คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : หุบเขามรณะ
ณ ภูเขาลูกใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางผืนป่าที่เป็นรอยต่อของเขตเมืองลั่วหยางและเมืองซีเป่ย หมอกสีขาวและความหนาวเย็นเริ่มก่อตัวไปทั่วขุนเขา
ลึกลงไปในเงาแมกไม้น้อยใหญ่นั้นเป็นที่อยู่ของเหล่าสัตว์เวทย์ทั้งหลาย รวมไปถึงจิ้งจอกทั้งห้าฝูงที่ล้วนแบ่งอาณาเขตการปกครองหุบเขามรณะนี้ ปราสาทไม้หลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ในมุมมืดอันเป็นที่อยู่ของฝูงจิ้งจอกแดงซื่อหยา ผู้ซึ่งขึ้นนำเป็นจ่าฝูงได้ไม่ถึงปีหลังจากที่ท่านพ่อและท่านแม่ของเขาได้จากไป
ซืออินวิ่งออกมาจากประตูด้านในปราสาทจิ้งจอกแล้วหยุดที่ระเบียงด้านหน้าของโถงทางเข้า นางหายใจถี่ดวงตาคละคลุ้งไปด้วยความโกรธ ในมือยังคงกำผืนผ้าที่มีเนือความนั้นไว้แน่น แสงสีเงินวาบออกมาจากรอยแยกของนิ้วเผาเนื้อความในผ้านั้นจนหมดสิ้น
"ซืออิน " ซื่อหยาเดินตามมา ใบหน้าจิ้งจอกหนุ่มดูกลัดกลุ้มใจ พลางมองดูจดหมายผ้าที่กำลังมอดไหม้ด้วยไฟเวทย์ของซืออิน
"พวกมันสู่ขอข้าไปเป็นเมียน้อยนะ"
ซืออินพูดด้วยความโกรธจัด ในขณะที่มือของนางคลายออก จดหมายถูกเผาจนเป็นผงร่วงสู่พื้น ซื่อหยามองอย่างร้อนใจ
"เจ้าอย่าได้กังวล พี่จะไม่ยอมให้ฟ่านหลิงหยามเจ้าเช่นนี้ "
ซื่อหยาพูดออกมาในที่สุด หลังจากคิดมานานหลายวัน ที่เขาได้อ่านจดหมายนี้ก่อนหน้าซืออินแล้ว
ซืออินหันมามองซื่อหยาพร้อมกับดวงตาที่ดูพอใจผู้เป็นพี่ชายขึ้น
"ข้าไม่เข้าใจท่านพ่อท่านแม่ ทำไมต้องเป็นฟ่านหลิงด้วย "ซืออินพูด
"หากท่านพ่อท่านแม่ไม่เปลี่ยนใจ ก็คงเป็นอีกคน "ซื่อหยาพูดด้วยดวงตาที่ดูมีบางอย่างในใจ
ซืออินสังเกตได้ถึงอาการแปลกของซื่อหยา นางมองเขาอย่างสนใจขึ้นมา
"เป็นอีกคน พี่หมายถึงใคร "ซืออินจ้องมองพี่ชายด้วยดวงตากลมโต ซื่อหยามองนางครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้น เขาหันกลับมามองนางด้วยดวงตาที่ทุกข์ใจ เขาจะบอกนางได้เช่นไร
เมื่อครั้งที่พวกทะเลเป๋ยไห่มา ในตอนนั้นซื่อหยายังเด็กมาก เขาแอบฟังท่านพ่อและท่านแม่กำลังสนทนากับพวกทะเลเป๋ยไห่ด้วยสีหน้ากังวลใจ เขาจำได้ถึงหญิงสาวชาวทะเลเป๋ยนามว่าหว่านซีฟ่านที่กล่าวประโยคนั้น "เขาคือคู่แท้ของนาง "ทุกคนมองดูเด็กน้อยที่จิ้นฝูท่านแม่ของซื่อหยาที่กำลังอุ้มทารกน้อยด้วยสีหน้าตกใจ
"เช่นนั้น ก็ให้เขาอยู่กับนางตั้งแต่ตอนนี้เลย เช่นนี้พวกข้าถึงจะมั่นใจว่านางจะไม่ออกมาเจอเขาที่นี่"ชายชาวทะเลตงไห่พูดด้วยท่าทีราวกลับกลัวอะไรบางอย่าง
