ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Hey bro! : พี่(รหัส)ครับ 【สนพ.ลาเวนเดอร์】END

    ลำดับตอนที่ #7 : Supermarket

    • อัปเดตล่าสุด 30 มี.ค. 64


     

    ตอนที่ 7

    Supermarket

     

    P’Poon’Part

     

    ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าผมจะได้มาเดินห้างกับพี่ชายในรอบสองปี อันนี้ผมไม่ได้เวอร์นะแต่ละคนต่างก็ติดเรียนกันไงครับเลยไม่ค่อยจะมีเวลาว่างพร้อมกันสักเท่าไหร่ และส่วนใหญ่เวลาซื้อของเข้าคอนโดปันก็มักจะเป็นฝ่ายมาซื้อเพราะขับรถยนต์ ส่วนผมนั้นขับบิ๊กไบก์จึงไม่ค่อยสะดวกเวลาซื้อของสักเท่าไหร่

    “ตกลงตัดสินใจได้รึยังว่าจะซื้ออะไรให้น้องรหัส”

    “ไม่รู้อ่ะ ปันเลือกสิ”

    “ปูนสิต้องเลือก น้องรหัสปูนนะไม่ใช่น้องปัน”

    “งั้นซื้อไรดี”

    “ขนมไหม”

    ผมส่ายหน้า มันดูธรรมดาเกินไป อีกอย่างผมก็ซื้อเค้กที่ผมชอบให้มันกินบ่อยแล้ว ถ้าเป็นผมคงจะเบื่อมากเลยล่ะถ้าได้อะไรซ้ำซากแบบนั้น

    “งั้นตุ๊กตาไหมน่ารักนะ” ปันว่าพลางลากผมไปเดินดูโซนตุ๊กตานุ่มนิ่มทั้งหลาย

    “ปัน มันปีหนึ่งแล้วนะไม่ใช่เด็กสามขวบ”

    “งั้นควรจะซื้ออะไรดีล่ะครับคุณน้องชาย เรื่องมากจริง ๆเลย”

    ผมนิ่งคิดชั่วครู่ หากของที่ต้องให้ใครสักคนผมว่าเราควรคำนึงถึงประโยชน์ที่อีกฝ่ายจะได้รับน่าจะเหมาะที่สุด ถ้าเป็นไอ้ลูกหมานั่นผมคงอยากซื้อตระกร้อครอบปากให้ แต่ความเป็นจริงถ้าผมทำอย่างนั้นโดนพวกพี่ๆ ปีแก่ ด่าตายเลย เดี๋ยวหาว่าผมแกล้งน้องอย่างนู้นอย่างนี้ เฮอะ ทำตัวกวนตีนแบบนั้น ใครบ้างล่ะจะไม่อยากแกล้ง ผมคนหนึ่งล่ะหมั่นไส้มันสุดๆ ไอ้เด็กเวร

    “ถ้างั้นเอาเป็นของพวกนี้ดีกว่า” แล้วผมก็เดินนำปันเข้าไปในร้านขายหนังสือและอุปกรณ์เครื่องเขียน ใช้เวลาเลือกอยู่พักใหญ่ ในที่สุดผมก็ได้เครื่องเขียนมาถุงใหญ่ รับรองได้ว่าสี่ปีนี้มันต้องได้ใช้อย่างคุ้มค่าแน่นอน

    “ไอเดียไม่เลวนะ” ปันชมผมพร้อมยิ้มออกมา

    “ยิ้มอะไร”

    “ก็ปันรู้สึกดีใจนิ เห็นน้องชายที่เย็นชาแข็งกระด้างเป็นแผ่นน้ำแข็งรู้จักใส่ใจคนอื่น”

    “ใส่ใจอะไร ก็แค่ซื้อของธรรมดาๆ ให้”

    “ถึงจะเป็นของธรรมดาแต่ถ้าคนให้จริงใจ คนรับเขาก็คงดีใจแหละ”

    “ปันยังไม่รู้จักไอ้ลูกหมานั่น เชื่อเถอะว่ามันต้องหาเรื่องมาจิกกัดปูนอีก”

    “แน่ะ คิดในแง่ร้ายอีกแล้ว”

