ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (ฟิคหัวขโมยแห่งบารามอส) ภาค ผู้มาเยือนผู้พลิกผันชีวิต

    ลำดับตอนที่ #3 : คำสารภาพ...

    • อัปเดตล่าสุด 18 ต.ค. 48


      แต่แล้ว ความหวังที่จะถามขอทานหัวหน้าป้อมก็ริบหรี่เต็มที ด้วยความเป็นหัวหน้าป้อม เสนาธิการฝ่ายขวากับหนึ่งในสี่ผู้คุมกฎจะไปมีสิทธิ์ยุ่งอะไร นอกจากจะมีการเรียกประชุมนานๆครั้ง แต่ก็ไม่มีโอกาสพูดคุยด้วยอยู่ เพราะไอ้หัวหน้าป้อม ก็ดันหายตัวไปๆมาๆ จนจับตัวได้ทีก็คุยได้แว๊บเดียว เหมือนโอกาสนี้ ที่ขอทานผู้สูงศักดิ์ กำลังนั่งเรียนวิชาประวัติศาสตร์ แล้วพอดีเอาก้นทาบแหมะลงข้างๆเจ้าตัวยุ่งเฟริน



      “ไง”



      เสียงทักขึ้นก่อน ที่เดี๋ยวนี้ดูจะยิ่งทะนงศักดิ์ศรีหัวหน้าป้อมขึ้นมาทุกที โอกาสในวันนี้ก็น้อยทีที่พวกเขาจะได้คุยกัน ตั้งแต่เรื่องเล็กๆไปยังเรื่องใหญ่ เพราะงานที่ยุ่งยากของการเป็นตำแหน่งยิง่ใหญ่ของป้อม



      “ดี แล้วนายหล่ะเป็นไง เห็นว่างานยุ่งจนกะลาไม่ค่อยได้ใช่แล้วนี่”



      เสียงบ่นอุบอิบเบาๆออกมาแทนคำตอบ หน้านิ่งของโร เซวาเรสไม่เปลี่ยน ก่อนจะถามเปรยๆขึ้น



      “นายมีเรื่องอะไร เออ... ปกตินายก็มีเรื่องอยู่แล้วนี่”



      “ก็เรื่องเด็กนักเรียนใหม่ของโลกต่างนั่นไง” เจ้าหัวขโมยถามขึ้นโดยไม่อ้อมค้อม เพราะมันรอเวลานี้มานานแล้ว กว่าจะได้พูดตัวต่อตัวกับมันสักที “มีอะไรจะบอกฉันมั้ย นอกจากที่บอกที่โรงอาหารเมื่อวันก่อน”



      “อ้อ มี... เรื่องนี่ฉันอาจลืมบอกไป”



      “อะไร” เสียงเร่งเร้าจากอีกฝ่าย ที่รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ



      “นายสังเกตมั้ยเฟริน ที่พวกนั้นบอกว่าจะมาเรียนกับพวกเรา ไม่เห็นจะมาเรียนเลย”



      “เรื่องนั้นก็เรื่องนึง ทำไม”



      “ก้อ... พวกเราจะต้องพาสำรวจห้องเรียนและที่ต่างๆให้พร้อมก่อน ตอนนี้มันยังลุ่มๆดอนๆอยู่ ก็เลยอาจได้มาเรียนอาทิตย์หน้า เรื่องอาวุธหรือคทา ก็ต้องเตรียมให้พร้อม ไม่ใช่เอาเศษเหล็กที่ไหนมาให้ก็ได้ เดี๋ยวความสัมพันธ์จะกร่อนเสียหมด นั่นแหละปัญหา”



      “งั้น... แล้วสาเหตุที่พวกนั้นมาเรียนที่นี่หล่ะ” ถ้าเร่งรีบเข้าประเด็นไป โรมันอาจสงสัยได้ ดังนั้น เฟรินจึงค่อยๆกระแซะๆเข้าไปที่นักเรียนเรื่อยๆ



