คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Supermarket
ตอนที่ 7
Supermarket
P’Poon’Part
ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าผมจะได้มาเดินห้างกับพี่ชายในรอบสองปี อันนี้ผมไม่ได้เวอร์นะแต่ละคนต่างก็ติดเรียนกันไงครับเลยไม่ค่อยจะมีเวลาว่างพร้อมกันสักเท่าไหร่ และส่วนใหญ่เวลาซื้อของเข้าคอนโดปันก็มักจะเป็นฝ่ายมาซื้อเพราะขับรถยนต์ ส่วนผมนั้นขับบิ๊กไบก์จึงไม่ค่อยสะดวกเวลาซื้อของสักเท่าไหร่
“ตกลงตัดสินใจได้รึยังว่าจะซื้ออะไรให้น้องรหัส”
“ไม่รู้อ่ะ ปันเลือกสิ”
“ปูนสิต้องเลือก น้องรหัสปูนนะไม่ใช่น้องปัน”
“งั้นซื้อไรดี”
“ขนมไหม”
ผมส่ายหน้า มันดูธรรมดาเกินไป อีกอย่างผมก็ซื้อเค้กที่ผมชอบให้มันกินบ่อยแล้ว ถ้าเป็นผมคงจะเบื่อมากเลยล่ะถ้าได้อะไรซ้ำซากแบบนั้น
“งั้นตุ๊กตาไหมน่ารักนะ” ปันว่าพลางลากผมไปเดินดูโซนตุ๊กตานุ่มนิ่มทั้งหลาย
“ปัน มันปีหนึ่งแล้วนะไม่ใช่เด็กสามขวบ”
“งั้นควรจะซื้ออะไรดีล่ะครับคุณน้องชาย เรื่องมากจริง ๆเลย”
ผมนิ่งคิดชั่วครู่ หากของที่ต้องให้ใครสักคนผมว่าเราควรคำนึงถึงประโยชน์ที่อีกฝ่ายจะได้รับน่าจะเหมาะที่สุด ถ้าเป็นไอ้ลูกหมานั่นผมคงอยากซื้อตระกร้อครอบปากให้ แต่ความเป็นจริงถ้าผมทำอย่างนั้นโดนพวกพี่ๆ ปีแก่ ด่าตายเลย เดี๋ยวหาว่าผมแกล้งน้องอย่างนู้นอย่างนี้ เฮอะ ทำตัวกวนตีนแบบนั้น ใครบ้างล่ะจะไม่อยากแกล้ง ผมคนหนึ่งล่ะหมั่นไส้มันสุดๆ ไอ้เด็กเวร
“ถ้างั้นเอาเป็นของพวกนี้ดีกว่า” แล้วผมก็เดินนำปันเข้าไปในร้านขายหนังสือและอุปกรณ์เครื่องเขียน ใช้เวลาเลือกอยู่พักใหญ่ ในที่สุดผมก็ได้เครื่องเขียนมาถุงใหญ่ รับรองได้ว่าสี่ปีนี้มันต้องได้ใช้อย่างคุ้มค่าแน่นอน
“ไอเดียไม่เลวนะ” ปันชมผมพร้อมยิ้มออกมา
“ยิ้มอะไร”
“ก็ปันรู้สึกดีใจนิ เห็นน้องชายที่เย็นชาแข็งกระด้างเป็นแผ่นน้ำแข็งรู้จักใส่ใจคนอื่น”
“ใส่ใจอะไร ก็แค่ซื้อของธรรมดาๆ ให้”
“ถึงจะเป็นของธรรมดาแต่ถ้าคนให้จริงใจ คนรับเขาก็คงดีใจแหละ”
“ปันยังไม่รู้จักไอ้ลูกหมานั่น เชื่อเถอะว่ามันต้องหาเรื่องมาจิกกัดปูนอีก”
“แน่ะ คิดในแง่ร้ายอีกแล้ว”
“เปล่าสักหน่อย”
ปันดูเหมือนจะไม่สนใจผม ก่อนจะเดินนำไปยังโซนซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของกินและของใช้ประจำวัน
