คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บทลงโทษร่วมกัน
บทที่ 10
บทลงโทษร่วมกัน
ผมขี่มอเตอร์ไซค์นำทางไอ้ฐานมาที่หอเพื่อให้มันขนของมาส่ง แน่นอนว่าผมไม่ให้แค่มันมาทิ้งของไว้แล้วชิ่งกลับแน่ ผมใช้มันช่วยแบกของขึ้นไปบนห้องผมด้วย มันก็ไม่ได้ว่าอะไรนะแค่บ่นนิดหน่อยว่าบันไดหอผมแคบ มันก็สมควรจะแคบนั่นแหละครับหอผมน่ะเล็กจะตายไป
“ขอบใจมากมึง”
“เออไม่เป็นไร”
“แล้วมึงยืนทำอะไรหน้าห้องกูเนี่ย"
“พอดีกูมีเรื่องอยากถาม”
“ว่า?”
“เปิดสายรหัสมึงเป็นไงบ้าง”
“ก็ดี พี่ๆ น่ารัก พี่ปีสามสายรหัสกูเป็นพี่จีจี้ที่ดูแลเรื่องกองประกวดดาวเดือนคณะเราด้วย เห็นถามถึงมึงใหญ่เลย”
“เหรอ”
“ก็เออดิ ละก็พี่ฝนปีสี่กูโคตรน่ารักเนี่ยซื้อของให้กูเต็มเลย ที่มึงแบกขึ้นมานั่นก็ของพี่ฝนหมดนั่นแหละ”
“เออ”
“แล้วทำไมมึงยังไม่กลับอีกวะ”
“เดี๋ยวดิยังถามไม่หมด มึงพูดถึงพี่ปีสามปีสี่ฉอดๆ แล้ว…พี่ปีสองอ่ะไม่พูดถึงบ้างเหรอ”
“มึงถามทำไม”
“อยากรู้”
“ก็ดี”
“จริงเหรอ ไหนเล่าซิอยากฟัง”
“ช่างเหอะไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก ละมึงไม่รีบกลับไปนอนรึไง”
“ก็ไม่รีบ” ไอ้ฐานอ้าปากห้าว
เออ ไม่รีบของมึง จะหลับแหล่ไม่หลับแหล่อยู่แล้วไอ้เวร
“นี่”
“ไร”
“พี่เขาให้อะไรมึงมาบ้างปะ”
“เกี่ยวอะไรกับมึงล่ะ”
“อ้าวกูแค่ถาม”
“แล้วทำไมกูต้องตอบวะ”
“หรือมีอะไรปิดบังเพื่อน?”
“ไม่มีโว้ย”
“แล้วทำไมเฉไฉไม่บอก”
“ก็มันไม่มีอะไรไง พี่เขาก็แค่ให้พวกเครื่องเขียนธรรมดาๆ”
“ไหนขอดูหน่อย”
“ไม่ให้”
“ทำไมต้องหวงด้วยวะ”
แล้วทำไมมึงเซ้าซี้กูจังวะไอ้ฐานทัพ!
“กูแค่ดูไม่ใช่จะขโมยของมึง”
ไอ้ฐานดูจะไม่ยอมเลิกรบเร้าผมง่ายๆ ผมเลยส่งถุงกระดาษที่ถืออยู่ให้มันไป
“เนี่ยนะธรรมดาของมึง แบรนด์ญี่ปุ่น แต่ละชิ้นไม่ใช่ถูกๆนะมึง” ไอ้ฐานล้วงปากกาด้ามหนึ่งขึ้นมา มันดูไม่ต่างจากปากกาทั่วไปหรอกครับ ดีไซน์ดูเรียบๆ
“แพงขนาดนั้นเลยเหรอวะ?”
“ก็ไม่ได้แพงเวอร์ แต่จากที่กูดูรวมๆแล้ว ถุงนี้แตะสี่หลัก”
“ขนาดนั้นเลย”
“เออดิ”
ทำไมพี่ปูนต้องทุ่มทุนซื้อของแพงๆ แบบนี้ให้ผมด้วยนะ ไม่ใช่ว่าพี่เขาไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมเหรอ?