      “ก็เฮอร์ไมโอนี่เขาบอกไปแล้วไง ว่าเขามาเพื่อเป็นทูตสัมพันธไมตรี เชื่อมความสัมพันธ์และเส้นแบ่งกั้นระหว่างโลกสองใบ”



      “งั้นก็มาเพื่อนแค่นั้น แต่... นายสนิทกับเด็กผู้หญิงคนนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงกระทั่งอาจหาญเรียกชื่อได้ขนาดนั้น” ตัวเจ้าเล่ห์ เริ่มเขยิบเข้าไปใกล้เป้าหมายอีกนิดแล้ว ไม่นาน เขาก็ต้องได้รู้คำตอบว่า เด็กผู้หญิงที่ชื่อเฮอร์ไมโอนี่นั้น เก่งจริงหรือเปล่า ถึงกระทั่งทำยาสเน่ห์ได้เนี่ย ต้องไม่ธรรมดาแน่!



    “ก็ เมื่อวาน ฉันพาพวกเขาไปดูรอบๆตัวเมือง ไปซื้อของแล้วก็ดูอะไรในโรงเรียนด้วย ระหว่างทางก็คงไม่เงียบสนิทหรอก เฮอร์ไมโอนี่นะพูดเก่งน่ะ แล้วที่ๆรู้มา เธอหน่ะ เก่งขนาดตลอดห้าปีที่เคยเรียนมา ได้ที่หนึ่งของระดับตลอด แถมยังสอบการวัดระดับความรู้ ได้เกินเกณฑ์อีกต่างหาก ฉันว่าน่ะ ถ้าเธออยู่ที่นี่จริงๆ อาจจะได้เป็นหัวหน้าปราการปราชญ์ด้วยซ้ำ”



      เฮือก! ถึงขนาดไอ้โรมันออกปากชมแบบเป็นหัวหน้าปราการปราชญ์ได้เนี่ย ยัยผู้หญิงคนนั้นต้องไม่ธรรมดาแหง งั้นยาสเน่ห์ก็ไม่ต้องพูดถึง ทำได้แหงแซะ! คิดไปไม่ทันจะไตร่ตรองไรมากมาย มันก็ถือโอกาสถามต่อ ถึงคู่แข่ง



      “แล้วไอ้คนอวดดีนั่นหล่ะ ที่มาที่ไปเป็นไง”



      เจ้าคนที่รอฟังคำถาม พอได้ยินคำถามนี้มา ก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนตอบอย่างสบายใจ



      “คนอวดดี... อ้อ รอนัลด์ วีสลีย์ รอนหน่ะน่ะ เท่าที่ฉันรู้มา สามคนนั้นก็สนิทกันหมด แฮร์รี่กับรอนหน่ะเรียนไม่ได้ถึงครึ่งของเฮอร์ไมโอนี่ด้วยซ้ำไป แต่ว่ากันว่าน่ะ เรื่องหมากรุกต้องยกให้รอนนั่นเป็นที่หนึ่งเลย ฉันลองเล่นกับเขาดูแล้วน่ะ พูดได้คำเดียวหว่ะเฟริน นายสู้ไม่ได้หรอก”



      เฮือก! อีกแล้วหรอวะ มีแต่คนไม่ธรรมดา แต่ไอ้โรมันก็แพ้หมากรุกเธอไม่ใช่หรอ แล้วมันจะรู้ได้ไง



      “นายเอาอะไรมาตัดสิน ว่าฉันแพ้ราบคาบ”



      หลังเอ่ยถามนี้ ขอทานตัวดีเหมือนกำลังรออยู่พอดี สวนคำตอบที่ต้องทำให้ขโมยถึงกับอ้าปากค้าง



      “ก็ฉันก็แค่ให้เขาต่อ ม้าหนึ่ง เรือหนึ่ง บิชอพสอง แพ้ราบ”



      “ใคร”



      “ฉัน”



       เฮือก! อะไรกันวะ ต่อมากขนาดนี้เป็นเขายอมตั้งแต่ยังไม่ได้เล่นแล้ว แต่ไอ้โรมันกล้าขอขนาดนี้ แถมยังแพ้มาอีก แปลว่า ไอคนที่เขาท้าจะแข่งด้วยนี่ มันคนหรือลูกลับๆของท่านพ่อเอวิเดสกันแน่ !