"แต่นี่คือลูกของข้านะ ถ้าเขาหายไป สักวันพวกนั้นต้องสังสัยเป็นแน่ว่าพวกเจ้าเอานางไปไว้ที่ไหน"แม่ของซื่อหยาพูดขึ้น น้ำตานางเริ่มคลอพรางมองดูเด็กทารกที่นางกำลังอุ้มอยู่
"ใครจะสงสัยหากซื่อหยาบุตรชายของเจ้ามีน้องสาว"หญิงชาวทะเลตงไห่พูดขึ้น
"ได้โปรด....จิ้นฝู "ดวงตานางเริ่มมีน้ำตาคลอเช่นกัน นางอุ้มทารกในอ้อมกอดไปให้แม่ของซื่อหยาอย่างอาวรณ์ นิลสีดำที่ผูกอยู่บนข้อมือน้อยของทารกส่องแสงระยิบระยับเมื่อกับแสงตะเกียงไฟในห้องนั้น
แม้ซื่อหยาจะยังเด็กมากนัก แต่นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็นหน้าน้องชายแท้ๆของตน หญิงชาวทะเลตงไห่อุ้มเขาไปและนับตั้งแต่นั้น ท่านพ่อและท่านแม่ก็ตั้งชื่อให้เด็กทารกจากทะเลตงไห่ให้คล้องกับชื่อของเขาเพื่อให้นางดูเหมือนน้องสาวของเขาจริงๆ แม้นางจะไม่รู้เรื่องของตัวเองเลย จนเชื่อว่าท่านพ่อท่านแม่และเขาคือครอบครัวของนางจริง ซื่อหยาก็รักนางเช่นน้องสาวของเขาจริงๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ซืออินจะสงสัยเกี่ยวกับคำกล่าวของซื่อหยากับบทสนทนาก่อนหน้านี้ แต่เขากลับไม่ปล่อยโอกาสให้นางได้ซักถาม นางเองก็ไม่อยากเซ้าซี้เขามากนัก หากแต่รอเวลาสักหน่อย ซื่อหยาคงต้องบอกนาง
ซืออินมองมีดเงินที่วางอยู่บนโต๊ะ มันเป็นของหมั้นที่ครั้งนึงฝูงของฟ่านหลิงส่งมาเพื่อมอบให้นาง แม้จะโกรธเคืองที่ฟ่านหลิงหยามเกียรตินางเช่นนี้ แต่นางเองก็รู้สึกมีส่วนผิด เป็นนางเองที่ไปเจอกับเย่หลันมนุษย์ผู้นั้น เป็นนางเองที่หลงรักและเชื่อเย่หลันหมดหัวใจ เป็นนางเองที่นำความอัปยศมาสู่เหล่าจิ้งจอกเวทย์ นับว่าถูกแล้วที่ฟ่านหลิงจะไม่อยากแต่งนาง หากไม่นับเรื่องเมียน้อยนี้ ฟ่านหลิงนับเป็นจิ้งจอกที่ดี นางเคยเจอเขาเมื่อครั้งตอนอายุ 14 ในความทรงจำเดียวที่นางมีต่อฟ่านหลิง
ในวันที่อากาศดี เขาเล่าเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับหมู่บ้านลั่วหยาง จนซืออินอดใจไม่ไหวต้องตามเขาไป
"นี่ฟ่านหลิง เจ้าช่วยหยิบเงินในกระเป๋าเสื้อให้ข้าหน่อยสิ "ซืออินพูดในขณะที่มือทั้งสองข้างกำขนมของมนุษย์ไว้เต็มมือ
ฟ่านหลิงมองนางอย่างเลิกลัก ซืออินมองเขาด้วยความสงสัย
"เร็วๆสิ " นางพูดขณะที่ปากก็เคี้ยวขนมอย่างเบิกบานใจ
ฟ่านหลิงมองนางสักพัก ก่อนที่จะควักเงินในกระเป๋าเสื้อตัวเองจ่ายให้นางแทน
"คราวหน้าเจ้าค่อยตอบแทนข้าคืนแล้วกัน"ฟ่านหลิงพูดแล้วหันหลังเดินนำนางไป
