คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : สายรหัสของผม
ตอนที่ 9
สายรหัสของผม
พี่ปูนลากผมมาหาพี่ๆ สายรหัสอีกสองคน คือพี่จีจี้ปีสามและพี่ฝนปีสี่ที่เป็นผู้หญิงคนเดียวในสาย โดยรวมสายผมนั้นน่ารักและดูช่างคุยกันเกือบทุกคน เว้นจะมีอยู่คนหนึ่งละมั้งครับเนี่ยที่เป็นแกะดำ ไม่ต้องบอกคงรู้นะว่าใคร...
หลังจากพูดคุยกันไปเล็กน้อยพอหอมปากหอมคอ พี่ๆ ก็ให้ผมนั่งลงเพื่อทำพิธีผูกข้อมือรับขวัญ ซึ่งจะทำการปิดไฟให้บรรยายมืดสลัวอยู่ภายใต้แสงเทียนที่สว่างไสว สายรหัสผมพี่ฝนเป็นคนแรกที่อวยพรและผูกข้อมือให้ ต่อมาเป็นพี่จีจี้และไล่ลงมาตามลำดับ คนสุดท้ายนั่นก็คือพี่ปูน
“ยื่นมือมา”
“พี่จะไม่อวยพรให้ผมก่อนเหรอ”
“ยื่นมือมึงมาก่อน” เสียงเข้มดุผม ผมจึงต้องยื่นมือส่งให้อย่างไม่คิดอะไร คนอย่างพี่ปูนคงอยากจะรีบๆ ผูกให้มันจบๆ ไปมั้งครับ แต่ใครว่า...นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิดผิด
“ต่อจากนี้อีกสี่ปี ขอให้มึงตั้งใจเรียน มีความสุขกับชิวิตในรั้วมหาวิทยาลัย สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา”
ผมเงยหน้าขึ้นมามองอย่างประหลาดใจ พี่ปูนกำลังบรรจงผูกสายสิญจน์พร้อมกับพูดอวยพรผมไปด้วย ในตอนนั้นผมรู้สึกว่าถึงพี่ปูนจะดูนิ่งๆ ไม่ได้ต่างไปจากปกติ แต่ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงกลับอ่อนโยนราวกลับเป็นคนละคน
“จะจ้องกูอีกนานไหม กูผูกเสร็จละเนี่ย”
อุย ลืมตัว ผมสาบานได้ว่าไม่ได้ตั้งใจจ้องหน้าพี่ปูนนะ ก็แต่แบบว่า บรรยากาศมันพาไปมั้งคนตรงหน้าผมเลยดูหล่อขึ้นมากว่าเดิมสิบเท่า แต่ถึงงั้นก็เถอะ พี่ปูนก็คือพี่ปูนอยู่วันยังค่ำ
ผ่านไปสักพัก สายรหัสกลุ่มอื่นๆ ก็เหมือนจะผูกข้อมือรับขวัญน้องใหม่กันครบหมดแล้ว ไฟจึงถูกเปิดขึ้นให้แสงสว่างอีกครั้ง พร้อมกับการโถมตัวเข้ามากอดผมของพี่จีจี้
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่สายรหัสนะจ๊ะ! หลานรหัสฉันทำไมน่ารักอย่างนี้”
ผมถูกพี่จีจี้ที่เป็นชายร่างบึกโผเข้ากอดหมับเข้าให้ ก่อนจะตามด้วยการจับแก้มหยีผมทำเหมือนผมเป็นน้องหมาน้องแมวไปได้
“จีจี้พอก่อน น้องขมิ้นช้ำหมดแล้ว”
“อุ๊ย หนูลืมตัว เวลาเจอผู้ชายน่ารักมันเป็นต้องอดใจไม่ไหวทุกที”
“เบาได้ก็เบาหน่อยนะจีจี้” พี่ฝนเอ่ยปราม
“ค่ะได้ค่ะ จีจี้จะพยายาม”
อ่าครับ แต่ก่อนหน้าที่พี่จะพยายามช่วยลดแรงกอดผมลงสักนิดเถอะครับ ร่างผมจะแหลกเหลวอยู่แล้วครับพี่!
