คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : G A N G S T E R - 01 | is fortuitous
"....."
"นายจะไม่พูดหรือแสดงสีหน้าว่าเจ็บหน่อยหรอ?"
"....."
มีแต่ความเงียบสงัดที่สะท้อนกลับมาเท่านั้น
แม้ว่าผมจะพยายามพูดคุยหรือง้างปากเขาให้พูดมากเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบรับกลับมาเลยสักนิด
ถ้าเขาเป็นใบ้ผมก็เชื่อนะ...
ตอนนี้รู้สึกอยากจะเอาหัวโขกฟุตบาทเสียให้เข็ดกับการกระทำที่ไม่คิดหน้าหลังให้ดีก่อน
จริงๆจะว่าแย่ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว แต่จะให้บอกว่าดีก็คงไม่ใช่
จะมีสักกี่คนกันเชียวที่ยอมก้าวขาเข้าไปช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จักกันแบบนี้
ถ้าเข้าไปช่วยเรื่องอื่นก็พอว่า แต่นี้อะไร....
เข้าไปช่วยหลังจากเขาถูกซ้อมจนเลือดตกยางออกแบบนี้
"นายไม่คิดจะพูดกับฉันจริงๆหนะหรอ"
แต่ผมก็ไม่ละความพยายามแม้ว่ามันจะดูไร้ประโยชน์มากๆก็ตาม เพราะยังไงซะ
เขาก็คงเงียบอยู่ดี
รู้มั้ยว่ากว่าผมจะสามารถลากเขามาทำแผลที่หน้าร้านสะดวกซื้อแบบนี้ได้ต้องใช้เวลาตั้งเท่าไหร่
กว่าจะพูดกว่าจะฉุดกระชากลากถูมาก็เหนื่อยเอาการเลยล่ะ
แต่ก็ไม่พ้นโดนเงียบใส่อยู่ดี
....ให้มันได้อย่างนี้สิ
(กรอกตาขึ้นบน)
"ทำไมอ่ะ
นายไม่ไว้ใจฉันหรอ"
"....."
"เออว่ะ...จะไว้ใจกันก็แปลกยังไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ"
สุดท้ายก็ต้องมานั่งพูดเองเออเองคนเดียวราวกับคนบ้าที่พูดกับตัวเองในกระจกอะไรแบบนั้น
ผมบรรจงลงยาฆ่าเชื้อที่บริเวณแผลอย่างเบามือที่สุด
พร้อมกับปิดท้ายด้วยการแปะพาสเตอร์ลายคิตตี้สุดน่ารักที่ลงทุนเดินเข้าไปซื้อในร้านสะดวกซื้อก่อนหน้านี้
อา...จริงสิ
จะว่าเป็นเรื่องแปลกอีกเรื่องก็ได้ล่ะมั้งครับ
ที่เจ้าของเรือนผมสีควันบุหรี่ยังนั่งอยู่นี้ทั้งที่จริงๆมีโอกาสให้เดินหนีไปตั้งหลายครั้ง
แต่เขาก็ยังอยู่ให้ผมทำแผลจนเสร็จ และถ้าให้ผมเดาอะไรจากสายตาเขาล่ะก็....ยากครับ
เชื่อสิว่ามันจะยากกว่าข้อสอบเก็ทเชื่อมโยงของประเทศไทยเสียอีก
มนุษย์อะไรเอ่ยเดาใจยากที่สุด?
ปิ้งป้อง
คนตรงหน้านี้ไงครับ (เดี๋ยวนะมึงเล่นอะไรหนิ...)
