คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : เจรจาสงบศึก
ตอนที่ 5
เจรจาสงบศึก
หลังจากผมได้เบาะแสที่กำกวมจากรุ่นพี่เดือนคณะขี้เก๊กนั่น ผมก็เหมือนคนประสาทเสียไปเลยครับ เหมือนผมจะเห็นพี่ปูนผ่านตาบ่อยขึ้นยังไงก็ไม่รู้ หรือไม่ผมอาจจะคิดมากจนหลอนไปเอง
“ทำไมกูต้องมาซวยแบบนี้ด้วยวะ”
“มึงบ่นไปก็ไม่ช่วยอะไร เอ้านี่ชาเขียวปั่น”
แก้วชาเขียวปั้นวางลงตรงหน้าผม พร้อมกับไอ้ฐานทัพที่เดินมานั่งข้างๆ ไอ้การ์ฟิลด์ที่กำลังดีดกีตาร์ฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์
“นี่มึงซื้อมาให้กูเหรอป๋า” ผมทำตาเป็นประกาย ไม่นึกไม่ฝันว่าคนอย่างไอ้ฐานทัพมันจะรู้ว่าผมชอบกินชาเขียว
“ป๋าพ่อง กูไม่ได้ซื้อให้มึง”
“แน่ะ อย่ามาทำตัวซึนดิวะเพื่อน เขินล่ะสิ”
“เขินพ่อง กูไม่ได้ซื้อ”
คำยืนกรานเสียงแข็งของมันทำให้ผมรู้สึกตงิดใจแปลกๆ
“มึงไม่ได้ซื้อแล้วใครซื้อ?”
“พี่รหัสมึงไง”
“นี่มึงรู้ว่าพี่รหัสกูเป็นใครเหรอ!?”
“ไม่รู้”
“อย่ามาตอแหลมึงหลบตากูตอนพูด”
“อ้อ กูเกือบลืมไปเลยว่ามีธุระนี่นา ไปดีกว่า” ไอ้ฐานรีบลุกขึ้นเดินหนีไปหน้าตาเฉย
“เดี๋ยวดิ! นี่มึงจะชิ่งไปแบบนี้ไม่ได้นะโว้ย ไอ้ฐาน!” ผมพยายามตะโกนเรียกแต่ไอ้ฐานทัพ กลับยิ่งจ้ำอ้าวเดินหนีเร็วขึ้นจนไปไกลลับตา ไอ้เวรฐาน ไอ้เพื่อนเหี้ย นับวันผมว่ามันยิ่งกวนตีนนะครับ
“มันไปไกลแล้วเพื่อน” ไอ้การ์ฟิลด์ร้องบอกผม ก่อนจะดีดกีตาร์ต่อด้วยท่าทีสบายใจ
“ไอ้ป๋าเลว ถ้ารู้ว่าพี่รหัสกูคือใครก็ควรจะช่วยบอกกูสักนิดดิวะ” ผมนี่หน้าบึ้งเป็นตูดเลยครับ รู้สึกงอนมันขึ้นมานิดๆ นะเนี่ย
“มันไม่รู้รึเปล่า พี่รหัสมึงอาจจะฝากคนอื่นมาให้ไอ้ฐานต่ออีกทีก็ได้”
“ไม่มีทาง กูดูมันออก มันต้องรู้แน่ๆ แต่อุบอิบไม่บอกกู”
“คิดในแง่ร้ายจังวะ”
“แล้วมึงคิดว่าไอ้ฐานเป็นคนยังไง”
“ก็ถ้าถามกูนะ อืม…เป็นพวกร้ายเงียบ”
“น่ะ มึงยังคิดแบบนี้เลย มาหาว่ากูคิดแง่ร้ายกับมัน”
“ไม่ต้องมาโวยใส่กูแทนมันเลย มึงนี่อารมณ์เสียแล้วขี้บ่น”
“กูแค่ระบายความอัดอั้นไง เชี่ยแม่ง กูมืดแปดด้านแล้ว พี่รหัสกูสรุปเป็นใครกันแน่ ทำไมเล่นตัวนักวะ นี่ถ้าเกิดว่าเป็นไอ้รุ่นพี่เดือนคณะขี้เก๊กนั่นขึ้นมาจริงๆ นะ กูจะสาปส่งเช้า กลางวัน เย็น”
“มึงถึงกับจะสาปส่งเลย? นี่มึงกำลังแดกชาเขียวของพี่รหัสมึงอยู่นะไอ้เนรคุณ”
“เรื่องนี้กับเรื่องที่ไม่ยอมเปิดเผยตัวกับกูมันคนละเรื่องโว๊ย” ผมบ่นแต่ก็ยังดูดชาเขียวปื้ดๆ กินอยู่ดี ใครจะทิ้งล่ะเสียของหมด