    “เปล่าสักหน่อย”

    ปันดูเหมือนจะไม่สนใจผม ก่อนจะเดินนำไปยังโซนซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของกินและของใช้ประจำวัน

    “ในตู้เย็นจะไม่มีที่แช่แล้ว จะซื้อเบียร์ไปอีกทำไม” ปันรีบท้วงขึ้นมาทันทีที่เห็นผมหยิบเบียร์กระป๋องแพ็คหนึ่งใส่รถเข็น

    “ซื้อตุนเผื่อไว้ไง”

    “กินมาก ๆ ระวังน้ำหนักขึ้นนะ”

    “น้ำหนักขึ้นก็เข้าฟิตเนส” ผมตอบไปอย่างไม่ค่อยจะแยแสสักเท่าไหร่ ดีซะอีกถ้าน้ำหนักขึ้นผมจะได้มีแรงจูงใจไปออกกำลังกาย ช่วงนี้ผมชอบขี้เกียจเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง ก็นะเด็กเรียนนิติชีวิตก็มีแต่การอ่านและท่องจำ ผมเป็นพวกชอบอ่านหนังสือเงียบๆ ในห้องมากกว่าไปนั่งอ่านที่หอสมุด ผมไม่ชอบที่ที่คนเยอะๆ และมีสิ่งกวนใจทำลายสมาธิ

    “เดี๋ยวนะปัน” ผมรีบร้องท้วงเมื่อเห็นปันกำลังหย่อนขวดบรรจุของเหลวสีอำพันลงรถเข็น

    “อะไรเล่า เมาที่คอนโดดีกว่าเมาที่ร้านนะ”

    ที่ปันพูดมันก็ถูก พี่ชายผมเวลาเมาแล้วจะเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย แถมชอบอาละวาดเละเทะอีกต่างหาก

    “ว่าแต่คืนนี้ดื่มกันสักหน่อยไหม”

    “ผมขอแค่แก้วเดียว พี่เองก็ต้องกินแก้วเดียว”

    “เข้มงวดกันเกินไปหน่อยมั้ง”

    “อย่าลืมว่าพรุ่งนี้ปันมีเรียนเช้า”

    “เฮ้อ ชีวิตนักศึกษาทันตะแม่งรันทด”

    “บ่นแบบเดียวกับพี่เมษเลย” ผมค่อนข้างจะสนิทกับเพื่อนของพี่ ด้วยความที่อายุเราห่างกันไม่มากและเวลาพวกพี่เขาชวนกันไปกินเหล้า ปันก็มักจะลากผมไปด้วยอยู่บ่อยๆ หรือไม่บางทีพี่ลมเหนือกับพี่เมษเพื่อนของปัน ก็ชอบโทรตามผมให้มาหิ้วพี่ชายกลับคอนโดเวลาเมาเละเทะ

    “รายนั้นบ่นประจำ วันไหนเมษไม่บ่นต้องเป็นมันตัวปลอมแน่”

    ขนาดนั้นเลย? ผมว่าที่พี่เมษอยากจะบ่นมันก็ไม่ผิดนักหรอกครับ เพราะพี่เมษนอกจากเรียนหนักยังมีภาระหน้าที่ของการเป็นหนึ่งในทายาทธุรกิจยักษ์ใหญ่ในฮ่องกงอีก แต่ถึงอย่างนั้นไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับว่าคนหล่อ ฐานะดีอย่างพี่เมษจะขับรถเต่าจวนเจียนใกล้จะพัง ผมเคยถามว่าทำไมถึงทนขับอยู่ได้ทั้ง ๆ ที่มันก็เสียบ่อย พี่เมษก็ชอบพูดว่ามันเป็นรสนิยมและการขับรถเก่าๆ แบบนี้จะทำให้ไม่กลายเป็นจุดสนใจ

    ผมว่ามันก็เป็นไอเดียที่ไม่เลวนะครับ ถ้าเราทำตัวให้ดูเป็นนักศึกษาธรรมดาๆ ชีวิตก็คงง่ายขึ้น แต่ก็นะผมน่ะไม่ยอมสละเจ้าบิ๊กไบก์คันโปรดของผมแน่