"นายจะเงียบเกินไปแล้วนะ
พูดอะไรหน่อยสิ" ผมล่ะอยากจะลงไปชักดิ้นชักงอกลางถนนให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
แต่ก็ทำได้แค่คิดครับ ไม่คุ้มกันหรอกถ้าเกิดมีรถวิ่งผ่านแล้วเหยียบผมจนแบนเป็นกระดาษเอสี่
ส่วนอีกฝ่ายก็ได้แต่ปรายตามองผมเป็นชั่วครูก็หันกลับไปมองถนนดังเดิม
ผมได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างหน่ายๆ
ทั้งๆที่ตอนนี้ผมควรจะกลับไปนั่งฉลองกับที่บ้านอย่างสุขใจแล้วเชียว
แต่ก็ต้องโทรไปเล่าให้คุณน้าฟังว่าวันนี้เจออะไรมาบ้าง(แม้ว่าจะไม่ทั้งหมด)
พร้อมกับมานั่งหงอยพูดคนเดียวอยู่ตรงนี้
"เฮ้อออ
ฉันจะเข้าไปซื้ออะไรกิน นายจะเอาอะไรมั้ย"
ผมถอนหายใจเป็นครั้งที่ร้อยโดยประมาณพลางลุกขึ้นเต็มความสูง
จะมีใครได้ยินเสียงท้องผมร้องโครกครากมั้ยครับ
ถ้ามีผมก็เขินนะเนี่ย
สุดท้ายผมก็เดินเข้าไปในร้านโดยที่ชายหนุ่มร่างสูงซึ่งผมไม่รู้ชื่อ
เพราะถามแล้วเขาก็ไม่ตอบ ส่ายหน้าหน่อยๆ
--------------
อีกทางด้านหนึ่ง
เจ้าของเรือนผมสีสวยหันมองตามแผ่นหลังเล็กจนหายเข้าไปในร้าน
เขาลุกขึ้นยืนบ้างก่อนที่จะเดินออกมาโดยไม่แม้แต่จะบอกลาหรือหันกลับไปมองเช่นกัน
ทั้งที่เขาสามารถปฏิเสธด้วยการเดินหนีตั้งแต่คราแรก
แต่เขาก็ไม่ทำ
หรือจะเลือกหายตัวไปตอนที่ร่างเล็กเข้าร้านสะดวกซื้อในตอนนั้นเลยก็ได้
....แต่เขาก็ยังเลือกให้อีกคนทำแผลจนเสร็จ
ไม่รู้สินะ...
แต่เขาแค่รู้สึกอยากอยู่ใกล้ๆอีกคนเท่านั้น
อาจเป็นเพราะรอยยิ้มหวาน หรือเสียงพูดน่าฟังเหล่านั้น รวมถึงการกระทำต่างๆที่ชวนน่าหลงใหล
ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้เห็นและรับรู้
กำลังค่อยๆฝั่งรากมันลงในหัวใจของเขาช้าๆ
คล้ายว่าหัวในที่เคยด้านชาจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง
ในระหว่างที่ชายร่างสูงกำลังเดินจากไป
คนตัวเล็กก็เดินออกมาจากร้านพร้อมกับขมวดคิ้วฉับพลัน
เพราะไร้วี่แววของคนแปลกหน้าเมื่อครู่ พอมองซ้ายมองขวาก็ปรากฏแต่ความว่างเปล่า
หายไปไหน....
เขาถอนใจอีกครั้งพร้อมกับชูถุงอาหารขึ้นตรงหน้าพลางมองมันอย่างคิดหนัก
ตั้งใจว่าจะซื้อมาให้อีกคนด้วยเพราะดูท่าคงจะยังไม่ได้ทานอะไร
แต่สุดท้ายก็ต้องแห้วและตกลงสู่กระเพาะของเขาแทน
เฮ้อออ ยังไม่รู้จักชื่อเลยด้วยซ้ำ
ให้ตายเถอะ นายผมเทานั้น...
หลายสัปดาห์ผ่านไป
วันนี้ถือว่าเป็นวันแรกของการเปิดภาคเรียนใหม่
และยังเป็นวันแรกในการมาเรียนแลกเปลี่ยนของเขาอีกด้วย
ลู่หาน
ยืนหมุนตัวอยู่หน้ากระจกเพื่อสำรวจตัวเองว่าพร้อมออกไปสู่โลกใบใหม่นี่หรือยัง
เขาจัดทรงผมและจัดเสื้อให้เข้าที่ก่อนจะคว้ากระเป๋านักเรียนเดินลงมาจากชั้นสอง
"อรุณสวัสดิ์ครับคุณน้า"
เมื่อเขาเดินมาถึงโต๊ะทานอาหารก็เอ่ยทักทายเจ้าของบ้านด้วยความเคารพ
แต่ก่อนที่จะได้นั่งลงกับเก้าอี้ หญิงสาวก็เอ่ยขึ้นขัดเสียก่อน
"เราช่วยขึ้นไปปลุกคยองซูหน่อยเร็ว
จะสายแล้ว"
เขาคานรับอย่างว่าง่ายพลางเดินกลับขึ้นไปที่ชั้นบนอีกครั้งด้วยอารมณ์ร่าเริงเต็มที่
ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเขากำลังตื่นเต้นกับโรงเรียนใหม่ด้วยล่ะมั้ง
ว่าแล้วก็ลุ้นเพื่อนใหม่เหมือนกันแฮะ
ก๊อก ก๊อก
"คยองซู ตื่นยังงงง"
"ตื่นแล้วๆ!"
เจ้าของห้องตะโกนกลับมา
ดูท่าจะกำลังเร่งรีบพอสมควรเพราะนอกจากเสียงที่แสดงออกมาแบบนั้นลู่หานก็ได้ยินเสียงโครมครามดังมาจากด้านในอีกนิดหน่อย
ร่างบางอดขำไม่ได้
ก็ไม่แปลกหรอกที่จะตื่นสายก็เมื่อวานเล่นเกมกันจนดึกดื่น
กว่าจะขึ้นไปนอนก็โดนคุณนายโดโหมดโหดไล่ขึ้นห้องกัน ไม่งั้นคงได้โต้รุ่งแน่ๆเลย
"ฉันลงไปรอข้างล่างนะ"
"โอเค!"
