ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เรื่องราวแต่หนหลัง
“เป๋นจะใด ป้ะก่อ?” (เป็นไง เจอมั้ย?)
เสียงห้าวตะโกนถามไปยังเงากลุ่มคนอีกฟากท้องทุ่งที่กำลังก้มๆเงยๆ ไปตามสุมทุมพุ่มไม้
“บ่ป้ะๆ สูไปหาทางท้ายกาดแหมเตื้อ บ่แน่ว่าอี่นายจะหลบอยู่แถวแผงเข่งขายผัก” (ไม่เจอๆ แกไปหาทางท้ายตลาดอีกที ไม่แน่ว่าอี่นายจะหลบอยู่แถวแผงตะกร้าขายผัก)
ในเงาตะคุ่มนั้นมีคนหนึ่งวิ่งออกมาตะเบ็งเสียงตอบ
นี่เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว ทุกคนต่างมีสีหน้าอิดโรยจากการค้นหาบุคคลคนหนึ่งเป็นเวลาสองวันสามคืน แม้จะใช้กำลังคนมากแค่ไหนก็ยังหาคนๆนั้นไม่เจอเสียที
ตั้งแต่ในเขตเรือนชาน ตลาด เรือกสวนไร่นาไปจนถึงคุ้งน้ำ ตอนนี้ก็เป็นชายขอบเขตเวียงแล้วทุกคนต่างก็จนใจไม่รู้อี่นายคนดีไปหลบลี้อยู่ที่ไหน
“เฮาหาจ๋นขาแข้งบ่มีแฮงแล้ว ถ้ามีก็ป้ะเมินละ”(ฉันตามหาจนขาไม่มีแรงแล้ว ถ้าอยู่แถวนี้ก็เจอนานละ)
เมื่อทั้งสองกลุ่มเดินมารวมกัน ชายร่างกำยำตอบพร้อมกับยกผ้าขาวม้าที่มักเอวเช็ดเหงื่อบริเวณใบหน้า กางเกงขาสั้นเหนือเข่าเต็มไปด้วยหญ้าเกาะเต็ม
กลุ่มคนเกือบ 20 คนนี้ล้วนประกอบไปด้วยบุรุษร่างกายแข็งเกร็งพอรู้ได้ว่าทำงานใช้แรงกายเป็นหลัก กล้ามเนื้อแขนสีทองแดงที่โผล่พ้นเสื้อผ้าฝ้ายสีซีดมันเลื่อมไปด้วยเหงื่อ ยามนี้แต่ละคนมีสีหน้าเป็นทุกข์ใจแทนผู้เป็นนายซึ่งออกคำสั่งให้พวกเขาต้องมาอยู่ตรงนี้
“เฮาว่าอี่นายคงหนีไปไกล๋แล้ว เฮ้อ สงสารก็แต่แม่นายน้อ หัวอ๊กคนเป๋นแม่ลูกหนีไปกับป้อจายคงจะเจ็บเจียนต๋าย” (ฉันว่าอี่นายคงหนีไปไกลแล้ว เฮ้อ สงสารก็แต่แม่นาย หัวอกคนเป็นแม่ลูกหนีไปกับผู้ชายคงจะเจ็บเจียนตาย)
“อี่นายกะแปลก คนดีๆตี้ป้อแม่หาหื้อกะบ่เอา ไปเอาคนยากคนจ๋น สุขสบายมาทั้งจีวิตบ่ฮู้ว่าต่อไปจะเป็นจะใด นาไร่ก่อยะบ่จ้าง เดินตักน้ำเป็นกิโลๆ ก็ยังบ่เกย หื้อมาอยู่อย่างคนจ๋นเดี๋ยวผ่อเต๊อะบ่กี่วันก่อไห้เมือบ้านเองแหละ” (อี่นายก็แปลก คนดีๆที่พ่อแม่หาให้ก็ไม่เอา ไปเอาคนยากไร้ สุขสบายมาทั้งชีวิตไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นยังไง นาไร่ก็ทำไม่เป็น เดินตักน้ำเป็นกิโลก็ยังไม่เคย ให้มาอยู่อย่างคนจนเดี๋ยวดูเถอะไม่กี่วันก็คงร้องไห้กลับบ้านเอง)