“ในตู้เย็นจะไม่มีที่แช่แล้ว จะซื้อเบียร์ไปอีกทำไม” ปันรีบท้วงขึ้นมาทันทีที่เห็นผมหยิบเบียร์กระป๋องแพ็คหนึ่งใส่รถเข็น
“ซื้อตุนเผื่อไว้ไง”
“กินมาก ๆ ระวังน้ำหนักขึ้นนะ”
“น้ำหนักขึ้นก็เข้าฟิตเนส” ผมตอบไปอย่างไม่ค่อยจะแยแสสักเท่าไหร่ ดีซะอีกถ้าน้ำหนักขึ้นผมจะได้มีแรงจูงใจไปออกกำลังกาย ช่วงนี้ผมชอบขี้เกียจเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง ก็นะเด็กเรียนนิติชีวิตก็มีแต่การอ่านและท่องจำ ผมเป็นพวกชอบอ่านหนังสือเงียบๆ ในห้องมากกว่าไปนั่งอ่านที่หอสมุด ผมไม่ชอบที่ที่คนเยอะๆ และมีสิ่งกวนใจทำลายสมาธิ
“เดี๋ยวนะปัน” ผมรีบร้องท้วงเมื่อเห็นปันกำลังหย่อนขวดบรรจุของเหลวสีอำพันลงรถเข็น
“อะไรเล่า เมาที่คอนโดดีกว่าเมาที่ร้านนะ”
ที่ปันพูดมันก็ถูก พี่ชายผมเวลาเมาแล้วจะเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย แถมชอบอาละวาดเละเทะอีกต่างหาก
“ว่าแต่คืนนี้ดื่มกันสักหน่อยไหม”
“ผมขอแค่แก้วเดียว พี่เองก็ต้องกินแก้วเดียว”
“เข้มงวดกันเกินไปหน่อยมั้ง”
“อย่าลืมว่าพรุ่งนี้ปันมีเรียนเช้า”
“เฮ้อ ชีวิตนักศึกษาทันตะแม่งรันทด”
“บ่นแบบเดียวกับพี่เมษเลย” ผมค่อนข้างจะสนิทกับเพื่อนของพี่ ด้วยความที่อายุเราห่างกันไม่มากและเวลาพวกพี่เขาชวนกันไปกินเหล้า ปันก็มักจะลากผมไปด้วยอยู่บ่อยๆ หรือไม่บางทีพี่ลมเหนือกับพี่เมษเพื่อนของปัน ก็ชอบโทรตามผมให้มาหิ้วพี่ชายกลับคอนโดเวลาเมาเละเทะ
“รายนั้นบ่นประจำ วันไหนเมษไม่บ่นต้องเป็นมันตัวปลอมแน่”
ขนาดนั้นเลย? ผมว่าที่พี่เมษอยากจะบ่นมันก็ไม่ผิดนักหรอกครับ เพราะพี่เมษนอกจากเรียนหนักยังมีภาระหน้าที่ของการเป็นหนึ่งในทายาทธุรกิจยักษ์ใหญ่ในฮ่องกงอีก แต่ถึงอย่างนั้นไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับว่าคนหล่อ ฐานะดีอย่างพี่เมษจะขับรถเต่าจวนเจียนใกล้จะพัง ผมเคยถามว่าทำไมถึงทนขับอยู่ได้ทั้ง ๆ ที่มันก็เสียบ่อย พี่เมษก็ชอบพูดว่ามันเป็นรสนิยมและการขับรถเก่าๆ แบบนี้จะทำให้ไม่กลายเป็นจุดสนใจ
ผมว่ามันก็เป็นไอเดียที่ไม่เลวนะครับ ถ้าเราทำตัวให้ดูเป็นนักศึกษาธรรมดาๆ ชีวิตก็คงง่ายขึ้น แต่ก็นะผมน่ะไม่ยอมสละเจ้าบิ๊กไบก์คันโปรดของผมแน่