ลู่หานเดินลงมาและหย่อนก้นนั่งลงในที่ของตน
ไม่นานเจ้าเพื่อนตากลมโตก็นั่งลงข้างๆกันพร้อมกับหอบแฮ่กนิดหน่อย
ว่าแล้วก็ขำหน่อยดีกว่า
"ฮ้าววว
ขำอะไรของนายอ่ะ" คยองซูว่าเสียงงอนๆพลางจ้องเขม่งมาที่เขา
ทำให้ลู่หานต้องส่ายหัวปฏิเสธ
แต่ก็ไม่วายแอบขำเล็กน้อยเมื่อเพื่อนตัวเล็กหาวแล้วหาวอีก
ซึ่งแสดงถึงความง่วงงุนของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี
"เเม่บอกแล้วว่าเมื่อคืนอย่านอนกันดึก
เป็นไงล่ะ"
"โถ่ ก็ผมไม่ง่วงนี่"
"เราก็เหมือนกันลู่หาน
อย่าไปตามใจเจ้าตัวแสบมันเยอะนัก"
"ครับ คุณน้า"
คนถูกพาดพิงได้แต่น้อมรับ พลางเหลือบตามองคนข้างๆก็ยิ้มขึ้นมาหน่อย
เพราะตัวแสบที่คุณน้าว่ากำลังทำปากขมุบขมิบเป็นเชิงล้อเลียนหล่อนอยู่
ทำให้เธอต้องหันไปมองตาขวางใส่ลูกชายตัวเองอย่างเหลืออด
ลู่หานรู้สึกดีใจมากๆ กับการมาเเลกเปลี่ยนในครั้งนี้
เพราะเขาได้เข้ามาอยู่ในครอบครัวที่แสนอบอุ่น เป็นกันเอง
และเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ผิดจากครอบครัวของเขาอย่างสิ้นเชิง
"ลู่หานคิดไรอยู่อ่ะ
เหม่อเชียว" เขาแอบสะดุ้งหน่อยๆ
หันไปหาเจ้าของเสียงก็ได้แต่ยินแล้วส่ายหน้าไปพลาง
ไม่นานนักมื้ออาหารเช้าก็จบลงด้วยเสียงพูดคุยแสดงถึงความสุขที่เอ่อล้นออกมา
ทั้งคู่ขอตัวไปโรงเรียนเมื่อใกล้เวลาเข้าเรียนในวันแรกเต็มที
ส่วนคุณน้าคนสวยก็แยกออกไปทำงานของตน
"วันนี้เปิดเทอมวันแรกก็ตั้งใจกันนะเด็กๆ"
"ค้าบบบ"
ทั้งคยองซูและลู่หานก็หันไปโบกมือลาคุณนายโดที่เคลื่อนรถยนต์ออกมานอกรั่วบ้าน
ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังป้ายรถเมล์บริเวณหน้าปากซอยเพื่อไปต่อรถไฟใต้ดิน
จริงๆจากบ้านของเขาก็ไม่ได้ใกล้จากสถานีรถไฟมากนัก ถัดไปแค่รถโดยสารป้ายเดียวก็ถึง
แต่เพราะเวลาที่จวนตัวบวกกับความขี้เกียจเลยเลือกไม่เดินดีกว่า
หรือว่าจะให้คุณน้าไปส่งก็กระไรในเมื่อเป็นคนละทางกับที่ทำงานของเธอ
ในเวลาเช้าประมาณนี้ป้ายรถโดยสารและสถานีรถไฟเต็มไปด้วยผู้คนหลากวัยหลายอาชีพ
และทุกคนก็ต่างมีจุดหมายเดียวกัน คือการทำหน้าที่ของตัวเอง
เหมือนกับลู่หานที่ต้องตื่นไปเรียนแต่เช้า
และเพราะจำนวนคนในตอนนี้ มันทำให้เขาเผลอนึกถึงวันนั้น...วันแรกที่ได้เจอผู้ชายแปลกหน้าคนนั้น
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามีความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว
ทุกๆครั้งที่เจอคนเยอะๆหรือว่าวันไหนที่ฝนตก
แววตาเด็ดเดี่ยวระคนเศร้าหมองก็จะซ้อนทับทุกความคิด
แต่ว่านะ...ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่ได้เจอผู้ชายผมสีควันบุหรี่อีกเลย
มันคงไม่แปลกหรอกที่เขาจะไม่เจอหรือไม่เห็นแม้แต่เงา
เพราะโซลก็ไม่ใช่แคบๆ และโลกก็ไม่ได้กลมขนาดนั้น จะไปเจอกันง่ายๆได้ยังไงล่ะ
ถ้าไม่เพราะความบังเอิญ หรือพรหมลิขิต
ลู่หานได้แต่ส่ายหัวให้กับความคิดบ้าๆของตัวเองอยู่อย่างนั้น
เขาไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเท่าไหร่ ทั้งที่รู้ว่ามันคงไม่ปลอดภัย
แต่ก็ยอมก้าวขาอย่างเต็มใจเข้าไปในโลกของผู้ชายคนนั้น
บ้าไปแล้ว
ตั้งสติไว้ลู่หาน นายมาที่นี้เพื่อมาเรียน และ...