หนึ่งในนั้นเอ่ยวิพากวิจารณ์พร้อมกับมองไปทั่วบริเวณซึ่งต่างจากในคุ้มมากมาย
รอบด้านที่มองเห็นเป็นชายป่าดีๆนี่เอง ซ้ายมือเป็นทุ่งนากว้างเห็นบ้านไม่กี่หลังตั้งห่างๆกัน เห็นต้นมะพร้าว ต้นลานยืนเด่นเป็นสง่า ยามลมพัดมาก็โบกไกวไหวๆ คล้ายเปรตที่ออกมาขอส่วนบุญในคำบอกเล่าของชาวบ้าน
มองไปขวามือก็เป็นป่ารกชัฏ มีทางล้อเกวียน 2 รอยทอดยาวไปบนดินแข็งแหวกหญ้าสองข้างทางออกไปสุดสายตา มันเป็นทางออกนอกเขตเวียงไปต่างอำเภอ
แว่วเสียงถอนหายใจออกมาหลายเสียง ชายชราคนหนึ่งเอ่ยตัดบท
“เรื่องของเจ้าของนาย หมู่สูบ่ต้องไปกึ๊ดแตนเปิ้น ฮับสตางเปิ้นแล้วมาเล่าขวัญลับหลัง เดี๋ยวเต๊อะจะบ่มีตี้อยู่ตี้กิ๋น” (เรื่องของเจ้านาย แกไม่ต้องคิดแถนเขา รับเงินท่านมาแล้วมานินทาลับหลังเดี๋ยวเถอะจะไม่มีที่ซุกหัวนอน)
“เฮาก็อู้ไหนจบฮั่นกะลุง เฮากะแค่สงสารเจ้านาย บ่อู้ละๆ เมือคุ้มเต๊อะ เจ้านายท่าฟังคำตอบอยู่” (เราก็พูดไหนจบนั่นสิลุง ผมก็แค่สงสารเจ้านาย ไม่พูดละๆ กลับคุ้มกันเถอะ เจ้านายรอฟังคำตอบอยู่)
คืนนี้เป็นคืนเดือนหงายพระจันทร์เกือบเต็มดวงส่องแทนแสงไต้ที่เขานำติดมาแต่ไม่ได้ใช้ อากาศที่เริ่มเย็นของต้นฤดูหนาวพัดผ่านให้ใจผู้คนเย็นยะเยือกตามไปด้วย ต่างจากอีกฟากฝั่งเมืองที่ยามนี้ก็คุกรุ่นด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย
เสียงตะโกนเรียกชื่อดังแทรกไปกับเสียงวิ่ง เสียงล้อเกวียนดังเสียดสีกับพื้นดิน สองล้อระไปกับพงหญ้ารถ มันหมุนวนด้วยความเร็วเกินปกติคล้ายหลบหนีอะไรบางอย่าง บริเวณนั้นจะเป็นทางคันนาทอดยาวระยะไม่กว้างนัก
พลั่ก! เสียงล้อกระแทกกับหลุมดินที่มีเป็นระยะมันแรงเสียจนคนที่อยู่บนเกวียนแทบจะกระเด็นออกมา หากไม่มีวงแขนแข็งแกร่งของชายหนุ่มวาดมากอดรัดไว้เสียก่อน
“ฉันว่าเราคงจะหนีพ้นแล้วล่ะพี่ ให้ลุงแกเบาเกวียนลงหน่อยดีไหม ฉันเวียนหัวจะตายอยู่แล้ว”
ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้เอ่ยอะไรก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกตามมาด้านหลังไกลๆ ในความเงียบสงัดของราตรีกาล มันก้องกังวาลสะท้านใจคนฟังอย่างยิ่ง
