ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Hey bro! : พี่(รหัส)ครับ 【สนพ.ลาเวนเดอร์】END

    ลำดับตอนที่ #1 : การรวมตัวของ 4 สหาย

    • อัปเดตล่าสุด 27 มี.ค. 64


     

    ตอนที่1

    การรวมตัวของ 4 สหาย

     

     

    กิจกรรมรับน้องถือเป็นโอกาสแรกที่นักศึกษาน้องใหม่ป้ายแดงจะได้ทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมคณะ ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่อยากทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ให้มาก ๆ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาผมค่อนข้างจะมีเพื่อนน้อยเลยหวังว่าการเข้ามหาวิทยาลัยจะทำให้มีเพื่อนมากขึ้น และด้วยเหตุนี้ ไอ้ ‘ขมิ้น’ คนนี้จึงเริ่มปฏิบัติการชวนคนที่นั่งข้างๆ คุยในทันใด

    “นี่นายชื่อไรอ่ะ เราชื่อขมิ้นนะ” ผมเริ่มทักทายด้วยความอัธยาศัยดี เจ้าหนุ่มหน้ามนคนน่ารักหันมายิ้มให้และแนะนำตัวว่าชื่อ ‘รำข้าว’

    โอ๊ะ ชื่อน่ารักสมกับหน้าตาจังครับ แต่คุยไปคุยมาผมว่านิสัยมันชักจะไม่ได้น่ารักเหมือนหน้าตาแล้วดิ แหย่นิดแหย่หน่อยชอบลงไม้ลงมือ แม่งเอ๊ย ดูคนที่รูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้จริง ๆ นะครับ แต่ไอ้น่ารักแบบนี้น่ะตรงสเป็กผมฉิบหาย เห็นทีไรแล้วมันคันไม้คันมือชอบไปหยอกว่ะ555

    “เฮ้ยสองคนข้างหน้า เลิกเล่นกันสักทีได้ไหมวะศอกมันมาโดนคนข้างหลัง”

    ผมหันไปตามเสียงราบเรียบที่ดังแทรกขึ้นมากลางคัน คนที่พูดเป็นผู้ชายรูปร่างสูงชะลูด หน้าตาจัดว่าหล่อดูดีมีชาติตระกูล แต่เสียอย่างเดียวหน้าแม่งนิ่งเกินไป ทำให้ดูแข็งทื่อไม่มีเสน่ห์ความสดใสเอาซะเลย

    “เออ โทษที” ผมก็เอ่ยขอโทษขอโพยไปตามมารยาท ไอ้หน้านิ่งนั่นแค่พูดว่าคราวหน้าก็ระวังหน่อยแล้วก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ต่อ ผมเลยแอบชำเลืองมองป้ายชื่อที่ห้อยอยู่ที่คอก็รู้ว่าไอ้หน้านิ่งนี่ชื่อว่า ‘ฐานทัพ’ ชื่อดูห้าวหาญมาก เหมาะกับหน้าตาและบุคลิกดีจัง 

    ในจังหวะเดียวกันผู้ชายคนที่นั่งอยู่แถวกลางถัดจากผมไปสักสองสามคนได้ก็ลุกพรวดขึ้นมา

    “นายๆ ขอโทษนะ แต่ช่วยเขยิบหน่อยได้ปะ” ไอ้หนุ่มหน้าจืดโบกมือเป็นเชิงให้ผมกับรำข้าวแหวกทางให้ พวกผมก็ทำตามที่ขอ ก่อนคนนั้นจะหันมายิ้มให้และบอกขอบคุณ

    “ขอบใจว่ะ ปวดฉี่มากเลย” จากนั้นไอ้หนุ่มคนนั้นก็วิ่งพรวดพราดไปทางห้องน้ำ สงสัยจะปวดหนักจริงดูดิป้ายชื่อหล่นแม่งยังไม่สนใจหันมาเก็บ ว่าแต่แม่งชื่ออะไรวะ? ผมก้มอ่านป้ายชื่อที่เก็บขึ้นมา บนแผ่นกระดาษถูกเขียนด้วยปากกาเมจิกสีน้ำเงินว่า ‘การ์ฟิลด์’ ชื่อเป็นตัวการ์ตูนเลยน่ารักดี ไว้มันกลับมานั่งที่แล้วผมค่อยคืนมันก็แล้วกัน

     

    หลังจากรุ่นน้องปีหนึ่งทุกคนมานั่งรวมตัวกันจนครบ พวกรุ่นพี่ก็เริ่มจัดแจงให้น้อง ๆ แบ่งกลุ่มกันเพื่อทำกิจกรรมจำนวนสี่คนห้ามเกินจากนี้ ผมที่ได้ยินอย่างนั้นปุ๊บก็หันไปคว้าตัวรำข้าวมาไว้ก่อนเลยจากนั้นก็เดินดุ่ม ๆ ไปหาไอ้คนที่ทำป้ายชื่อหล่นและชวนให้มาอยู่กลุ่มเดียวกัน ซึ่งคนที่ชื่อการ์ฟิลด์ก็ตอบตกลงด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนมันจะเป็นคนง่ายๆ อะไรก็ได้ทั้งนั้น และในตอนที่ผมกำลังมองหาสมาชิกคนที่สี่อยู่นั้น รำข้าวก็เดินไปจูงคนที่ชื่อว่าฐานทัพให้เข้ามาอยู่ในกลุ่มด้วย