"ลู่หาน! ลู่หาน!!"
เจ้าของชื่อสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจพร้อมกับหันขวับไปมองที่ต้นเสียง
"จะตะโกนทำไม"
"ฉันเรียกนายตั้งหลายรอบแล้วเหอะ"
"อ้าวหรอ แล้ว?"
"สถานีหน้าก็ถึงโรงเรียนแล้วเนี่ย"
"อ่อออ"
เขาพยักหน้าตอบรับก่อนจะท่องในใจว่าให้มีสติมากกว่านี้ และไม่นานก็ถึงสถานีปลายทาง
เดินกันมาอีกนิดหน่อยก็ถึงหน้าประตูรั่วโรงเรียนที่ออกจะเว่อร์วังอลังการไปสักนิด แม้ว่าจะเป็นโรงเรียนรัฐบาลกึ่งเอกชนก็ตาม แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นโรงเรียนแห่งหนึ่งที่มีคุณภาพมากๆในเกาหลีใต้
ลู่หานดูไม่ค่อยแปลกใจหรือตื่นเต้นกับสภาพแวดล้อมของโรงเรียนเท่าไหร่
ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะวันก่อนที่คยองซูมาเดินเล่นแล้วและเขาก็ตื่นเต้นไปแล้วในวันนั้น
อีกส่วนก็คงเพราะโรงเรียนที่เขาเรียนที่จีนอยู่ก่อนหน้าออกจะหรูหรากว่านี้พอสมควร
แต่ถึงอย่างนั้น
โรงเรียนนี้ก็เป็นอีกโรงเรียนได้ชื่อว่าสอบเข้ายากมาก
ยิ่งทุนแลกเปลี่ยนแบบเขายิ่งยากเข้าไปอีก แต่มันก็ไม่เกินความสามารถของเขาเท่าไหร่นัก
อีกอย่างนะ...ถึงไม่สอบชิงทุนมา
เขาก็เข้าได้สบายๆด้วยอำนาจของคุณพ่อผู้อาวุโส
"เสียดายที่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันเนอะ"
คยองซูพูดขึ้นในขณะที่เดินไปห้องพักครูหลังจากที่เปลี่ยนรองเท้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
"นั้นสินะ"
"เอาเถอะ ห้องบีก็ไม่ได้แย่อะไร
แต่ระวังตัวไว้หน่อยก็ดี"
"เรื่องโอเซฮุนอะไรนั้นอ่ะนะ"
"อือฮึ"
"นี่นายเตือนฉันมาหลายรอบแล้วนะ
จำได้ขึ้นใจแล้วหน่า"
"ให้มันจริง อ่ะ
ฉันส่งแค่นี้นะ ไปล่ะ บาย"
"บาย"
หลังจากมาถึงหน้าห้องพักครูบริเวณชั้นสองของตึกเรียน ทั้งคู่ก็ล่ำลากันนิดหน่อยก่อนที่คยองซูจะขอแยกไปอีกทาง
เนื่องจากลู่หานเป็นเด็กที่เข้ามาใหม่
แม้ว่าจะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนแต่ตามปกติก็ต้องมาหาอาจารย์ประจำชั้นเสียก่อน
แล้วจึงไปห้องเรียนพร้อมอาจารย์เพื่อแนะนำตัว
ตอนแรกเขาก็แอบใจหายนึกว่ามีแค่เขาคนเดียวที่มาแลกเปลี่ยนที่นี้
แต่ก็ได้มารู้ที่หลังว่ามีอีกหนึ่งคน ซึ่งอยู่ในขั้นปีเดียวกันแต่อยู่คนละห้อง
รู้สึกว่าจะชื่อจาง อี้ชิง อยู่ห้องเอ
ห้องเดียวกันกับคยองซู
เมื่อถึงเวลาสัญญาณก็บ่งบอกถึงการเข้าเรียนในคาบเเรกของวัน
อาจารย์ประจำชั้นของเขาก็พาไปยังห้องเรียนใหม่หลังจากที่ได้พูดคุยอะไรกันเล็กน้อย
ลู่หานเริ่มรู้สึกตื่นเต้นอีกครั้ง
เพราะเขาไม่รู้ว่าในห้องเรียนจะเกิดอะไรขึ้นหรือมีเพื่อนแบบไหนบ้าง
อีกใจหนึ่งก็รู้สึกประหม่าเพราะกลัวจะไปทำให้ใครไม่ชอบขี้หน้าเข้า
ไม่งั้นอาจจะเกิดปัญหาตามมาเลยก็ได้ แต่ก็ช่างเถอะ...
