มาหัดเขียนนิยายกันเถอะ - นิยาย มาหัดเขียนนิยายกันเถอะ : Dek-D.com - Writer
×

    มาหัดเขียนนิยายกันเถอะ

    เขียนไม่เป็นทำไงดี ถ้าสนใจกันจริงๆก็แนะนำกันอย่างจริงใจ ไม่เสียสักบาทจ้ะ

    ผู้เข้าชมรวม

    600

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    32

    ผู้เข้าชมรวม


    600

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    19
    จำนวนตอน : 7 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  11 ส.ค. 59 / 05:38 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    เริ่มเรื่องไม่ถูก ไปไม่เป็น หัดเขียนกันได้ตรงนี้เลยค่ะ สอนอย่างหมดไส้หมดพุงเลยทีเดียว จากนักเขียนที่มีนิยายตีพิมพ์มาแล้วสี่สิบกว่าเรื่อง


    เริ่มการเขียน เราเกริ่นเรื่องได้หลากหลายวิธี เช่น



    1. เริ่มจากการพบของตัวละครสำคัญกันเลย


    สการะ หญิงสาวสาวสวย สูงร้อยเจ็ดสิบสองเซนติเมตร สัดส่วนได้รูปสวย ไม่ใหญ่ ไม่บางเกินไป เธอตัดผมสั้นแต่งกายอย่างทะมัดทะแมง สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว พับขึ้นไปเกือบถึงข้อศอก ผิวขาวสะอ้านพ้นชายแขนเสื้อสวม กางเกงสีเข้ม รองเท้าคัทชูส้นสูงหนึ่งนิ้ว เข้ากับบุคลิกที่ดูปราดเปรียว แคล่วคล่อง  เธอสะพายกระเป๋าผ้าใบโตใส่ของใช้ส่วนตัวซึ่งคงมากพอดู เพราะดูหนักเอาเรื่อง

    ใบหน้างามได้รูปทุกส่วน พัฟพ์แป้งบางและลิปสติกเคลือบสีระเรื่อแดงเกือบเป็นธรรมชาติ ซึ่งเธอดูสวยใส โดยไม่ต้องเพิ่มเติมเสริมเน้นส่วนใด ให้คนจงใจชม

    ร่างสูงของหญิงสาวดูเหมือนเร่งรีบ เดิน เดิน และเดินกึ่งวิ่ง จนบางครั้งคล้ายกับจะวิ่งแข่งกับอะไรบางอย่าง ความรีบร้อนและไม่สนใจใคร ทำให้พลาดไปชนเข้ากับร่างใหญ่ ความแข็งแรงของหญิงสาว ทำให้ชายคนนั้นเจ็บจุก และแทนที่จะขอโทษ สการะกลับบ่นอีกฝ่าย

                    “เดินไม่ระวังเลยนะ”

                    “เอ้า!คุณ ผมไม่ได้เดิน แต่ยืนเฉยๆ คุณต่างหากที่เข้ามาชน” ชายหนุ่มโต้กลับ (ช่วงการสนทนาต้องมีการบรรยายเล็กน้อยว่าเขามีท่าทีอย่างไร ซึ่งจะทำให้ตคัวละครของเรามีมิตติ)

                    “ถ้ายืนก็เกะกะทางละ”หญิงสาวยังไม่ยอมรับผิด ซึ่งทำให้ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสะดุดตาถึงกับต่อว่าใส่หน้าอีกฝ่าย ถ้อยคำไม่รักษาน้ำใจ

                    “ปากไม่ดี ไม่มีความสวยแล้วยังซุ่มซ่ามท่าทางจะหาผัวยาก”

                      “หล่อตายเลยนี่ น่าเอาไปเป็นตอหม้อใต้สะพานพุธนะคุณ”


                   การเกริ่นนำเรื่องก็คือการเชิญชวนให้นักอ่านอยากรู้เรื่องต่อไปของนิยายเรา ดังนั้นการเกริ่นก็สำคัญ


    2. เกริ่นนำโดยบรรยายสถานที่


                    คฤหาสน์สีปูนสลับสีขาวตั้งอยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำสายหลักซึ่งมีประวัติมายาวนาน ความสง่างามโอ่โถง และสวยสะดุดตา ผสมผสานระหว่างอารยะธรรมเก่าต่างรัชกาล ทำให้มีความงามอย่างน่าพิศวง ซึ่งมีการบูรณะครั้งใหญ่หลังจากตึกนี้มีอายุครบแปดสิบปี


    อาณาบริเวณกว้างร่มรื่นด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ ซึ่งหากเจ้าของไม่มีอำนาจวาสนามากแล้วละก็ การที่จะรักษาคฤหาสน์ได้ยาวนานขนาดนี้คงเป็นไปได้ยาก และที่สำคัญ ทายาทของท่านผู้เป็นเจ้าของยังสร้างคุณงามความดีสืบต่อกันมาโดยไม่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดทำให้เสียชื่อเสียงแม้แต่คนเดียว ค่าของคนคือการรักษาความดี


