ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Hey bro! : พี่(รหัส)ครับ 【สนพ.ลาเวนเดอร์】END

    ลำดับตอนที่ #8 : คนมาสาย

    • อัปเดตล่าสุด 30 มี.ค. 64


     

    ตอนที่ 8

    คนมาสาย

     

     

    เมื่อนาฬิกาตีบอกเวลาสี่โมงตรง นั่นหมายความว่านี่เป็นเวลาเลิกเรียนคาบสุดท้ายของวัน ผมจึงกวาดของใส่กระเป๋าสะพายแล้วลุกออกจากโต๊ะแทบจะในทันที

    “มึงจะไปไหนวะไอ้ขมิ้น วันนี้มีนัดเปิดสายตอนหกโมงนะเว้ย” ไอ้ข้าวรีบเบรกผมทันทีเมื่อเห็นผมกำลังพุ่งตัวออกจากห้องเรียน

    “ไปชมรม”

    ชมรมที่ผมพูด คือชมรมเล่นไพ่ยูกิที่จัดตั้งโดยรูมเมทไอ้ข้าวที่ชื่อทิวา ซึ่งผมบังเอิญไปเจอมันตอนช่วยไอ้ข้าวขนของขึ้นหอ ทีแรกผมก็มีอาการเกร็งกับทิวามันอยู่บ้างเพราะท่าทางของมันดูนักเลงพอตัว แต่พอคุยไปคุยมากลับถูกคอซะงั้น ทีนี้มันเลยชวนผมเข้าก๊วนเล่นไพ่ เอ่อ...ไพ่ในที่นี้ไม่ใช่การตั้งวงไพ่แบบผิดกฎหมายอะไรทำนองนั้นนะครับ มันคือไพ่ยูกิที่นิยมอย่างมากในหมู่เด็กผู้ชายเมื่อเกือบสิบปีที่แล้วเห็นจะได้ ซึ่งมันก็เข้าทางผมอย่างจัง คือผมชอบเล่นไพ่ยูกิมากแต่สมัยเด็กๆ และผมก็ไม่ค่อยมีเพื่อนเล่นด้วยแหละในสมัยนั้น นี่จึงนับเป็นโอกาสที่โคตรหายากที่นักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยจะยังเล่นไพ่ยูกิอยู่ (เห็นทิวามันบอกว่ามีเพื่อนมันอีกสามคนก็เล่น เลยรวมหัวกันตั้งชมรมกันขึ้นมา)

    ผมมาถึงห้องชมรมซึ่งเป็นห้องอเนกประสงค์ในตึกวิศวะตามคำบอกของทิวาที่มันส่งลายแทงแผนที่มาให้ผม ซึ่งกว่าผมจะงมเจอห้องนี้ก็ต้องเดินวนทางถามคนนู้นคนนี้อยู่ตั้งนาน

    “หวัดดี” ผมทักทายออกไปเมื่อประเปิดตูมาเจอกลุ่มผู้ชายสี่คนกำลังเอกเขนกกันอยู่ หนึ่งในนั้นมีทิวานั้นอยู่ด้วย พอมันเห็นผมก็ส่งยิ้มทักทายพร้อมโบกไม้โบกมือ

    “มาละเหรอ เข้ามาเลยๆ เออพวกมึง นี่เพื่อนของรูมเมทกูเอง” ทิวาแนะนำตัวผมให้เพื่อนๆ ได้รู้จัก

    “หวัดดีกูชื่อหมื่นไมล์นะ เรียกไมล์ก็พอ” ผู้ชายเจ้าของตากลมโตโบกมือทักผมด้วยท่าทีสบายๆ บุคคลิกของหมื่นไมล์ดูไม่น่าใช่เด็กวิศวะเลยครับ จากองค์ประกอบโดยรวม ถ้าใครบอกผมว่าหมื่นไมล์เรียนบริหารผมก็เชื่อนะ หนุ่มหน้ามน คนหน้าใสงี้

    “ส่วนกูชื่อกล้าหาญ นี่ชื่อสิงหา” คนชื่อกล้าหาญบอกชื่อตัวเองเสร็จก็ชี้ไปยังเด็กวิศวะอีกคน

