกูให้ไปซ้อมเดิน กูเลยบล็อคแม่งเลย”

    “เรื่องมันนมนานตั้งแต่ปีที่แล้ว มึงยังไม่หายเคืองเจ๊เขาอีกเหรอวะ”

    “ไม่หายโว้ย”

    “กูล่ะเบื่อจริง ๆ ทั้งมึงถ้าพี่จีจี้ กัดกันแหง่ๆ อยู่ได้”

    “ก็พี่จีจี้แม่งหาเรื่องจิกกัดกูก่อน”

    “นั่นเพราะมึงไปกวนตีนพี่เขาไง”

    “ก็กูยังมีหนี้แค้นที่ยังชำระไม่หมดไง” คนที่ทำให้ผมต้องมาลำบากกับการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย ไปไหนก็มีแต่คนรู้จัก ว่าเป็นเดือนคณะนิติก็พี่จีจี้นี่แหละ 

    “มึงนี่น้า ได้เป็นเดือนมันไม่ดีตรงไหนวะ กูยังอยากได้ตำแหน่งเลยเสียดายตกรอบคัดเลือก"

    "ไม่ดีทุกตรงไอ้สัตว์ มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบเป็นจุดสนใจของใครต่อใคร"

    "เออจ้ะ พ่อคนหล่อรักสันโดน ระวังหาเมียไม่ได้นะโว้ย"

    "ช่างแม่ง กูไม่ได้สนใจนิ"

    "เออๆ แล้วแต่มึงละกัน กูส่งไลน์ไปบอกเจ๊แกให้ละนะ”

    ผมพยักหน้ารับ สักพักไอ้นิกกี้ก็หันกลับมาบอกผมว่า

    “เจ๊เขาบอกว่าไม่มีไลน์งั้นก็โทรไป”

    “บอกอิเจ๊มันไปว่ากูไม่เบอร์มัน” ผมชักจะหัวร้อนแล้วนะ พี่จีจี้นี่ก็กัดไม่ปล่อยจริงๆ 

    “มึง” ไอ้นิกเรียกผมพร้อมทำหน้าอึ้งๆ 

    “ไร” 

    “เจ้เขาส่งเบอร์น้องรหัสมึงมาให้เลยว่ะ” ก่อนมันจะหัวเราะแหะๆ 

    เออเอาเขาไป นี่จะยัดเยียดให้ผมชวนให้ได้เลยใช่ไหม และเมื่อไม่มีอะไรจะเอามาอ้างได้ ผมจึงขอยืมโทรศัพท์ไอ้นิกมากดโทรหาไอ้ลูกหมา ถ้าถามว่าทำไมผมไม่ใช่โทรศัพท์ตัวเอง พอดีแบตหมดครับ

    ตู๊ด...

    ผมถือสายรออยู่สักแป๊บปลายสายก็กดรับ

    ‘ฮัลโหล ใครครับ’

    “พี่รหัสมึงไง”

    ‘พะ พี่ปูนเหรอ!? เอาเบอร์ผมมาจากไหนเนี่ย’

    “เรื่องของกู ไม่ต้องรู้ เอาเป็นว่าเย็นนี้หกโมงเจอกันที่ร้านบุฟเฟต์ปิ้งย่างหน้ามอ มีนัดเลี้ยงสายมึงจะมาไม่มา”

    ปลายสายเงียบไปสักพักเหมือนคนกำลังครุ่นคิด 

    “กูต้องการคำตอบวันนี้ไม่ใช่ชาติหน้า”

    “อะ กะ ก็ได้ครับ ไปก็ได้ครับ!”

    “เออเค ก็แค่นี้” พูดจบผมก็ตัดสายทิ้งแล้วส่งโทรศัพท์คืนให้ไอ้นิก ก่อนที่ผมบอกให้มันส่งไลน์ไปบอกพี่รหัสตัวดีของผมว่าผมชวนแล้ว ห้ามมาบ่นผมอีก ขี้เกียจฟัง

     

     

    ***

     

    เวลาหกโมงเย็นผมเป็นคนแรกสุดที่มาถึงร้านบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่าง เพราะรู้สึกเข็ดกับการมาสายพอใกล้เวลานัดผมก็รีบขี่มอเตอร์ไซค์ออกมาเลย คนต่อมาที่มาถึงร้านคือพี่จีจี้ที่เป็นคนต้นคิดชวนมากินหมูกระทะและตบท้ายด้วยพี่ปูนที่พ่วงพี่นิกกี้มาด้วยอีกคน