"ทีหลัง....เจ้าอย่าบอกให้ใครทำแบบนี้ให้อีกนะ " ฟ่านหลิงหันกลับมาพูดอีกที
ซืออินหยุดเคี้ยวขนมแล้วนึกขึ้นได้ จริงดังที่ฟ่านหลิงพูด นางก้มมองกระเป๋าเสื้อที่อยู่ตรงหน้าอก แม้จะเขินอายเล็กน้อย แต่ก็นับเป็นความประทับใจแรกที่มีต่อฟ่านหลิง ผู้จะมาเป็นสามีในอนาคตได้ไม่ยากเลย นางมองดูเขาเดินนำหน้าไป นิลสีดำบนข้อมือของนางกระทบกับแสงอาทิตย์อีกครั้ง ภาพนั้นเลือนหายไป ทำให้ซืออินได้สติ และคิดได้ว่านางไม่ควรคิดถึงอดีตเช่นนี้อีก
ในอีกฟากของหุบเขามรณะ บริเวณที่มีหน้าผาสูงชันและซอกหลืบหินลึกล้ำสลับกันนั้น เป็นที่อยู่ของฝูงจิ้งจอกฟ่านเฉิง เขามีลูกชายเพียงคนเดียวคือฟ่านหลิง
ทุกวันๆของฟ่านหลิงผ่านไปด้วยการฝึกเวทย์และต่อสู้อย่างหนัก เขาเป็นบุตรชายและความหวังเดียวของผู้เป็นพ่อหลังจากที่ฟ่านเฉิงได้เสียภรรยาอันเป็นที่รักของเขาไป แม้ฟ่านหลิงจะมีฝีมือมากเพียงใด แต่เขาไม่เคยทำให้พ่อพอใจได้เลย ฟ่านเฉิงดูจะจมอยู่ในความทุกข์ระทมจนเผลอทำร้ายคนรอบตัวไปด้วยอย่างน่าอนาจใจ
จิ้งจอกแดงในฝูงวิ่งเข้ามาหาฟ่านหลิงและพ่ออย่างเหนื่อยหอบ เขามอบจดหมายตอบกลับจากฝูงซื่อหยาให้ฟ่านหลิง
มีดสีเงินตกลงมาจากห่อผ้า ฟ่านหลิงก้มลงเก็บขึ้นมาและมองหน้าผู้เป็นพ่อ
"เป็นดังที่ท่านคิดไว้ท่านพ่อ นางถอนหมั้น " ฟ่านหลิงพูดพลางยิ้มมุมปาก
"คืนของหมั้นล้ำค่าเช่นนี้ แน่ชัดว่าเจ้าเด็กน้อยซื่อหยาเป็นเพียงจิ้งจอกที่โง่เง่าตัวหนึ่ง " ฟ่านเฉิงพูดพลางหัวเรอะอย่างพอใจ
ในคืนที่ฝนตกกระหน่ำอย่างบ้าครั้ง ราวกับเทพเจ้ารับรู้ ใบหน้าคมคายของฟ่านหลิงถูกเม็ดฝนตกกระทบจนทิวทัศน์พร่ามัว แต่เขากลับนิ่งไม่อาจแม้กระพริบตาได้อีกต่อไป เขาเพ่งมองไปยังความมืดของอีกฟากเพื่อรอจังหวะให้สัญญาณฝูงของตน
ในเงาดำทมึนของป่า ปรากฏร่างของฝูงจิ้งจอกอีกฝูง ฟ่านหลิงไม่รอช้า เขายกมือขึ้นเพื่อให้สัญญาณฝูงของตน เหล่าจิ้งจอกวิ่งเข้าปะทะทันที ฟ่านหลิงฟาดฟันสู้สุดกำลังหวังเอาชัยไปมอบให้ผู้เป็นบิดาชื่นชม แต่ฟ่านหลิงกลับรู้สึกว่าถูกจิ้งจอกตนหนึ่งตามอย่างไม่ลดละ แม้จะผิดสังเกตไปบ้าง แต่เขาก็ได้โอกาส ใช้ดาบเวทย์ฟาดไปโดนมันที่กลางหลัง จิ้งจอกตนนั้นเสียหลังไปแล้วช้าลงจนฟ่านหลิงตามทัน. มันใช้พลังที่มีเหลืออยู่ร่ายเวทย์สีเงินสว่างวาบขึ้นมา ฟ่านหลิงที่พึ่งดีใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายช้าลงรู้สึกราวกับถูกไฟผลาญไปชั่วขณะ แล้วจิ้งจอกตนนั้นก็วิ่งหนีเข้าป่าไป