    “เห็นนายเอาแต่ยืนเฉย เดี๋ยวก็หากลุ่มไม่ได้กันพอดี” รำข้าวพูด

    “ก็ไม่ได้ยืนเฉลยก็กำลังมองหากลุ่มอยู่เนี่ย” ไอ้หน้าหล่อนั่นเถียง แต่ผมไม่ยักเห็นมันทำอะไรนอกจากยืนนิ่งๆ อย่างรำข้าวมันว่าจริง ๆ ผมล่ะอยากจะถามมันเหลือเกินว่ามึงตื่นรึยังไอ้ฉิบหายแม่งเหมือนคนพร้อมหลับในตลอดเวลาเลยครับ

    “งั้นก็อยู่กลุ่มนี้แหละเนี่ยครบคนพอดี” ผมเลยออกความเห็นให้ไอ้หมอนี่อยู่ด้วยมันซะเลย 

    “น้อง ๆ กลุ่มไหนได้คนครบแล้วนั่งลงเลยนะคะ” พี่ๆ เริ่มให้น้องปีหนึ่งที่จับกลุ่มกันครบทยอยนั่งลง

    “ปะ นั่งเหอะ” การ์ฟิลด์ทิ้งตัวลงนั่งคนแรกก่อนจะตบพื้นแหมะๆ ชวนให้คนอื่นนั่งตาม 

    อืม…เป็นการร่วมกลุ่มที่ดูแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้แฮะ คนหนึ่งก็น่ารักนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ คนสองก็นิ่งสงบเป็นรูปปั้น ส่วนคนสามก็ดูจะอยู่ไม่ค่อยสุก และสุดท้ายคือผมที่เป็นมนุษย์ช่างจอแต่ตอนนี้จอแจไม่ค่อยออกเพราะเกิดอาการเกร็งกับเพื่อนใหม่

    หลังจากนั่งแนะนำชื่อกันไปคนละคำ ก็ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีกจนกระทั่ง

    “นี่ๆ พวกนายมาจากไหนเหรอ เป็นคนที่นี่กันรึเปล่า” คนที่ชื่อรำข้าวเป็นคนเปิดประเด็นชวนคุย ดูเหมือนเจ้าคนร่างเล็กตาโตนี่จะเป็นพวกขี้สงสัย

    “เราบ้านอยู่ที่นี่” คนที่ชื่อฐานทัพตอบเสียงเรียบ

    “กูอยู่จังหวัดใกล้ๆ น่ะ” คนที่ชื่อการ์ฟิลด์ตอบเสียงใส ผมว่าไอ้คนนี้เสียงมันเพราะดีนะครับ

    “แล้วนายล่ะขมิ้น” รำข้าวมันหันมาถามผมเป็นคนสุดท้าย

    “เราเหรอ เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่น่ะ เมื่อก่อนอยู่กรุงเทพฯ”

    “งั้นก็บ้านใกล้เรือนเคียงกับเราอะดิ เราอยู่แปดริ้ว”

    “แปดริ้ว?” มันมีจังหวัดชื่อนี้ด้วยเหรอครับ? ผมพยายามนึกด้วยมันสมองที่ไม่ค่อยจะมี

    “อ่อ เราหมายถึงฉะเชิงเทราน่ะ แปดริ้วเขาเรียกคล้ายๆ เป็นชื่อเล่น”

    “อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” แต่ผมว่าฉะเชิงเทรากับกรุงเทพฯ มันก็ไม่ค่อยใกล้กันเท่าไหร่นะ

    “ว่าแต่ใช้คำหยาบกันได้ไหมล่ะเนี่ย คุยแบบสุภาพแล้วดูห่างเหินว่ะ” การ์ฟิลด์มันโพล่งขึ้นมา ดูมันจะอึดอัดนะครับ ผมเองก็กระอักกระอวนแปลกๆ เหมือนกัน

    “งั้นไม่เกรงใจล่ะนะพวกมึง” ฐานทัพเป็นคนแรกที่โพล่งขึ้นมา 

    “เออฝากเนื้อฝากตัวด้วย” การ์ฟิลด์ตบฐานทัพที่นั่งขนาบข้างมันแปะๆ ก่อนจะหามาหาผม “เมื่อกี้ขอบใจมึงมากที่เก็บป้ายชื่อให้นะ”

    “เออจ้ะ แต่มึงไม่ต้องตบบ่ากูแรงกูกลัวไหปลาหร้าหัก” 

    “เอ่อ โทษที” ไอ้การ์ฟิลด์หัวเราะแหะๆ 

    จากนั้นพวกผมสี่คนก็เริ่มคุยเรื่องสรรเพเหระต่าง ๆ ทั้งเรื่องโรงเรียนมัธยม บ้านเกิด ความชอบงานอดิเรกและอีกมากมาย  จนความเกร็งในช่วงแรกๆ ที่มีเริ่มจะจางหายไปทีละน้อยพอได้คุยกันมากขึ้น 

    “กูเริ่มหิวแล้วว่ะ เมื่อไหร่พี่เขาจะแจกข้าววะ” ไอ้ข้าวเริ่มบ่น และเป็นจังหวะเดียวกันที่พี่ๆ ประกาศพักเบรกให้ทานข้าวพอดิบพอดี ไอ้ข้าวนี่ยิ้มแฉ่งลิงโลดขึ้นมาทันที