“ไงมึง” ไอ้ฐานยกยิ้มหรี่ตามองผม
“อะไร” ผมเริ่มทำตัวไม่ถูกแล้วสิครับ ไอ้ฐานทัพเวลามันยิ้มบอกเลยว่ามันต้องมีเลขนัยอะไรสักอย่างแน่ๆ ไอ้นี่มันเป็นประเภทร้ายเงียบอยู่ด้วย
“พี่เขาก็ไม่ได้แย่อย่าที่มึงคิดใช่ไหมล่ะ”
“ละ แล้วไงล่ะ เกี่ยวอะไรกับกู”
“เกี่ยวดิ ก็นั่นพี่รหัสมึง”
…เออเนาะเกี่ยวเต็มๆ
“ต่อไปก็ทำตัวดีๆ กับพี่เขาบ้าง พี่เขาจะได้เอ็นดูมึงไง”
“ฝันไปเหอะ คนอย่างพี่ปูนอ่ะนะ”
“ของงี้ไม่ลองไม่รู้”
ผมเงียบ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี คือจู่ๆ จะให้ผมไปญาติดีกับคนที่ไม่ชอบขี้หน้า ใครมันจะปุบปับทำได้ง่ายๆ กันครับ
“เออๆ มึงก็ไปลองคิดดูแล้วกัน กูไปละ”
“อือ ขอบใจที่ช่วยขนของมาส่ง”
พอไอ้ฐานกลับไปแล้ว ผมก็เข้าห้องมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเล็กๆ ในหัวนึกถึงแต่เรื่องที่ไอ้ฐานพูดทิ้งท้ายชวนไว้ให้คิด
พี่ปูนน่ะเหรอจะมาเอ็นดูผม ทำไมยิ่งคิดเหมือนยิ่งเป็นไปไม่ได้นะ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มักจะมีเหตุการณ์บางอย่างมาหักล้างความคิดนี้อยู่เรื่อยๆ
หรือว่าพี่เขาเป็นพวกปากร้ายแต่ใจดีหว่า? หรือจะเป็นประเภทสายซึน?
ผมลองนึกภาพพี่ปูนทำตัวซึนๆ มันก็อดที่จะรู้สึกสยิวกิ้วไม่ได้ แต่อีกมุมหนึ่งผมก็อยากเห็นจังแฮะ คนมาดนิ่งแบบนั้นจะทำตัวน่ารักเป็นกับเขารึเปล่านะ ผมเองก็ชักอยากจะรู้ซะแล้วสิครับเนี่ย
“ยังไงพี่เขาก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดละนะ”
ผมหันมองถุงกระดาษของพี่ปูนก่อนจะเผลอยิ้มออกมา ไม่ใช่ว่าผมไม่ดีใจนะครับที่ได้ของ
ตรงกันข้ามเลยล่ะ โคตรดีใจ ประหลาดใจมากด้วย
…
วันต่อมาเป็นวันเรียนตามปกติ ไม่มีกิจกรรมรับน้องแล้ว แต่ผมก็ยังต้องมายืนหัวโด่อยู่ที่หน้าคณะพร้อมร่างสูงของพี่รหัสผมที่วันนี้มาในมาดหน้าเซ็งๆ และสาเหตุที่ทำให้พวกผมต้องมายืนอยู่นี่ก็เพราะคนที่ชื่อนายเขมณัฏฐ์ ชื่อเล่นว่าขมิ้นที่ดันมาสายในวันเปิดสายรหัส สรุปก็คือเพราะผมนี่แหละเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องวิ่งรอบคณะกับพี่ปูนยี่สิบห้ารอบ T ^ T
ตอนแรกผมนึกว่าพี่กิ๊บแค่อำกันเล่น แต่ไม่ครับพี่เขามาตามตัวผมถึงหน้าห้องเรียนเลย บอกว่าปีทุกปีใครมาสายก็มักโดนทำโทษวิ่งรอบคณะกันทั้งนั้น ปีนี้จะปล่อยผ่านไปไม่ได้ยังไงก็ต้องโดน
“วิ่งรอบคณะยี่สิบห้ารอบพร้อมกันไหมทั้งสองคน” พี่กิ๊บพูดใส่โทรโข่งด้วยท่าทีชื่นมื่น นี่พี่เขาคงไม่ได้จงใจแกล้งผมหรอกใช่ไหม พี่เขาคงอยากแกล้งพี่ปูนมากกว่าสินะ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะให้ผมวิ่งคนเดียวห้าสิบรอบอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่านี้ก็ได้ ทำไมต้องลากไอ้พี่รหัสหน้าขรึมนี่มาร่วมหัวจมท้ายซวยไปกับผมด้วยเนี่ย
เฮ้อ รู้สึกอัดอัดชะมัดเลยแต่ให้ทำไงได้...