“ว่าแต่จะซื้อของสดไหม” ปันหันมาถามผมซึ่งเป็นคนเปิดตู้เย็นบ่อยที่สุด
“ก็ดีนะ ไข่ไก่หมด นมด้วย”
“เค งั้นก็ไปซื้อกัน”
“อืม”
***
ผมทำหน้าเซ็งๆ ก้มมองของในรถเข็นที่เต็มไปด้วยขนมและข้าวของมากมาย ผมรับหน้าที่เป็นคนเข็นรถและหิ้วของให้คุณชายฐานทัพครับในวันนี้ เนื่องจากแพ้พนันที่ปากดีท้าพวกมันไว้ว่าถ้าพี่รหัสเป็นพี่ปูนผมจะยอมให้ใช้งานผมได้คนละอย่าง และเย็นวันนี้ไอ้คุณฐานทัพก็รีบใช้สิทธิ์นั้นทันทีประหนึ่งว่ากลัวสิทธิพิเศษหมดอายุ
“มึงจะซื้อไปถมที่เหรอ หยุดหยิบได้แล้ว” ผมโว้ยไอ้ฐานที่ยังคงเดินไปเลือกซีเรียลอาหารเช้าอย่างสบายอารมณ์
“เรื่องของกู เงินกู”
เออ เงินมึงแต่หนักกูโว๊ย กูคือคนที่ช่วยมึงหิ้วไง!
“อันนี้กุนชอบ กูใส่รถเลยนะ” ไอ้ข้าววิ่งดุ๊กๆ มาพร้อมขนมเยลลี่มากมายหลากหลายรสในอ้อมแขน
“อืม”
พอได้รับอนุญาตไอ้ข้าวก็วางพวกขนมใส่รถเข็นและก็วิ่งไปเลือกขนมเพิ่มอีกอย่างกับเป็นของมันเอง
“ไอ้ฐานถ้ามึงไม่ห้าม ไอ้ข้าวเหมาหมดโซนแน่ ๆ” ผมพูดขึ้น ไอ้ฐานทัพที่เดินกลับมาที่รถเข็นเพียงตอบรับแค่ว่า…เออว่ะนั่นสิ เฮ้ย กระเป๋าตังมึงจะฉีกนะไอ้ป๋า แล้วมันจะขนซื้อไปทำอะไรเยอะแยะวะ?
เห็นไอ้ข้าวมันบอกว่ารูมเมตมันคนหนึ่งชื่อกุนเรียนสถาปัตย์เป็นคนที่ไอ้ฐานรู้จัก เหมือนเป็นเพื่อนสมัยเด็กทำนองนี้ แต่นี่ผมว่าไอ้ฐานมันจะดูแลเทคแคร์ดีเกินไปแล้ว อยู่ ๆ ก็บอกว่าอยากมาซื้อของไปฝากสักหน่อย นี่มันไม่หน่อยแล้วครับ ซื้อตุนกันขนาดนี้ผมนึกว่าเมทไอ้ข้าวที่ชื่อกุนเป็นผู้ประสบภัยน้ำท่วม มันต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ ๆ น่าเสียดายที่ไอ้แมวส้มจอมเผือกดันไม่ได้มาด้วย ผมเลยไม่มีแนวร่วมสืบที่มาที่ไปเรื่องนี้เลย
“เดี๋ยวแวะโซนของสดหน่อย”
“ยังจะซื้ออีกเหรอวะ” ผมโอดครวญแทบจะก้มกราบให้มันเลิกซื้อ
“อันนี้ของกู ผักทำสลัดกูหมดแล้ว”
“มึงนี่มันมนุษย์กินพืชหรือไงวะ แดกเนื้อสัตว์บ้าง”
“เออ ก็จะไปซื้ออกไก่ด้วยนี่ไง”
“ซื้อเยอะไหม”
“มึงถามทำไม?”
“กูขี้เกียจหิ้วไงไอ้สัตว์!”
“ไม่ต้องห่วง วันนี้กูใช้งานมึงคุ้มแน่”
“ไอ้เพื่อนเหี้ย” ผมด่ามันแต่ไอ้ฐานกลับยกยิ้มเยาะเย้ยผม
ผมก็นะ ไม่น่าไปท้าพนันบ้าๆ บอนั่นเลย ;(
“ไอ้ข้าว! ไอ้ฐานจะไปแผนกของสดรีบตามมานะโว๊ย”
“โอเค!”