    “มากันครบแล้วเนอะ” พี่จีจี้ถาม

    “ก็มีอยู่แค่นี้ มองไม่เห็นไง” แต่คนตอบดันตอบได้โคตรกวนประสาทสุดๆ ไปเลย 

    “ฉันไม่ได้ถามแกยะ” พี่จีจี้จิกตาจ้องพี่ปูนทันที คู่นี้นี่เป็นไม้เบื่อไม่เมากันหรือยังไง

    “อ่อเหรอครับ”

    “เออยะ” 

    “แค่อุทานทำไมต้องแขวะวะพี่”

    “ใครแขวะฉันก็อุทานเหมือนกัน”

    เอาแล้วสงครามปะทะฝีปากระหว่างพี่น้อง...

    “ผมว่าเรารีบเข้าร้านไปนั่งกันก่อนดีกว่าเนอะ นี่เราก็ยืนขวางหน้าร้านเขานะครับ” และต้องขอบคุณมากๆ ที่พี่นิกกี้มาด้วย ไม่งั้นใครจะห้ามศึกระหว่างสองคนนี้ได้ แน่นอนว่าคงไม่ใช่ผมแน่ๆ

    “งั้นเจ้ามือเชิญก่อน” พี่ปูนเขยิบหลีกทางให้พี่จีจี้เดินเข้าร้าน ก่อนพวกผมจะค่อยๆ ทยอยเดินตามมานั่งจนครบ ซึ่งโต๊ะที่พี่จีจี้จองไว้เป็นโต๊ะสองเตานั่งได้สี่คน นั่นหมายความว่าหนึ่งเตาต้องนั่งกินกันสองคน ละแม่งโคตรจะประจวบเหมาะเกินไปมาก พี่จีจี้ดันแยกกันนั่งคนละเตากับพี่ปูน และพี่นิกกี้ดันชิงแย่งนั่งตรงข้ามพี่จีจี้ไปแล้ว ผมที่เดินตามเข้าคนสุดท้ายก็ไม่มีทางเลือกต้องไปนั่งกับพี่ปูนอย่างเลี่ยงไม่ได้

    “เต็มที่เลยนะจ้ะขมิ้น บุฟเฟต์ร้านนี้อร่อยพี่จีจี้คอนเฟิร์ม” 

    “ครับพี่จีจี้ ขอบคุณนะครับที่พามาเลี้ยง”

    "ไม่เป็นไรจ้ะ อยากกินบุฟเฟ่ต์เมื่อไหร่ชวนพี่ได้เสมอเลยนะ" 

    “ชวนแต่หลานรหัส ลืมน้องรหัสคนนี้ไปแล้วเหรอครับ” คนตรงข้ามผมก็ไม่รู้เป็นอะไร วันนี้ผีเจาะปากมาพูดจริงๆ

    “ไอ้น้องรหัสที่เคยชวนมากินแค่ไม่ค่อยโผล่หัวมาน่ะนะ พอดีลืมไปแล้วไม่อยากจะชวนให้เสียอารมณ์หรอกย่ะ” 

    “งั้นวันนี้อะไรดลใจให้ชวนผมมาล่ะครับ”

    “ก็เพราะฉันจะเลี้ยงสายไงยะ ไม่อย่างนั้นอย่าหวังว่าแกจะได้มาแดกฟรี”

    การโต้เถียงดูเหมือนจะไม่สงบลงง่ายๆ พี่นิกกี้ที่รู้สถานการณ์ดีจึงรีบยกมือขึ้นห้ามทัพ

    “น่าเจ๊ นาน ๆ จะได้มากินด้วยกันแบบนี้ทั้งที ยังมาทะเลาะกันเลยนะเจ๊”

    “เออก็ได้ยะ” พี่จีจี้ทำท่าฮึดฮัดนิดหน่อยแต่ก็ยอมเลิกราแต่โดยดี 

     

    พอสงครามดูเหมือนจะสงบลงแล้วผมก็ลุกออกไปตักเนื้อมาเตรียมย่างบนกระทะที่พนักงานยกมาตั้งให้ ผมเดินไปคีบพวกเนื้อไก่หมักซอส เบคอน ใส่จานมาและไม่ลืมตักหมูเด้งของโปรดติดไม้ติดมือมาด้วย ผมกะว่าจะต้มในน้ำซุปทำเป็นลูกชิ้น 

    กลับมาถึงโต๊ะผมก็ลงมือคีบพวกเนื้อไก่ลงกระทะย่างทันที เสียงฟู่ๆ กับกลิ่นย่างหอมๆ มันทำให้ผมรู้สึกหิวขึ้นมาทันที ผมเอื้อมมือที่จับตะเกียบพุ่งตรงไปยังเนื้อไก่ของผมทันทีทว่า...