ฟ่านหลิงไม่อาจปล่อยไปได้ ดวงตาคมโตจ้องมองตามไปด้วยความโกรธจัด หากเขาปล่อยจิ้งจอกตนนี้รอดไปได้ จะนำมาแต่ความเย้ยหยันจากท่านพ่อของเขา ฟ่านหลิงเจ็บปวดทุกครั้งที่เขาดูไม่แข็งแกร่งพอให้ท่านพ่อเห็น เขาวิ่งตามมันไปติดๆ
ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักบดบังทัศนียภาพ กิ่งไม้แหลมคมดำทมึนบาดลึกผิวหน้าเขา ฟ่านหลิงรู้สึกร้อนวูบแต่ก็ไม่อาจสนใจปัณหาเพียงเล็กน้อยนี้ได้ เขาตามจิ้งจอกตนนั้นไปจนถึงป่าหินที่มีหินโบราณน้อยใหญ่ตั้งตระหง่านสลับสับเปลี่ยนกันจนรกทึบ
ฟ่านหลิงรู้ดีว่าเขตป่าหินนี้อยู่ห่างจากเขตรบของเขามากแล้ว แม้จะเสี่ยงที่จะถูกลวงมาแต่ฟ่านหลิงก็ไม่อาจยอมเสียศักดิ์ศรีได้อีกต่อไป ฟ่านหลิงยืนมองจิ้งจอกตนนั้นที่กำลังหมดหนทางไปอย่างพอใจ เขามีสีหน้าลำพองใจขึ้นมา
ฟ่านหลิงใช้จังหวะที่ดูเหมือนจิ้งจอกอีกตนกำลังหมดแรงเพราะถูกพิษจากดาบเวทย์ของเขาฟาดไปที่ลำตัวของมันอีกครั้ง โดยหมายจะตัดร่างของมันให้ขาดเป็นสองส่วน หากแต่ฟ่านหลิงกลับพลาด จิ้งจอกตนนั้นยังมีแรงสู้สุดท้ายหลบปลายคมดาบของเขาได้บางส่วน ปลายดาบเฉือนไปที่บริเวณลำตัวของจิ้งจอกตนนั้น แม้จะไม่ขาดออกจากกันดังที่ฟ่านหลิงคิดไว้ แต่ก็ทำให้มันล้มลงด้วยความพ่ายแพ้
ฝนที่ตกลงมาอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด
ฟ่านหลิงเดินตามไปดูสภาพของอีกฝ่าย
ที่กำลังหายใจหอบอย่างอ่อนแรง
เขาค่อยๆก้มลงแล้วใช้มือเปิดผ้าปิดหน้าเพื่อดูใบหน้าของศัตรู ใบหน้าขาวนวลและผมยาวสยายถูกเผยออกมา นางกำลังหายใจหอบอย่างยากลำบาก
"นี่เจ้าซื่อหยาอับจนจนต้องใช้ผู้หญิงออกรบแล้วรึ"ฟ่านหลิงพูดพลางใช้มือลูบไปที่ข้างแก้มร้อนผ่าวของอีกฝ่าย เขาปัดผมที่ปิดบังใบหน้านางออก ดวงตาของเขามองโฉมหน้านั้นอย่างเนิ่นนาน
ฟ่านหลิงลุกขึ้น เขาถอนหายใจและคิดว่าคงจะปล่อยให้นางตายไปอย่างช้าๆ เองดีจะกว่า
"เจ้าให้ข้าเป็นเมียน้อย " เสียงของนางพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา หากแต่มันหยุดให้ฟ่านหลิงหันกลับมา และนั่งลงมองนางอีกครั้ง
"เจ้าว่าอะไรนะ " ฟ่านหลิงก้มลงแล้วเงี่ยหูฟังใกล้กับริมฝีปากของนาง
ทันใดใบหน้าของฟ่านหลิงก็เปลี่ยนไป เขามองนางด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ฟ่านหลิงรีบใช้มือกุมมีดสั้นที่นางแทงเขาอย่างแน่นขนัดเพื่อไม่ให้นางแทงลึกลงไปกว่านี้ เขารู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วบริเวณท้อง