    “ว่าแต่จะซื้อของสดไหม” ปันหันมาถามผมซึ่งเป็นคนเปิดตู้เย็นบ่อยที่สุด

    “ก็ดีนะ ไข่ไก่หมด นมด้วย”

    “เค งั้นก็ไปซื้อกัน”

    “อืม”

     

    ***

     

    ผมทำหน้าเซ็งๆ ก้มมองของในรถเข็นที่เต็มไปด้วยขนมและข้าวของมากมาย ผมรับหน้าที่เป็นคนเข็นรถและหิ้วของให้คุณชายฐานทัพครับในวันนี้ เนื่องจากแพ้พนันที่ปากดีท้าพวกมันไว้ว่าถ้าพี่รหัสเป็นพี่ปูนผมจะยอมให้ใช้งานผมได้คนละอย่าง และเย็นวันนี้ไอ้คุณฐานทัพก็รีบใช้สิทธิ์นั้นทันทีประหนึ่งว่ากลัวสิทธิพิเศษหมดอายุ

    “มึงจะซื้อไปถมที่เหรอ หยุดหยิบได้แล้ว” ผมโว้ยไอ้ฐานที่ยังคงเดินไปเลือกซีเรียลอาหารเช้าอย่างสบายอารมณ์

    “เรื่องของกู เงินกู”

    เออ เงินมึงแต่หนักกูโว๊ย กูคือคนที่ช่วยมึงหิ้วไง!

    “อันนี้กุนชอบ กูใส่รถเลยนะ” ไอ้ข้าววิ่งดุ๊กๆ มาพร้อมขนมเยลลี่มากมายหลากหลายรสในอ้อมแขน

    “อืม”

    พอได้รับอนุญาตไอ้ข้าวก็วางพวกขนมใส่รถเข็นและก็วิ่งไปเลือกขนมเพิ่มอีกอย่างกับเป็นของมันเอง

    “ไอ้ฐานถ้ามึงไม่ห้าม ไอ้ข้าวเหมาหมดโซนแน่ ๆ” ผมพูดขึ้น ไอ้ฐานทัพที่เดินกลับมาที่รถเข็นเพียงตอบรับแค่ว่า…เออว่ะนั่นสิ เฮ้ย กระเป๋าตังมึงจะฉีกนะไอ้ป๋า แล้วมันจะขนซื้อไปทำอะไรเยอะแยะวะ?

    เห็นไอ้ข้าวมันบอกว่ารูมเมตมันคนหนึ่งชื่อกุนเรียนสถาปัตย์เป็นคนที่ไอ้ฐานรู้จัก เหมือนเป็นเพื่อนสมัยเด็กทำนองนี้ แต่นี่ผมว่าไอ้ฐานมันจะดูแลเทคแคร์ดีเกินไปแล้ว อยู่ ๆ ก็บอกว่าอยากมาซื้อของไปฝากสักหน่อย นี่มันไม่หน่อยแล้วครับ ซื้อตุนกันขนาดนี้ผมนึกว่าเมทไอ้ข้าวที่ชื่อกุนเป็นผู้ประสบภัยน้ำท่วม มันต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ ๆ น่าเสียดายที่ไอ้แมวส้มจอมเผือกดันไม่ได้มาด้วย ผมเลยไม่มีแนวร่วมสืบที่มาที่ไปเรื่องนี้เลย

    “เดี๋ยวแวะโซนของสดหน่อย”

    “ยังจะซื้ออีกเหรอวะ” ผมโอดครวญแทบจะก้มกราบให้มันเลิกซื้อ

    “อันนี้ของกู ผักทำสลัดกูหมดแล้ว”

    “มึงนี่มันมนุษย์กินพืชหรือไงวะ แดกเนื้อสัตว์บ้าง”

    “เออ ก็จะไปซื้ออกไก่ด้วยนี่ไง”

    “ซื้อเยอะไหม”

    “มึงถามทำไม?”

    “กูขี้เกียจหิ้วไงไอ้สัตว์!”