    “มึงเพิ่งวางลงไปยังไม่ถึงสิบวิมึงจะพลิกแล้วเหรอ” เสียงดุมาพร้อมกับตะเกียบที่ยื่นมาขัดจังหวะการคีบเนื้อไก่ของผม

    “ผมว่ามันใช้ได้แล้ว”

    “ใช้ได้ห่าอะไรล่ะ มันยังไม่สุก” พี่ปูนใช้ตะเกียบจิ้มไม่ให้ผมพลิกเนื้อชิ้นนั้นขึ้นมา

    ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงเลยต้องหันไปพลิกหมูชิ้นอื่นแทน แต่ตะเกียบของพี่ปูนก็ยังตามมาราวีไว้เลิกรา

    “ยังไม่สุก”

    เชอะ เล็งชิ้นอื่นก็ได้วะ

    “อันนี้ก็ยังไม่สุก”

    งั้นชิ้นนี้เบคอน

    “ก็ยังไม่สุก”

    “ผมรู้ครับ!” ผมชักจะหาดความอดทนแล้วนะเนี่ย นี่ผมไม่ใช่เด็กสามขวบย่างหมูกระทะไม่เป็นนะ

    “งั้นก็รอให้มันสุกดีก่อนค่อยกลับด้าน พลิกเนื้อบ่อยๆ เนื้อมันจะแห้งกินไม่อร่อย”

    จริงอะ? นี่ผมเพิ่งรู้นะว่าการปิ้งหรือย่างเนื้อสัตว์เขาไม่ให้พลิกบ่อย

    “รออีกเดี๋ยวก็ใช่ได้แล้ว ไม่ต้องรีบแดกไม่มีใครแย่งมึงหรอกน่า”

    เอาวะ รอก็รอ ขืนไม่รอก็โดนดุอีก 

    ...

    ผ่านไปราวห่านาทีเนื้อบนกระทะเริ่มที่จะสุกได้ที่ ผมก็จัดแจงคีบเนื้อที่สุกแล้วใส่ถ้วยตามด้วยน้ำซุป และวุ้นเส้นตามลงไปทำเหมือนเป็นสุกี้น้ำที่เน้นเนื้อไม่เน้นผัก

    “อร่อย!” ผมยิ้มแก้มปริ เมื่อได้ลิ้มรสชาติที่ไม่ได้กินมานานพอสมควร 

    “ไม่จิ้มน้ำจิ้มอะ” พี่ปูนถามเมื่อเห็นว่าผมเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ตักน้ำจิ้มอะไรมาเลย

    “ก็ชอบกินแบบนี้นี่ครับ” เนื้อเขาหมักไว้ดีมากๆ มีรสชาติกลมกล่อมไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้มก็อร่อยครับ

    “กินผักด้วยดิ มึงอย่ากินแต่เนื้อ”

    “กินหมูกระทะก็ต้องเน้นเนื้อเป็นหลักสิ”

    “มึงไม่ชอบกินผัก?”

    “ใครว่าผมกินได้หมดนั่นแหละ”

    “งั้นก็แดกเข้าไป เอ้าเนี่ยผักบุ้ง ผักกาด”

    “พี่ไม่ต้องคีบให้ผมหรอก ผมคีบเองได้”

    “กูเปล่าคีบให้มึง กูยัดเยียดให้มึงกิน” 

    “ว่าแต่พี่ไม่กินหรือไง”

    “กูไม่ค่อยหิว”

    “ไดเอตเหรอพี่”

    “ละมึงคิดว่าหุ่นอย่างกูต้องไดเอตปะ”

    “เอ่อ ก็ไม่น่าครับ”

    “แดกไป เอ้านี่ไก่”

    เนื้อไก่ถูกคีบใส่ถ้วยผม ตามด้วยเบคอนและหมูสไลด์ ผมมองถ้วยตัวเองที่ไม่เคยว่างเปล่าสลับกับของพี่ปูนที่แทบจะไม่มีอะไรเลย

    “พี่ก็กินบ้างดิ เอ้าลูกชิ้นหมูเด้งของเด็ดนะจะบอกให้” ผมคีบลูกชิ้นหมูเด้งที่ต้มไว้ใส่ในชามให้พี่เขาลองกินดู

    “สุกยังเนี่ย”

    “ยังครับ นี่วันพฤหัส”

    “นี่กวนตีน?”