“แล้วตกลงมึงพอจะเดาได้รึยังว่าพี่รหัสมึงคือใคร”
“กูก็ไม่รู้”
“มึงไม่รู้หรือพยายามหนีความจริงกันแน่วะ เมื่อวานกูก็บอกมึงไปแล้วว่าพี่กิ๊บเคยเล่าให้กูฟังว่าพี่ปูนชอบกินสตรอเบอร์รี่”
“ชอบสตรอเบอร์รี่แล้วไงวะ”
“เค้กที่มึงได้เกือบทุกวันนี่เป็นเค้กอะไร”
“เค้กสตรอเบอร์รี่”
“แค่นี้ยังไม่ชัดพออีกเหรอ”
“หึ ไม่อ่ะ ก็กูถามพี่ปูนไปวันนั้น พี่เขาไม่เห็นยอมรับเลยว่าเป็นพี่รหัสกู”
“แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธนิ”
“…”
นั่นพี่แม่งก็แค่จะกวนประสาทผมไม่ใช่หรือไง แต่เดี๋ยวก่อนนะถ้าไม่ได้ปฏิเสธมาตรง ๆ ก็หมายความว่ามีเปอร์เซ็นต์เป็นไปได้น่ะสิวะ!
“โว๊ยยยยยย กูควรทำไงดีวะเนี่ยยยยยยย” ผมยีหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด ตอนนี้มันอยากรู้ใจจะขาด ไม่อยากคาดเดาไปส่งๆ ด้วย
“มึงควรไปถามพี่เขาดี ๆ ให้เคลียร์ไม่เอาแบบไปหาเรื่องเขา”
“กูหาเรื่องตรงไหนวะ”
“ทุกตรง แค่มองหน้าพี่เขามึงยังไม่ยิ้มเลยเถอะ”
“ก็พี่มันไม่ยิ้มให้กูก่อนนิ”
“งั้นมึงก็ต้องรู้จักยิ้มให้อีกฝ่ายก่อน เรื่องง่ายๆ”
“สำหรับมึงคงง่าย แต่กูคงไม่”
ผมยอมรับก็ได้ว่ามีความอคติกับพวกที่มนุษยสัมพันธ์ไม่ค่อยดี แต่ถ้าลองคุยดูแล้วอีกฝ่ายยอมเปิดใจเหมือนอย่างไอ้ฐานทัพงี้ ผมก็ไม่อคติแล้วแต่กรณีพี่ปูนเนี่ยดิ พี่แม่งขยันกวนประสาทผมอ่ะ! แถมยังขี้เก๊ก ชอบปั้นหน้าขรึมตลอดเวลาอีกต่างหาก บอกได้คำเดียวว่าห่างชั้นกับไอ้ฐานทัพลิบลับ ไอ้ฐานดูเป็นคนปกติไปเลยเมื่อเทียบกับพี่เขา
“มึงก็แค่ลองเปิดใจกว้างๆ เข้าไปคุยดีๆ กับพี่เขาอีกสักรอบ กูว่าน่าจะเวิร์คนะ”
“มึงคิดงั้นเหรอไอ้ฟิลด์”
“ก็เออดิ เห็นพี่เขานิ่งๆ ขรึมๆ แบบนั้นก็ใจดีนะเว้ย พี่กิ๊บบอกกูมาว่างั้น”
ผมนิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะเริ่มรู้สึกใจอ่อนตามคำโน้มน้าวมของเพื่อนบ้างแล้ว
"พี่มันจะไม่กระโดดงับหัวกูแน่นะ"
"พี่เขาไม่ใช่หมานะ"
“เออๆ งั้นกูลองดูก็ได้วะ แต่ถ้าเกิดกูเป็นอะไรขึ้นมามึงรับผิดชอบเลย”
"เดี๋ยวพาส่งโรงพยาบาลสัตว์ใกล้ๆ มอ"
"ไอ้ห่านี่ กูก็ไม่ใช่หมาโว๊ย"
ผมทำถ้าจะเอื้อมมือไปเขกมะเหงกให้ไอ้แมวส้มมันสักที แต่ไอ้คนรู้ดีก็รีบเขยิบหนีแล้วเปลี่ยนเรื่องทันที
“งั้้นมึงก็ไปหาพี่เขาเลยไหมล่ะ เห็นว่าพวกปีสองมีประชุม เวลานี้ก็น่าจะเลิกประชุมแล้วล่ะมั้ง”
“ให้กูไป? ตอนนี้เนี่ยนะ?”