    “หวัดดีเพื่อนของเพื่อนทิวา” สิงหาส่งยิ้มให้ผมพร้อมคำทักทายแบบขี้เล่น

    “ยินดีที่ได้รู้จัก กูชื่อขมิ้นเรียนนิติ เป็นเพื่อนของรูมเมททิวามันอีกที ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวขอเข้าชมรมด้วยคนก็แล้วกัน” ผมว่าพลางแทรกตัวลงนั่งตรงเก้าที่ที่ว่างอยู่ ก่อนที่สิงหาจะเป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมาว่า

    “ละมึงไปไงมาไงถึงได้มาเข้าชมรมอุปโลกน์กับไอ้ทิวาได้ล่ะ”

    “ชมรมอุปโลกน์?” ผมทำหน้างง

    “ก็ชมรมไพ่ยูกินี่ไง มันตั้งขึ้นมาแค่ชื่อ ส่วนสถานที่ก็มายืมห้องเขาใช้ นี่จะโดนไล่ที่วันไหนยังไม่รู้เลย” หมื่นไมล์ร่ายยาวให้ฟังถึงความจริงเกี่ยวกับชมรม ที่แท้ก็แค่การรวมตัวของคนอยากเล่นไพ่ยูกินี่เอง แต่ไอ้ทิวาดันเรียกว่าชมรมเวอร์วังซะไม่มี

    “ไล่ก็ย้ายที่ดิวะ ไปเล่นบ้านไอ้กล้าหรือไม่ก็ไอ้สิงหาก็ได้”

    “เฮ้ยๆ กูยังไม่ได้อนุญาตเลยนะไอ้ทิวา” สิงหาโวยขึ้นทันใด

    “บ้านเพื่อนก็เหมือนบ้านเรา”

    “ตรรกะห่าอะไรของมึง” กล้าหาญมาเสริมทัพ ไอ้ทิวานี่ถึงกับไปไม่ถูกเมื่อเพื่อนไม่รับมุก

    “เออๆ ช่างเหอะ ไหนๆ ก็มีสมาชิกใหม่มาเพิ่ม เรามาเลี้ยงฉลองกันหน่อยดีกว่า”

    แล้วไอ้ทิวาก็วานพวกกล้าหาญกับสิงหาไปซื้อน้ำปั่นในโรงอาหารคณะมา

    “ถ้าไม่ติดที่ว่าอยู่ในสถานศึกษานะ กูจะเลี้ยงเหล้ามึง”

    “เลี้ยงเหล้าห่าอะไร รอบก่อนแอบไปกินที่ร้านเกือบซวยยกแก๊งแล้วไหมล่ะ” หมื่นไมล์เตือนทิวาด้วยสีหน้าจริงจัง

    “ก็ใครจะไปคิดว่ารุ่นพี่ปีสามจะไปแดกร้านเดียวกัน”

    “มึงไม่ต้องมาพูดเลย กูไม่ยอมโดนเรียกตัวเข้าห้องมืดกับมึงอีกรอบแน่”

    “ห้องมืด?” และเป็นผมที่สงสัย ว่าห้องมืดมันคืออะไร

    “อ่อ คณะมึงคงไม่ได้รับน้องโหดเหมือนคณะกู ห้องมืดที่ว่าก็คือห้องที่ปิดไฟแล้วรุ่นพี่ก็จะมาตะโกนว๊ากใส่เรา เทศนาโวหารอีกบลาๆ ไร้สาระมากเลย ความจริงพูดเฉยๆ ไม่ต้องแหกปากกูก็เข้าใจปะ” ไอ้ทิวาถอนใจพรืดสีหน้าดูเซ็งมากกับการถูกรุ่นพี่ว๊าก

    “แม่งกูยังปวดหูไม่หายเลย สงสัยพี่แม่งกินนกหวีดเป็นอาหารเช้า” ไม่ว่าเปล่าทิวามันยังยกมือขึ้นแคะหู ไม่มีท่าทีจะเกรงกลัวสักนิด ผมก็พอเข้าใจนะว่าทำไมไอ้ทิวามันไม่กลัวเพราะมันน่ะน่ากลัวกว่าพวกรุ่นพี่บ้างคนซะอีก

    “แล้วนี่มาใช้ห้องนี่ไม่มีใครว่าเหรอ” ผมถาม หมื่นไมล์จึงตอบคลายข้อสงสัยทั้งหมดให้

    “ห้องนี้ตอนเย็นๆ ไม่ค่อยมีคนมาใช้หรอก”

    “หืม ทำไมล่ะ?”