ลู่หานสู้!
ครืดดด
ประตูห้องทางด้านหน้าถูกเลื่อนเปิด
พร้อมๆกับนักเรียนในห้องที่ต่างกุรีกุจอกลับที่นั่งของตัวเอง ผู้อาวุโสเดินเข้าไปด้านใน
ทำให้ลู่หานต้องเดินตามเข้าไป
และทันทีที่ได้เหยียบเข้ามาให้ห้องเสียงโห่แซวของนักเรียนชายดังขึ้น
"เงียบๆได้แล้ว!
.....เอาล่ะนี่คือนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เคยพูดเอาไว้เมื่อเทอมที่แล้ว"
หญิงสาวมีอายุเอ่ยเสียงดุ ส่วนลู่หานก็โค้งให้กับทุกคนอย่างสุภาพก่อนจะยิ้มหวานให้แก่คนทั้งห้อง
ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย พวกเขาต่างก็หลงเสน่ห์รอยยิ้มนี่ไปตามๆกัน
"สวัสดีครับ เสี่ยว ลู่หาน
ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ" ร่างเล็กแนะนำตัวทันทีหลังจากที่อาจารย์พยักหน้าให้เป็นเชิงอนุญาต
"ซึ่งเขาจะมาอยู่กับเราเป็นเวลาหนึ่งเทอมเต็มๆ
ช่วยดูแลเขาด้วยล่ะ"
"ค้าบ/ค่า"
นักเรียนทั้งห้องเอ่ยรับขำอย่างกระตือรือร้น
ลู่หานรู้สึกอุ่นใจขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเพื่อนๆในห้องต้อนรับเขาเป็นอย่างดี
"ลู่หานจ๊ะ
เรานั่งตรงนู้นได้มั้ยเอ่ย"
เธอเอ่ยถามพร้อมชี้ไปยังโต๊ะนักเรียนแถวริมหน้าต่างเกือบตัวท้ายสุดที่ยังว่างอยู่
"ได้ครับ"
เขาตอบพร้อมกับโค้งขอบคุณเล็กน้อย
ก่อนจะเคลื่อนกายไปยังโต๊ะตัวนั้นที่อาจารย์เป็นคนบอก
ไม่รู้ว่าลู่หานจะรู้สึกไปเองมั้ย
เขารู้สึกถึงสายตาแปลกของนักเรียนทุกคนในห้อง แต่เพียงไม่นานทุกอย่างก็ไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
พอเดินมาถึงเขาก็ต้องแปลกใจ
ไม่ใช่กับโต๊ะของตัวเองหรอกนะ เเต่กลับเป็นโต๊ะตัวด้านหลังเขาอีกตัวต่างหาก
ข้างๆกันเองก็เช่นกัน เป็นโต๊ะสองตัวที่ยังวางไม่มีใครนั่งแต่เต็มไปด้วยของขวัญ
ขนม และอะไรต่อมีอะไรที่วางกันเกลื่อนโต๊ะและเก้าอี้ ทำให้เขาเดาไม่ยากเลย
ว่าเจ้าของโต๊ะทั้งสองตัวคงฮอตไม่เบา
"สวัสดี~" เพื่อนที่อยู่โต๊ะข้างๆเอ่ยทักทายขึ้นทำให้เขาต้องเก็บสงสัยเอาไว้ก่อน
"หวัดดี"
"ชื่อลู่หานใช่มั้ย ฉันชื่อมินซอก คิม มินซอก"
เจ้าตัวเอ่ยเเนะนำด้วยท่าทางร่าเริง
รอยยิ้มกว้างของอีกฝ่ายทำให้ลู่หานรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก
"อื้อ
ยินดีที่ได้รู้จักนะ"
และมินซอกก็ถือว่าเป็นเพื่อนคนแรกในห้องเรียนแห่งนี้ไปโดยปริยาย
ไม่นานหลังจากที่ได้พูดคุยกับเพื่อน อาจารย์ประจำคาบแรกก็เข้าสอนต่อทันที
แม้ว่าจะเริ่มเรียนไปกว่าสองคาบโต๊ะข้างหลังเขาก็ยังว่างไร้เจ้าของอยู่ดี
ซึ่งจะให้เอ่ยถามกับมินซอกก็คงจะแปลกๆหรือเปล่านะ
ครืดดด
