ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องราวตำนานอียิปต์โบราณ

    ลำดับตอนที่ #34 : อียิปต์ มหานครอันเร้นลับ (Lost Temple of the Gods)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 683
      0
      29 มิ.ย. 53


         “อียิปต์” ชื่อนี้เคยมีอำนาจและวัฒนธรรมอันเกรียงไกรในอดีต มีเรื่องราวที่น่าสนใจให้คนรุ่นหลังได้ค้นหามากมาย ดังเช่นมหานครแห่งวิหารเฮราคลีออน (Heracleion) ที่ซ่อนตัวอยู่ก้นทะเลเมดิเตอเรเนียน(Mediterranean) มานานนับพันปี ซึ่งบันทึกสมัยโบราณได้บอกเล่าถึงวิหารอันยิ่งใหญ่และงานเทศกาลอันอลังการที่ดึงดูดใจผู้คนจากอเล็กซานเดรียให้มาเข้า ร่วมงานกันอย่างคึกคัก ไม่เว้นแม้แต่ฟาโรห์ยังต้องเดินทางจากอเล็กซานเดรียมาประกอบพิธีบูชาเทพเจ้า ที่นี่

          การสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอยของมหานครโบราณริมชายฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียนทำให้ นักโบราณคดีกลุ่มหนึ่งพยายามค้นหามันให้พบ พวกเขาใช้เวลาถึง 6 ปี ดำน้ำในบริเวณอ่าวอาบูเกียร์ใกล้กับเมืองอเล็กซานเดรียในปัจจุบันด้วยความเชื่อว่าใต้ทะเลบริเวณนี้เคยเป็นมหา นครที่ผู้บุกรุกชาวกรีกเข้าครอบครองเมื่อ 2,300 ปีก่อน และเป็นจุดเริ่มที่กองทัพกรีกใช้แผ่ขยายอำนาจไปทั่วอียิปต์

          ณ สุสานใต้น้ำที่ปกคลุมพื้นที่กว่า 500 ตารางกิโลเมตร พวกเขาค้นพบกำแพงยาว 500 ฟุต ซึ่งหากเปรียบเทียบสัดส่วนกัน เสาของวิหารแห่งนี้ก็น่าจะสูงถึง 100 ฟุต ในบริเวณเดียวกันมีสฟิงซ์์แกรนิตสีแดง 8 ตัว และสฟิงซ์แกรนิตสีดำ 2 ตัว เรียงรายไปตามทางเหมือนถนนที่มุ่งไปสู่วิหารอียิปต์ และของใช้ที่บรรดานักบวชใช้ประกอบพิธีกรรม เช่น อ่างทองเหลือง ทัพพี และถังที่ประดับประดาอย่างสวยงามสำหรับใช้บรรจุของสักการะ

          พวกเขาพบรูปปั้นขนาดยักษ์ สูง 19 ฟุต จำนวน 3 รูป ประกอบด้วยรูปปั้นราชินี รูปปั้นที่กษัตริย์ทัลเลอร์เมย์บรรพบุรุษของคลีโอพัตรา และรูปปั้นเทพเจ้าฮาปี้ ตัวแทนความบริบูรณ์และความมั่งคั่ง ตั้งอยู่ด้านหน้าของวิหาร ซึ่งยืนยันว่าที่แห่งนี้เคยเป็นสถานที่สำคัญของผู้นำราชวงศ์ทัลเลเมอิกแห่งอียิปต์มาก่อน

          นอกจากนี้ยังพบแท่นบูชาสูง 2 เมตร มีจารึกพระนามของเทพเจ้าอามุนแห่งเกอเร็บเอาไว้ ซึ่งแท่นบูชานี้คือบ้านของอามุน เพราะชาวอียิปต์เชื่อว่าเทพเจ้าของพวกเขามีบ้านทั้งบนโลกและบนสวรรค์ ทุกวันตอนรุ่งสางดวงจิตของอามุนจะหวนกลับมาบนโลก แต่สิ่งที่ทำให้ทีมนักสำรวจตื่นเต้นที่สุดก็คือการค้นพบแผ่นหินหนัก 1 ตัน สลักเป็นภาษาฮีโรกลิฟแนวดิ่ง14 แถว ในสภาพสมบูรณ์ กล่าวว่านี่คือวิหารของอามุน แห่งเกอเร็บ หรือที่ชาวกรีกเรียกว่านครแห่งเฮราคลีออน และเรื่องราวของเมืองรอบวิหาร ซึ่งบงชี้ว่านี่คือเฮราคลีออน เมืองที่เป็นศูนย์กลางทางศาสนาและลัทธิของอียิปต์ในอดีตกาล