ผมปล่อยให้พี่จีจี้กอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่สักพัก พี่ฝนก็แบกตระกร้าผ้าที่บรรจุขนมและของใช้ในชีวิตประจำวันต่างไว้จนล้นปรี่เข้ามาให้
“นี่จ้าของขวัญต้อนรับวันเปิดสายจากพี่”
“ขอบคุณครับพี่ฝน”
“ส่วนนี่ผ้าห่มนาโนนุ่มนิ่ม พี่จีจี้ให้เอาไว้ห่มช่วงหน้าหนาวจ้ะ” ผ้าห่มนุ่มฟูลายเป็ดสีเหลืองน่ารักถูกคลุมลงมาบนไหล่ผมพร้อมด้วยการกอดหมับของพี่จีจี้
“ขอบคุณครับพี่จีจี้ ลายน่ารักจังเลย”
“ใช่มะ พี่ว่าแล้วน้องต้องชอบ”
“ขอบคุณพวกพี่ๆ มากเลยนะครับ”
ผมรู้สึกดีใจแล้วปลื้มใจมาก ๆ เลยที่มีพี่รหัสน่ารักอย่างที่เคยหวังเอาไว้ เว้นก็แต่ว่า…มีบางคนเนี่ยสิไม่ค่อยจะน่ารักเหมือนอย่างคนอื่นเขาเลย ผมเหล่มองไปยังคนที่เอาแต่ยืนเงียบไม่ค่อยพูดค่อยจา
“แล้วพี่ไม่มีอะไรจะให้ผมบ้างเหรอ”
พี่ปูนปรายตามองผมแว๊บหนึ่งก่อนจะเดินไปหยิบถุงกระดาษถุงใหญ่มายื่นให้ผม
“เอาไป แล้วใช้ด้วย”
ผมรับถุงนั่นมาแล้วก้มมองของที่อยู่ข้างใน มันเป็นสมุดโน้ตและอุปกรณ์เครื่องเขียนมากมายใส่เอาไว้เกือบเต็มถุง
“นี่พี่เหมาร้านเครื่องเขียนมาเหรอ”
“งั้นมั้ง”
เกลียดวามกวนประสาทของพี่แม่งจริง ๆ เลยให้ตายสิ ว่าแต่นี่ขนซื้ออะไรมาเยอะแยะเนี่ย ทัั้งสมุด ปากกา ดินสอ ไฮไลท์ ผมรับประกันเลยว่าเรียนจบสี่ปีก็ยังใช้ไม่หมดแน่ ๆ ผมก็พอจะรู้มาบ้างว่าพี่ปูนน่ะมีฐานนะทางบ้านค่อนข้างดี แต่ไม่นึกว่าจะเปย์ให้ผมเยอะขนาดนี้ไง เอาจริง ผมแอบคิดว่าพี่ปูนจะไม่ให้อะไรผมด้วยซ้ำ
“ทำไม มีปัญหาอะไรกับของที่กูให้”
“ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย”
“ก็หน้ามึงมันฟ้อง”
“ผมแค่ตกใจที่พี่ซื้อของอย่างอื่นนอกจากเค้กให้ผมต่างหาก”
“เค้กกูไม่ดีตรงไหน อร่อยจะตาย”
“มันก็ดี แต่มันทำให้ผมอ้วน” นี่เรื่องจริงเลยนะ ช่วงที่ได้เค้กมาถี่ๆ ผมนี่กินจนน้ำหนักขึ้นเลย
“เรื่องของมึง”
“เรื่องของผมที่ไหน เรื่องของพี่นั้นแหละ นี่ผมถามจริงๆ เหอะ ทำไมพี่ต้องซื้อเค้กให้ผมด้วย”
“ก็กูชอบ”
หะ?
“มันควรจะเป็นของที่น้องรหัสอย่างผมชอบไม่ใช่เหรอ”
“ก็กูไม่รู้ว่ามึงชอบอะไร มึงไม่เคยบอกกูนี่”
“อ้าว แล้วทำไมพี่ไม่ถาม”
“แล้วทำไมมึงไม่บอก”
เอ๊ะ นี่ชักจะกวนประสาทกันแล้วนะ ไอ้พี่ปูน!