    “น้องอยากกินอะไรคะ มีกระเพรา ไก่กระเทียม แล้วก็ข้าวผัด หรือใครทานมังสวิรัติบอกพี่ได้นะมีอาหารของคนทานมังสวิรัติเตรียมไว้ให้ด้วยจ้า” 

    “ผมเอาไก่กระเทียม แล้วพวกมึงเอาอะไรบ้าง” ผมหันไปถาม 

    “กะเพรา/กะเพรา/กะเพรา” เชี่ยแม่งตอบพร้อมเพรียงอย่างกับนัดกันมา 

    “งั้นกะเพราสาม ไก่เทียมหนึ่งครับพี่”

    “อะ ถุงนี้กะเพราถุงนี้ไก่กระเทียมหยิบได้เลย”

    พี่คนนั้นยื่นถุงใส่ข้าวกล่องมาให้ ผมรับมาแล้วก็เริ่มลนลานเมื่อกี้ไม่ทันได้ฟังก็เริ่มจะสับสนว่าถุงไหนกะเพราถุงไหนไก่กระเทียม

     ในตอนที่ผมกำลังสาละวนกับการหาว่าถุงไหนเป็นกับข้าวอะไร เสียงห้วน ๆ ดังขึ้นมาเหนือหัว

    “น้องครับน้ำ”

    “แป๊บหนึ่งนะพี่”  ผมบอกปัดแล้วหันไปเปิดกล่องข้าวเช็คดูว่าถุงไหนเป็นกับข้าวอะไร แต่เพียงแค่ผมเว้นจังหวะไปแค่ไม่กี่อึดใจเสียงเร่งจากรุ่นพี่คนเดิมก็ดังขึ้นมาอีก

    “รีบรับหน่อยสิครับ เพื่อนคนอื่นยังรอกันอีกเยอะนะ”

    “ครับๆ รู้แล้วครับ”

    ผมเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่ค่อยจะชอบใจที่ถูกเร่งสักเท่าไหร่นัก แต่แล้วความขุ่นเคืองหมองใจที่มีก็หายวับไปเพราะความตกตลึงนิดๆ ไม่นึกว่าเจ้าของเสียงเข้มนั่นจะเป็นรุ่นพี่คนหนึ่งที่จัดได้ว่าหล่อมาก ทั้งโครงหน้า หู ตา จมูก ปาก มิกซ์แอนด์แมทช์กันได้อย่างลงตัวสุดๆ ไอ้ฐานทัพที่ผมว่าหล่อแล้วเทียบไม่ติดฝุ่นไปเลย ทั้งรูปร่าง ออร่า และความมีเสน่ห์ผมให้สิบเต็มสิบไม่หัก แถมบวกคะแนนพิเศษให้ด้วย คนอะไรวะหล่ออย่างกับไอดอลเกาหลี โอ๊ยแม่เจ้าโว้ย รู้สึกเขินขึ้นมาซะงั้น

    “จะจ้องหน้าอีกนานไหม น้ำเนี่ยช่วยรับไปสักที”

    “ขะ ขอโทษครับพี่” ผมรีบเอื้อมมือไปรับน้ำแล้วแจกจ่ายให้เพื่อนๆ ในกลุ่มด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ

    “ไอ้ข้าว ไอ้ฟิลด์ ไอ้ฐาน” ผมยื่นน้ำส่งต่อไปให้เพื่อนๆ ในกลุ่ม จนมารู้สึกตัวอีกทีว่าอ้าว ไหนน้ำของผมล่ะ? พี่เขาแจกให้ไม่ครบนี่

    “พี่ๆ เดี๋ยว” ผมหันไปทวง แต่พี่สุดหล่อคนนั้นก็ไม่ได้ยินแล้วกำลังจะเดินกลับไป ผมเลยเผลอไปคว้าขาพี่เขาไว้ด้วยความลืมตัว

    “-_-” 

    “เอ่อ คือ…ผมยังไม่ได้น้ำเลย”

    “ก็ไม่รีบบอกล่ะ”

    จะให้รีบบอกได้ไงวะก็เพิ่งรู้นี่หว่าว่ามันไม่ครบ ผมนึกเถียงในใจในจังหวะนั้นเองขวดน้ำดื่มก็ลอยเคว้งมากลางอากาศโดยไม่มีการบอกไม่กล่าวใด ๆ ผมเกือบรับไว้ไม่ทันแล้ว ดีที่ผมเป็นคนมีไหวพริบเลยรับเอื้อมมือไปรับได้ทันแบบฉิวเฉียดก่อนมันจะตกใส่กบาล

    แม่งให้ตายดิ! เป็นรุ่นพี่ประสาอะไรวะไม่มีความละเอียดอ่อนเลย

    “ละน้องจะจับขาพี่อีกนานไหม” นัยน์ตาดุๆ ปรายมองต่ำมาที่มือของผมซึ่งยังคงจับขาพี่เขาไว้อยู่

    เออว่ะ ลืมปล่อย…

    พอผมปล่อยมือออกรุ่นพี่หน้าหล่อแต่กิริยาสุดกร่างนั่นก็เดินจากไป ผมมองตามแล้วก็รู้สึกขุ่นเคืองในใจอยู่หน่อยๆ