“ผมพร้อมแล้วครับพี่กิ๊บ”
“แต่กูไม่พร้อม” พี่ปูนรีบแย้งขึ้นมาทันควัน ดูก็รู้ว่ากำลังเคืองเพื่อนๆ ที่รวมหัวแกล้ง
“ถ้าไม่พร้อมเดี๋ยวเพิ่มเป็นสามสิบรอบซะหรอก”
“อย่ามาขู่กันนะกิ๊บ”
“จ้าๆ ไม่ขู่ก็ได้ ตกลงพร้อมจะวิ่งไปด้วยกันรึยังเอ่ย”
เฮ้อ พี่กิ๊บดูจากสีหน้าพวกผมก็น่าจะรู้นะถึงไม่พร้อมยังไงก็ต้องพร้อม
“เออเกือบลืมไปเลย” พี่กิ๊บเดินเข้ามาหาพวกผม ละก้มลงใช้เศษผ้ายาวหมัดขาข้างขวาของผมติดกับขาข้างซ้ายของพี่ปูน
“เดี๋ยวดิกิ๊บ หมัดขาติดกันแบบนี้แล้วจะให้วิ่งยังไง” พี่ปูนรีบท้วง ซึ่งผมก็เห็นด้วยสุดๆ ขาติดกันแบบนี้แล้วจะให้วิ่งยังไง
“วิ่งสามขาไงปูน ฝึกความสามัคคีกับน้อง” พี่กิ๊บหัวเราะคิกคัก
“ไม่ตลกนะกิ๊บ แก้มัดเลย”
“ไม่ได้พี่จีจี้กำชับมา อีกอย่างกิ๊บก็เห็นควรว่าทั้งสองคนควรวิ่งด้วยกัน เกิดปูนวิ่งครบก่อนก็ทิ้งน้องให้วิ่งคนเดียวสิ”
อ่า ผมนึกภาพออกเลย คนอย่างพี่ปูนผมว่าน่าจะออกกำลังกายมากกว่าผมแน่ๆ แค่ยี่สิบห้ารอบผมว่าไม่ถึงชั่วโมงคงวิ่งครบ แต่ผมเนี่ยสิจะหืดขึ้นคอและพนันได้เลยว่าถ้าพี่ปูนวิ่งครบปุ๊บ ชิ่งหนีกลับบ้านปั๊บแน่นอน
“รู้ดี”
“ก็รู้น่ะสิ”
“เฮ้อ” ผมเห็นพี่ปูนถอนหายใจเฮือกใหญ่ คงไม่พ้นชะตากรรมต้องวิ่งไปด้วยกันกับผม
“ต้องมัดขาวิ่งแบบนี้จริงๆ เหรอครับพี่กิ๊บ” คือมันลำบากนะ TOT
“ใช่แล้วจ้ะ อย่าโกรธพี่นะแต่ปีสามเขาสั่งให้พี่ทำ” พี่กิ๊บยิ้มแห้ง ผมก็เลยมองไปรอบๆ ก็เห็นพวกปีสามมายืนดูกันจริงๆ แน่นอนว่ามีพี่จีจี้สายรหัสผมอยู่ในนั้นด้วย ดูสิส่งยิ้มหวานมาเชียว คงจะมีความสุขมากแน่ๆ ที่ได้แกล้งพี่ปูน
…
“เริ่มวิ่งเลยไหมพี่” ผมท้วงเพราะเห็นว่าคนตัวสูงไม่ขยับตัวไปไหนเลยเอาแต่ยืนนิ่ง
“จะมัวรออะไรล่ะ ก็ไปดิ”
รอพี่น่ะสิถามได้ นี่ลืมไปแล้วหรือไงว่าขาติดกันอยู่ :(
พูดจบยังไม่ทันขาดคำพี่ปูนก็ออกตัวโดยไม่คิดจะบอกกันสักนิด
“เหวอ!”