ผมบอกไอ้ข้าวเรียบร้อยก็ออกแรงเข็นรถตามตูดไอ้คุณชายฐานทัพไป ขืนชักช้าโดนมันบ่นอีก เฮ้อ มาเป็นทาสถูกใช้แรงงานแท้ๆ
พอมาถึงผมก็ได้แต่ยืนเฝ้ารถเข็นรอคุณชายฐานเดินเลือกซื้อผักอย่างกับเป็นคุณแม่บ้าน ผมว่ามันมุมนี้ก็ดูพิลึกดีนะครับ ใครจะไปคิดว่าผู้ชายมาดแมนจะมาจู้จี้จุกจิกกับการเลือกซื้อผัก เป็นผมนะอันไหนๆ มันก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละครับ หยิบใส่รถรีบเข็นไปจ่ายตังนานแล้ว ไม่มัวยืนเสียเวลาเพ่งพินิจอยู่แบบนี้หรอก
และเพราะความเบื่อบวกกับไอ้ข้าวก็ยังไม่ตามมาสักทีผมเลยแอบรถเข็นไว้ข้างๆ แล้วลองเดินไปดูนั่นดูนี่เรื่อยเปื่อย จนผมหันไปเห็นน้ำแอปเปิ้ลกล่องเล็กจิ๋วซึ่งผมจำได้ว่าตอนเด็กผมชอบกินมาก ละผมก็นึกเสียดายที่ห้องเช่ารูหนูของผมดันไม่มีตู้เย็น ไม่อย่างนั้นจะได้ซื้อตุนแช่เอาไว้กินตอนดึกๆ ได้ ในตอนที่ผมกำลังคิดว่าจะซื้อกลับไปสีกแพ็คดีไหม เสียงคุ้นๆ ก็ดังขึ้นเหนือหัว
“นี่ยังไม่โตเหรอ”
ผมเงยหน้าขึ้นไปมองและก็ต้องเบิกตาโตอ้าปากเหวอด้วยความประหลาดใจสุดขีด
พี่ปูนนี่!?
“พะ พี่มาได้ไงเนี่ย”
“กูคงขี่ไม้กวาดมาซื้อของมั้ง”
ดูสิครับเจอหน้าก็กวนตีนผมเลย ว่าแต่ใครกันนะที่เข็นรถเข็นตามมาข้างหลัง เป็นผู้ชายหน้าตาสีซะด้วยเหมือนพวกดาราในละครหลังข่าวเลย อ่า...ดูดีจัง
“คนรู้จักเหรอปูน”
“ก็ไม่ค่อยอยากจะรู้จักนักหรอก”
“ดูพูดเข้าไม่น่ารักเลย”
“ช่างเหอะน่าปัน”
ผมเห็นสองคนนั้นยืนคุยกับอย่างสนิทสนม ในใจก็แอบคิดไปไกลว่าสองคนนี้อาจจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา และผมก็ไม่ค่อยชอบอยู่เป็นก้างซะด้วยสิ เฮ้อ ไปดีกว่า…
ผมเดินกลับมาที่รถเข็นของไอ้ฐานทัพ ไอ้ข้าวก็มาพอดีผมจึงเร่งให้พวกมันเลิกซื้อแล้วไปคิดเงินกันสักที
“มึงเป็นอะไรวะไอ้ขมิ้น”
“หะ? กูเป็นอะไร” ผมหันไปถามไอ้ข้าวอย่างงงๆ
“ก็เห็นมึงจู่ ๆ ก็เงียบไป”
“เปล่านี่แค่คิดอะไรเพลินๆ” ผมบอกปัดไปอย่างไม่ใส่ใจ แต่ถึงกระนั้นตาผมมันก็แอบเหลียวหน้าเหลียวหลังหันกลับไปมองคนสองคนที่กำลังเดินเลือกซื้อของกันอยู่ทำไมผมต้องสนใจด้วยพี่ปูนจะมากับใครมันก็ไม่เกี่ยวกับผมนี่นะ
“ไปๆ จ่ายตัง อย่าชักช้าเดี๋ยวคิวยาว”
“ไม่ต้องรีบหรอกน่า ห้างปิดสี่ทุ่มนะ” ไอ้ข้าวรีบแย้งขึ้นมาทันที
“กูอยากกลับบ้านไปนอนละไงเพื่อน เดี๋ยวกูต้องหิ้วของที่พวกมึงตะบี้ตะบันซื้อไปที่รถอีก”
“อย่าบ่นๆ มึงท้าพนันเอง” ไอ้ข้าวทำท่าจุ๊ปาก ได้กวนบาทาผมมาก ฮึ่ย!