ในระหว่างที่ผมกับพี่ปูนกำลังทำสงครามประสาทกันอยู่นั้นเอง เสียงประกาศผ่านโทรโข่งก็ดังขึ้นเพื่อเตือนให้น้องๆ ปีหนึ่งที่อยู่หอในรีบกลับเข้าหอก่อนหอจะปิด
“น้องขมิ้นพักอยู่หอในหรือห้องนอกเอ่ย” พี่ฝนถามผม
“ผมอยู่หอนอกครับ”
“ไกลมากไหม ให้พวกพี่ไม่ส่งรึเปล่า” พี่จีจี้รีบอาสาทันที
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมให้เพื่อนไปส่ง มันมีรถยนต์”
“โอเคจ้ะ งั้นไว้คราวหน้าพี่จะพาไปเลี้ยงของอร่อยๆนะ วันนี้ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ที่ไม่ได้ซื้อของกินมาให้ ที่จริงพวกพี่คุยกันว่าจะซื้อพิซซ่ามาให้แต่คิวมันยาวมากเลยน่ะ” พี่ฝนขอโทษขอโพยผมเป็นการใหญ่ แต่ผมไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยเรื่องพวกนี้หรอกครับ แค่พวกพี่เขาต้อนรับผมเข้าสาย ผูกข้อมือรับขวัญให้ ก็ดีใจแล้วล่ะครับ นอกจากนี้ยังซื้อของมาให้อีกตั้งเยอะผมจะไปโกรธพวกพี่เขาลงได้ยังไงละจริงไหม :)
“ไม่เป็นไรครับพี่ฝน ไว้โอกาสหน้าก็ได้ครับ”
“งั้นคราวหน้าไว้พี่พาไปเลี้ยงสายนะ”
“ครับ”
“อุย ป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย เดี๋ยวพี่คงต้องขอตัวกลับก่อน จีจี้กับปูนฝากดูแลน้องด้วยนะ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะพี่ฝน จีจี้จะดูแลน้องขมิ้นเอง” พี่จีจี้ลากผมเข้าไปกอดหมับอีกครั้ง
“โอเคงั้นพี่ไปก่อนนะ บายจ้าจีจี้ บายจ้าปูน” พี่ฝนส่งยิ้มหวานให้ก่อนจะรีบวิ่งออกไป ทิ้งไว้เพียงผมที่ติดแหงกอยู่ในวงแขนของพี่จีจี้ผมบอกได้เลยว่าพี่จีจี้นอกจากร่างบึกบึนแล้วยังแรงเยอะมากด้วย ผมกลายเป็นไอ้กุ้งแห้งไร้ทางสู้ไปเลย T-T
ในตอนที่สิ้นหวังไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี เสียงคุ้นหูก็พูดขึ้นมาว่า
“พี่จีจี้ปล่อยได้แล้วมั้ง มันจะขาดอากาศเพราะกล้ามแขนพี่รัดคอมันตาย”
“ต๊าย! นังปูนว่าฉันมีกล้ามได้ยังไง”
“หรืออยากให้ผมเรียกว่าไขมัน นี่อุตส่าห์พูดอ้อมแล้วนะ”
“อ๊าย! ไอ้น้องรหัสปากหมา นี่แกว่าฉันอ้วนเหรอ!” พี่จีจี้ปล่อยตัวผมให้เป็นอิสระและเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นการเล่นงานน้องรหัสตัวเองแทน เหมือนคู่นี้ดูจะไม่ลงรอยกันนะครับ
“ผมบอกพี่แล้วว่าให้เพลาๆ เรื่องบุฟเฟ่ต์”
“บอกตอนไหนยะ อย่ามาตอแหล ไอ้น้องเวร เดือนๆ หนึ่งฉันเจอหน้าแกกี่ครั้งเอง นี่จงใจหลบหน้าฉันใช่ไหม”
“ไม่บอกก็น่าจะดูรู้นะพี่”
“นี่ด่าฉันว่าโง่เหรอ แกกล้าด่าพี่รหัสแกเหรอ!”
“ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลยพี่คิดเองนะ แล้วก็ถ้าพี่จีจี้อยากรู้ว่าอ้วนไม่อ้วน ก็ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง หาค่าดัชนีมวลกายเอาก็แล้วกันนะครับจะได้รู้ว่าอ้วนไหม”
“ผ่านมาปีหนึ่ง แกก็ยังกวนตีนฉันเหมือนเดิม นี่ฉันปวดหัวจนไมเกรนจะขึ้นแล้ว”
“ก็ผมบอกพี่แล้วให้แลกน้องรหัสกับคนอื่น”
“ไม่มีทางยะ เพราะถ้าแกไม่ใช่น้องรหัสฉัน ใครจะเคี่ยวเข็ญแกให้ลงประกวดเดือนคณะ”
“นั่นเขาเรียกบังคับกันมากกว่า”
“อะไร! ฉันเปล่าบังคับแกสักหน่อย นี่อย่ามาใส่ความกันนะ”
“แล้วที่พี่ส่งคนมาตามตื๊อ ก่อกวนผมทุกวี่ทุกวันนี่คืออะไร”
“ก็แค่กลยุทธ์หว่านล้อม”
สายตาพี่จีจี้เลิ่กลั่กมาก ผมว่าคงไม่ใช่แค่หว่านล้อมหรอก ข่มขู่ทางอ้อมซะมากกว่า มิน่าละคนอย่างพี่ปูนเนี่ยนะจะสนใจลงประกวดเดือนคณะทั้งที่นิสัยเป็นคนค่อนข้างเก็บตัว ที่แท้ก็เป็นเพราะถูกพี่รหัสอย่างพี่จีจี้บังคับนี่เอง
ในระหว่างที่ผมยืนดูพี่ปูนกับพี่จีจี้ประชันฝีปากกันอย่างไม่มีใครยอมใคร พี่กิ๊บที่เร่งให้น้องปีหนึ่งกลับหอก็เดินเข้ามาเตือนให้ผมรีบกลับเพราะนี่มันก็ถือว่าดึกมากแล้ว
“แล้วน้องขมิ้นกลับยังไง ให้พวกพี่ไปส่งไหม” พี่กิ๊บถามผมอย่างเป็นห่วง
“ผมกลับกับไอ้ฐานครับ ไม่เป็นไรครับพี่”
“โอเค งั้นฝากบอกพี่รหัสน้องด้วยว่าให้มาช่วยกันเคลียร์สถานที่ได้แล้ว” พี่กิ๊บปรายตามองไปยังสองคนนั้นที่ยังยืนต่อล้อต่อเถียง แขวะกันไป แซะกันมาไม่เลิก แล้วผมควรต้องทำยังไงดีครับเนี่ย สองคนนั้นเถียงกันไปเถียงกันมาไม่เว้นช่องไฟให้แทรกได้เลย ถามจริงนี่ไปโกรธกันมาตั้งแต่ชาติปางไหนครับเนี่ย?
“พี่สร้างความลำบากให้ผมโคตรๆเลยรู้ตัวไหม”
“แกก็สร้างปัญหาให้ฉันไว้ไม่น้อยเหมือนกันล่ะย่ะ”
“ผมบอกพี่แล้วว่าผมไม่ทำ”
“มาพูดตอนนี้มันก็สายไปแล้วย่ะ อีกอย่างเป็นเดือนคณะมันมีอะไรเสียหาย”
“มี ความเป็นส่วนตัวของผมไง”
“มีผู้ชายตั้งหลายคนอย่างได้ตำแหน่งนี้นะยะ"
“พี่ก็ไปจับพวกนั้นมันลงประกวดดิ”
“ฉันต้อนมาหมดแล้วแต่แก คือตัวเต็ง ก็นะใครใช้ให้แกเกิดมาหน้าตาดี ดาราเกาหลีเรียกโอปป้าล่ะ”
“นั่นมันไม่ใช่เหตุผลเลยโว๊ยพี่”
“ทำไมจะไม่ใช่ ถ้าหน้าตาไม่ใช่จุดขายแกจะหลุดเข้าไปชิงตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยรอบสุดท้ายได้ยังไง”
“นั่นเพราะพี่ยัดชื่อผมลงไป ผมไม่ได้อย่างลงประกวดสักหน่อย”
“แต่แกเป็นเดือนคณะ ไม่ลงประกวดเดือนมหาวิทยาลัยได้ไง”
“ได้ดิ ก็สละสิทธิ์ไง”
ดูท่าว่าพี่ปูนนี่จะเป็นพวกหัวรั้นเถียงไม่ชนะไม่ยอมเลิกนะครับเนี่ย
“โอ๊ย ฉันไม่อยากเถียงกับแกละ ฉันเหนื่อย!” พี่จีจี้สะบัดหน้าเดินหนี ผมเลยได้จังหวะเข้าไปแทรก
“นี่พี่” ผมเรียก แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ยิน ผมเลยดึงชายเสื้อพี่เขาพร้อมเรียกอีกรอบ “พี่ปูน”
“อะไร”
“พี่กิ๊บฝากมาบอกพี่ว่า ให้พี่ไปช่วยเคลียร์สถานที่”
“เออ”
...