“เออไปเลย เป็นไงมาบอกกูด้วยล่ะ” ไอ้การ์ฟิลด์สะบัดมือไล่
“จะรีบไปไหนวะ”
“ไม่รีบหรอก ถ้ามึงไม่รีบพี่ปูนหนีกลับบ้านทีนี้ตามตัวยากนะมึง”
พอถูกยุเข้ามาก ๆ ผมก็เลยต้องลุกขึ้นเดินออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่ถามว่าผมไปหาพี่ปูนไหมนั้น
เอ่อ…ขอผมคิดดูอีกทีก่อนนะ
เมื่อเพื่อนของเขาเดินทิ้งห่างออกไปไกลแล้ว รำข้าวที่ยืนแอบอยู่แถวนั้นก็เดินเข้ามานั่งลงข้างๆ การ์ฟิลด์พร้อมกระซิบถาม
“ตกลงเกลี่ยกล่อมสำเร็จปะ”
“ระดับกูซะอย่าง เรียบร้อยอยู่แล้ว” การ์ฟิลด์ยกนิ้วโป้งส่งสัญญาณให้เพื่อนตัวเล็กที่ดูจะเป็นกังวล
“นี่ถ้ามันรู้ว่าพวกเรารู้ความจริงว่าพี่รหัสมันเป็นใครแต่ไม่บอกมัน มันจะโกรธเราไหมวะ”
“กูว่าอาละวาดเลยล่ะ”
“เชี่ย หูกูชาแน่”
“ก็อย่าให้มันรู้ดิ มึงเหยียบไว้ให้มิดเลยนะไอ้ข้าว”
รำข้าวยกมือขึ้นปิดปากพยักหน้าหงึก ๆ ให้สัญญาเลยว่าจะไม่ปริปากบอกอะไรทั้งสิ้นว่า พวกเขาสองคนได้ล่วงรู้ความลับนี้มาจากไอ้ฐานทัพ และได้รับการยืนยันนอนยันมาจากพี่เนยกับพี่กิ๊บอีกที ว่าพี่รหัสของไอ้ขมิ้นคือพี่ปูนจริงแท้ยิ่งกว่าแช่แป้ง
“แต่จะว่าก็ว่าเถอะ เป็นการจับคู่พี่รหัสน้องรหัสที่โคตรจะบรรลัย”
“กูว่าก็ไม่ถึงขนาดนั้นมั้งไอ้ข้าว”
“มึงก็เห็นว่าพี่ปูนเขาดูไม่ค่อยชอบไอ้ขมิ้น ไอ้ขมิ้นเองยังเขม่นพี่เขาอีก”
“นั่นเพราะยังไม่ได้รู้จักกันเป็นจริงเป็นจังสักหน่อย คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ มึงไม่เคยได้ยินสำนวนนี้เหรอ”
“เออ ก็ขอให้เป็นอย่างที่มึงว่าละกัน”
***
P’Poon’Part
ผมเห็นร่างสูงของไอ้เด็กส่งของที่ชื่อฐานทัพเดินกลับมาที่ห้องสโมฯ ด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะมานั่งลงตรงเก้าอี้ว่างข้างหน้าผม ตอนนี้ในห้องไม่เหลือใครอยู่แล้ว พวกปีสองพอเนยเลิกประชุมก็พากันเผ่นแน่บกลับกันหมด จึงเหลือแค่ผมและคนที่เข้ามาใหม่นั่งกันอยู่สองคน