"เจ้าให้ข้าเป็นเมียน้อย " ซืออินพูดย้ำอีกครั้งพร้อมกับใช้แรงเฮือกสุดท้ายแทงมีดลึกลงไปก่อนที่ดวงตากลมโตของนางจะปิดลง
ฟ่านหลิงพยายามดึงมีดออกจากตัวเขา หากแต่มันแทงลงไปลึกมากจนเขาร้องออกมา เขาไม่ได้ร้องด้วยความเจ็บปวดเช่นนี้มานานมากแล้ว เลือดไหลราวกับสายน้ำ เลือดแดงฉานไปทั่วร่างของเขาและนาง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว ฟ่านหลิงสำลักเลือดออกมาจากปากอย่างทุลักทุเล
ฝนหลั่งลงมาราวกับจะซ้ำเติม ฟ่านหลิงหมดสิ้นแล้วหนทาง
แม้จะตาย เขาก็ขอตายให้ห่างจากซืออิน ฟ่านหลิงพยายามกระเสือกกระสนที่จะไปให้ไกลกว่านี้ แต่เขาก็ทำไม่ได้ สองร่างนอนแน่นิ่งเคียงกัน ฝนพรำกระทบร่างทั้งสองอย่างไม่ปราณี
เสียงจิ้งจอกหอนรับกันไปทั่วขุนเขามรณะ ฝนหยุดตกไปได้หลายชั่วยามแล้ว หมอกสีดำก่อตัวปกคลุมราวกับผืนผ้าสีดำขลับคลุมไปทั่วภูเขาทั้งลูก เสียงจิ้งจอกระงมไปทั่วหุบเขาราวกับกำลังร่ำไห้
ในหมู่บ้านเมืองลั่วหยาง แสงสีทองส่องสว่างมาจากด้านนอกหน้าต่างจวนหลังใหญ่ของเจ้าเมือง ชายหนุ่มรูปงามยืนจ้องมองหุบเขามรณะอยู่นานแล้ว ดวงตาคมกริบของเขามองฝ่าไปในความมืดมิดเบื้องหน้า
ยากแท้จะคาดเดาในใจว่าเขาคิดสิ่งใด เสียงจิ้งจอกที่ดังระงมไปทั่วไม่ได้ทำให้มนุษย์ผู้นี้เกรงกลัวแต่อย่างใด
"เย่หลัน .ชายหนุ่มอีกคนเรียกเขาพร้อมกับปรากฎตัวขึ้น เขาเดินเข้ามาทางด้านหลังอย่างเงียบๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เย่หลันตกใจเพียงนิด
"องค์ชายมู่ " เย่หลันถอยลงมาเพื่อยืนในระดับที่เหมาะสม เขารีบปิดแขนเสื้อลงเพื่อซ่อนนิลสีดำบนข้อมือของตน
ชั่วครู่นั้นองค์ชายมู่มองนิลสีดำบนข้อมือของเย่หลันอย่างสนใจก่อนที่เขาจะเริ่มทำสีหน้าเงียบขรึม
"ได้ยินเสียงจิ้งจอกเวทย์เช่นนี้ จะไม่ทำให้เจ้าคิดถึงเจ้าสาวผู้หนีงานแต่งไปหรือเย่หลัน"
องค์ชายมู่พูดพลางมองไปยังหมอกดำเบื้องหน้าด้วยดวงตาขุ่นเคือง
"นางจะต้องกลับมาหาข้าเป็นแน่ องค์ชายมู่อย่าได้ร้อนใจ " เย่หลันตอบกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
"เช่นนั้นข้าก็เบาใจ หวังว่าเจ้าจะเป็นคนควักหัวใจนางเองกับมือ" องค์ชายมู่พูดพร้อมกับหันหน้ามามองดูปฏิกิริยาของเย่หลัน
"นางจะต้องตายด้วยมือของข้าผู้เดียว "
เย่หลันพูดพร้อมกับสบตาองค์ชายอย่างมุ่งมั่น ดวงตาคมกริบราวคมดาบของเขาส่องประกายความกระหายเลือดอย่างน่าหวาดหวั่น
หมอกดำเคลื่อนลงมาจนเกือบถึงรอบแนวเขตหมู่บ้านลั่วหยางแล้ว เย่หลันยังคงจ้องมองหุบเขาอยู่แม้องค์ชายมู่จะกลับไปหลายชั่วยามแล้ว
ความคิดเห็น