    “พี่คนนั้นโคตรหล่อแต่ดูดุๆ ยังไงก็ไม่รู้เนอะ” ไอ้ข้าวที่นั่งข้างผมแอบก้มมากระซิบ

    “กูก็ว่างั้น โยนน้ำใส่กูหน้ากูเกือบแหก แม่งเอ๊ย คิดว่าหน้าหล่อแล้วทำตัวกร่างก็ได้เหรอวะ”

    “ละมึงปรายตามองมาทางกูเพื่อ?” ไอ้ฐานทัพขมวดคิ้วใส่

    “มึงก็เข้าข่ายคนหล่อ เพราะงั้นมึงห้ามทำตัวแบบนี้นะเว้ยไม่งั้นกูเลิกคบ”

    “พี่เขาแค่โยน ถ้าเป็นกูอาจจะเขวี้ยงใส่หน้ามึงเลยก็ได้” กวนตีนใช่ย่อยนี่หว่าไอ้คนนี้

    “พี่คนนั้นเป็นเดือนนิติปีที่แล้วเชียวนะเว้ย ชื่อพี่ปูน” จู่ ๆ ไอ้การ์ฟิลด์ก็โพล่งขึ้นมาแจม ไม่รู้มันไปได้ยินตอนไหน 

    “หน้าตาก็ได้อยู่แต่ บุคลิกไม่น่าผ่านเลยว่ะ” กรรมการตาถั่วรึไงวะนั่น ได้ตำแหน่งมาได้ยังไง

    “หล่อขนาดนั้นมึงใช้คำว่าได้อยู่เนี่ยนะ”

    “เออ พี่แม่งหล่อสัตว์หมาเลย พอใจมึงยัง”

    “นี่มึงชมหรือด่าวะ”

    “ทั้งชมทั้งด่า ไอ้ฉิบหายนี่กูรุ่นน้องนะเว้ย ไม่ทะนุถนอมกันบ้างเลย”

    “สงสัยมึงไม่น่าทะนุถนอมมั้ง” ไอ้ฐานทัพเสริมขึ้นมาได้กวนบาทาสุดๆ ไอ้นี่เห็นนิ่งๆ แม่งไม่ธรรมดาซะแล้วสิ

    “เฮ้ย อย่าทะเลาะกันสิ” ไอ้ข้าวรีบยกมือขึ้นมาห้าม

    “กูยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ผมแย้ง

    “ก็พูดดักไว้ก่อนกลัวเพื่อนตีกัน”

    “ดูละครมากไปละมึง”

    “กูไม่ได้ดูละครเยอะ” ไอ้ข้าวเถียงกลับพร้อมทำหน้างอ

    “แล้วทำหน้าคว่ำทำไมหะ นึกว่าน่ารักมากเหรอ” เห็นมันเขี้ยวจริง ๆ ไอ้ต้าวเอ๊ย

    “โอ๊ย บีบแก้มกูทำไมเนี่ย”

    “อยากลองเห็นน่าบีบดี ไหนลองอีกข้างหน่อยนิ่มเท่ากันรึเปล่า”

    “โอ๊ย! ไอ้เวรขมิ้น”

    พลั่ก!

    “ไอ้ฉิบหาย นี่มือคนหรือมือควายวะหนักชิบ” ผมร้องซี๊ดเมื่อถูกฝ่ามืออรหันตบเข้าไปที่กลางหลัง

    “มือกูนี่แหละไอ้เวร ถ้าแกล้งกูอีกเจอดีแน่” ไอ้ข้าวชูมือขึ้นขู่ ซึ่งภายนอกมันดูไม่น่ากลัวแต่ของจริงนั้นน่ากลัวสุดๆ ไม่เอาแล้วครับผมกลัวหลังหัก

     

                   หลังจากกินข้าวกันอิ่มกิจกรรมรับน้องของวันแรกของพวกผมก็เริ่มขึ้น วันนี้พวกพี่ๆ ให้น้องปีหนึ่งเล่นเกมทำกิจกรรมสันทนาการเยอะแยะ ถึงจะทุลักทุเลบ้างแต่ก็สนุกมากเลยครับ

    “เนี่ยมึงอะเถียงกูไอ้ข้าว ดูดิตอบผิดกันหมด” ผมโวยหลังจากกลุ่มผมโชว์ความเปิ่นตอบกันไม่ถูกว่าประเทษไทยมีกี่จังหวัด 

    “ก็ใครจะไปรู้ว่าตอนนี้ประเทศไทยมี77จังหวัด”

    “มึงไปอยู่ไหนมา เขาออกข่าวกันโครมๆ”

    “ก็กูไม่รู้นี่หว่า อีกอย่างไอ้การ์ฟิลด์ก็ไม่เห็นแย้งกูเลย” ไอ้ข้าวเริ่มหาพรรคหาพวก

    “กูก็เพิ่งรู้พร้อมมึงนี่แหละว่าประเทศไทยมี77จังหวัดแล้ว” ไอ้การ์ฟิลด์ทำหน้าเหมือนเพิ่งจะรู้ เฮ้อ ไม่ต่างอะไรกับอ้ข้าวเลย

    “ไอ้ฐานมึงอะก็รู้ทำไมไม่แย้งวะ” ผมเลยหันไปโบ้ยความผิดให้ไอ้คนที่ไม่คิดช่วยอะไรกลุ่มเลย

    “กูง่วง สมองไม่แล่น อีกอย่างถึงตอบถูกข้อนี้ ยังไงคะแนนกลุ่มเราก็ที่โหล่อยู่ดี”

    เออ ให้มันได้อย่างนี้สิทีมผม แม่งเอ๊ย!