ประตูด้านหลังห้องถูกเปิดออกพร้อมกับผู้มาเยือนใหม่ในระหว่างรอเรียนคาบที่สี่ ปรากฏให้เห็นชายร่างสูงผิวสีเข้มเดินนำเข้ามาด้านในก่อนจะตามด้วยเจ้าของเรือนผมสีควันบุหรี่ที่แสนคุ้นเคย
ลู่หานนิ่งอึ่งไปทันทีที่ได้สบสายตาหน้ากลัวของอีกฝ่าย
ใจดวงน้อยเต้นระรั่วอย่างน่าประหลาด
และไม่ทันที่จะได้มองใบหน้าหล่อมากกว่านั้นเจ้าตัวก็เบือนหนีก่อนที่จะเดินมาโต๊ะตัวด้านหลังของเขา
เสียงกุกกักดังขึ้นมาแต่ร่างบางตรงนี้พยายามที่จะไม่สนใจอะไรก่อนจะกดมือถือหยิกๆเป็นการฆ่าเวลาเล่นๆ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากหันไปทักทายแต่จะทำอย่างไรได้เมื่อใจไม่กล้าพอ
"เอาๆ
นั่งที่กันได้แล้ว" ทันทีที่เสียงอาจารย์ดังขึ้นจากหน้าห้อง
นักเรียนทุกคนต่างเข้าที่ตัวเองอีกครั้ง และเริ่มเรียนในคาบต่อไปอีกครา
ถึงภายนอกลู่หานจะดูสนใจเรียนแต่ในใจเขาเริ่มว้าวุ่นแปลกๆ
หลายครั้งที่เขาแอบหันไปมองด้านหลังแต่ก็พบแต่ภาพเดิมๆที่อีกคนฟุบหน้าหลับกับโต๊ะ
และไม่ใช่ครั้งแรกที่ลู่หานเผลอยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้
คาบเรียนในช่วงเช้าหมดลง
และทันทีที่เสียงออดดังขึ้นชายหนุ่มด้านหลังก็ลุกเดินออกไปจากห้อง จะก้าวตามออกไปก็ไม่ทันเพื่อนๆที่เข้ามารุมล้อมเต็มไปหมด
ลู่หานพยายามแกะตัวเองออกมาจากเกาหลีมุงเพื่อตามอีกคนออกไป
และมันก็สำเร็จเมื่อสามารถออกมานอกห้องได้แม้จะกินเวลาไปบ้างก็ตาม
ดวงตาหวานมองไปรอบๆทางเดินก็ไม่เห็นผู้ชายคนนั้น
จึงออกฝีเท้าเดินไปแถวบันไดจนเห็นผมสีประหลาดไหวไปตามแรงลมตรงบันไดขั้นล่างกว่า
"นาย!" เสียงหวานเอ่ยเรียกรั้งเอาไว้
ทำให้เขาต้องหยุดชะงักก่อนหันกลับมามองด้วยความไม่เข้าใจ
ส่วนตัวของร่างบางนั้นก็เดินลงบันไดมาอีกหน่อย
และสิ่งที่สะกิดใจเขาเข้าคือแผลที่มุมปาก...เหมือนวันนั้นไม่มีผิด
"แผลนายยะ-"
เพี๊ยะ
ด้วยความตั้งใจแรกที่จะเอื้อมไปจับที่มุมปากเรียวนั้น
ก็ถูกทำลายลงด้วยมือหนาซึ่งปัดมือเข้าออกอย่างไม่ใยดี
คนตัวเล็กกว่าเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ไม่ใช่เฉพาะเขาหรอกที่อึ้ง
แต่เพื่อนร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างหลังก็เช่นกัน
ลู่หานรีบเก็บมือลงไว้ข้างตัวก่อนจะเม้มปากและเสหน้าไปทางอื่น
"....ยุ่ง" ร่างสูงเอ่ยไว้แค่นั้น ก่อนจะหันหลังเดินหนีไปโดยที่ลากเพื่อนของตนออกไปด้วย
ทิ้งร่างบางให้ยืนอยู่ที่เดิม
แม้ว่าจะไม่มีใครเดินผ่านให้เอาไปนินทาจนอับอาย
แต่ความรู้สึกที่มีอยู่ตอนนี้ก็เรียกได้เลยว่าหน้าชา
และที่สำคัญก็รู้สึกแย่เอามากๆ
สุดท้ายภายในดวงตาหวานของลู่หานก็เห็นแต่แผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆหายลับไป....
"ลู่หาน!