สองหนุ่มสาวหันไปดูก็เห็นคนนับสิบกำลังเร่งตามมาด้านหลัง เสียแต่เพียงว่าคนเหล่านั้นใช้สองขาวิ่งตามมาซึ่งย่อมไม่มีทางตามทันอยู่แล้ว
ฝั่งคนตามหลังจากที่ถอดใจและคิดจะมุ่งไปแจ้งตำรวจเมืองให้ช่วยส่งกำลังออกตามหา ก็มีอันใดดลใจให้เลือกเส้นทางกลับที่ไม่ค่อยมีใครใช้สัญจรนัก เพราะมันกันดารและขรุขระ รถเก๋งทรงโบราณคันเล็กไม่อาจเหยียบย่างไปได้โดยง่าย แต่เพราะสังหรณ์นี้จึงทำให้ได้เจอคนที่เฝ้าตามหา
ทั้งหมดเขม้นมองเงาเกวียนไกลๆ หากไม่สังเกตก็คงไม่เห็น ไม่รอช้าฝีเท้านับสิบคู่ก็ห้อตัดทุ่งไล่ตามเกวียนลำนั้น
สองในนั้นเป็นสตรีต่างวัยสองคน แต่ที่น่าสังเวชคงเป็นสตรีรูปร่างผอมบางวัยกลางคนอันมีดวงตาแห้งผาก ผมที่หลุดลุ่ยจากมวยยิ่งทำให้นางมีท่าทางน่าเวทนา สองมือที่ยกชายซิ่นให้สูงเพื่อให้สะดวกต่อการวิ่งยิ่งเผยให้เห็นผิวขาวนวลอันบ่งบอกชาติตระกูลและฐานะอันดี แต่แม้จะมีความเจริญทางทรัพย์สมบัติเท่าไรก็ยังมีใบหน้าที่เคล้าไปด้วยน้ำตา ริมฝีปากแห้งผากตะโกนเรียกไปพร้อมขณะวิ่งด้วยเสียงแหบแห้ง
“เสงี่ยม! มึงจะไปไหน มึงจะทิ้งป้อทิ้งแม่ไปกับป้อจายแต้กา เสงี่ยม! เสงี่ยม!!” (เสงี่ยม! มึงจะไปไหน มึงจะทิ้งพ่อทิ้งแม่ไปกับผู้ชายจริงหรอ เสงี่ยม! เสงี่ยม!!)
เสียงตะโกนนั้นสะดุดลงพร้อมกับเท้าที่ปราศจากรองเท้าเหยียบลงไปยังหลุมโคลนจนร่างนั้นคะมำลงไป พาให้คนที่เห็นต่างตกใจกรีดร้อง
ด้านหลังของนางมีชายหญิงจำนวนไม่น้อยวิ่งตามมาเป็นพรวนต่างมาหยุดยืนอยู่ด้านหลัง ชายวัยกลางคนร่างสูงท้วมคนหนึ่งวิ่งมาประคองสตรีร่างผอมบางขึ้นกอดแนบกาย พร้อมๆกับที่ชายหนุ่มหญิงสาว 2 คนซึ่งวิ่งมาหยุดยืนข้างๆ ในเวลาไล่เลี่ยกัน เสียงร่ำไห้ของสตรีที่ล้มบาดหัวใจคนฟังอย่างยิ่ง มันดังไปถึงคนที่อยู่บนรถคันหน้าซึ่งใช้ผ้าห่มคลุมหัวเพื่อปิดกั้นการรับรู้อยู่
และเหมือนว่าร่างนั้นจะทนไม่ไหวอีกต่อไป ร่างเล็กสะบัดผ้าออกจากตัวหันมาดูผู้เป็นมารดา เธอตะโกนบอกให้คนขับรถที่จ้างมาหยุดก่อน ข้างๆกันมีชายหนุ่มวัยรุ่นที่จับประคองหญิงสาวไว้แน่นเหมือนกลัวเธอจะเปลี่ยนใจ คนในผ้าห่มบีบมือพยักหน้าให้ก่อนลงจากรถที่ยามนี้ทิ้งระยะห่างไปไกลเกิน แต่ก็พอตะโกนคุยกันได้อยู่
“แม่...” หญิงสาวเรียกเสียงไม่เบานัก