    “น้อง ๆ กลุ่มไหนที่คะแนนร่วมน้อยสุด เตรียมตัวโดนลงโทษนะจ๊ะ” รุ่นพี่ปีสองพูดใส่โทรโข่งเสียงสดใส แต่คนที่กำลังจะโดนลงโทษนั้นไม่สดใสด้วยเลยสักนิด เฮ้อ วันนั้นคงไม่ใช่วันของผม

     

    “เละ” ผมบ่นอุบพลางเขี่ยเศษดินสอพอกที่แห้งกรังออกจากหว่างคิ้ว

    “แค่นี้ยังดี คณะข้างๆ โดนลิปสติก หน้างี้แดงเป็นงิ้ว” ไอ้การ์ฟิลด์บอกในขณะที่ช่วยไอ้ฐานแกะยางมัดผมที่รุ่นพี่แกล้งมัดจุกให้มัน

    “มึงไปเห็นตอนไหนวะ”

    “ตอนเดินสวนกันตอนเปลี่ยนฐานไง คณะข้างๆ เราก็มนุษยศาสตร์ไง รับน้องวันเดียวกันเลย”

    “รับโหดไหมวะ”

    “กูว่าไม่นะ คณะนั้นสาวๆ เยอะ คงเบาๆ แหละ” ไอ้ข้าวที่ล้างหน้าล้างตาจนสะอาดเอี่ยมอ่องเอ่ยเสริมขึ้นมา “รูมเมตกูนะเรียนวิศวะกับสถาปัตย์เห็นว่ารับน้องกันอย่างโหด”

    แค่นึกภาพตามคำเล่าลือผมก็ขนลุกแล้วครับ ผมก็ไม่ใช่ผู้ชายสายถึกทนอะไรขนาดนั้น ขืนโดนรับน้องโหดๆ มีหวังบ่อน้ำตาแตกร้องไห้กลับไปซบตักยายจริง ๆด้วย

    “ว่าแต่หิวว่ะ ไปหาไรกินด้วยกันไหม” ไอ้ข้าวออกปากชวน

    “ก็ดีไปดิ” ไอ้การ์ฟิลด์เห็นดีเห็นงามด้วยทันที ส่วนไอ้ฐานทัพก็บอกเพียงแค่ว่า

    “ไปก็ไป”

    ส่วนผมเอง ก็… ไม่ได้ขัดอะไรอยู่แล้ว เพื่อนใหม่ชวนกินข้าว จะให้ปฏิเสธได้ยังไงล่ะครับ จริงไหม:)

     

    พอตกลงจะมาหาอะไรกินกัน พวกผมสามคนก็ได้มีบุญตาเห็นรถยนต์บีเอ็มคันหรูของไอ้ฐานทัพซึ่งมันบอกว่าจะอาสาขับให้ ด้วยเหตุที่มันเป็นเจ้าถิ่นแถวนี้มานานและในกลุ่มผมมีมันคนเดียวที่มีรถยนต์และขับเป็นอยู่คนเดียว

    “จะกินอะไรกัน” ไอ้ฐานถามขึ้นมาระหว่างรอรถติดไฟแดง

    “อะไรก็ได้ แต่ขอที่เย็นๆ” ผมเลยเสนอความเห็นออกไปและเหมือนเพื่อนอีกสามคนก็จะเห็นด้วย ก็ประเทศไทยมันร้อนนี่ครับ

    “งั้นไปห้าง”

    “โอเค จัดไปครับป๋า”

    “ใครป๋ามึง?” มันพูดแล้วขมวดคิ้วมองมาทางผม

    “มึงไง ป๋าของพวกกู” ผมที่นั่งข้างคนขับเอื้อมมือไปตบบ่ามันแปะๆ เป็นการยัดเหยียด เอ๊ย! ฝากฝังตำแหน่งป๋าประจำกลุ่ม

    “ป๋าห่าอะไร กูไม่ใช่สายเลี้ยงต้อยนะโว้ย”

    “ทำไมวะเนี่ยดูพวกกูสามคนออกจะน่ารัก”

    “น่ารักกับผีนั่นสิ เหมือนตัวป่วนสามตัวมากกว่า”

    “ปากมึงนี่นะ”

    “ปากกูมันทำไม พูดมากเดะไล่ลงรถให้หมด”

    พอถูกขู่เข้าหน่อยพวกผมสามคนก็รีบสงบปากสงบไปจนถึงห้าง ขืนพูดมากกว่านี้ดีไม่ดีสุ่มเสี่ยงโดนทิ้งกลางทาง

     

    หลังจากติดรอไฟแดงประมาณชาติเศษๆ กับการวนหาที่จอดรถสุดลิมิตเต็ดของห้างเจอ ในที่สุดพวกผมก็ได้ลงจากรถ

    “กินไรดี” ไอ้ข้าวเป็นคนแรกที่เปิดประเด็นเมื่อเราขึ้นมาถึงชั้นฟู้ดคอร์ท 

    “อะไรก็ได้”

    “ไม่มีอะไรก็ได้ขายครับ ไอ้คุณฐาน”

    “ไม่ต้องมาเล่นมุก” ไอ้ฐานหันมาเขกมะเหงกใส่ผม แม่งเอ๊ยเจ็บเป็นบ้า - 3 -

    “แล้วจะกินอะไรกันดี”