เกิดอะไรขึ้นนะ"
ไม่กี่วินาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงคุ้นหูของคยองซูดังขึ้นพร้อมๆกับคนตาโตที่เดินลงบันไดมาอยู่ข้างๆ
"เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังนะ"
ในเย็นวันนั้น
ลู่หานได้เล่าเรื่องทุกอย่างตั้งแต่การเจอกันครั้งแรกให้คยองซูฟังทั้งหมดในระหว่างกลับบ้าน
โดยที่เล่าไปด้วยก็โดนบ่นไปด้วยตลอดทาง จนเขารู้สึกเริ่มเหนื่อยกับการเล่าในครั้งนี้
และสิ่งที่น่าตกใจมากที่สุดคงไม่พ้นการที่ผู้ชายคนนั้นชื่อว่า
โอ เซฮุน คนที่คยองซูเตือนอย่างดิบดีว่าอย่ายุ่งอย่าเข้าใกล้
เพราะเขาเป็นผู้ชายอันตราย
ซึ่งลู่หานก็พอเข้าใจในจุดนี้อยู่บ้าง
แต่เท่าที่ได้อยู่ด้วยกันในวันนั้นเขาก็ไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะดูน่าอันตรายเท่าไหร่
มีเพียงแค่เรื่องวันนี้เท่านั้นล่ะที่ยังคงติดค้างอยู่ในใจ
และเขาก็ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
"เฮ้อออ อาจารย์นะอาจารย์
ทำไมต้องให้นายไปนั่งอยู่หน้ามันด้วยนะ"
"เอาหน่า
ก็มันไม่เหลือที่นั่งแล้วนี่"
"ก็ยังดีที่หมอนั้นไม่ค่อยเข้าเรียน
คงจะได้เจอกันน้อยอยู่หรอก" คยองซูพูดพลางทำหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
ก่อนจะหันมามองเพื่อนตาเขียว ส่วนลู่หานก็ได้แต่ยิ้มแหย่ตอบกลับเพียงเท่านั้น
"คยองซู"
"ว่า??"
"ทำไมนะ-"
บรื้นนนนนนน
ยังไม่ทันที่ลู่หานจะเอ่ยถามได้จบประโยค
เสียงเครื่องยนต์ก็ดังใกล้มากจนเรียกความสนใจจากเขาไปทั้งหมด
และสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือภาพแผ่นหลังที่แสนคุ้นตากำลังไกลออกไปเรื่อยๆ
“อะไรนะ”
“เปล่าๆ”
เขาไม่มั่นใจหรอกนะว่าใช่หรือเปล่า
แต่ลู่หานคิดว่าตัวเองจำแผ่นหลังนั้นได้แม้ว่าจะเห็นมันเพียงไม่กี่ครั้งก็ตาม
ในวันนี้คยองซูได้พูดกับเขา...
ถ้าตัดปัญหาเรื่องการชกต่อยของเซฮุนออกไป
เจ้าของเรือนผมสีควันบุหรี่คนนั่นคงจะเป็นผู้ชายที่เพอร์เฟคที่สุดในโลก
และเขาก็เชื่อแบบนั้น
-------------
ประมาณสามวันต่อมา
สวัสดีอีกครั้งนะครับทุกคน คงต้องขอแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการเลยล่ะกัน ผมชื่อเสี่ยว ลู่หาน เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนจากจีน ที่มาอยู่เกาหลีได้ประมาณหนึ่งเดือนก่อนเปิดเทอม เพราะโรงเรียนของผมที่จีนนั้นปิดก่อนโรงเรียนที่นี้ ทำให้ผมมีเวลามาเที่ยวเล่นในโซลเป็นเวลาเกือบเดือน
จริงๆก็มีหลายที่ให้ผมไปแลกเปลี่ยน
แต่ผมชอบเกาหลีนะครับ อาจเป็นเพราะแม่ผมเป็นคนเกาหลีและตัวผมเองก็เกิดที่นี้
ทำให้ผมรู้สึกผูกผันเป็นพิเศษ อาจจะมีคนแปลกใจที่ผมสามารถพูดเกาหลีได้คล่อง
ส่วนหนึ่งก็อย่างที่บอกไปว่าผมชอบที่นี้ ผมจึงเรียนรู้วัฒนธรรมมาตั้งแต่เด็ก
และอีกส่วนคือผมตั้งใจเอาไว้นานแล้ว
แต่เหตุผลนอกเนื่องจากความชอบ ผมคงบอกอะไรไม่ได้
ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนก็เกือบๆจะหกโมงเย็นแล้วด้วยซ้ำ
และที่ผมยังอยู่ที่โรงเรียนอยู่เพราะรอคยองซูอยู่ครับ รายนั้นเขาประชุมคณะกรรมการนักเรียนอยู่
ผมเลยต้องรอ
จริงๆจะกลับไปก่อนเลยก็ได้
แต่ผมไม่อยากกลับคนเดียว และไม่อยากให้คยองซูต้องกลับคนเดียวเช่นกัน