          บนแผ่นจารึกนั้น มีจารึกอักษรซึ่งมีใจความว่า “ประกาศ ภาษีต่อเรือสินค้าต่างชาติทั้งหมดที่มาที่แม่น้ำไนล์” ซึ่งคำบนแผ่นจารึกนั้น ตอกย้ำว่าเฮราคลีออนเคยเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของอียิปต์ก่อนการรุกรานของกรีก โดยด้านบนของแผ่นหินมีรูปปั้นของฟาโรห์ เนคตาเนโบที่ 1 ผู้ปกครองอียิปต์ตั้งแต่ปี 380 ถึง 362 ก่อนคริสต์กาล หนึ่งรุ่นก่อนอเล็กซานเดอร์เข้ายึดครองอียิปต์

          ส่วนภายในวิหารพวกเขาพบรูปปั้นของเทพเจ้าโอไซริสที่ชาวอียิปต์โบราณใช้แห่มา จากวิหารแห่งเฮราคลีออนไปที่วิหารแคโนปัสด้วยเรือท้องแบนเพื่อขอให้เทพประทานน้ำในแม่น้ำ ไนล์ให้เต็มเป็นประจำทุกปี อีกทั้งยังพบมัมมี่,ข้าวสาลีโอไซริส ซึ่งในจารึกบอกไว้ว่านักบวชหญิงจะผสมโคลนสูตรพิเศษของไนล์ แล้วฝังเมล็ดข้าวบาร์ลี่ย์เข้าไป นำไปวางไว้ในอ่างศักดิ์สิทธิ์ประกอบพิธีเสกให้ธัญพืชอุดมสมบูรณ์ในช่วงเริ่มต้นของฤดูเพาะปลูก

          นักโบราณคดีให้ความเห็นว่ารูปปั้นฮาปี้และรูปโอไซริสที่ปั้นจากโคลนของไนล์ แสดงให้เห็นว่าสองลัทธินี้มีความสำคัญเกือบจะเท่าเทียมกันในวัฒนธรรมของเอราคลีออน ซึ่งราชวงศ์ทัลเลอร์เมย์ที่แม้จะเป็นชาวกรีก ได้พยายามเชื่อมตนเองเข้ากับเทพเจ้าทั้งสองของอียิตป์โดยอาศัยนักบวชที่ วิหารแห่งนี้ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดของอียิปต์ยุคนั้น

          เมื่อครั้งที่กองทัพกรีกรุกรานอียิปต์ พวกเขาได้พบกับดินแดนแห่งวิหารอันยิ่งใหญ่ และตระหนักว่าถ้าต้องการจะควบคุมคนอียิปต์ พวกเขาจะต้องควบคุมวิหารอียิปต์ให้ได้เสียก่อน เนื่องจากอามุนมีีอำนาจในการให้สิทธิการปกครองต่อกษัตริย์และฟาโรห์ ในตำนานกล่าวไว้ว่า อเล็กซานเดอร์มหาราชเป็นผู้พิชิตคนแรกที่ได้รับศักดิ์และสิทธิ์อันชอบธรรมในการปกครองอียิปต์ ด้วยการโน้มน้าวให้นักบวชแห่งอามุนประกาศรับรองเขาในฐานะเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ และทำให้เขากลายเป็นฟาโรห์ที่แท้จริง

         ความสัมพันธ์ระหว่างนักบวชและผู้นำทัลเลอร์เมย์ดำเนินต่อเนื่องจนสามารถ ปกครองอียิปต์ยาวนานแต่เหตุใดมหานครแห่งวิหารเฮราคลีออนและสิ่งปลูกสร้างอันยิ่งใหญ่จึงพังทลาย และจมอยู่ใต้ทะเลนี่เป็นเรื่องที่ทีมสำรวจต้องการค้นหาคำตอบ

          ลึกลงไปในทะเลเมดิเตอเรเนียน นักโบราณคดีใต้น้ำได้พบซากเรือโบราณนับสิบ บริเวณรอบฐานของวิหารพบกองไม้ที่จมอยู่จำนวนมาก รวมทั้งพบกระดูกคนติดอยู่ใต้ซากตึกในวิหาร ซึ่งชี้ให้เห็นถึงหายนะครั้งใหญ่ หลักฐานหลายอย่างบ่งบอกว่ามันเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ เช่นการพบทอง เครื่องประดับ เหรียญ แผ่นทอง กระจายอยู่ในบริเวณวิหาร เพราะหากไม่ใช่ภัยธรรมชาติของพวกนี้คงถูกคนเก็บไปหมด

          นี่คือสิ่งที่ช่วยย้ำเตือนว่าครั้งหนึ่งที่นี่เป็นเคยเป็นเมืองที่ถูกลบ เลือนไปจากประวัติศาสตร์อย่างกระทันหัน

    เครดิต :: Next Step

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    อ่านแล้วก็อย่าลืม Comment ให้กันบ้างนะค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×