“เสงี่ยม…” คนเป็นแม่ตะเบ็งเสียงตอบแม้จะอ่อนแรงอยู่ในอ้อมกอดสามี “กลับบ้านเต๊อะลูก ไปกับป้อจายคนนั้นมันจะยะหื้อลูกลำบาก ตั๋วบ่ฮู้หรอกว่าสิ่งตี้ยะอยู่มันเลวร้ายมอกใด แม่บ่อยากหื้อลูกไปตกนรก” (กลับบ้านเถอะลูก ไปกับผู้ชายคนนั้นมันจะทำให้ลูกลำบาก หนูไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ทำมันเลวร้ายขนาดไหน แม่ไม่อยากให้ลูกไปตกนรก)
“แม่..แต่น้องฮักเขา น้องมีความสุขตี้ได้อยู่กับเขา แม่อย่าบังคับหื้อน้องเมือไปอยู่กับคนตี้น้องบ่ได้ฮัก” (แม่..แต่หนูรักเขา หนูมีความสุขที่ได้อยู่กับเขา แม่อย่าบังคับให้หนูกลับไปอยู่กับคนที่หนูไม่ได้รัก)
“แต่แม่เลือกสิ่งตี้ดีตี้สุ๊ดหื้อสูหนา ยะหยังสูถึงบ่หัน” (แต่แม่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แกนะ ทำไมแกถึงมองไม่เห็น)
“สิ่งตี้ดีของแม่บ่แม่นสิ่งที่ดีของน้อง แม่ปล่อยน้องไปเต๊อะ น้องเจื้อว่าน้องจะมีจีวิตตี้ดีได้” (สิ่งที่ดีของแม่ไม่ใช่สิ่งที่ดีของหนู แม่ปล่อยหนูไปเถอะ หนูเชื่อว่าตัวเองจะมีชีวิตที่ดีได้)
“บ่ได้! กูบ่หื้อสูไป ตอนนี้สูยังหลงมันหน้ามืดต๋ามัว มันอู้อะหยังสูกะเจื้อ มันยะหื้อสูลืมป้อลืมแม่ได้ มันกะบ่แม่นคนดี กูบ่ยอมๆ” (ไม่ได้! ฉันไม่ให้แกไป ตอนนี้แกหลงมันหน้ามืดตามัว มันพูดอะไรแกก็เชื่อ ถึงขนาดทำให้แกลืมพ่อลืมแม่ได้มันก็ไม่ใช่คนดีแล้ว ฉันไม่ยอมๆ)
เสียงนั้นตะเบ็งขึ้นมาอีกรอบตั้งท่าจะกระโจนออกจากอกสามี หญิงสาวอีกฝั่งตกใจก้าวถอยหลังจนเกือบล้มดีที่ชายคนรักกอดประคองไว้ก่อน
“ข้าเจ้าขอได้ก่อ ปล่อยลูกไปเต๊อะ!” (หนูขอเถิด ปล่อยหนูไปเถอะ)
ผู้เป็นแม่เห็นแบบนั้นยิ่งไม่ยอม นางตะโกนสั่งให้ชายร่างกำยำด้านหลังไปจับตัวบุตรสาวและชายคนนั้นไว้ ทุกคนกำลังจะปฏิบัติตามคำสั่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ทันใดนั้นเองภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องสว่าง มันกระทบกับเงาของอะไรบางอย่างสะท้อนจากอีกฝั่ง รู้ตัวอีกทีก็พบว่าผู้เป็นลูกใช้พร้าเงาวับด้ามหนึ่งแนบกับคอตนเอง คมของมันไม่อาจดูถูกได้เพราะแค่ยกขึ้นมากระแทกด้วยความเร่งรีบยังสามารถเรียกเลือดเส้นบางๆจากลำคอขาวผ่องนั้น
“อย่าเข้ามาเน้อ!”