    “…”

    ความเงียบบังเกิดขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มเสนอสิ่งที่ตัวเองอยากกินออกมาซึ่งแม่งไม่ได้ตรงกันสักกะคน ฉิบหายมากต่างคนต่างสไตล์กันไปอีก

    “แล้วตกลงจะกินอะไร เถียงกันมาจะครึ่งชั่วโมงแล้วมั้งเนี่ย” ไอ้ฐานดูจะเริ่มหมดความอดทนกับการดีเบตว่าจะกินอะไรกันดี

    “งั้นก็อาหารเบสิก อาหารญี่ปุ่น!” ผมรีบยกมือเสนอ

    “เบสิกตรงไหนว่าไอ้ขมิ้น ใช่ว่าทุกคนจะชอบอาหารญี่ปุ่น” ไอ้ข้าวเถียงผมกลับทันที คือมันร้องอยากกินไก่ทอดครับ

    “แต่กูอยากกินอะไรที่มันอิ่มๆ ของในห้างมันให้น้อย” ไอ้การ์ฟิลด์ที่เหมือนจะไม่เรื่องมากแต่ก็บ่นกระปอดกระแปดไม่หยุดปาก ท้ายที่สุดคนที่ดูจะออกเสียงน้อยสุดก็คงจะเป็นคนขับรถที่พาพวกผมมาหาอะไรกินที่ห้าง

    “ถ้ามันเลือกยากนะ เดี๋ยวกูจะพาพวกมึงไปแดกร้านที่มีทุกอย่างให้มึงเลือก”

    "ร้านอะไรของมึงวะ? "

    "เออน่ะ ตามกูมาเป็นพอ"

    “???”

     และใครมันจะไปนึกว่าจะไอ้ฐานมันจะลงทุนพาเดินมาร้านตามสั่งที่อยู่ใกล้ๆ ห้าง!

    “สั่งเลย มีเป็นสิบยี่สิบเมนูอยากแดกไรก็สั่ง” ไอ้ฐานวางเล่มเมนูลงบนโต๊ะ

    “กูยอมใจในความขับรถมาห้างแต่พามาแดกอาหารตามสั่งของมึงมากไอ้ฐานทัพ” ผมอดที่จะประชดมันไม่ได้

    “ร้านนี้อร่อย ขึ้นชื่อนะเว้ย”

    เฮ้อ ไหนๆ ก็มานั่งลงหลักปักฐานกันในร้านเขาแล้ว จะไม่สั่งอะไรมากินก็คงจะไม่ได้ ผมเลยเลือกสุกี้น้ำ ไอ้ข้าวสั่งข้าวหน้ามันไก่ทอด ไอ้ฐานสั่งข้าวผัดหมู และไอ้การ์ฟิลด์สั่งต้มยำกุ้ง ผัดซีอิ๊ว ข้าวบวกไข่ดาว (นี่แม่งแดกหรือยัด) 

    นั่งรอกันไม่นานมาก อาหารที่สั่งไปก็เริ่มทยอยมาเสิร์ฟ เริ่มจากของไอ้ข้าวที่ทำเร็วสุด ตามด้วยไอ้ฐานทัพ และก็ของผม ส่วนไอ้ออเดอร์อลังการของไอ้แมวส้มก็นั่งรอไปนะครับ

    “ไก่กร๊อบกรอบ โคตรดี!” ไอ้ข้าวออกปากชมทั้งทำตาเป็นประกาย

    “สุกี้ก็ให้เยอะดี” ผมชมบ้างแล้วตักน้ำซุปขึ้นซด

    “มึงไม่ใส่น้ำจิ้มวะ” ไอ้ข้าวสะกิดถามผม เพราะถ้วยน้ำจิ้มยังอยู่เท่าเดิมทั้งที่กินไปจวนจะครึ่งชามแล้ว

    “กูไม่ชอบกินเผ็ด”

    “น้ำจิ้มสุกี้ก็ไม่เผ็ดมากนะมึง”

    “กูชอบแบบออริจินอลมากกว่า” ผมว่าการกินแบบไม่ต้องปรุงมันก็อร่อยดีนะครับ ถึงบางคนจะบอกว่ามันดูจืดชืดไปบ้างก็ตาม แต่ผมชอบกินของผมแบบนี้อะ! เข้าใจไหม!

    “ว่าแต่กูถามหน่อยดิ ทำไมพวกมึงถึงเลือกมาเรียนที่นี่วะ” ไอ้ฐานทัพคนเจ้าถิ่นถามขึ้นมา

    “กูอยากเรียนไกลบ้าน” ไอ้ข้าวตอบเสียงฉะฉาน

    “แล้วมึงล่ะขมิ้น” มันหันมาถามผม

    “เอ่อ เหตุผลทางบ้านน่ะ” ปลายเสียงผมแผ่วลงไปนิดหน่อย เมื่อต้องนึกถึงเรื่องที่ไม่ค่อยจะน่านึกถึงสักเท่าไหร่

    “เหรอ แล้วมึงอะไอ้ฟิลด์ เฮ้ยอยากมัวแต่แดกตอบกูก่อน”

    “กูก็คนบ้านใกล้เรือนเคียงมึงนั่นแหละไอ้ฐาน มาเรียนที่นี่ใกล้กว่าไปเรียนในกรุงเทพฯอีกอย่างก็ได้โควตาพอดี”

    “อ๋อ กูเก็ทละ เออไหน ๆ ก็มารวมกลุ่มกันแล้ว ขอเบอร์พวกมึงหน่อยดิ”

    คุณพระ สุกี้แทบพุ่ง! ไอ้ฐานทัพเนี่ยนะขอเบอร์!