ก็เลยรอมาจนถึงตอนนี้
โชคดีที่ผมรู้ล่วงหน้ามาก่อนเลยเตรียมกล้องมาถ่ายรูปเอาไว้ด้วย
ผมเป็นคนชอบถ่ายรูปครับ เลยมักจะพกกล้องไปทุกการเดินทาง
แม้ว่าจะไม่ค่อยได้ไปไหนไกลมาก
และจุดมุ่งหมายในวันนี้คือการถ่ายพระอาทิตย์ตกบนดาดฟ้าตึกไหนสักตึกในรั่วโรงเรียน
ซึ่งตึกที่ผมเลือกคงไม่พ้นตึกที่ผมเรียนอยู่
โชคเข้าข้างอีกครั้งเมื่อประตูดาดฟ้าไม่ได้ล๊อกอย่างที่กลัว
จึงทำให้ผมยิ้มกริ่มอยู่ในใจราวกับผู้ชนะ
ไม่อยากจะบอกเลยว่าโรงเรียนที่นี้สวยไม่แพ้ที่จีน
มีสถานที่หลายแห่งเหมาะกับการถ่ายรูป ไม่ว่าจะเซลฟี่หรือถ่ายวิวก็ตาม
แต่ผมไม่ชอบถ่ายตัวเองเท่าไหร่
ผมชอบเก็บภาพความทรงจำเป็นรูปสิ่งของหรือสถานที่มากกว่า
และการมาเยือนในครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นความทรงจำหนึ่งเช่นกัน
แม้ว่าตลอดหนึ่งเดือนจะมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นมาบ้างก็ตาม
โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับผู้ชายคนนั้น ตอนนี้ผมรู้จักเขาแล้ว เขาชื่อโอ เซฮุน
แต่ผมก็รู้จักเขาเพียงแค่นั้น เท่าที่คยองซูหรือเพื่อนๆเล่าให้ฟัง
ซึ่งเมื่อผมพูดถึงเขาก็แอบรู้สึกแปลกเหมือนกัน
มันยินดีที่พบกันอีกครั้ง
แต่มันก็รู้สึกแย่ที่เกิดเหตุการณ์ในวันนั้นขึ้น
ผมคิดว่าเขาเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงมากแน่ๆ
เพราะนอกจากจะไม่พูด การเข้าเรียนของเขาก็ช่างประหลาด
มันก็ไม่ได้แปลกอะไรขนาดนั้นหรอกครับ แต่ตั้งแต่วันที่โดนปัดมือไป
ผมก็ไม่เห็นเขาจะเข้าห้องเรียนอีกเลย
และมินซอกเพื่อนของผมก็บอกต่ออีกว่ามันคือเรื่องปกติของผู้ชายคนนั้น
เป็นมนุษย์ประหลาดที่เข้ากับคนอื่นไม่ค่อยได้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร
พอคิดอะไรไปได้สักพักก็พึ่งจะนึกขึ้นได้ว่าพระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้วและผมก็ยังหาที่เหมาะๆในการถ่ายรูปไม่ได้เลย
จนมองไปรอบๆก็เห็นว่าตรงด้านบนของประตูเป็นที่ๆเหมาะสมมากที่สุด
เพราะคงสามารถเห็นได้ทั้ง 360 องศา
สรุปกับตัวเองได้เสร็จก็เดินหาบันไดขึ้น
และผมก็แทบจะหงายหลังเมื่อปีนขึ้นไปแล้วพบกับอะไร
ชายหนุ่มคุ้นตาด้วยเรือนผมสีเทาควันบุหรี่
กำลังเหยียดตัวนอนราบไปกับพื้นด้วยท่าทีสบายๆ
ดวงตาคมดุที่เคยเห็นอยู่ทุกครั้งกำลังปิดสนิท พร้อมกับลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
บ่งบอกได้อย่างดีว่าอีกคนกำลังท่องอยู่ในโลกนิทรา
ไม่รู้ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ผมกำลังย่องไปนั่งลงใกล้ๆกับเขาให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้
มันเหมือนมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่าง และพอได้เห็นใบหน้าเขาใกล้ๆ
ใจของผมก็เต้นรั่วเสียอย่างนั้น
ผมจ้องหน้าของเขาไปหลายนาทีจนลืมไปแล้วว่าผมขึ้นมาทำอะไรที่นี้
และไม่รู้ตัวเลยว่ายกล้องขึ้นมาหวังจะถ่ายรูปเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
รู้ตัวอีกทีก็ตอนนี้กดถ่าย และแสงแฟลชสว่างขึ้น
นั้นทำให้ผมรู้ว่าความซวยและความชิบหายกำลังตามมา
เมื่อเปลือกตาของเซฮุนค่อยๆปรือขึ้น
เอาแล้วไงลู่หาน!
ความคิดเห็น