ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (ฟิคหัวขโมยแห่งบารามอส) ภาค ผู้มาเยือนผู้พลิกผันชีวิต

    ลำดับตอนที่ #9 : ลาก่อนเอเดน

    • อัปเดตล่าสุด 1 ธ.ค. 48


      รอยจูบยังคงอยู่ที่ริมฝีปากของเธอ ความรู้สึกเย็นปนอบอุ่นยังคงจางอยู่ แม้ว่าเธอเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเขาได้หายไปเสียแล้ว แต่ความรู้สึกอันอ่อนหวานก็ยังคงอยู่ จูบที่เธอหวังจะลิ้มรสมานาน สมปรารถนาแม้เพียงไม่กี่นาที แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เธอจะจดจำมันไว้ชั่วชีวิต ไม่ว่ามันจะมีโอกาสครั้งต่อไป หรือเป็นการจูบครั้งสุดท้ายของเขาและเธอหรือไม่ เธอเองก็ไม่ทราบ



      ว่าเขาจะรักเธอจริงหรือไม่...



      แต่เธอก็พยายามมองโลกในแง่ดี ตะวันเริ่มทอแสง เมื่อเธอคิดมาถึงตรงนี้ ข้างนอกหน้าต่างช่างเป็นภาพที่เธอไม่คิดว่าจะได้เห็น หรือเกิดขึ้น โรงเรียนพระราชาไฟไหม้ เกือบจะเป็นขี้เถ้าทั้งโรงเรียน โชคยังดีที่ห้องพยาบาลและนอกโรงเรียนยังคงปลอดภัยดี แม้ว่าบางส่วนจะมอดไหม้ไปบ้างก็เถอะ



      แต่ที่น่าแปลกใจมากที่สุด คาโลไม่ได้หายหน้าไปอีกแล้ว เขามานั่งเฝ้าเธอตลอดเวลา ไม่ต่างไปจากเพื่อนๆทั้งหมดของเธอที่ไม่บาดเจ็บ แต่ส่วนใหญ่ก็ปลอดภัยดี เพราะที่แน่ๆ พวกนั้นไม่ได้ไปตะโกนหาคนกลางกองไฟแบบเธอซะหน่อย



      คนที่บาดเจ็บหนักที่สุดก็คงเป็นเธอ บางคนถึงกับเดินเหินไปได้บ้างแล้ว แต่เธอผิวหนังบางส่วนยังไม่คืนสภาพ จึงเดินไปเดินมาได้แต่ในห้องพยาบาลเท่านั้น ส่วนที่รู้เรื่องข้างนอกก็เพราะมีคนมาเล่าให้ฟังต่างหาก



      หมากกระดานข้างเตียงดูเหมือนจะสนุกขึ้นทุกวัน แฮร์รี่กับรอนไม่ว่าจะแข่งยังไงแฮร์รี่ก็ชนะ ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลที่รอนช่วย หรือคิลเองที่ห่วย



      โร ขอทานจอมปลอมก็แวะมาหาเธอบ้าง มันก็บาดเจ็บไม่แพ้กันเลย แต่ดูเหมือนเนื่องจากเป็นหัวหน้าป้อม จึงต้องรีบรักษาตัวให้เร็วที่สุด และเพ่นพ่านไปมาทั่วโรงเรียน บ้างครั้งก็มาตามหาคาโล และขอคำปรึกษาบางอย่างจากเธอ



      แต่ดูเหมือนว่า วันนี้มันจะมาแปลกไปหน่อย โรมันมาพร้อมกระดาษแผ่นหนึ่ง ที่ดูเหมือนจะสำคัญมาก เพราะมันเก่าจวนจะขาดเป็นชิ้น ถ้าเป็นเธอ อ่านแล้วคงฉีกทิ้งคามือ



      แล้วมันก็เดินมาข้างๆเตียงเธอตามคาด พร้อมกับเอากระดาษอีกแผ่นมาให้ดู ก่อนจะพูดออกมาเสียงเบื่อหน่ายว่า