“ชาเขียวปั่นส่งถึงมือน้องรหัสพี่เรียบร้อย นี่เงินทอนครับ” มันพูดพร้อมยื่นแบงค์ย่อยและเศษเหรียญคืนให้ผม แต่ผมก็บอกไปว่าช่างมันถือเป็นทิปค่าเหนื่อย ฐานทัพมันก็เหมือนจะไม่อยากรับแต่ผมก็บอกไปว่าเก็บไว้เผื่อผมจะฝากมันซื้อของอีกรอบหน้า มันเลยพยักหน้าแล้วเก็บเงินทอนเข้ากระเป๋า
“จะฝากอะไรไปให้อีกก็บอกผมได้ ไม่ก็ฝากเพื่อนผมอีกสองคนที่ชื่อไอ้การ์ฟิลด์กับไอ้ข้าวไปก็ได้ครับ”
“กูคงไม่เปย์เพื่อนมึงบ่อยขนาดนั้นหรอก ยังด่ากูเช้ากลางเย็นอยู่อีกรึเปล่าล่ะ” ผมอดไม่ได้ที่จะเหน็บแนมน้องรหัสตัวเอง หรือก็คือไอ้เตี้ยที่ผมรู้สึกไม่ค่อยจะถูกชะตาสักเท่าไหร่
“ก็ไม่ถี่ขนาดนั้นหรอกครับ”
“แต่ก็ด่ากูอยู่ดีใช่ไหมล่ะ”
“ก็ครับมีบ้าง”
ผมคิดว่าคำว่ามีบ้างของฐานทัพอาจจะเป็นแค่คำถนอมน้ำใจ แต่ช่างเถอะ ใครจะว่าอะไรยังไงผมก็ไม่คิดจะสนใจอยู่แล้ว
“ว่าแต่พี่จะไม่บอกมันจริง ๆ เหรอว่า พี่เป็นพี่รหัสมัน”
“ถ้ามันมาถามกูดี ๆ กูอาจจะบอกก็ได้มั้ง”
“ผมว่าวันนั้นคงยังอีกนานครับกว่าจะมาถึง”
“นั่นดิ เพื่อนมึงนี่ก็เขม่นกูเก่ง”
“ก็พี่ชอบไปยั่วโมโหมันนี่ครับ ไอ้ขมิ้นมันยิ่งเป็นคนหัวร้อนง่ายอยู่ด้วย”
“ก็กูหมั่นไส้แม่ง” ไอ้เด็กนั่นทีกับคนอื่นนี่เห็นทำตัวดี๊ด๊าเป็นหมาชิวาว่าเห็นกระดูก แต่พอกับผมแม่งชอบปั้นหน้าบึ้งใส่
แล้วทีนี้จะให้ผมฉีกยิ้มไมตรีจิตเติมเปี่ยมไปด้วยความรักให้มันเหรอ เฮอะ ฝันไปเถอะ
แค่ผมจับได้ชื่อมันก็นับว่าซวยฉิบหายแล้ว น้องคนอื่นๆ มีตั้งเยอะแยะทำไมต้องมาโดนไอ้เด็กนี่ดัวยก็ไม่รู้ เวรของกรรม
“ถึงมันจะพูดมาก ปากไม่ค่อยดี แต่มันก็มีส่วนดีอยู่นะครับ”
“เออ กูจะลองหาดูก็แล้วกัน” ผมบอกฐานทัพทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะปลีกตัวออกมา และพูดยังไม่ทันขาดคำดี ไอ้เด็กตายยากนั่นก็โผล่หัว เห็นพวกเนยกับกิ๊บชอบชมมันว่าน่ารักอย่างนู้นอย่างนี้ ผมนี่ไม่เห็นว่ามันจะน่ารักตรงไหน
เวลาเจอหน้าผมมันยิ้มไม่เป็นรึยังไงฮะ ทำหน้าเป็นตูด :(
ผมที่ไม่อยากมองหน้ามันก็รีบหันหลังกลับ กะจะเดินอ้อมไปลงอีกทางแต่…
“เดี๋ยวดิพี่”
ผมได้ยินนะแต่ทำเป็นไม่สนใจ
“พี่ผมบอกว่า รอเดี๋ยวไง!”