    “ไม่ต้องห่วง วันนี้กูใช้งานมึงคุ้มแน่”

    “ไอ้เพื่อนเหี้ย” ผมด่ามันแต่ไอ้ฐานกลับยกยิ้มเยาะเย้ยผม

    ผมก็นะ ไม่น่าไปท้าพนันบ้าๆ บอนั่นเลย ;(

    “ไอ้ข้าว! ไอ้ฐานจะไปแผนกของสดรีบตามมานะโว๊ย”

    “โอเค!”

    ผมบอกไอ้ข้าวเรียบร้อยก็ออกแรงเข็นรถตามตูดไอ้คุณชายฐานทัพไป ขืนชักช้าโดนมันบ่นอีก เฮ้อ มาเป็นทาสถูกใช้แรงงานแท้ๆ

    พอมาถึงผมก็ได้แต่ยืนเฝ้ารถเข็นรอคุณชายฐานเดินเลือกซื้อผักอย่างกับเป็นคุณแม่บ้าน ผมว่ามันมุมนี้ก็ดูพิลึกดีนะครับ ใครจะไปคิดว่าผู้ชายมาดแมนจะมาจู้จี้จุกจิกกับการเลือกซื้อผัก เป็นผมนะอันไหนๆ มันก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละครับ หยิบใส่รถรีบเข็นไปจ่ายตังนานแล้ว ไม่มัวยืนเสียเวลาเพ่งพินิจอยู่แบบนี้หรอก

    และเพราะความเบื่อบวกกับไอ้ข้าวก็ยังไม่ตามมาสักทีผมเลยแอบรถเข็นไว้ข้างๆ แล้วลองเดินไปดูนั่นดูนี่เรื่อยเปื่อย จนผมหันไปเห็นน้ำแอปเปิ้ลกล่องเล็กจิ๋วซึ่งผมจำได้ว่าตอนเด็กผมชอบกินมาก ละผมก็นึกเสียดายที่ห้องเช่ารูหนูของผมดันไม่มีตู้เย็น ไม่อย่างนั้นจะได้ซื้อตุนแช่เอาไว้กินตอนดึกๆ ได้ ในตอนที่ผมกำลังคิดว่าจะซื้อกลับไปสีกแพ็คดีไหม เสียงคุ้นๆ ก็ดังขึ้นเหนือหัว

    “นี่ยังไม่โตเหรอ”

    ผมเงยหน้าขึ้นไปมองและก็ต้องเบิกตาโตอ้าปากเหวอด้วยความประหลาดใจสุดขีด

    พี่ปูนนี่!?

    “พะ พี่มาได้ไงเนี่ย”

    “กูคงขี่ไม้กวาดมาซื้อของมั้ง”

    ดูสิครับเจอหน้าก็กวนตีนผมเลย ว่าแต่ใครกันนะที่เข็นรถเข็นตามมาข้างหลัง เป็นผู้ชายหน้าตาสีซะด้วยเหมือนพวกดาราในละครหลังข่าวเลย อ่า...ดูดีจัง

    “คนรู้จักเหรอปูน”

    “ก็ไม่ค่อยอยากจะรู้จักนักหรอก”

    “ดูพูดเข้าไม่น่ารักเลย”

    “ช่างเหอะน่าปัน”

    ผมเห็นสองคนนั้นยืนคุยกับอย่างสนิทสนม ในใจก็แอบคิดไปไกลว่าสองคนนี้อาจจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา และผมก็ไม่ค่อยชอบอยู่เป็นก้างซะด้วยสิ เฮ้อ ไปดีกว่า…

    ผมเดินกลับมาที่รถเข็นของไอ้ฐานทัพ ไอ้ข้าวก็มาพอดีผมจึงเร่งให้พวกมันเลิกซื้อแล้วไปคิดเงินกันสักที

    “มึงเป็นอะไรวะไอ้ขมิ้น”

    “หะ? กูเป็นอะไร” ผมหันไปถามไอ้ข้าวอย่างงงๆ

    “ก็เห็นมึงจู่ ๆ ก็เงียบไป”

    “เปล่านี่แค่คิดอะไรเพลินๆ” ผมบอกปัดไปอย่างไม่ใส่ใจ แต่ถึงกระนั้นตาผมมันก็แอบเหลียวหน้าเหลียวหลังหันกลับไปมองคนสองคนที่กำลังเดินเลือกซื้อของกันอยู่ทำไมผมต้องสนใจด้วยพี่ปูนจะมากับใครมันก็ไม่เกี่ยวกับผมนี่นะ