      “นายอ่านมันออกมั้ย เฟริน”



      เธอรับกระดาษแผ่นนั้นที่ดูจะแข็งแรงคงทนกว่าอีกแผ่นมากมาอ่าน เธอพินิจพิเคาะห์กับมันอยู่นานพอดู แต่ก็ต้องส่ายหน้าพร้อมกับว่าออกมาน้ำเสียงไม่ต่างกันนัก



      “ภาษาอะไรกันว่า อ่านยากชิบเป๋ง ยังกะหนอนต่อกัน”



      “ก็ว่างั้น มีแต่คนจากโลกต่างเท่านั้นที่อ่านออก นายว่าภาษาอะไร”



      จบคำพูด กระดาษที่อยู่ในมือของเฟรินก็ถูกฉกไปอย่างรวดเร็ว มือขาวๆโตๆของรอนนั่นเอง เขาหยิบมันไปก่อนจะใช้สายตาจ้องผ่านๆอย่างรวดเร็ว



      “อยากรู้มั้ย” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ของเด็กหนุ่มผมแดงเพลิงถาม พร้อมกับจ้องมาที่คนทั้งคู่



      “ก็คงต้องอยาก ไม่งั้นไม่แอบลอกมาหรอกนะ พวกอาจารย์ที่ได้ฟังจากอาจารย์ของพวกนายหนะ ไม่ได้บอกอะไรฉันเลย ขนาดฉันเป็นหัวหน้าป้อมนะเนี่ย”



      โรบ่นก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเลิกคิ้วนิ่วหน้าถามคนตรงหน้า



      “ว่าไง ถ้าอยากรู้นายจะให้ฉันทำอะไร”



      “ขอฉันเป็นคนเดินหมากกระดานเกียรติยศของป้อม”



      คำขอที่มากเกินจะให้ ทำเอาคนบนเตียงสะดุ้งเฮือกดันตัวขึ้นนั่ง ก่อนจะตวาดเสียงดัง ทำเอาคนรอบข้างหันมามอง



      “นายบ้ารึเปล่า ของแบบนี้ต้องใช้ฝีมือตัดสินโว้ย!”



      ประโยคที่เธอพูดไป เหมือนกับไม่ได้คิดก่อน ครั้งที่แล้วเธอแพ้รอนราบคาบ ถ้าเธอไม่ได้ต่อหมากก็คงไม่ชนะ ดันเผลอพลั้งปากพูดออกไปซะได้



      “ตกลง”



      แล้วอีกไม่ถึงนาที กระดานหมากรุกพ่อมดของรอนก็ลอยมาถึงห้องพยาบาล รอดผ่านประตูที่ตอนนี้กระจกหายไปแล้ว แล้วก็จัดหมากในพริบตา แต่เกมการเล่นนี้ก็จบภายในพริบตาเช่นกัน



      “ม้า ดีห้า รุกจนแต้ม”



      หน้าจ๋อยๆของสตรีคนเดียวในที่นี้ ทำเอาเสียงหัวเราะเกิดขึ้น แต่รอนก็ไม่หยามหน้าเธอจนเกินไป พยายามปิดปากหัวเราะคิกๆในลำคอแทน เธอจึงต้องยอมแพ้เขาเสียแต่โดยดี



      “นายเดินก็ได้ เอาไงโร”



      แต่หัวหน้าป้อมก็ต้องตอบตกลงไปโดยปฏิเสธเสียไมได้ จะหาใครเก่งกว่านี้ไปได้อีกหละ ถ้าปีนี้รอนเป็นคนเดินหมาก ป้อมอัศวินอาจจะชนะก็ได้... ถ้ามีสนามให้แข่งนะ



    ...................................................................................................................................................................



    “หา!”