ผมแทบสะดุดลัมหน้าทิ่มพื้น แต่โชคยังดีครับที่ผมหาที่เกาะไว้ได้ทัน
“จะกอดกูอีกนานไหม”
ผมเงยหน้ามองคนตัวสูงที่ตัวผมเอามือคว้าหมับเข้าที่เอว จับอย่างเต็มไม้เต็มมือแถมจับแน่นมากด้วย
อุย มันเผลอไป...
“คะ ใครกอด ผมเปล่า! แค่จับเฉยๆเหอะ” ผมรีบผละออกมาราวกับคนถูกไฟช็อต เมื่อกี้ผมไม่ได้ตั้งใจนะ ก็แค่สัญชาตญาณมันทำให้มือมันไปคว้าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมาเป็นหลักยึดเพื่อทรงตัวก็เท่านั้นเอง
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร”
หะ?
“ทำหน้าเป็นหมางงอะไรของมึง”
“ปะ เปล่านี่ครับ”
ที่เมื่อกี้ผมได้ยิน หูไม่ได้ฝาดไปเองใช่ไหมนะ?
“งั้นก็กอดคอกูไว้ แล้วก้าวขาพร้อมกัน” พี่ปูนพาดแขนลงมาบนไหล่ผม
“เร็วดิ รึว่ามึงแขนสั้น”
แขนผมไม่ได้สั้นโวย ใครใช้ให้พี่ตัวสูงเล่า!
“งั้นมึงก็เกาะเอวกูไป”
“อะไรนะ!?”
“บอกให้เกาะเอวกู ทำไมรึมึงรังเกียจ”
“ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลยเถอะ”
“งั้นก็รีบๆ เกาะเอวกูได้แล้วจะได้เริ่มวิ่ง”
…
ผมลังเลนิดหน่อยที่จะทำแต่ก็ถูกสายตากดดันจนต้องยอมทำตามที่พี่ปูนบอก
มือผมวางอยู่ในตำแหน่งเอว เกาะไว้หลวมพอเป็นพิธีว่าเกาะแล้ว แต่คนตัวสูงกลับจับมือผมให้กระชับเข้ามาจนผมรู้สึกตกใจ
คือจะว่าไงดีล่ะ คือผมทำตัวไม่ถูกครับ
“พร้อมนะ”
“พะ พร้อมครับ”
และเมื่อผมตอบไปแบบนั้น ผมก็รู้สึกได้ถึงร่างสูงใหญ่ที่เบียดกายเข้ามาแนบชิด ก่อนเราจะก้าวขาออกตัววิ่งเป็นจังหวะไปพร้อมๆ กัน และไม่น่าเชื่อว่าผมจะกำลังวิ่งสามขาอยู่ได้เกินสามก้าว (ปกติก้าวแรกไม่เป็นไร ก้าวต่อไปหน้าทิ่มพื้นไงครับ)
“เก่งนิ”
ไม่รู้อะไรเข้าสิงพี่ปูนอยู่ก็ชมผมขึ้นซะอย่างนั้น เล่นเอาผมนี่ไปไม่เป็นเลย
“พะ พี่กินยาลืมเขย่าขวดรึเปล่าครับ”
“กูไม่ได้แดกยาอะไรทั้งนั้นแหละ”
“ละ แล้วพี่ชมผม…”
“กูแค่พูดว่ามึงเก่งที่วิ่งกับกูมาได้ตั้งครึ่งรอบ”
“ผมไม่ได้อ่อนปวกเปียกขนาดนั้นนะ ถึงผมจะไม่ใช่สายรักสุขภาพชอบการออกกำลังกายแต่ผมก็สามารถลงแข่งวิ่งมาราธอนได้ก็แล้วกัน เออใช่ ตอนประถมชนะวิ่งแข่งสี่ร้อยเมตรด้วย ตอนมัธยมก็เป็นนักกีฬาวิ่งแข่งงานกีฬาสีด้วยเถอะ”
“ถามจริงมึงเนี่ยนะนักกีฬา?”