    “ไปๆ จ่ายตัง อย่าชักช้าเดี๋ยวคิวยาว”

    “ไม่ต้องรีบหรอกน่า ห้างปิดสี่ทุ่มนะ” ไอ้ข้าวรีบแย้งขึ้นมาทันที

    “กูอยากกลับบ้านไปนอนละไงเพื่อน เดี๋ยวกูต้องหิ้วของที่พวกมึงตะบี้ตะบันซื้อไปที่รถอีก”

    “อย่าบ่นๆ มึงท้าพนันเอง” ไอ้ข้าวทำท่าจุ๊ปาก ได้กวนบาทาผมมาก ฮึ่ย!

    “เอาน่าไอ้ขมิ้น เดี๋ยวเลี้ยงติมกินปะ” อยู่ๆ ไอ้ฐานก็ยื่นข้อเสนอไอศกรีมฟรีมาให้ และแน่นอนว่าผมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว

    “กิน!/กิน!”

    เอ๊ะ มันถามผม แต่ทำไมไอ้คนข้างผมมันถึงตอบด้วยวะ?

    “เลี้ยงมันไม่เลี้ยงกู กูโกรธ" ไอ้ข้าวทำหน้างอ

    “เออ”

    “เย้! ไอ้ฟิลด์ไม่มาพลาดอดกินติมฟรี อิอิ” ไอ้ข้าวยังมีหน้ามาเย้ยไอ้แมวส้มอีกนะ แต่ก็นั่นแหละครับถ้ามันรู้มีหวังงอนตุ๊บป่องแน่ นี่ก็สายแดกเรื่องของกินเรื่องใหญ่

    “ว่าแต่ไอ้ขมิ้น มึงมีอะไรอยากกินอีกไหม”

    “ถามทำไมจะเลี้ยงเหรอ” ผมแกล้งแซวมันเล่น

    “ทำนองนั้น”

    “วันนี้ทำไมมึงป๋าจังวะ”

    “เออน่า จะกินไม่กิน”

    “กินดิวะ งั้นขอเป็นโดนัทสักสามสี่ชิ้นล่ะกัน”

    “กูก็อยากกินนะ” ไอ้ข้าวรีบแจมขึ้นมา

    “มึงซื้อเองนู่น”

    “ทำไมสองมาตราฐานล่ะไอ้ฐาน”

    “ไม่ต้องมางอแง ขนมที่มึงแอบหยิบใส่รถเข็นอย่านึกว่ากูไม่เห็นนะไอ้ข้าว”

    “กูซื้อไปกุนก็กิน”

    “ไม่ต้องมาอ้าง”

    ไอ้ข้าวทำหน้าคว่ำมันคงรู้สึกหงุดหงิดแน่ ๆ ที่ถูกไอ้ฐานจับไต๋ได้

    “น่าๆ หนูข้าว เดี๋ยวแบ่งโดนัทให้ จะกินรสอะไร”

    “กูขอช็อกโกแลต~”

    แหม รีบตอบเสียงหวาน เปลี่ยนท่าทีเลยนะไอ้ต้าวทาสของหวานเอ๊ย

    “กินขนมมาก ๆ ระวังฟันจะผุด”

    “มึงอย่าแช่งดิ กูยิ่งไม่ถูกโรคกับหมอฟันอยู่”

    “ถ้ามึงยังไม่เลิกนิสัยกินขนมเป็นพายุ กูว่ามึงเตรียมโทรนัดคิวอุดฟันไว้ได้เลย”

    ผมไม่ได้จะแช่งมันนะ ที่ผมพูดนี่ก็อิงมาจากความจริงล้วน ๆ ไอ้ข้าวมันเคยเล่าให้ฟันว่าตอนเด็ก ๆ ไปหาหมอฟันบ่อยมาก ในปากมันนี้ไม่มีฟันซี่ไหนไม่เคยถูกอุด ผมก็แค่กลัวว่าเพื่อนผมจะได้ใส่ฟันปลอมก่อนวัยอันควรน่ะสิครับ เฮ้อ…

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×