    “รู้แล้วห้ามไปบอกไอ้สิงหานะ คือ...มันเป็นคนกลัวผี”

    อ้อ ผมว่าผมเริ่มจับเค้าคราวบางอย่างได้แล้วแหละ จากนั้นหมื่นไมล์ก็เล่าเรื่องน่ากลัวๆ เกี่ยวกับห้องนี้ให้ผมฟัง ว่าตอนเย็นๆ มักมีคนเคยเจอวิญญาณในห้องนี้แวบไปแวบมา บ้างก็ว่าเป็นผีเจ้าที่ แต่หมื่นไมล์ก็บอกว่ามันเป็นแค่เรื่องเล่าปากต่อปากมาอีกที อาจจะแค่กุเรื่องขึ้นมาสร้างสีสันความน่าตื่นเต้นให้นักศึกษาก็ได้

    “พวกกูมาใช้ห้องนี้กันสองสามครั้งแล้วก็ไม่เจออะไรนะ” หมื่นไมล์ยืนยันเหมือนไม่อยากให้ผมนั้นคิดมาก

    “กูไม่กลัวเรื่องพวกนี้เท่าไหร่หรอกสบายใจได้ แต่ถ้าเป็นเพื่อนกูน่ะไม่แน่ วิ่งป่าราบ แหกปากร้องลั่นชัวร์” ผมนึกถึงไอ้การ์ฟิลด์ขึ้นมาทันที ผมเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ว่ามันไม่ถูกโรคกับที่มืด เพราะมันกลัวผีเข้าขั้นจิตตก

    “อ่า คงพวกเดียวกับไอ้สิงหาแน่ ๆ”

     

    ผ่านไปเกือบสิบนาที กล้าหาญกับสิงหาก็กลับมาที่ห้องชมรมพร้อมแก้วน้ำปั่นห้าแก้ว

    “ขอบใจว่ะ” ผมบอกขอบคุณแล้วรับแก้วน้ำปั่นมากิน

    พวกกล้าหาญซื้อน้ำผลไม้ปั่นมาให้ อร่อยไม่เลวนะครับเนี่ย สงสัยต้องแวะมากินที่คณะวิศวะบ่อย ๆ แล้ว

    “วันนี้ไหนก็มารวมตัวกันแล้ว มาเล่นกันสักตาสองตาดีไหม” หมื่นไมล์เริ่มประเด็น คนอื่นก็ก็พยักหน้าเห็นด้วย

    “แต่กูไม่มีเด็คนะ” เด็คที่วางคือสำรับไพ่ยูกิครับ สมัยเด็กๆ ผมซื้อเล่นตามหน้าโรงเรียนที่ขายแพ็คละห้าบาท ตอนนี้มันก็หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ครับ ผมว่ายายเคงเก็บทิ้งไปแล้วชัวร์เลย

    “ไม่เป็นไรๆ กูมีให้ยืม จะเล่นเด็คไหนล่ะ”

    สิงหาหยิบกล่องคุกกี้ทรงสี่เหลี่ยมขึ้นมาเปิดในนั้นมีไพ่ยูกิถูกจัดเป็นเด็ค วางเรียงกันอยู่เต็มกล่อง

    “โห เยอะมาก! ของแท้ปะ”

    “โทษทีว่ะ ก๊อปเกรดเอ” สิงหาว่าพลางยิ้มแหะๆ สงสัยคงซื้อตามเว็บขายการ์ดในเน็ต

    “ของมึงยังดีก๊อปเกรดเอ กูปริ้นแปะเอาว่ะ” ไอ้ทิวาพูดแทรกขึ้นมา ทำเอาไพ่ก๊อปของสิงหาดูดีขึ้นมาทันที

    “งั้นมีกันห้าคน จะจับคู่ไงดี” หมื่นไมล์ถาม กล้าหาญก็ชิงตอบก่อนเลยว่าจะคู่กับสิงหา

    ทีนี้หมื่นไมล์เลยให้ผมจับคู่กับไอ้ทิวาไปก่อน ถ้ายังอยากเล่นค่อยสลับมาคู่กับหมื่นไมล์ในตาหน้า

    ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เลยจับคู่กับไอ้ทิวานั่งเล่นไพ่ยูกิกัน