    “โธ่ หยอกนิดหยอกหน่อยก็ไม่ได้ ชอบทำตาดุ”

    “ตากูก็เป็นงี้มาตั้งแต่เกิด”

    “ตาที่เป็นผัวยายน่ะเหรอครับ”

    “สัตว์ ยังจะเล่นลิ้น เดี๋ยวเอาหมูกระทะสาดหน้าแม่ง”

    “ทำไมต้องโหด นี่น้องรหัสพี่นะ”

    “กูก็พี่รหัสมึงนะ”

    เหรออออออ~ ผมล่ะอยากลากเสียงลากให้ถึงดาวอังคาร

    “ไม่ต้องมาทำหน้ากวนตีนกู”

    “ผมเปล่านะ” ผมตอบไปแบบหน้าซื่อตาใส แต่ในใจนี่คิดตรงกันข้ามเลยล่ะ

    “ยังไม่เลิกจ้องหน้ากู เดี๋ยวเอาตะเกียบจิ้มตาแตก”

    “โห้ย ซาดิสม์”

    “พูดมากนักนะมึง แดกลูกชิ้นหมูเด้งของมึงไป”

    “อะ! ร้อน! พี่ก็ยัดใส่ปากผมมาได้!” ผมโวยวายเสียงอู้อี้ ในขณะรีบคว้าถ้วยมาคายลูกชิ้นหมูเด้งออกจากปากก่อนที่ลิ้นผมจะสุก

    “สมน้ำหน้า ไอ้สัตว์กวนตีนดีนัก”

    “เยาะเย้ยผมเหรอ”

    “เออ”

    “พี่รหัสอะไรวะ ไม่เห็นน่ารักเลย”

    “กูไม่จำเป็นต้องน่ารัก”

    “จำเป็นดิ ใครๆ ก็อยากได้พี่รหัสน่ารัก ทำตัวดี ทะนุถนอมน้องรหัสกันทั้งนั้น”

    “คนๆ นั้นคงไม่ใช่กู”

    “ทำไมล่ะ เป็นพี่รหัสที่น่ารักให้ผมหน่อยไม่ได้เหรอ”

    เหมือนคำถามนี้ของผมจะทำให้อีกฝ่ายนิ่งอึ้งไปสักแป็บ ก่อนพี่ปูนจะตอบเสียงแข็งกลับมาว่า

    “ไม่ได้”

    “ใจร้ายว่ะ”

    “เรื่องของกู” พี่ปูนเบือนหน้าหนีไปคีบก้มหน้ากินโดยไม่พูดอะไรกับผมอีก

    ผมเองก็ไม่รู้จะชวนคุยอะไรแล้วเหมือนกัน เอาตรงๆ ก็กลัวโดนหมูกระทะสาดหน้าอยู่เหมือนกันถ้าไปกวนตีนพี่เขาอีก ผมเลยหันมาตั้งตากินต่อ

    ในระหว่างนั้นหางตาผมก็เห็นปลายตะเกียบจากฝั่งตรงข้ามคีบเนื้อย่างใส่ถ้วยของผมชิ้นแล้วชิ้นเล่า ผมช้อนตาขึ้นไปมองก็เห็นพี่ปูนเหมือนจะเลิกกินและหันมาทำหน้าที่ย่างหมูย่างไก่ให้ผมแบบเต็มตัว

    ผมไม่ได้ทักหรือพูดอะไร ทำเป็นไม่สนใจและกินต่อ แต่ความจริงคือแอบอมยิ้มไปเรียบร้อยแล้ว 

    ก็ไม่ยักรู้ว่าคนที่ปากบอกว่าไม่น่ารัก จะกำลังทำตัวน่ารักอยู่ตอนนี้

    แหม คนอะไรปากร้ายแต่ใจดีนี่หว่า :)

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×