“ก็ใช่อ่ะดิ”
“ละทำไมถึงตัวกระเปี๊ยกแค่นี้วะ”
“ผมไม่ได้เตี้ยนะ นี่เขาเรียกมาตรฐานชายไทย พี่นั้นแหละสูงเกิน”
“มึงมันไม่ยอมกินนมตอนเด็กๆ มากกว่า นมโรงเรียนน่ะเคยกินไหม”
“ทำไมผมจะไม่กิน ครูเขาก็บังคับให้กินทุกพักกลางวันนั่นแหละ”
“มึงพูดว่าบังคับ แสดงว่าไม่ชอบกินนม”
“ก็นมจืดมันไม่อร่อยนี่”
“เลือกกินอ่ะดิถึงได้ตัวกระเปี๊ยกเหมือนลูกหมาแบบนี้”
เออ เดี๋ยวไอ้ลูกหมาตัวกระเปี๊ยกจะกระโดดกัดหูพี่เข้าให้สักวัน กวนประสาทกันดีนัก ฮึ่ย!
…
วิ่งวนรอบคณะได้ประมาณห้ารอบ ผมก็เริ่มออกอาการหอบแฮกเป็นหมา ไม่ต่างอะไรกับที่พี่ปูนเปรียบเทียบผมไว้เลยสักนิด
“พะ พี่ เดี๋ยว...แฮก ขอพักแป๊บ”
พอผมพูดจบคนตัวสูงก็ค่อยลงสปีดการวิ่งลงมาจะพวกเรามาหยุดยืนพักเหนื่อยกันใต้ต้นไม้แถวนั้น
“เนี่ยนะนักกีฬา” พอได้พักหายใจหายคอกันได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีเรื่องให้ผมต้องใช้พลังงานในการโต้เถียงอีกแล้วให้ตายสิ
“กีฬาสีเหอะ”
“ถามจริงตอนแข่งนี่ชนะปะ”
“รองแชมป์” ก็ไม่อยากจะคุย ที่จริงถ้าสีฟ้ามันไม่ส่งนักกีฬาโรงเรียนลงแข่งผมก็ชนะใสๆ
“ขี้โม้”
ผมหันไปทำเบ้ปากใส่ไปหนึ่งที ก่อนจะถือโอกาสถามสิ่งที่สงสัย
“ว่าแต่ทำไมวันนี้พี่พูดมากจัง”
“กูน่ะเหรอพูดมาก”
“ใช่”
“กูก็พูดของกูปกติ อยากพูดก็พูด”
“พี่รู้ตัวปะ ว่าพี่แม่งโคตรกวนตีนเลย”
“รู้ ใครๆ ก็บอกกูแบบนั้น”
ละมันใช่เรื่องน่าภูมิใจตรงไหนครับเนี่ย!