    ...................................................................................................................................................................................



      หลังเรียนภาควิชาที่น่าเบื่อต่างๆในวันนั้นจบ ความโล่งในสมองก็บังเกิดขึ้นกับลูกสาวพ่อเอวิเดส ที่ตอนนี้ แหวนที่เคยให้มาเมื่อสี่ปีก่อน หายไปอย่างหาไม่เจอ จนต้องมาเป็นชายอย่างนี้ แต่ร่างนี้ สำหรับเฟริน ก็คิดว่ามันสะดวกสบาย มากกว่าจะมาเป็นผู้หญิงสะดุ้งสะดิ้ง แล้วให้ไอ้คาโลมันทำอะไรมิดีมิร้ายใส่ แต่ตอนนี้ มันคงไม่สนใจเจ้าหญิงเมืองปีศาจอย่างเธอแล้วหล่ะมั้ง คงไปเคาะประตูป้อๆหน้าห้องยัยนั่นแล้วหล่ะ เฮ้อ! ฉันก็โดดเดี่ยวอยู่คนเดียว เป็นสี่ผู้คุมกฎที่ว่างที่สุด หรือที่จะเรียกให้ถูก หนีงานมา



      “เฮ้ย! เฟรินนนนนนนนนนนน”



      เสียงตะโกนดังโหวกเหวกมาแต่ไกล วิ่งข้ามเนินเล็กๆมา เผยให้เห็นใบหน้าของเพื่อนซี้ กำลังวิ่งมาเหมือนเจอผี ในมือข้างหนึ่งถือกระดาษมาแผ่นหนึ่ง ดูเหมือนจะกระชากฉีกมาจากที่ไหนซักแห่ง



      “อะไร วิ่งมายังกับหนียัยเรนอนมางั้นหล่ะ เป็นเสนาธิการกลัวผู้คุมกฎได้ไง”



      เสียงเอ่ยทักอย่างเบื่อๆแต่ก็ไม่พ้นนิสัยสนุกสนาน แต่ก็ไม่พ้นสายตานักฆ่า



      “นายเป็นไร อารมณ์ไม่ดี มีข่าวไม่ดีมาหรือไง”



      “ก็งั้นแหละ ดูท่า ไอ้คาโลจะลากจากรังรักออกมาไม่ได้แล้วหว่ะ”



      “เอ๋ ไหงนายว่างั้นหล่ะ”



      จบคำถาม เฟรินก็เล่ายาวเหยียด เรื่องที่ได้รับรู้มาจากหัวหน้าป้อม ที่ตัวเองกระซิบคุยในคาบประวัติศาสตร์ ก็ตอนที่ไอ้เสนาธิการอย่างคิลมัส ฟิลสัมกำลังไปส่งข่าวสารนอกเมืองอยู่ หลังจากเล่าจบ นัยน์ตาสีม่วงก็เบิกกว้าง แล้วปากก็พูดพร้อมสีหน้าครุ่นคิด



      “งั้น ไม่ต้องสงสัยแล้วหล่ะ นักเรียนใหม่เราลองดีกับเจ้าชายแห่งคาโนวาลซะแล้ว แล้วเจ้าหญิงแห่งเดมอสด้วยอีกคนไปลองดีกับเด็กหัวแดงเข้า”



      “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ อย่ามาทำให้ฉันเซ็งหนักเข้าไปอีกได้มั้ย แล้วนายนั่นแหละ กระดาษใบนั้นหน่ะอะไร เรื่องที่จะมาคุยกํบฉันตอกแรกใช่มั้ย”



      “มันก็ใช่ แต่ถ้านายเซ็งขนาดนี้ เอาไอนี้ให้ดู ฉันว่าจะเซ็งหนักหว่ะ”