“เสงี่ยม!/ อี่นาย!” เสียงตะโกนห้ามดังเซ้งแซ่ท่ามกลางความสงัดของเวลาเที่ยงคืน คนเป็นแม่ถึงกับกลั้นหายใจด้วยความหวั่นระทึกและเสียใจถึงขีดสุดที่บุตรสาวใช้ชีวิตตัวเองมาต่อรองกับตนเพื่อชายไร้หัวนอนปลายเท้าคนหนึ่ง
“ถ้าแม่หื้อคนมาจับน้อง น้องก่อจะขอต๋ายตรงนี้ บ่ยอมกลับไปเด็ดขาด ถ้าจะเอาก็เอาไปแต่ตั๋วหื้อเลือดชั่วๆมันไหลตี้นี่หื้อหม๊ดแม่คงจะพอใจ๋!”(ถ้าแม่ให้คนมาจับหนู หนูก็จะขอตายตรงนี้ ไม่ยอมกลับไปเด็ดขาด ถ้าจะเอากลับไปก็เอาไปแค่ตัวให้เลือดชั่วๆไหลให้หมดก่อน แม่คงจะพอใจ)
ยิ่งพูดเท่าไหร่ร่างนั้นยิ่งสั่นระริกชายคนรักเองก็รีบเข้ามาห้ามแต่เธอก็ยื้อยุดฉุดกระชากเขาไม่ยอมมอบพร้าไป เหตุการณ์ด้านนั้นมันน่าหวาดเสียวยิ่งในสายตาคนเป็นพ่อเป็นแม่
สตรีวัยกลางคนรู้สึกพ่ายแพ้ เธอเลี้ยงบุตรสาวมากับมือย่อมรู้ดีถึงความหัวรั้น เอาแต่ใจและไม่ยอมใคร หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปก็ไม่ต่างการรอรับร่างไร้วิญญาณนั้น
“ปอ! ปอได้แล้ว! กูยอมแล้วกูยอมสูแล้ว ลูกเหย…ลู๊กก! สูจะฮักไผก่อฮักแม่จะบ่บังคับแหม แต่ขอเมือบ้านเฮานะเสงี่ยม..” (พอ! พอได้แล้ว! ฉันยอมแล้วฉันยอมแกแล้ว ลูกหนอ…ลูก! แกจะรักใครแม่จะไม่บังคับอีกแต่ขอกลับบ้านเราเถอะนะ เสงี่ยม..)
“บ่! น้องฮู้ว่าแม่จะจุ๊หื้อต๋ายใจ๋แล้วก่อพรากน้องกับเขา น้องบ่มีวันกลับไป!” (ไม่! หนูรู้ว่าแม่จะหลอกให้ตายใจแล้วค่อยพรากหนูกับเขา หนูไม่มีวันกลับไปแน่!)
แม้แต่ความเชื่อใจก็ไม่เหลือให้แม่เลยหรือ? อะไรดลใจให้เลือดในอกมองนางเป็นคนชั่วร้ายปานนั้นได้ ความตรอมตรมกลายเป็นความเคียดแค้น คนเป็นแม่ใช้แรงโกรธที่ปะทุตะโกนไปอย่างไม่มีผู้ใดคาดคิด
“ได้! จะอั้นมึงไป! ไปแล้วบ่ต้องกลับมาหื้อกูเห๋นหน้าแหม มึงใสหัวไปหื้อไกล๋แล้วกูจะกึ๊ดซะว่าบ่มีลูกจื้ออี่เสงี่ยมแหมต่อไป ตัดแม่ตัดลูกกั๋นแต่ตอนนี้ ไปเลย! บ่ต้องมาหื้อกูเห๋นหน้า! อี่ลูกชั่ว! ไป๊!!!” (ได้! ถ้างั้นมึงก็ไป! ไปแล้วไม่ต้องกลับมาให้กูเห็นหน้าอีก! มึงใสหัวไปให้ไกลแล้วกูจะคิดซะว่าไม่เคยมีลูกชื่อเสงี่ยมอีก ตัดแม่ตัดลูกกันแต่ตอนนี้ ไปเลย! ไม่ต้องมาให้กูเห็นหน้า! อีลูกชั่ว! ไป๊!!)