      เสียงตะโกนแสดงความตกใจอย่างสุดขีดดังขึ้นทั่วห้องพยาบาล ดูเหมือนว่าคนที่ได้ยินเรื่องที่รอนเล่าจะไม่ได้มีแต่เฟรินและโรซะแล้ว คนทั่วห้องพยาบาลร้องเหวอหวาออกมาทันที แต่ก็กลายเป็นเสียงกระซิบในพริบตา ที่ไม่แนบเนียนเอาเสียเลย



      “ตกลง เราต้องย้ายไปเรียนที่นู่นหรอ” เสียงแสดงความดีใจปนเสียใจของเฟรินพูดขึ้นมา ดูเหมือนว่าเธอจะดีใจไม่น้อยเลยที่ได้ไปเที่ยวที่อื่น



      “ก็ในจดหมายไม่ได้บอกหรือไง อาจารย์ใหญ่ที่อยู่ทางนู้นของฉันรู้เรื่องนี้แล้ว ก็เลยส่งจดหมายนี่มาเพื่อเชิญไปเรียนที่นู่นชั่วคราว หรือนายจะอยู่เรียนกลางขี้เถ้าหละ”



      เสียงของรอนบอก เขาเป็นคนเดียวที่อ่านจดหมายนี้ออก แต่ไม่ว่าจะยังไง เฟรินกับโรก็แปลภาษาที่รอนเรียกว่า ‘ภาษาอังกฤษ’ ได้เลย



      “ก็ไม่ได้บอกว่าไม่อยากไป แค่รู้สึกแปลกๆ” เฟรินพูดขึ้น ก่อนจะล้มตัวลงนอนแอบยิ้มออกมาเล็กน้อย ในใจของเธอนึกแต่เพียงว่า... มีอะไรสนุกอีกแล้ว ความทุกข์ร้อนในใจของเธอไม่เคยมีเลยหรือไงกันนะ ถ้าไม่ใช่เรื่องเจ้าชายแห่งคาโนวาลของเธอ....



      ในจดหมายที่รอนอ่านให้ฟัง ปรากฏว่า เป็นภาษาอังกฤษธรรมดา แต่เป็นตัวเขียนซึ่งยากต่อการอ่าน ยิ่งเป็นลายมือของดัมเบิลดอร์แล้ว ก็เหมือนส่งสาส์นลับไม่ให้ผู้อื่นรู้ยังไงยังงั้น



      จากที่เล่ามา อาจารย์ใหญ่ของโลกต่างได้รู้เรื่องราวทั้งหมดของโรงเรียนพระราขาแล้ว ช่างเป็นช่วงเวลาที่ซวยสุดๆจริงๆ อาทิตย์ที่ผ่านมานี่ไม่รู้ว่าเธอร้องไห้กี่ครั้ง และบาดเจ็บทั้งหมดกี่ครั้ง แต่ดูเหมือนว่าเธอจะทรหดมากเหลือเกิน



      แล้วเรื่องที่ในจดหมายเขียนมาอีกอย่างคือ อาจารย์ใหญ่ของที่นั่นได้ชักชวนนักเรียนของโรงเรียนพระราชาไปอาศัยที่นู่นสักพักหนึ่งเพื่อให้โรงเรียนได้รับการบำรุงรักษาและสร้างขึ้นมาใหม่ก่อน แล้วค่อยย้ายนักเรียนทั้งหมดกลับมาหลังจากสภาพทุกอย่างของโรงเรียนกลับมาเป็นอย่างเดิม



      แต่ดูเหมือนจะติดปัญหาที่ว่า ฮอกวอตส์ก็ไม่รู้จะรองรับนักเรียนทั้งหมดได้หรือเปล่า แต่เท่าที่ได้ยินรอนรวมทั้งแฮร์รี่และเฮอร์ไมโอนี่บอกมา(ตามมาแล้วรู้เรื่องทีหลัง) ฮอกวอตส์ใหญ่โตกว่าโรงเรียนพระราชามากมายนัก แถมความปลอดภัยก็เช่นเดียวกัน