ตอบแค่เออ แต่จ้องหน้าผมไม่วางตา นี่ถามจริงไม่มีอะไรจะพูดต่ออีกสักหน่อยเหรอ?
“งะ งั้นผมกลับแล้วนะ” ผมรู้สึกทำตัวไม่ถูกอย่างบอกไม่ถูก เลยเลือกที่จะเดินหนีออกมาเก็บของ
หยิบข้าวของต่าง ๆ ที่พวกพี่ๆ ซื้อให้ใส่ตะกร้าผ้าของพี่ฝนจนมันกองสูงขึ้นมาเกือบเลยหัวผมตอนผมยกมันขึ้นมาถือ
แต่ที่ดูจะลำบากที่สุดคงเป็นถุงกระดาษใส่เครื่องเขียนของพี่ปูนที่ผมไม่รู้จะถือยังไงดีเลยต้องคล้องแขวนไว้ ซึ่งมันทำให้ผมในตอนนี้ดูพะรุงพะรังไปหมด
“มึงอยากเดินสะดุดล้มหน้าคว่ำรึไงฮะ” เสียงดุๆ ดังขึ้นพร้อมกับน้ำหนักของตะกร้าผ้าบรรจุของที่หายไป
“ผมถือเองได้” ผมท้วง
“กูช่วยก็ดีแล้วไง” พี่ปูนดูจะไม่สนคำแย้งของผมเลยสักนิด เล่นเดินดุ่มๆ ไปหาไอ้ฐานทัพทันทีพร้อมพูดคุยอะไรกันคำสองคำซึ่งผมได้ยินไม่ถนัด
ว่าแต่ว่า สองคนนี้นี่ไปสนิทกันตอนไหนครับเนี่ย?
“มึงจะให้กูไปส่งใช่ไหม” ไอ้ฐานทัพหันถามผม
“เออ กูแบกขึ้นมอเตอร์ไซค์ไม่ไหว”
“เค งั้นมึงยกของตามพี่ปูนไปใส่ไว้ท้ายรถกูเลย กูให้กุญแจพี่เขาไปแล้ว”
“เอ่อ อืม” ผมอยากถามมันมากเลยว่าไปสนิทสนมกับพี่ปูนตอนไหน แต่จังหวะนี้คงจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ไว้รอทักไปถามหลังไมค์ดีกว่า
ผมเดินถือถุงกระดาษที่พี่ปูนให้เดินดุ่มๆ ตามตูดพี่เขามาจนถึงลานจอดรถแถวคณะ พี่ปูนเปิดท้ายรถบีเอ็มของได้ฐานแล้ววางตะกร้าใส่ของลงไปก่อนจะหันมองผมพร้อมยื่นมือมา
“ถุง”
“ครับ?”
“จะให้ใส่ไว้ท้ายรถไหม ถุงที่กูให้มึงน่ะ”
“ไม่เป็นไหร่เดี๋ยวผมถือเอง” ท้ายรถไอ้ฐานยังต้องจุของพวกไอ้ข้าวกับไอ้การ์ฟิลด์อีก อะไรถือได้ก็ถือไปดีกว่า
“งั้นก็ตามใจ”
…
“พี่รีบกลับเข้าไปช่วยพี่กิ๊บได้แล้วมั้ง”
“นี่มึงได้ของปุ๊บก็ไล่กูเลยเหรอ”
“เปล่าไล่ ก็พี่เขาฝากมาบอก” ผมรีบแก้ต่างทันที
“งั้นกูไปละ ของที่ให้ไปก็ใช้ให้มันดี ๆ ด้วย”
ทำไมเหมือนแม่ที่กำลังกำชับลูกไม่ให้ทำยางลบหายบ่อย ๆ เลยวะเนี่ย
“ถ้ามีปัญหาอะไรก็ปรึกษาพี่จีจี้เอาละกันรายนั้นหาตัวได้ไม่ยาก” พี่ปูนเว้นช่วงไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “หรือถ้ามึงอยากมาปรึกษากูก็ตามใจ”
หืม?
“หมายความว่าไง...อะ เดี๋ยวสิ!”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามข้อข้องใจออกไป พี่ปูนแกก็เดินหนีโท่งๆ ไปดื้อๆ เลยครับ อะไรของเขาครับเนี่ย?
ความคิดเห็น