    ท่านนายพลผู้ทรงคุณวุฒิของกองทัพบกมีท่าทีน่าเกรงขาม แม้วัยมากจนถึงเกษียณอายุแล้ว แต่ความงามสง่าของพลเอกพันชั่งยังคงฉายออกมาเด่นชัด ท่านไม่มีเรื่องใดปกปิดกับคุณหญิงบุษบาคู่ชีวิตซึ่งแม้มากวัยแล้ว แต่คุณหญิงยังคงงดงามแทบไม่ต่างจากยามอยู่ในวัยสาวไปมากนัก หม่อมหลวงบุษบา เป็นหญิงเพียงหนึ่งเดียวมาตลอดนับแต่ท่านนายพลเริ่มรู้จักความรัก ชีวิตสมรสมีแต่ความเข้าใจ ไว้ใจ และยอมถอยคนละก้าวเมื่อต้องการเหตุผล รักทั้งสองจึงยาวนานมาได้สามสิบกว่าปี


    หากเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่คุณหญิงยังไม่ยอมถอยให้กับท่านนายพลคราวนี้ก็เพราะเหตุผลของความเป็นแม่



    3. เกริ่นแบบเหนือจริง เหนือธรรมชาติ ซึ่งต้องเปิดประเด็นให้ลึกลับเอาไว้ก่อนเช่น


    แววตาสีน้ำเงินเข้มดั่งท้องทะเลลึกส่งสายตามองบิดาด้วยความเคารพรักและซื่อสัตย์ โดยสายตาเช่นนี้ตลอดชีวิตร่วมกันกับพี่ชายโค่นล้มบัลลังก์บิดาตนเองเพื่อชิงความเป็นใหญ่ ตัวท่านเองไม่ทันเล่ห์กลของซีอุสและโพไซดอนผู้พี่จึงไปคุมดินแดนในยมโลก ดวงตาซื่อสัตย์ภักดีของไดมอสที่ส่งมาให้ไม่เคยมีในเทพองค์ใด แม้แต่จอมเทพเช่นพระองค์


    บัดนี้พึงทราบแล้วว่าเหตุใดซีอุสพี่ชายจึงรักและเมตตาลูกครึ่งมนุษย์มากยิ่งนัก


    หากหน้าที่ย่อมคือหน้าที่เมื่อถึงเวลาอันควร


    “จงไปอยู่ยังแดนตะวันออกเมื่อถึงวัยอันควรของเจ้า ไดมอส”


    สิ้นดำรัสแห่งเทพเจ้าผู้มีวาจาสัจ ท่านอุ้มร่างโอรสองค์น้อยทรงรู้ว่าพระโอรสคือตัวแทนหนึ่งของความรัก หากพระโอรสมิได้รับทำหน้าที่เป็นสื่อแห่งความรัก


    หน้าที่โดยชอบคือพรากวิญาณผู้ถึงแก่ความตายไว้ในอ้อมอุระ อ้อมอุระที่เคยเย็นยะเยือกสำหรับผู้ไร้ความรู้สึก หากบัดนี้ท่านเริ่มรับรู้ความรู้สึกนั้นด้วยพระองค์เองว่ามีเจ็บปวดเพียงใด ยามท่านผ่านพลิ้วไปราวกับสายลมที่มีความมืดและหนาวเย็น


    ยามผ่านท้องทะเลบรรดาอัปสรแห่งท้องทะเลนำเสื้อผ้าซึ่งถักทอจากสาหร่ายมาถวายเฮดิสเพื่อห่อหุ้มร่างกายของเจ้าชายน้อย


    เมื่อผ่านไปชั่วเวลาหนึ่งทารกที่แรกเกิดเป็นแต่เพียงร่างน้อยนิดเริ่มเติบโตเฉกเช่นเด็กสามขวบ เครื่องแต่งกายนั้นได้เปลี่ยนไปเข้ากับรุปร่างอย่างน่ามหัศจรรย์


    ผ่านขุมเขาสูงลิบลิ่ว พายุพัดกระหน่ำพร้อมกับหิมะหนาแน่นหนาวเย็น ทารกน้อยลงจากอ้อมแขนผู้ให้กำเนิดเผชิญความหนาวอันเย็นเยียบด้วยร่างกายเติบโตราวเด็กอายุสิบขวบ


    จวบจนกระทั่งเทพเจ้าแห่งยมโลกเสด็จถึงจุดหมายที่ทรงต้องการห้ำพระโอรสมาเติบโตและใช้ชีวิตอมตะตามวิสัยเทพ


    เพียงพระบาทจอมเทพแตะลงบนพื้นทะเลสาบแห่งเปลวไฟ ทะเลนั้นราบเรียบเป็นน้ำแข็ง มีความกว้างไร้ขอบเขตปกคลุมด้วยม่านหมอกหนาทึบ   บรรยากาศโดยรอบมีความหนาวเยียบเย็น   บางครั้งมีกลุ่มแสงสีขาว สีแดง สีเทาสว่างวูบวับ ลอยหายเข้าไปในท่ามกลางม่านหมอกพร้อมเสียงคร่ำครวญโหยหวน วิงวอนดังออกมาไม่