    “เด็คมึงโกงไปรึเปล่าวะ” ผมอดที่จะเปรยขึ้นมาไม่ได้เมื่อแพ้ไอ้ทิวามาสองตาแล้ว

    “มึงคิดไปเองฝีมือกูล้วนๆ” ทิวาแย้งขึ้นแล้วจั่วไพ่ขึ้นมือ

    แต่ผมก็ใช่ว่าเล่นไม่เก่งนะ เมื่อกี้ยังชนะหมื่นไมล์มาได้เลย แต่กับไอ้ทิวามันแพ้มันหมดรูปทุกที

    “มึงอย่ามัวเสียเวลาแต่ตั้งแง่กับกูเลย วันนี้มึงมีงานเปิดสายรหัสตอนหกโมงไม่ใช่เหรอเห็นไอ้ข้าวเล่าให้ฟัง”

    เออ จะว่าไปก็…

    “นี่กี่โมงแล้ววะ” ผมถาม

    “ห้าโมงห้าสิบห้า” หมื่นไมล์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ก้มมองนาฬิกาและเอ่ยตอบ

    ฉิบหาย! ถ้าไม่รีบสายแน่กู!

    “กูต้องไปแล้ว โทษทีไว้มาเล่นใหม่วันหลังนะ!” ผมพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะรีบโกยตีนหมาวิ่งไปกระโดดขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้หลังคณะวิศวะ ก่อนจะบิดกุญแจสตาร์ทเครื่องและสวมวิญญาณเด็กแว๊นบิดรถมุ่งหน้าไปยังคณะนิติแทบจะในทันที ตอนนี้มันจวนเจียนจะหกโมงเย็นแล้ว แว็กกกกกก หวังว่าผมจะไปทันนะ… TOT

     

    ***

     

    เวลาหกโมงสิบนาทีเป็นเวลาที่ผมเพิ่งจะหาที่จอดรถได้แถวคณะนิติได้ ผมรีบวิ่งไปยังลานกว้างใต้คณะที่มีผู้คนมากมายกำลังรวมตัวกันอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าคนที่มาสายอย่างผมก็ตกเป็นเป้าสายตาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผมเดินตัวลีบเข้ามายืนในแถวรวมกับเพื่อนๆ ปีหนึ่ง ทำเนียนว่าไม่ได้มาสายแต่มันดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลเลยครับฮือ  T_T

    “พี่ปูนแดกหัวมึงแน่” ไอ้การ์ฟิลด์กระซิบข้างหูผม แล้วสายตาก็ผมก็พลัดกวานหาร่างสูงที่ยังไงก็คงต้องมางานสำคัญในวันนี้ และก็เป็นอย่างที่ไอ้แมวส้มมันว่า พี่ปูนยืนกอดอกหลบอยู่ตรงมุมเสา แต่สายตานี่เพ่งเล็งมาที่ผมเต็มสองตาเลย

    ง่ะ…นี่อย่าบอกนะว่าโกรธที่ผมมาสาย

    แต่ก่อนที่จะไปกังวลตรงพี่ปูนโกรธไม่โกรธ ผมควรมากังวลกับการทำโทษน้องปีหนึ่งที่มาสายก่อน

    “น้องปีหนึ่งที่มาสายน่ะ ก้าวออกมาข้างหน้าด้วยค่ะ!” พี่กิ๊บประกาศออกโทรโข่งเสียงดังฟังชัด เล่นเอาผมถึงกับหน้าร้อนเพราะความอับอายเลย

    ฮืออออ ไม่นึกว่าจะมีเล่นกันแบบนี้เห็นปกติสายนิดสายหน่อยพวกพี่เขาไม่เห็นว่าอะไรเลย ทำไมวันนี้ดุจังเลยอะครับ

    “เดินออกมาข้างหน้าเลยค่ะ” พี่กิ๊บยังคงใช้เสียงโทนราบเรียบที่ฟังแล้วชวนให้รู้สึกเสียวสันหลัง

    ผมที่มาสายอยู่คนเดียวก็ต้องเดินก้มหน้ารับผิดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ บอกได้เลยครับว่าผมโคตรจ๋อย หัวเดียวกระเทียมลีบไปอีก

    “แต่ทำโทษน้องปีหนึ่งคนเดียวเดี๋ยวกลัวจะเหงา ทำโทษพี่รหัสปีสองร่วมกันไปด้วยเลยดีไหม”