“เอาน่าไอ้ขมิ้น เดี๋ยวเลี้ยงติมกินปะ” อยู่ๆ ไอ้ฐานก็ยื่นข้อเสนอไอศกรีมฟรีมาให้ และแน่นอนว่าผมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว
“กิน!/กิน!”
เอ๊ะ มันถามผม แต่ทำไมไอ้คนข้างผมมันถึงตอบด้วยวะ?
“เลี้ยงมันไม่เลี้ยงกู กูโกรธ" ไอ้ข้าวทำหน้างอ
“เออ”
“เย้! ไอ้ฟิลด์ไม่มาพลาดอดกินติมฟรี อิอิ” ไอ้ข้าวยังมีหน้ามาเย้ยไอ้แมวส้มอีกนะ แต่ก็นั่นแหละครับถ้ามันรู้มีหวังงอนตุ๊บป่องแน่ นี่ก็สายแดกเรื่องของกินเรื่องใหญ่
“ว่าแต่ไอ้ขมิ้น มึงมีอะไรอยากกินอีกไหม”
“ถามทำไมจะเลี้ยงเหรอ” ผมแกล้งแซวมันเล่น
“ทำนองนั้น”
“วันนี้ทำไมมึงป๋าจังวะ”
“เออน่า จะกินไม่กิน”
“กินดิวะ งั้นขอเป็นโดนัทสักสามสี่ชิ้นล่ะกัน”
“กูก็อยากกินนะ” ไอ้ข้าวรีบแจมขึ้นมา
“มึงซื้อเองนู่น”
“ทำไมสองมาตราฐานล่ะไอ้ฐาน”
“ไม่ต้องมางอแง ขนมที่มึงแอบหยิบใส่รถเข็นอย่านึกว่ากูไม่เห็นนะไอ้ข้าว”
“กูซื้อไปกุนก็กิน”
“ไม่ต้องมาอ้าง”
ไอ้ข้าวทำหน้าคว่ำมันคงรู้สึกหงุดหงิดแน่ ๆ ที่ถูกไอ้ฐานจับไต๋ได้
“น่าๆ หนูข้าว เดี๋ยวแบ่งโดนัทให้ จะกินรสอะไร”
“กูขอช็อกโกแลต~”
แหม รีบตอบเสียงหวาน เปลี่ยนท่าทีเลยนะไอ้ต้าวทาสของหวานเอ๊ย
“กินขนมมาก ๆ ระวังฟันจะผุด”
“มึงอย่าแช่งดิ กูยิ่งไม่ถูกโรคกับหมอฟันอยู่”
“ถ้ามึงยังไม่เลิกนิสัยกินขนมเป็นพายุ กูว่ามึงเตรียมโทรนัดคิวอุดฟันไว้ได้เลย”
ผมไม่ได้จะแช่งมันนะ ที่ผมพูดนี่ก็อิงมาจากความจริงล้วน ๆ ไอ้ข้าวมันเคยเล่าให้ฟันว่าตอนเด็ก ๆ ไปหาหมอฟันบ่อยมาก ในปากมันนี้ไม่มีฟันซี่ไหนไม่เคยถูกอุด ผมก็แค่กลัวว่าเพื่อนผมจะได้ใส่ฟันปลอมก่อนวัยอันควรน่ะสิครับ เฮ้อ…
ความคิดเห็น