ร่างเล็กที่วิ่งขึ้นมาขวางหน้าผมพร้อมกางแขนดักเพื่อไม่ให้ผมหนีไปไหน
“อะไรของมึง”
“ผมเรียกพี่ ทำไมพี่ไม่หัน”
“มึงเรียกพี่ไหนล่ะ ไม่พูดชื่อกูจะรู้ไหม”
“ก็เรียกพี่นั่นแหละ นี่พี่จะกวนประสาทผมรึไงแถวนี้ก็มีพี่อยู่คนเดียว”
มันพูดก็ถูกครับ ผมกะจะกวนตีนมันก็แค่นั้น
“งั้นมึงมีไร” ในเมื่อหลีกการเผชิญหน้าไม่ได้ ผมก็ถามไปตรงๆ ว่ามันรั้งผมไว้ทำไม
“ผมแค่…มีเรื่องจะคุยด้วย”
“เหรอ พอดีกูไม่มีอะไรจะคุยว่ะ"
“หยุดกวนประสาทผมสักห้านาทีไปปะพี่”
ผมจ้องหน้ามัน นัยน์ตาสีน้ำตาบเข้มดูไม่ยอมใครนั้นทำให้เดานิสัยคนตรงหน้าได้ไม่ยาก พวกหัวดื้อ…
จะบอกให้ว่าผมโคตรไม่ถูกโรคกับคนประเภทนี้ มันจะว่าไงดีล่ะ พวกนี้สกิลการตื๊อสูง มันโคตรน่ารำคาญเลยครับ และผมก็ไม่อยากหาเรื่องปวดหัวให้ตัวเองด้วยสิ ผมเลยยอมที่จะลองคุยกับมันดู
“มึงจะคุยอะไรก็รีบว่ามา”
ไอ้เตี้ยอึกอักเล็กน้อย ก่อนจะถามออกมาด้วยสีหน้ากับแววตาจริงจัง
“ผมถามพี่ตรงๆ เลยนะ พี่ก็ช่วยตอบผมตามตรงด้วย”
“อย่าลีลา เข้าประเด็นเลยได้ไหม”
“ก็ได้ๆ คำถามเดิมนั่นแหละครับ พี่น่ะ ใช่พี่รหัสของผมรึเปล่า!”
“…”
ผมนิ่งเงียบ กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะทำยังไงดี จะเฉลยไปง่ายหรือว่าจะแกล้งปั่นหัวมันเล่นอีกหน่อย
“ตอบด้วยสิพี่ อย่าเอาแต่เงียบ”
“กูเคยถามมึงว่า แล้วมึงคิดว่าไง กูยังไม่ได้คำตอบจากมึงเลย”
“ผมก็ไม่อยากให้พี่เป็นพี่รหัสผมนักหรอก”
ผมเลิกคิ้วรู้สึกแปลกใจที่ไอ้เด็กนี่ตอบตรงไปตรงมาดี แต่ที่ทำให้ผมสะดุดเข้าคงจะเป็นประโยคที่ตามมา
“แต่ถ้ามันช่วยไม่ได้ อย่างน้อย…ผมก็อยากญาติดีกับพี่”
“มึงเนี่ยนะอยากญาติดีกับกู?”
“หรือพี่ไม่อยาก”
“ก็ไม่รู้ดิ”
“นี่พี่ปูนอย่าหาเรื่องได้ปะ”
ไม่มีคนเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงขึงขังแบบนี้มากนานแล้วนะครับเนี่ย พี่ชายกับพ่อของผมน่ะนะ
“แล้วนี่สรุปมึงจะมาเจรจาสงบศึกว่างั้น?”
“ก็ประมาณนั้นมั้งครับ” มันตอบพลางกอดอกท่าทางดูมั่นอกมั่นใจในตัวเอง ไอ้เด็กนี้มันก็เล่นลิ้นกวนตีนใช่ย่อยนะครับ แต่เอาเหอะถือว่ามันเป็นฝ่ายมาขอ
“เออก็ได้”
“งั้นทีนี้พี่จะตอบคำถามผมได้รึยังครับ”
“คำถามอะไรของมึง”
“ก็ที่ผมถามว่าพี่ใช่พี่รหัสของผมรึเปล่ายังไงล่ะครับ”
“...”
“อย่าเบี้ยวผมอีกนะ” ไอ้เตี้ยนั่นทำหน้าบึ้ง
“เออ”
“เอออะไรของพี่”
“ก็ ‘เออ’ กูเป็นพี่รหัสมึงไง”
ผมตอบออกไปด้วยเสียงที่ฟังชัดถ้อยชัดคำ ไอ้เตี้ยนั่นก็ทำหน้าเหวอ
“นี่มึงจะตกใจทำไม”
“ก็ผมยังไม่ได้เตรียมใจนี่”
“งั้นต่อไปนี้มึงก็เตรียมใจเอาไว้ให้ดี เพราะการเป็นน้องรหัสกูน่ะมันไม่ง่าย”
ความคิดเห็น