      เสียงพูดพลางขวดคิ้วด้วยความเป็นห่วง แต่ดูท่าคนเซ็งจะไม่สนใจ คว้ากระดาษในมือมาคลี่อ่าน ก่อนจะทำหน้าผงะหลังจากเห็นข้อความในกระดาษ ที่ดูเหมือนจะดึงมาจากบอร์ดประกาศของป้อมอัศวิน ใจความของกระดาษแผ่นนั้นสั้น แต่ก็ได้ใจความดีเกินทน



    ถึง เฟริน เดอเบอโรว์ เดอะ ทีฟ ออฟ บารามอส



          ด้วยเหตุที่เมื่อวันแรก เห็นว่านายอยากประลองหมากรุกกับฉัน ฉันจึงได้ปรึกษากับอาจารย์แล้ว ท่านได้อนุญาต แล้วฉันก็เห็นว่านายไม่ส่งสาส์นมาเสียที ฉันจึงต้องส่งวัน และเวลามาให้นายทราบ คือ วันเสาร์นี้ เวลา 12.00 น. ที่โรงอาหารของป้อม ฉันได้เตรียมหมากรุกพิเศษไว้ ขอให้นายมาตามนัด แล้วเราจะได้ไม่เสียเวลา



        ปล. การแข่งกระดานนี้ ไม่มีการออมมือ หรือต่อหมากใดๆทั้งสิ้น ขอให้ท่านยอมรับในคำตัดสิน ไม่ว่าจะแพ้ หรือ ชนะก็ตาม



                                                                               รอนัลด์ วีสลีย์ เดอะ เชส มาสเตอร์ ออฟ ฮอกวอตส์



      หน้าบึ้งทะมึงทึงของเจ้าคนแส่หาเรื่องเขาก่อน หลังจากอ่านจดหมายปลายชีวิตที่จะจบสิ้นของเธอเอง แทนที่เธอจะท้าจนทำให้มันเสียหน้า แต่กลับเป็นมัน ที่ทำให้เขาหน้าแตกเป็นเสี่ยงๆด้วยกานเอากระดาษนี้แปะไว้ที่โรงอาหารประจานหน้าป้อม! สิ่งเดียวที่เขาจะทำได้ตอนนี้ก็คือ ประจันกันซึ่งๆหน้า  ไปตามมันท้า แทนที่จะเสียหน้าอยู่อย่างนี้!



      “นายจะเอาไง เฟริน” หลังจากเห็นหน้าตาบิดเบี้ยว เพื่อนรักอย่างคิล ฟิลมัสก็อดที่จะหน้านิ่วคิ้วขมวดเป็นห่วงตามไปเสียไม่ได้ พลางเดินมาหยุดลงข้างๆ แล้วนั่งรอฟังคำตอบ



      “ก็ต้องแข่งกับมันสิ จะให้หนี แล้วให้มันหาว่าคนป้อมอัศวินขี้ขลาดหรือยังไงกัน ฮึ”



      “ถ้าเขาจะหาว่าขี้ขลาดทั้งป้อม ก็เพราะนายคนเดียว”



      หลังคนถูกกล่าวหาได้ยินประโยคจากคนปากถ่อย พูดไรมาไม่เข้าเรื่อง ศึกเล็กๆระหว่างบารามอสกับเดมอส ที่ผนึกรวมพลังกันถล่มซาเรสก็เริ่มขึ้น เริ่มจากฝ่ายหมาหมู่ ที่เป็นลูกครึ่งฝากหมัดขวาเข้าไปที่หน้าซาเรสก่อนที่จะตะลุมบอนกันจนฝุ่งคลุ้ง มองอะไรไม่เห็น สุดท้ายก็มาจบที่หน้าบ่วมเต่งกันไปคนละข้าง หลังจากนอนกระดิกกระเดี้ยไม่ไหวกันไม่ทันไร ปีศาจแห่งวิทช์ก็โผล่มา ทำให้สองนายทหารที่เพิ่งผ่านการรบ ยืนเคารพเต็มที่