      การเอานักเรียนทั้งหมดไปที่โลกต่างยังเป็นเรื่องเล็กนัก ถ้าเทียบกับการเดินทางไป ดูเหมือนว่าจะเป็นการอพยพใหญ่ๆ แล้วยิ่งยากเย็นไปกว่านั้น จะไปยังไงกัน ในเมื่อชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็น’โลกต่าง’ เธอจึงลองถามเฮอร์ไมโอนี่(ยายหัวคอมพิวเตอร์)แล้วก็ได้คำตอบมาว่า



      “เราก็ใช้กุญแจนำทาง อุปกรณ์ที่พาเรามาที่สโนว์แลนด์ ที่ดูเหมือนจะเชื่อมต่อทางมิติกับโลกของเราที่ไอซ์แลนด์นะ แล้วพอมาถึงเราก็เสกของแถวๆนั้นเป็นกุญแจนำทางอีกที แล้วก็มาถึงที่นี่หละ”



      เธอรู้จักสโนว์แลนด์แค่เรื่องแม่ของคาโล เรื่องอื่นเธอไม่เคยรู้มาก่อนเลย ถ้ารู้ก็คงลืมไปแล้ว



      “งั้นพวกเราก็ต้องเดินผ่านเดมอสแล้วก็ไปที่สโนว์แลนด์หนะสิ”



      เสียงของเธอถามแทรกความเงียบขึ้นมา ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งคิดไตร่ตรองกับจดหมายนี้อยู่ด้วยความเงียบ ต่คำตอบก็คือความเงียบเช่นเก่า แน่นอนมันต้องเป็นใช่อยู่แล้ว... แล้วคนที่มายืนยันความคิดของเธอคนต่อไปคือ... คนเดียวที่ควรจะรู้จักสโนว์แลนด์



      “คาโล...” ทุกคนพึมพำเบาๆขึ้นมา หลังจากที่เจ้าชายแห่งคาโนวาลก้าวผ่านประตูเดินมาที่เตียง แล้วดึงจดหมายมาดู แต่ก็ยัดใส่คืนให้เจ้าของ แล้วพูดขึ้นมา



      “ปราชญ์เลโมธีบอกว่า พรุ่งนี้เช้าเราจะต้องออกเดินทาง เก็บข้าวของเท่าที่เอาไปได้เอาไปให้หมด- -”



      ‘ไม่เหลืออะไรเลย จะเอาไรไปหละ นอกจากตัวกับหัวใจ...’



      “คงเป็นการเดินทางแปปเดียวแต่ฉันลองดูแล้วมันยากพอดู สโนว์แลนด์เป็นที่ที่หนาวมาก ถ้าพวกนายไม่ป้องกัน ตายก่อนได้ไปโลกต่างแน่”



      เธอยิ้มน้อยๆ ในใจยังคิดเรื่องต่อล้อต่อเถียงเขาอยู่



      ‘นายคงไม่ต้องป้องกันหละมั้ง ตัวก็เย็นอยู่แล้ว หนาวนิดหนาวหน่อยไม่ตายหรอกหน่า’



      “แล้วก็... มีแต่ปีหนึ่ง สอง หก เท่านั้นทีได้ไป ที่เหลือก็ต้องซ่อมโรงเรียน เป็นการเรียนไปในตัว พวกนายอย่าดีใจไปหละ ที่นู่นก็พอๆกันนั่นแหละ”



      แล้วเขาก็เดินจากไปเหมือนพวกส่งข่าวที่มาแล้วก็ไป ทำเอาคนตรงนั้นอึ้งกันไปหมด ก่อนเสียงหนึ่งที่จะแทรกความเงียบขึ้นมา



      “โรงเรียนฉันนะ มันส์กว่าที่นี่เยอะ”



      เธอยิ้มปากแบะ รู้สึกอยากไปฮอกวอตส์โรงเรียนเวทมนตร์กว่าเวลาไหนๆซะอีก



    ..........................................................................................................................................................