    “มึงทำหน้าตกใจอะไรนักวะขมิ้น กูแค่ขอเบอร์”

    “ก็นั่นแหละที่น่าตกใจ กูเห็นเพื่อนผู้หญิงมาขอเบอร์มึงตั้งหลายคน ไม่เห็นมึงให้ ก็นึกว่ามึงจะหวงอะไรทำนองนี้”

    “ก็กูไม่อยากให้เบอร์คนที่ไม่สนิท”

    คำตอบของมันทำให้พวกผมสามคนนั่งอึ้งเลยครับ ไม่นึกว่าไอ้ฐานจะพูดอะไรแบบนี้ได้ ก็นะตอนแรกที่เห็นไอ้ฐานมันดูมนุษย์สัมพันธ์ไม่ค่อยจะมีน่ะครับ ชอบนั่งหลับบ้างล่ะ ไม่ค่อยคุยกับใครบ้างล่ะ โอ๊ย มันหลายปัจจัยที่ทำให้คิดแบบนั้นครับ

    “พวกมึงจะอึ้งกันทำไม ไม่มีใครเคยขอเบอร์พวกมึงรึไง”

    “มึงนี่พูดมากกว่าที่กูคิดอีกนะเนี่ย” ไอ้การ์ดฟิลด์ทักในสิ่งที่ผมเองก็คิดเหมือนกัน

    “กูก็ไม่ใช่คนพูดน้อยนี่หว่า”

    “แต่ตอนกูเจอมึงครั้งแรก มึงไม่เห็นพูดจ่ออย่างนี้เลยนะ” ไอ้การ์ฟิลด์รีบแย้งขึ้นมาทันทีและมันเล่าว่ามันเป็นคนที่นั่งข้างๆ ไอ้ฐานทัพในวันรายงานตัว 

    “ตอนนั้นกูทักมึงว่า หวัดดีนายชื่อไร มึงก็บอกว่าชื่อฐานทัพ แค่นั้นแล้วมึงก็เมินกูไปเลย”

    “กูไม่ได้เมิน มึงไม่ชวนกูคุยต่อล่ะ”

    “ใครจะกล้าวะ หน้ามึงงี้เป็นมิตรตายล่ะ ดุอย่างกับโกรธใครมา”

    “กูหน้าดุเหรอ?” ไอ้ฐานชี้หน้าตัวเอง พวกผมสามคนเลยพยักหน้ายืนยันว่าใช่ แม่งชอบทำหน้านิ่ง ดูดุๆ เหมือนคนไม่ค่อยสบอารมณ์

    “แต่ตอนนี้พอคุยกับมึงมากขึ้น กูว่ามึงก็ไม่ได้ดูดุอะไรหรอก” ไอ้การ์ฟิลด์รีบแก้ต่างให้

    “กูก็คิดงั้นนะ มึงอาจจะแค่นิ่งเกินไปหน่อย เหมือนคนง่วงตลอดเวลา” ไอ้ข้าวเสริมบ้าง

    “นั่นเพราะช่วงนี้กูนอนดึกต่างหาก”

    “งั้นแสดงว่ามึงไม่ใช่แบบหล่อแล้วหยิ่งงี้ใช่ปะ” ผมถาม

    “คนหล่อไม่จำเป็นต้องหยิ่งเปล่าวะ”

    “ก็กูเห็นตัวอย่างมา” นึกถึงแล้วก็ยังรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านใจอยู่เลย รุ่นพี่ที่ชื่อปูนนั่น

    “ทำหน้าตาเหมือนโกรธใครมาไอ้ขมิ้น” ไอ้ข้าวทัก สงสัยผมคงเผลอทำหน้านิ่วคิ้วขมวดละมั้งครับ

    “ไม่ได้โกรธใครมา แค่รู้สึกหมั่นไส้”

    “อะไรวะ เพิ่งจะแค่วันแรกมึงก็จะสร้างศัตรูแล้วเหรอ” ไอ้การ์ฟิลด์ตีโพยตีพายยกใหญ่ โอเวอร์ซะไม่มี

    “ไม่ได้สร้างศัตรูโว้ยแต่มันดูไม่ถูกชะตายังไงไม่รู้ แค่ชื่อก็เป็นปรปักษ์แล้วมึงเอ๊ย”

    “มึงหมายถึงพี่ที่เป็นเดือนปีสองที่ชื่อพี่ปูนเหรอ”

    “แม่นแล้ว”

    “ขมิ้น กับ ปูน อู้หูดุเดือด”

    “อู้หูดุเดือดเหี้ยไร”

    “ก็แค่ลองนึกสภาพมึงกับพี่เขาอยู่ด้วยนะ น่าจะเละ”

    “ใครเละ” ไอ้ข้าวแทรกถามขึ้นมา

    “เพื่อนเราดิเละ” ไอ้การ์ฟิลด์ตอบพลางหัวเราะร่วน

    “อย่ามาดูถูกกันนะโว้ย พี่แม่งดิต้องเละ” ผมไม่ยอมให้ใครมาข่มเหงหรอกนะครับ

    “เอาความมั่นใจจากไหน แค่ขนาดตัวก็แพ้แล้ว”