      “สวัสดียามเย็นท่านผู้คุม มีอะไรไม่ทราบ อุตส่าห์ถ่อมาหาทหารผู้ต่ำต้อยสองคนนี้” เสียงประสานของทั้งคู่ ทำเอาแม่มดผู้คุมผงะไปนิดก่อนที่จะพูดคำประจำตัว



      “บ้า! ฉันมาตามพวกเธอไปประชุมต่างหาก ประชุมตามสบาย เขาจะให้นั่งคุยกับผู้มาเยือนหน่ะ”



      ประโยคหลังทำเอาเจ้าทหารสองคนพากันผงะ แต่ก็ตกใจได้ไม่นาน ต้องตามยัยแองจี้ เดินนำต้อยๆไปที่สถานที่ประชุม ที่ตั้งแต่เฟรินมันเป็นผู้คุมมา มันยังไม่เคยเข้าไปนั่งแม้แต่ครั้งเดียว



    ............................................................................................................................................................................



      “ขอกล่าวสวัสดีทุกท่านอีกครั้ง คงจำกันได้ว่า ฉันชื่ออะไร” เสียงที่เปล่งมาจากลำคอ ดังเป็นปกติ ไม่เหมือนตอนที่อยู่โรงอาหาร ศาสตราจารย์มักกอนนากัลหันไปมองนักเรียนทุกคนก่อนที่จะกล่าวต่อ “ท่านคงทราบกันดีแล้วว่า นักเรียนของฉัน จะเข้าเรียนในวันจันทร์หน้า เนื่องในวันนี้เป็นวันศุกร์ซึ่งใกล้จะถึงวาระนั้นแล้ว ฉันในนามผู้คุมของนักเรียนทั้งสาม จึงให้พวกคุณทำความรู้จักกับนักเรียนของฉันอีกที ไม่ใช่รู้จักแค่ชื่อหรือ ความสามารถเท่านั้น แต่ขอให้ พวกท่านทุกคน ทำความรู้จักกันอย่างสนิทสนม อย่างที่รู้จักกันดี กับคำว่า ‘เพื่อน’”



      หลังกล่าวจบ หญิงชรากราดสายตาหลังกรอบแว่นสี่เหลี่ยม ก็จะหันหลังเดินออกจากห้องประชุมนี้ไป แล้วความเงียบก็เกิดขึ้น



      “เอ่อ.. สวัสดีทุกคนอีกครั้งค่ะ” เสียงหนึ่งดังมาจากข้างๆตัวเฟรินเอง หลังจากเธอนั่งหลังงอๆก้มหน้าก้มตาฟัง เธอไม่รู้เลยว่า นางมารร้ายในสายตาของเธอนั้น นั่งอยู่ข้างๆเธอนี่เอง “ฉันชื่อว่า เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์คะ ทุกๆท่านจำกันได้หรือปล่าวเอ่ย...”



      เสียงของเธอสนิทสนมกับทุกคนมากขึ้น หลังจากที่พูดอย่างเป็นทางการมาแล้วในห้องโถง เธอพักหายใจพลางมองไปรอบห้อง ก่อนที่จะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเขินอาย และจริงจังมากขึ้นกว่าเดิมหน่อย



      “...ฉันมีเรื่องจะบอกให้เพื่อนๆทุกคนทราบคะ คือว่าอาจจะมีเรื่องๆหนึ่งที่จะสารภาพคะ คือว่า....”เธอมองไปรอบๆห้องอีกครั้ง ก่อนที่จะทำหน้าตาอายๆ “...เมื่อตอนที่เราจะเข้ามาแนะนำตัวกับพวกคุณเมื่อวันก่อน เราได้เข้าไปเดินเล่นกันในตัวเมืองที่มีร้านขายของมากมาย แล้วพอดีพวกเราก็ไปเจอร้านน้ำหอมร้านนึง แล้วฉันก็เข้าไปลองน้ำหอมโดยไม่รู้ว่า น้ำหอมนั้น เป็นน้ำหอมสเน่ห์ที่ผิดกฎหมาย พอเราเข้ามาตอนแรกเราก็ตกใจมาก ที่บางคนถึงกับหลงสเน่ห์ฉัน แต่พอมาทราบทีหลังโดย ปราชญ์เลโมธีท่านบอกกับฉันเอง ว่าจะหมดฤทธิ์ภายในยี่สิบสีชั่วโมง ตอนนี้มันก็หมดฤทธิ์แล้วหล่ะคะ”