    ในจังหวะที่พี่กิ๊บประกาศออกโทรโข่ง สายตาผมก็เหลือบมองไปทางพี่รหัสผมที่ยังคงยืนนิ่ง แต่จ้องเขม็งมาที่ผมตาไม่กะพริบเลยครับ ฮือออออ กลัวแล้วครับพ่ออออออ ขอล่ะพี่กิ๊บมาลงที่ผมคนเดียวเถอะครับ อย่าลากพี่ปูนมามีเอี่ยวด้วยเลยถือว่าผมขอร้องงงงงงง TOT

    “ว่าไงคะ พี่รหัสปีสองกล้าโดนทำโทษพร้อมน้องรึเปล่าเอ่ย~” พี่กิ๊บยังไม่เลิกยุ ทำให้หลายๆคนเริ่มซุบซิบด้วยสงสัยใคร่รู้กันแล้วว่าพี่รหัสสุดซวยคนนั้นเป็นใคร

    “ใครเป็นพี่รหัสน้องคนนี้ช่วยแสดงตัวทีค่า~” พี่กิ๊บยังคงกดดันต่อไป

    “พี่รหัสจะไม่แสดงตัวรับผิดชอบร่วมกันหน่อยเหรอ”

    บรรยากาศยังคงเงียบไร้ซึ่งพี่ปีสองออกมาแสดงตัว ผมสังเกตเห็นพี่เนยเหล่มองพี่ปูนด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก ส่วนพี่กิ๊บยังกดดันไม่เลิก และรุ่นพี่คนอื่นๆ ที่ไม่รู้ว่าใครเป็นพี่รหัสของผมก็พากันซุบซิบไปต่าง ๆ นานา

    ผมที่เป็นคนที่กดดันที่สุดเพราะยืนหัวโด่อยู่คนเดียวท่ามกลางสายตานับร้อยก็เริ่มรู้สึกอึดอัด ผมเลยยกมือขึ้นเพื่อขออนุญาตพูด

    “ว่าไงคะ”

    “เอ่อ ทำโทษผมคนเดียวก็ได้ครับ”

    “อ้าวทำไมล่ะ นี่ถ้าให้พี่รหัสออกมาโดนทำโทษด้วยพี่จะลดโทษให้ครึ่งหนึ่งเลยนะ”

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมมาสายผมควรรับโทษคนเดียว”

    “จริงเหรอ ทำโทษวิ่งรอบคณะห้าสิบรอบเลยนะ”

    หะ ห้าสิบรอบ… นี่พี่กิ๊บเล่นอะไรอยู่ครับเนี่ยยยยย ไม่สิ ปกติพี่กิ๊บไม่เคยใจร้ายกับผมนี่นา นะ นี่รึว่าอยากจะแกล้งพี่ปูนน่ะ!?

    “เอายังไงคะ นี่หรือว่าเรายังหาพี่รหัสของตัวเองไม่เจอ”

    “คือผมหาเจอแล้วครับ”

    “งั้นเรียกตัวออกมาเลยสิคะ รออะไรอยู่”

    ผมไม่ได้รอครับพี่กิ๊บ คือผมไม่อยากเรียกกกกกกกก

    “เอ่อ...คือ…ไม่น่าจะดีมั้งครับ T-T” นี่ผมจะร้องไห้แล้วนะพี่กิ๊บยังไม่เลิกแกล้งผมอีก อยากให้ผมโดนพี่ปูนหักคอจิ้มน้ำพริกเหรอ ฮืออออออ

    “ถ้าน้องไม่เรียกโทษวิ่งห้าสิบรอบเลยนะ”

    “ไม่เป็นไรครับ ห้าสิบก็ห้าสิบ” ปลายเสียงผมโคตรแผ่วเลย ใครมันอยากจะวิ่งรอบคณะตั้งห้าสิบรอบกัน

    และในตอนที่ผมก้มหน้าคิดว่าคงต้องรับกรรมนั้น ผมก็เห็นผ้าใบสีดำแบรนด์หรูมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม

    “ถือว่ากูช่วยหาร อย่าลืมจดหนี้บุญคุณกูไว้ด้วยล่ะ”

    ผมเงยหน้าขึ้นแล้วก็พบกับคนที่ผมนึกไม่ถึงว่าจะก้าวออกมายืนอยู่ตรงนี้

    “พี่ปูน"

    “เออ กูเอง” พี่ปูนกอดอกมองมามี่ผมด้วยสีหน้าเนือยๆ ตามแบบฉบับพี่แก

    บ้าน่า ทำไมถึง… ในตอนที่ผมกำลังสับสนและสงสัยอยู่นั้น เสียงฮือฮาก็ดังระงมไปทั่วสารทิศ

    “นั่นเดือนคณะไม่ใช่เหรอ!”