    ในปราสาทน้ำแข็งสีดำขนาดใหญ่เกินกว่าจะวัดด้วยสายตาได้ มันตั้งเด่นตระหง่านดูโดดเดี่ยวเย็นชา   เงาร่างสีดำพุ่งผ่านสลับไปมาราวกับสายลมไร้ตัวตน แต่เมื่อเงานั้นๆทะลุเข้าสู่ภายใน กลับปรากฏร่างได้ชัดเจนแก่สายตา  แต่ละร่างล้วนแล้วแต่เป็นบุรุษผู้มีความเย็นชาไร้อารมณ์ยินดียินร้ายสวมชุดสีดำมืดตลอดร่างตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ในมือทุกท่านถือโซ่เส้นเล็กๆหากเหนียวแน่นเกินกว่าจะมีสิ่งใดทำลายได้ ปลายโซ่เจาะเข้าไปในกลุ่มไฟสี และเมื่อกลุ่มไฟเข้าไปอยู่ในปราสาทน้ำแข็งดำมะเลื่อม ค่อยปรากฏร่างเป็นรูปเงา ซึ่งแท้จริงคือวิญญาณที่ไม่มีร่างหยาบ*ครอบคลุมอยู่ 


     เหล่าวิญญาณมีทั้งชาย หญิง เด็ก และคนแก่  ทุกวิญญาณมีใบความเศร้าหมองดำคล้ำ บุรุษผู้มีความเย็นชาปรากฏเพิ่มขึ้นตนแล้วตนเล่าราวกับว่าพวกเขาแบ่งภาคได้ และเมื่อปรากฏครั้งใด ทุกท่านล้วนมีโซ่ลากวิญญาณติดมือไม่น้อยกว่าร้อยเส้นพวกเขานำมาทิ้งไว้ที่นั้น   จากนั้นจึงมีผู้มารับช่วงต่อซึ่งพวกเขาแต่งกายเหมือนๆกัน  ถือโซ่ชักลากวิญญาณเข้าไปสู่ทางเดินคับแคบ   วิญญาณทุกดวงมิอาจขัดขืน ต่างเดินตามด้วยลักษณะยอมจำนนทุกประการ


      ทางเดินมืดสนิท  กระทั่งถึงห้องโถงใต้ดิน  ที่นั้นมีเปลวไฟสว่างเจิดจ้า  แสงนั้นมาจากดวงอาทิตย์บนศีรษะชายร่างยักษ์ ท่าทางน่าเกรงขามสวมชุดหลวมโคร่งสีดำเป็นประกายวาววับราวประดับเกล็ดน้ำแข็งใสๆ  ผมยาวม้วนเป็นเกลียว นั่งบนบัลลังก์ใหญ่ทำมาจากน้ำแข็งสีขาวสะอาด ทุกผู้ที่อยู่ในที่นั้นล้วนต้องหมอบนิ่งกับพื้น ตัวสั่นงันงกด้วยความหนาวเย็น แม้จะมีดวงอาทิตย์ลอยอยู่ก็ตาม  หากมันเป็นดวงอาทิตย์ที่ให้แสงสว่างแต่มิได้ให้ไออุ่นเลยสักนิด


      คำพิพากษาออกจากชายร่างใหญ่ที่นั่งเหนือบนบัลลังก์น้ำแข็ง ตัดสินความดี และความชั่วของวิญญาณแต่ละดวง ซึ่งหากมีความชั่วช้าสามานต์เสมอกัน ก็จะถูกกล่าวขานเป็นกลุ่มใหญ่ และ เมื่อสิ้นสุดคำบัญชาแล้วไซร้วิญญาณแต่ละดวงจะมีชายร่างเล็กแคระแกร็นถืออาวุธประหลาด รูปร่างคล้ายหอกมีลักษณะโค้งงอคล้ายกริช ที่เป็นมีดจะมีลักษณะโค้งกลมยิ่งกว่าเคียว หากอานุภาพนั้นร้ายยิ่งกว่าอาวุธสมัยใหม่บนโลกมนุษย์ 


     ชายแคระเหล่านั้นมีจำนวนนับไม่ถ้วน ต่างตนต่างทำหน้าที่นำวิญญาณต้องโทษไปรับกรรมในสถานที่ต่างๆ เมื่อวิญญาณถูกนำออกจากปราสาท  มาถึงทะเลสาบ จะถูกผลักลงในเปลวเพลิง ด่ำดิ่งสู่ก้นทะเลกรด ที่นั้นแบ่งแยกเป็นหลุมใหญ่ หลายสิบชั้น มีเครื่องมือทรมานให้ดวงวิญญาณบาปรับโทษทัณฑ์อย่างทุกข์ทรมาน เสียงเสียงร้องดังโหยหวนไม่ขาดระยะ


    จากนี้ไดมอสจะทำหน้าที่ดังเทพอื่นที่ทำหน้าที่เกี่ยววิญญาณแก่ผู้ถึงความตาย




    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    ความคิดเห็น