      เช้าวันต่อมาอากาศช่างเป็นใจเสียเหลือเกิน ท้องฟ้าดำมืด ท่าทีท่าจะตกแหล่ไม่ตกแหล่ แต่ดูเหมือนว่ายังไงก็ไม่รอดแน่ และแล้วพอถึงเวลาจะออกเดินทางทุกคนก็เปียกแฉะกันเต็มที่



      เฟลิโอน่า เตรียมของของตัวเองเสร็จก่อนใครเพื่อน เพราะชุดของตัวเองมีเพียงชุดเดียว สิ่งที่เหลือก็มีเพียงร่างกายเท่านั้นที่ยังปลอดภัยดี เธอจึงเป็นคนแรกที่มายืนรอการเดินทาง



      การเดินทางที่เฮอร์ไมโอนี่บอกเธอว่าเป็นการดินทางที่รวดเร็วโดยกุญแจนำทาง เป็นอะไรก็ได้ที่เสกแล้วสามารถเคลื่อนย้ายไปที่ที่ต้องการอย่างฉับไว โดยการเสกคาถาเพียงคาถาเดียว



      เลโมธีที่กลับมาแล้ว ก็ได้ร่วมปรึกษาอะไรคร่าวๆกับพวกนักเรียนและอาจารย์บางคนที่ต้องไปด้วย ส่วนนักเรียนบางคนที่ไม่ได้ไปด้วยก็เสียใจไปตามๆกัน เพราะต้องอยู่ซ้อมโรงเรียน โดยอาจารย์อ้างว่าเพื่อฝึกร่างกายให้แข็งแรงและฝึกความอดทน



      และแล้วอาจารย์ทั้งหลายคนจากโลกต่างก็ได้เสกของเหลือใช้ที่เป็นซากจากไฟไหม้ให้เป็นกุญแจนำทาง เพื่อเดินทางไปยังสโนว์แลนด์ ที่จะต้องเสกกุญแจนำทางจากที่นั่นอีกครั้งเพื่อเชื่อมต่อมิติไปยังโลกต่างอีกที



      หลังจากที่กลุ่มของเธอได้กุญแจนำทางที่เป็นเสื้อไหม้ตัวหนึ่ง ที่เธอรู้สึกจะคุ้นๆเหลือเกินว่าเป็นเสื้อของเธอที่ไหม้จากไฟ แต่เธอก็ไม่เอะใจไปมากว่านั้น เอาเสื้อตัวที่ดูเหมือนจะได้รับการเสกคาถามายืนรวมกลุ่มกับพวกเธอ ซึ่งได้แก่ คาโล คิล แฮร์รี่ รอน และเฮอร์ไมโอนี่ ถึงแม้คนหลังเธอจะไม่เต็มใจนักก็ตาม



      หลังจากที่ทุกคนได้รับการเรียนรู้วิธีการเดินทางโดยกุญแจนำทาง เหมือนกับการนับถอยหลังแล้วจะตต้องตกวูบหายไปยังสโนว์แลนด์ทันที แต่พอมาถึงตรงนี้เธอก็เพิ่งรู้สึกตัวได้ว่า ถ้าเสื้อตัวนี้เพียงตัวเดียวเธอจะรับความหนาวจากสโนว์แลนด์ได้อย่างไรกัน



      แต่มันก็สายไปเสียแล้ว หลังจากปราญช์เลโมธีกล่าวอะไรมากมายจบ และกล่าวลาโรงเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็สั่งให้ทุกคนนับถอยหลังพร้อมๆกันเพื่อจะได้ไปถึงที่หมายพร้อมกัน



      \'ลาก่อนเอเดน\'



      จิดใจของเธอพร่ำคิด นึกสงสัยว่าจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้วเหมือนฝันเมื่อคืน



      และแล้วเสียงประกาศให้นับถอยหลังของทั้งโรงเรียนก็เริ่มต้นขึ้น เสียงดังกึกก้องทั่วสนามของโรงเรียน รับถอยหลังพร้อมกัน



      “สาม!”