    “ไม่จริงน่า ได้พี่รหัสเป็นพี่ปูนเหรอ?”

    “แกฉันอิจฉาว่ะ!”

    “ทำไมฉันไม่มีดวงได้พี่รหัสหล่อๆ แบบนั้นบ้างนะ” และอีกบลาๆ ของสารพัดของดีในตัวพี่รหัสคนนี้ของผม

    เสียงซุบซิบฮือฮาก็ยังคงไม่จางหายไปแต่อย่างใด นกระทั่งพี่กิ๊บต้องตะโกนใส่โทรโข่งให้ทุกคนอยู่ในความสงบ และเริ่มงานวันเปิดสายรหัสอย่างเป็นทางการสักทีเพราะนี้มันก็เลยเวลามามากแล้ว พี่ปีสี่เป็นตัวแทนกล่าวสุนทรพจน์สั้นๆ ถึงการรับน้องในปีนี้ บรรยากาศมันเงียบสงบมาก แต่ก็ยังมีเสียงพูดปลุกขวัญกำลังใจดังก้องทำให้ คนฟังอย่างผมอดที่จะรู้สึกอินตามไม่ได้

    กิจกรรมรับน้องที่ผ่านมา ทำให้ผมได้เรียนรู้ และได้อะไรหลายๆ อย่าง ทั้งเพื่อนพ้อง และความสนิทชิดเชื้อกับรุ่นพี่ เราเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน แว็บหนึ่งผมรู้สึกอย่างนั้นนะ ตอนนี้ผมก็รู้สึกแบบเดียวกัน

    “พวกพี่ดีใจมากที่ได้จัดงานวันนี้ เพื่อต้อนรับน้องๆ ปีหนึ่งที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในมหาวิทยาลัย เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในคณะ เข้ามาเป็นรุ่นน้องและจะกลายเป็นรุ่นพี่ในปีถัดไป”

    อ่า มันเป็นคำพูดที่ฟังแล้วรู้สึกตื้นตันใจชะมัด ผมไม่ใช่คนขี้แยนะแต่พอเจออะไรแบบนี้ขอบตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมานิดๆ พอพี่ซึ่งเป็นตัวแทนกล่าวจบ พวกปีหนึ่งทุกคนก็ถูกสั่งให้มานั่งรวมกันตรงกลางโดยมีพี่ปีสองปีสามและปีสี่ยืนล้อมเป็นวงกลมก่อนจะทำการบูมคณะให้ด้วยน้ำเสียงที่ดังกึกก้อง ผมนี่ถึงกับขนลุกซู่เลย มันทั้งรู้สึกทึ่ง ประทับใจ และรู้สึกปลื้มใจที่ได้มาเป็นรุ่นน้องของรุ่นพี่เหล่านี้

    “ต่อไปนี้พวกพี่จะให้น้อง ๆ แยกย้ายกันไปตามสายรหัสของตัวเองนะคะ”

    สิ้นเสียงประกาศของพี่กิ๊บ ทั่วบริเวณก็เริ่มโกลาหลไปด้วยคนมากมาย ทั้งพี่ที่เข้ามาตามตัวน้องรหัสของแต่ละคน น้องที่เดินตามหาพี่รหัสของตัวเอง

    ส่วนผมก็ยังยืนงงในดงกล้วย ไม่รู้ทิศรู้ทางเลยครับ คนมันเยอะวุ่นวายไปหมด และในตอนนั้นเอง ใครบางคนก็มาฉุดมือผมไว้ เมื่อหันกลับไปมองผมยิ่งรู้สึกตกใจ เพราะคนที่มาจับมือผมไว้คือ...พี่รหัสของผมเอง

    “อยู่นี่เองไอ้ลูกหมา”

    ...

      

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×