ทุกคนต่างตกตะลึง ด้านเสงี่ยมได้ยินเช่นนั้นก็น้ำตาไหลพรากแต่ก็ไม่คิดเปลี่ยนใจ เธอจับมือคนรักลงคุกเข่าก้มกราบที่พื้นเป็นเชิงลา คนเป็นบิดาที่คอยประคองภรรยาตนไม่อาจทนได้ เขาทำทีจะเดินไปหาทั้งคู่ แต่ถูกคู่ชีวิตดึงไว้จ้องมองไปด้วยสายตาพร่ามัวเพราะน้ำตากลบภาพตรงหน้าหมดสิ้น
“ลูกขอสุมาป้อแม่นะเจ้า ลูกลาแล้ว” (ลูกขอขมาพ่อกับแม่ด้วยนะคะ ลูกขอลาแล้ว)
เสียงแผ่วแต่กังวาลชัดในความเงียบบ่งบอกการตัดสินใจสุดท้ายของสาวน้อย
พูดจบคนฝั่งโน้นก็ลุกขึ้นทันทีหันหลังอย่างตัดใจขึ้นรถพร้อมกับสั่งให้คนขับรถรับจ้างไปต่อ เมื่อเสียงสตาร์ทรถดังขึ้นพร้อมกับที่ล้อรถออกหมุน ก็มีเสียงตะโกนไล่หลังมา
“อี่เสงี่ยม มึงกลับมาเดี๋ยวนี้! อี่ลูกอกตัญญู! มึงยะหื้อป้อแม่เสียใจ๋ ต๋ายกะต๋ายต๋าบ่หลับ มึงยะได้จะใด โฮ…กูขอสาปแจ่ง ขอหื้อมึงตึงสองบ่มีความสุขบ่มีความเจริญ ทำมาก๊าขายบ่ขึ้น จีวิตบัดซบจิบหาย มึงจำคำแจ่งของแม่มึงหื้อดี อี่เสงี่ยม อี่เสงี่ยม มึงได้ยินก่อ โฮฮฮฮ”
หญิงสาวผู้เป็นลูกหลับตาลงปิดการรับรู้ทุกสิ่ง มีเพียงน้ำตาที่ไหลผ่านเปลือกตาบางเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าเธอได้ยินเสียงตะโกนแหลมและเสียงเรียกชื่อที่มีทั้งอารมณ์ห่วงหา เสียใจ และโกรธแค้นเมื่อเห็นว่าคนที่ปลายทางไร้ซึ่งทีท่าจะหวนคืน
สิ้นเสียงนั้น ร่างแบบบางของหญิงวัย 40 ปีที่หัวใจเกินจะรับความเจ็บปวดไหวก็ล้มพับลงทันทีเสียงกรีดร้องอย่างตกใจของบ่าวชาวหญิงดังขึ้นมาสะท้อนก้องไปในความเงียบ
“แม่หน้อยๆ โธ่ เป็นลมไปเหียแล้ว ลูกหนอลูก ยะจะอี้กับพ่อแม่ได้จะใดเสงี่ยมเอ๋ย” (แม่หน้อยๆ โถ่ เป็นลมไปซะแล้ว ลูกหนอลูก ทำยังงี้กับพ่อแม่ได้ยังไงเสงี่ยมเอ๋ย)
สุดเสียงนั้นชายที่ฝืนทนกลั้นน้ำตามาตลอดก็ฟุบหน้าลงกอดภรรยาที่เป็นลมอยู่หลั่งน้ำตาออกมาเงียบๆ ด้วยความเสียใจ
เจ็บปวดจนใจจะขาดรอนๆ แต่ไม่อาจแสดงออกได้เพราะต้องคอยเป็นหลักยึดให้ภรรยาแต่ยามนี้เขาไร้เรี่ยวแรงจะประคองตัวเองเพื่อตามรั้งบุตรสาวคนเดียวที่ไร้ใจอีกต่อไปแล้ว
ท่ามกลางบรรยากาศหดหู่ของผู้คนนับสิบที่รายล้อม หญิงสาวใบหน้าอ่อนหวานยืนนิ่งงันเคียงข้างชายหนุ่ม เธอทำได้เพียงมองเหม่อไปยังชายหญิงวัยกลางคนคู่นั้นซึ่งถูกบุตรสาวทอดทิ้งด้วยความเศร้าเสียใจและรู้สึกผิด
‘น้องขอโทษนะเจ้า…’
หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาในใจ เหตุการณ์ที่เกิดในวันนี้ไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นคนที่รู้ทุกอย่างแต่ก็ยังปล่อยให้เกิด..
เป็นคนที่คอยเฝ้ามองการผลิดอกออกผลต้นรักของคนสองคนโดยไม่ห้ามปรามแม้รู้ดีถึงความต่างทางฐานะสังคม
และรู้ดีถึงบทสรุปที่ปลายทาง…
ไม่ใช่ว่าเธอไม่พยายาม…แต่เพราะเธอพยายามเปลี่ยนมันให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นแล้วแต่ก็วนกลับมาเช่นเดิม โชคชะตาลิขิตไม่อาจฝืน เธอที่เป็นแค่ชนรุ่นหลังมีสิทธิ์แค่ทำให้เรื่องราวมันเป็นไปในแบบที่ควรจะเป็นเท่านั้น
** เนื่อเรื่องตั้งแต่นี้ไปขอใช้บทสนทนาเป็นภาษาไทยกลางนะคะ เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน แต่บริบททั้งหมดเกิดขึ้นที่ภาคเหนือค่ะ
ความคิดเห็น