“ทำไมมึงไม่พอใจอะไรหะ ไอ้ลูกหมา”
“ไม่พอใจตรงพี่เรียกผมแบบนั้น”
“แต่กูพอใจที่จะเรียก”
เฮ้อ เอาที่พี่สบายใจเลย จะหมู หมา กา ไก่ อยากเรียกผมยังไงก็เชิญ
หลังจากพักเหนื่อยกันพอสมควร พวกผมก็เริ่มวิ่งกันต่อ รอบแล้วรอบเล่าจนจำนวนมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนครบยี่สิบรอบอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในระหว่างการวิ่งยี่สิบรอบนี้ผมก็มักจะขอหยุดพักเป็นระยะ ขืนวิ่งสักสิบรอบรวดเดียวผมคงได้ไปเฝ้ายมบาลก่อนวิ่งครบแน่
“อีกห้ารอบเองลุก” พี่ปูนพูดขึ้นมาขณะยืนมองผมที่ทรุดลงไปนั่ง เหงื่อท่วมตัว หอบแฮกๆ แลบลิ้นเป็นหมา สภาพผมตอนนี้คือหมดสภาพแบบสุดๆ
“ไม่ไหวแล้วพี่ หมดแรงละเนี่ย”
“ไม่ต้องมาโอดครวญ เหลืออีกแค่ห้ารอบเองวิ่งๆ ไปให้มันครบ จะได้จบๆ กันไป”
“โห้ยพี่ เราลักไก่บอกวิ่งครบแล้วไม่ได้เหรอ” คือพี่กิ๊บแกชิ่งกลับบ้านไปแล้วไง ละนี่ก็มันเย็นมากแล้วด้วยไม่มีใครสังเกตเห็นหรอกเชื่อผมสิ
“ไม่ได้”
ง่ะ ทำไมต้องทำหน้าดุ
“ยี่สิบห้าก็คือยี่สิบห้า นี่ความผิดมึงนะที่มาสาย กูยังต้องมาเหนื่อยวิ่งไปกับมึงด้วยเลยเนี่ย”
“งั้นพี่ก็ไม่ต้องแสดงตัวออกมาช่วยผมก็ได้นี่”
“หรือมึงอยากวิ่งห้าสิบรอบ”
“กะ ก็ไม่อยาก”
“กูช่วยก็ดีแล้วนิ”
…เออ มันก็จริง ไม่มีเหตุผลจำเป็นเลยที่พี่เขาต้องมาเหนื่อยโดนลงโทษไปพร้อมกับผมที่ดันมาสายเอง แต่ทำไมพี่ปูนเขาถึงช่วยผมล่ะ?
“นี่พี่”
“ไร”
“ทำไมถึงช่วยผมอ่ะ”
“…”
ไม่มีคำตอบจากคนตัวสูง ผมเลยต้องถามซ้ำอีกครั้งเผื่อพี่เขาได้ยินไม่ชัด
“ผมถามพี่ว่าทำไมพี่ถึงช่วยผมล่ะ”
“ไม่ต้องรู้เหตุผลหรอก”
“อ้าว ก็ผมอยากรู้”
“ไม่ต้องเสือกอยากรู้”
“อะไรของพี่เนี่ย” คนเขาอุตส่าห์ถามดี เริ่มเคืองละนะ ;(
“ไม่ต้องมาทำเป็นชวนคุยนอกเรื่อง ไปวิ่งต่อได้แล้ว”
“ผมไม่ได้นอกเรื่องเลยนะ พี่นั่นแหละที่เฉไฉ”
“ไปวิ่ง”
“ไม่วิ่ง ผมเหนื่อยจะตายอยู่แล้วเนี่ย ถ้าพี่อยากจะวิ่งมากนักล่ะก็ เชิญลากสังขารผมไปเถอะ”
“มึงพูดเองนะ”
ด้วยความปากพล่อยของผม พี่ปูนก็ลุกขึ้นพรวดพราดจนผมเซล้มลงไปนั่งพับเพียบกับพื้นเพราะขาเราดันผูกติดกันไว้
“โอ๊ยพี่! จะลุกก็บอกกันก่อนดิ!” ผมหันไปโวยแต่พี่ปูนก็ดูจะไม่สนใจฟัง พี่เขาพาดแขนลงมาบ่าจับผมพยุงให้ลุกขึ้นแล้วลากผมวิ่งสามขาต่อโดนไม่สนสักนิดว่าผมจะแหกปากร้องท้วงยังไง
“ใจเย็นดิพี่! โว้ยช้า ๆ หน่อย”
“ก็มึงพูดเองว่าให้กูลากมึงได้”
“นั่นผมประชดโว้ย”
“อ๋อเหรอ ไม่บอกกูไม่รู้นะเนี่ย”
ยังมาทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้อีก กวนตีนฉิบหาย พี่รหัสใครวะ!
ความคิดเห็น