      หลังพูดจบ เธอก็ก้มหัวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ที่ทำให้ทุกคนต้องลำบาก แต่หลังจากนันไม่นาน ครี้ดก็โพล่งถามขึ้นมา



      “แล้วทำไมบางคนถึงไม่ค่อยหลงมากหล่ะ เอ่อ...เฮอร์ไม่โอนี่”



      “อ๋อ... มันน่าจะเป็นเพราะพลังเวทมนตร์ของพวกคุณหน่ะคะ บางคนที่มีเวทมนต์มหาศาลก็จะยิ่งได้รับสเน่ห์มาก แต่บางคนพลังเวทย์น้อย ก็จะได้รับสเน่ห์น้อยคะ แต่ที่ฉันถามปราชญ์เลโมธีได้ก็เพราะ ท่านบอกว่า วิชาบางวิชาก็หยุดฤทธิ์นี้ได้ เอ่อ...แล้วคุณชื่ออะไรนะคะ”



      “ครี้ด ธันเดอร์ ครับ”



      “ยินดีที่ได้รู้จักน่ะ”



      หลังพูดจบ เธอก็ยิ้มพลางนั่งลง โดยก็ไม่เห็นเลยว่า ครี้ด ธันเดอร์ หนึ่งในสามขุนพลคนปัจจุบัน กำลังหน้าแดงเล็กๆ ก่อนที่จะนั่งอมยิ้มอยู่น้อย แต่ปฏิกิริยานี้ ไม่อาจหลบสายตาของรอนัลด์ที่ที่นั่งตรงข้ามกับเขาไปได้ ก่อนที่เขาจะเอ่ยเพื่อนสาวของเขาโดยไม่คิดที่จะลดเสียงลงเลย



      “นี่ เฮอร์ไมโอนี่ เธอมั่นใจน่ะว่ายาสเน่ห์หมดฤทธิ์แล้ว”



      จบประโยค สาวสวยสเน่ห์แรงก็หันหน้ามาค้อนขวับเจ้าคนพูด ก่อนที่เสียงหัวเราะจะเกิดขึ้นทั่วทั้งห้อง ที่มีแต่นักเรียนชั้นปีที่หก ชั้นเดียวกับพวกเขานั่งรายล้อมอยู่



      “เฟริน นิสัยเหมือนนายเลยหวะ ชอบแซวผู้หญิง คนเก่งหมากรุกเป็นกันงี้ทุกคนเลยหรอวะ”



      เสียงกระซิบดังมาจากอีกข้างหนึ่งของเฟริน... คิลนั่นเอง แต่เขาก็ไม่ตอบอะไร ก่อนจะหันไปมองคาโล ที่ปฏิกิริยาตอนนี้ กลับมาเป็นเจ้าชายผู้มาดขรึมนัยน์ตาดุอีกครั้ง หลังจากที่ได้เห็นภาพนี้ เธอก็แอบยิ้มในใจ ก่อนจะหันไปเข้าร่วมวงสนทนากับพวกสามนักเรียนมาใหม่ ที่ดูเหมือนจะสนิทสนมกันได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว...





    (ขออภับผู้ที่มาอ่านทุกท่าน อย่างที่ผมสารภาพไปแล้วว่า เป็น \"มือใหม่\" ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ถ้ามีอะไรผิดพลาด ขอบคุนทุกท่าน ที่ ให้อภัยผม แล้วก็...มาอ่านครับ ขอบคุณมาก)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×