ลำดับตอนที่ #14
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : พระวิญญาณ ร.๓
บรรดาปราสาทพระราชมณเฑียรที่สร้างมาพร้อมกับกรุงรัตนโกสินทร์นั้น นอกจากจะมีความใหญ่โตโอฬารแล้ว ยังมีความเก่าดูน่าวังเวง ทั้งยังไม่ค่อยมีผู้คน บรรยากาศจึงชวนให้นึกถึงเรื่องผีและวิญญาณ ชาววังฝ่ายหน้าฝ่ายในจึงมีเรื่องประเภทนี้เล่ากันมาก และเรื่องที่ซุบซิบกันมากกว่าทุกเรื่องก็คือ เรื่องพระวิญญาณ ร.๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีผู้อ้างว่าเห็นอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะพวกที่อยู่เวรยามในพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ซึ่งชั้นบนเป็นที่เก็บพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรี และเป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปขนาดใหญ่ของรัชกาลต่างๆ ซึ่งเป็นสถานที่โอ่โถงรโหฐานและวังเวงมากแห่งหนึ่ง ทุกคนที่อ้างว่าเห็นเล่าตรงกันว่า ทรงพระภูษาแดงลอยชายปราศจากฉลองพระองค์ แค่เห็นด้านหลังก็รู้ว่าเป็นองค์พระนั่งเกล้าฯ เพราะอ้วนใหญ่กว่าทุกรัชกาล คนที่อยู่เวรยามเห็นก็ไม่กล้าร้อง เพราะพระเจ้าอยู่หัวบรรทมอยู่ไม่ห่างไปนัก กลัวจะถูกเฆี่ยนหลังลาย ได้แต่ตัวสั่นงันงกรีบก้มกราบด้วยความกลัว เรื่องหนึ่งเล่ากันว่า เหตุเกิดตอนกลางวันขณะที่พระอาทิตย์ยังไม่สิ้นแสง เวลาราว ๕ โมงเย็น พวกฝ่ายในได้เชิญเสด็จ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ หรือ “ทูลกระหม่อมเล็ก” ไปทรงเล่นตามประสาเด็กกับพระโอรสของเจ้านายต่างกรมอีก ๒-๓ พระองค์ที่มีชันษา ๕-๖ พรรษาไล่เลี่ยกัน ในห้องโถงชั้นล่างของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เพราะเป็นห้องที่โล่งไม่มีเครื่องตกแต่ง เพื่อให้เจ้านายพระองค์น้อยกระโดดเต้นกันได้สะดวก ในขณะที่เจ้านายพระองค์น้อยกำลังทรงเล่นซ่อนหากันอยู่ โดยทูลกระหม่อมเล็กเป็นฝ่ายหา ก็ทรงร้องโวยวายขึ้นมาว่า “ใครนี่...ใครที่อยู่ข้างนอกเข้ามานี่หน่อยซิ” พวกมหาดเล็กก็วิ่งกันเข้าไปด้วยความแปลกใจ ทรงรับสั่งอย่างไม่พอพระทัยว่า “พิลึกแท้ๆ ซุ่มซ่ามเข้ามาได้ยังไง...เร็วไปจับตัวมาให้ฉัน” ทรงชี้พระหัตถ์ไปทางห้องมุขตะวันออกที่เป็นห้องรับรองแขกเมือง “ใคร รูปร่างเป็นยังไงพระเจ้าข้า” มหาดเล็กคนหนึ่งทูลถาม “อ้วนๆ ตัวใหญ่” ทรงยกพระหัตถ์ทำกิริยาประกอบ “แก่แล้ว นุ่งผ้าแดงแปร๊ดเลย เดินหายเข้าไปทางนี้แหละ” มหาดเล็กได้ฟังก็สังหรณ์ใจกันแล้ว และ เมื่อเดินค้นหาก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ ถามยามรักษาการณ์ทั้ง ๒ ด้านก็ว่าไม่เห็นใครผ่านเข้าไป แต่เมื่อทูลกระหม่อมเล็กทรงพระดำเนินไปถึงพระบรมรูปรัชกาลต่างๆ ทรงหยุดเพ่งพินิจพระบรมรูปรัชกาลที่ ๓ อยู่ชั่วครู่ ก็ทรงชี้พระหัตถ์ไปที่พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รับสั่งอย่างเด็กๆ ที่ยังไร้เดียงสาว่า “นี่แหละ...นี่แหละ...อีตาคนนี้นี่แหละ” เท่านั้นเอง เหล่ามหาดเล็กก็ขนลุกซู่ รีบอุ้มทูลกระหม่อมเล็กกลับไปส่งให้ฝ่ายในทันที เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระพันปีหลวงทรงทราบ จึงทรงรำพึงว่า พวกเด็กๆไปวิ่งเล่นกันอึกทึกครึกโครมเป็นที่รบกวนพระราชหฤทัย หรือทรงระลึกถึงลูกๆหลานๆ จึงปรากฏพระองค์ให้เห็น ทรงจัดพวงมาลัยและธูปเทียนให้ข้าหลวงไปขอพระราชทานอภัยอย่างเงียบๆ โดยไม่แพร่งพรายให้เอิกเกริก พร้อมรับสั่งอย่างเฉียบขาดว่า “หากอีคนไหนนำเรื่องนี้ไปพูด จะถูกเฆี่ยนหลังขาดเชียว” เรื่องนี้จึงถูกปกปิดเป็นเรื่องลับ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมีคนซุบซิบ นานๆเข้าก็ซุบซิบดังขึ้น จนกาลเวลาผ่านไปหลายปี จึงเป็นเรื่องที่เล่ากันอย่างเปิดเผยของทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับผีและวิญญาณ ถ้าจะพูดกันอย่างสำนวนทุกวันนี้ ก็ต้องบอกว่า “ไม่เชื่อ ก็อย่าลบหลู่ละกัน” |
||||
|
||||
|
ที่มา http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000075001
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น