    “มึงไม่เคยได้ยินเหรอว่า เล็กพริกขี้หนูแต่แสบถึงทรวง”

    “เล็กพริกขี้หนู แต่ไอ้คนพูดแดกเผ็ดไม่ได้เนี่ยนะ สำนวนไม่ได้เหมาะกับมึงเลย”

    “ไอ้ข้าว”

    “อะไร”

    “พูดมาก”

    “กูพูดมากอะไรกูพูดเรื่องจริง เนอะไอ้ฟิลด์ ไอ้ฐาน”

    “ใช่/ใช่”

    “นี่พวกมึงจะไม่เข้าข้างกูหน่อยเหรอ”

    “ไม่/ไม่/ไม่”

    พวกมึงเป็นทีมประสานเสียงกันรึยังไงวะ!

     

    หลังจากแลกเบอร์โทรกันที่ร้านตามสั่งเสร็จเรียบร้อย ไอ้ฐานก็ขับรถมาส่งพวกผมที่คณะก่อนที่ต่างคนจะแยกย้ายกันกลับที่พักของตัวเอง ผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์กลับมาถึงห้องรูหนูที่อยู่ในซอยลึกหลังมอ มันเป็นห้องเช่าเล็ก ๆ ที่ราคาถูกมาก ๆ ตามสภาพความเป็นอยู่ ผมวางกระเป๋าสะพายข้างลงบนพื้นแล้วเลือกที่จะเดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นอันดับแรก

    หลังจากนั้นผมก็มานอนไถโทรศัพท์เล่นไปพลางๆ จนกระทั่งมีแจ้งเตือนไลน์ดังขึ้น บนหน้าจอปรากฏข้อความการเพิ่มเพื่อนจากเบอร์โทรศัพท์ คนที่แอดมาคือไอ้ฐานทัพ ผมกดเข้าไปรับแอดจากนั้นก็เริ่มสร้างกลุ่มแชทของพวกเราขึ้นมาโดยเชิญไอ้ฐานทัพเข้ากลุ่มเป็นคนแรก ก่อนจะตามมาด้วยไอ้ข้าว ไอ้การ์ฟิลด์ที่ทยอยกันเข้ามาร่วมกลุ่ม

     

    ‘สี่สหาย จะฉิบหายกันไหมครับ’ (4)

     

    ขมิ้น (ชู) ชัน: ฮัลโหลเทส~~~

    Rice: ชื่อกลุ่มไม่มงคลเลย

    การ์ฟิลด์: คิดได้ไงเนี่ย

    Base_K: เปลี่ยนชื่อเลย สัตว์

    ขมิ้น (ชู) ชัน: อะๆ กูเปลี่ยนก็ได้
     

    ขมิ้น (ชู) ชัน เปลี่ยนชื่อกลุ่ม ‘สี่สหาย คงไม่ฉิบหายหรอกมั้ง’

    Rice:  -_-;

    การ์ฟิลด์: ต่างจากเดิมตรงไหนวะ

    Base_K: เอาที่มึงสบายใจเลย ไอ้เวร

    ขมิ้น (ชู) ชัน: งั้นกูสบายใจชื่อนี้555

     

    หน้าจอผมขึ้นสติ๊กเกอร์รัวๆ ที่ส่งมาจากไอ้ข้าว ไอ้การ์ฟิลด์พอเห็นอย่างนั้นก็เล่นถล่มส่งสติ๊กเกอร์มาบ้าง ผมเองก็เลยสรรหาสติ๊กเกอร์ตลกๆ ส่งโต้ตอบกลับไป สรุปทั้งห้องแชทไม่มีใครคุยกันสักประโยคมีแต่การส่งสติ๊กเกอร์กวนประสาทกันไปมา

    จนในที่สุดคนที่ดูจะส่งสติ๊กเกอร์ไม่ทันคนอื่นหรือไม่รู้ว่ากำลังรำคาญเลยกดเด้งออกจากกลุ่มไปหาตาเฉย

    อ้าวฉิบหาย ไอ้ฐานไปแล้วววววว ผมเลยต้องไปกดเชิญมันเข้ากลุ่มอีกรอบ

     

    ขมิ้น (ชู) ชัน เชิญBase_K เข้าร่วมกลุ่ม

     

    Base_K: ถ้าพวกมึงไม่เลิกเล่น กูบล็อก!

    ขมิ้น (ชู) ชัน: ขอโทษคับป๋า; 3 ;

    Rice: จะไม่เล่นแล้วจ้าTOT

    การ์ฟิลด์: ผิดไปแล้วคร้าบบบบ

    Base_K: ไอ้เวร โทรศัพท์กูแทบค้าง

     

    แล้วห้องแชทก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง ก่อนที่พวกผมจะเริ่มกลับมาคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้นแต่ยังมีความไร้สาระ แซว เล่นมุกไปตามประสา ผมอมยิ้มให้กับความบ้าบอๆ ของเพื่อนใหม่ที่ได้พบเจอในวันนี้ มันเป็นความแปลกใหม่ในชีวิตที่ผมไม่ได้ผมสัมผัสมันมานานแล้วเหมือนกันตั้งแต่จบมัธยมปลายมา และผมหวังว่าในอนาคตต่อ ๆ ไปจะได้สนิทสิกับพวกมันมากขึ้นกว่านี้นะ :)

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×