      “สอง!”



      “หนึ่ง!”



      ทุกคนรอบตัวเธอหายไปกันหมด ทั้งปราญช์เลโมธีที่ยืนอยู่บนเวที แต่ดูเหมือนสิ่งผิดปกติจะเกิดขึ้นกับเสื้อไหม้เกรียมตัวนี้ของเธอ



      “ทำไมมันไม่ย้ายไปหละ” เสียงกระซิบอย่างตื่นตระหนกเป็นของคิล แต่เสียงของเขาก็ไม่ต่างจากเธอที่กล่าวต่อมา



      “ทำไงดี”



      แต่อารมณืของเธอก็เปลี่ยนเป็นปกติอีกครั้ง เมื่อเฮอร์ไมโอนี่ได้หยิบไม้กายสิทธิ์ของเธอขึ้นมาแล้วชี้พึมพำไปทางเสื้อดำปี๊ตัวที่ทั้งหมดถืออยู่ แล้วเธอก็นับถอยหลัง



      “สาม สอง หนึ่ง!”



      พื้นที่เฟรินเหยีบยอยุ๋วูบหายไป ตอนนี้เธอกับทุกคนเหมือนลอยอยู่ในอากาศแต่ทว่ามันเหมือนการตกวูบอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งต่อมาที่เธอรู้สึกคือ... หนาว



      เธอหันไปรอบๆ ทุกที่มีแต่หิมะ แต่ร่างกายของเธอไม่แสดงความรู้สึกหนาวออกมาเลย แต่ดูเหมือนว่าคนอื่นที่ป้องกันมาดีก็ไม่เป็นไรเช่นกัน แต่ที่เธอแปลกใจก็คือ เธอที่ใส่เสื้อเพียงตัวเดียวกลับไม่หนาวเลย



      เธอตะเวนมองหาคนอื่นๆที่กำลังโนเสกหรือหายไปทีละหลายๆคน ตอนนี้ก็เป็นตาของพวกเธอ ที่เดินมาจับกลุ่มกันเหมือนเดิมแล้ว



      “พวกเธอถือนี่ไว้”



      เสียงหญิงชราที่คุ้นหูมากเหลือเกินบอกแล้วยืนอะไรหยุ่นๆก็ไม่ทราบมาให้เธอ แล้วแสงเป็นประกายก็เกิดขึ้น เสียงนับถอยหลังดังขึ้นอีกครั้ง แล้วพื้นที่เธอยืนอยู่ก็หายวูบไปอีกครั้ง......... สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกได้ตอนนี้….



      เธอกำลังอยู่ในอ้อมแขนของชายคนหนึ่ง ที่กำลังเดินฝ่าพายุหิมะ ที่กำลังหมุนพัดทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้ามัน.... ไม่เว้นแม้แต่เจ้าชายและเจ้าหญิงที่กำลังจะหาทางรอดจากมันไป





                                                                    ------------------END---------------

                        นี่คือการเริ่มเรื่องที่ยาวนาน ทั้ง 10 ตอนที่ผ่านมาเป็นแค่เพียงเกริ่นเรื่อง... ทุกท่านโปรดเข้าใจ \'ผู้มาเยือน\'

                ในที่นี้ ไม่ใช่ ชาวฮอกวอตส์ แต่ผู้มาเยือน คือ เหล่าชาวเอเดน นักเรียนโรงเรียนพระราชา ที่กำลังหลงเข้าไปในวังวนอันตราย



                                                            เนื้อเรื่องที่แท้จริงกำลังจะเริ่มขึ้นต่อจากนี้ต่างหาก !!!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×