คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : การชันสูตรพลิกศพ (1)
มาถึงงานหลักของเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานกันแล้วค่ะ
มาดูกันว่าการชันสูตรเป็นไงบ้างนะคะ
<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<
การชันสูตรพลิกศพ (Autopsy)
คือการตรวจพิสูจน์เพื่อดูสภาพศพแต่เพียงภายนอก ค้นหาสาเหตุและพฤติการณ์ที่ตาย ผู้ตายคือใคร ตายเมื่อใด ถ้าตายโดยคนทำร้าย สงสัยว่าใครเป็นผู้กระทำความผิดที่ทำให้เกิดการตายตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 129 ความว่า ให้ทำการสอบสวนรวมทั้งการชันสูตรพลิกศพในกรณีที่ความตายเป็นผลแห่งการกระทำผิดอาญาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยการชันสูตรพลิกศพ ถ้าการชันสูตรพลิกศพยังไม่เสร็จ ห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาล ซึ่งตามกฎหมายมีความมุ่งหมายให้แพทย์และพนักงานสอบสวนดำเนินการตรวจสอบในสถานที่พบศพ ยกเว้นแต่ว่าการชันสูตรพลิกศพ เพื่อตรวจดูสภาพศพในสถานที่เกิดเหตุนั้น อาจเป็นเหตุทำให้การจราจรติดขัดมาก อาจกลายเป็นสถานที่ไม่น่าดูหรืออาจก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชน แพทย์และพนักงานสอบสวนย่อมมีสิทธิ์ที่จะสามารถเคลื่อนย้ายศพ เพื่อทำการชันสูตรพลิกศพยังสถานที่ที่เหมาะสมได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 148 ความว่า เมื่อปรากฏแน่ชัดหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่า บุคคลใดตายโดยผิดธรรมชาติ หรือตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานให้มีการชันสูตรพลิกศพ เว้นแต่ตายโดยการประหารชีวิตตามกฎหมาย อาจเห็นได้ว่าสภาพการจราจรในปัจจุบันก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางด้านจราจรเป็นจำนวนมาก เกือบทุกรายที่ประสบอุบัติเหตุจะเสียชีวิต จึงจำเป็นที่จะต้องเคลื่อนย้ายศพจากสถานที่เกิดเหตุเพื่อไปทำการชันสูตรพลิกศพและตรวจสอบสาเหตุการตายในสถานที่อื่นเช่น สถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งก็มักจะเป็นสถานที่ที่ใช้ในการผ่าศพนั่นเอง
ประวัติ
การชันสูตรพลิกศพในประเทศไทยไม่ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากนัก เท่าที่ปรากฏหลักฐานที่สามารถสืบค้นและตรวจสอบได้ในประเทศไทย สามารถเรียงลำดับตามเหตุการณ์ตามประวัติของการชันสูตรพลิกศพ โดยมีจุดเริ่มต้นเมื่อปี ร.ศ.116 หรือ พ.ศ. 2440 ประเทศไทยได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติปกครองท้องที่ ร.ศ.116 มาตรา 47 ข้อ 1 ซึ่งมีข้อความว่า ถ้าผู้ถูกกระทำร้ายจะทำการชันสูตรบาดแผลของตน เพื่อเป็นหลักฐานในทางความก็ตามหรือพรรคพวกผู้ตาย จะขอให้ชันสูตรศพเพื่อเป็นหลักฐานในเหตุความตายนั้นก็ตาม ทั้งนี้เป็นหน้าที่ของกรมการอำเภอ ที่จะทำการชันสูตรตามวิธีที่บังคับไว้ในกฎหมาย ถ้าการชันสูตรนั้นจะมาทำยังที่ว่าการอำเภอไม่ได้ กรมการอำเภอ ก็ต้องไปชันสูตรให้ถึงที่ ต่อมาภายหลังปี พ.ศ. 2441 หลังจากพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวประกาศใช้ได้เพียง 1 ปี กรมพลตระเวนซึ่งต่อมาคือกรมตำรวจหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติในปัจจุบัน ซึ่งมีเจ้ากรมคนแรกคือ นายอีริก เจ ลอว์สัน ชาวอังกฤษ ได้มองเห็นความสำคัญของการมีสถานที่รักษาพยาบาลเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เจ็บป่วย พร้อมกับช่วยชันสูตรบาดแผล และชันสูตรศพ เพื่อประกอบการพิจารณาคดีต่าง ๆ ในด้านของตำรวจ จึงได้จัดตั้งสถานพยาบาลของตำรวจขึ้นที่ ตำบลพลับพลาไชย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีชื่อเรียกว่า "โรงพยาบาลวัดโคก" มีนายแพทย์ชาวต่างประเทศหลายคนมาช่วยดำเนินการ
ปี พ.ศ. 2496 กรมตำรวจได้จัดตั้ง "ฝ่ายนิติเวชวิทยา" ขึ้นเป็นแห่งแรกในโรงพยาบาลกรมตำรวจ เพื่อทำหน้าที่ในการชันสูตรพลิกศพผู้ตาย ต่อมาปี พ.ศ. 2503 ได้ประกาศใช้พระราชกฤษฎีกา แบ่งส่วนราชการกองแพทย์ กรมตำรวจ ออกเป็น 4 แผนก โรงพยาบาลตำรวจเป็นแผนกหนึ่งของกองแพทย์ แบ่งออกเป็น 13 แผนกวิชา ฝ่ายนิติเวชวิทยาได้เปลี่ยนฐานะเป็น "แผนกวิชานิติเวชวิทยา " และสร้างตึก "ตวงสิทธิ์อนุสรณ์" เป็นที่ทำงานของฝ่ายนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจในปี พ.ศ. 2506 พร้อมกับจัดตั้งกรมตำรวจสร้างอาคาร 3 ชั้น เป็นที่ทำงานใหม่ของฝ่ายนิติเวชวิทยา โดยไม่ขึ้นตรงกับหน่วยงานใดในปี พ.ศ. 2515
ปี พ.ศ. 2523 แผนกนิติเวชวิทยาปรับฐานะขึ้นเป็น "กองบังคับการ" เป็นหนึ่งในสี่ของกองบังคับการในสังกัดสำนักงานแพทย์ใหญ่ กรมตำรวจ ใช้ชื่อว่า "สถาบันนิติเวชวิทยา" ตามคำสั่งกรมตำรวจที่ 35/2523 เป็นองค์กรรับผิดชอบงานนิติเวชศาสตร์ของประเทศไทยนับแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
การชันสูตรพลิกศพ
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ได้แบ่งแย่งการชันสูตรพลิกศพออกจากการผ่าศพทางนิติเวชศาสตร์อย่างชัดเจน คือแพทย์ผู้ทำการผ่าตรวจพิสูจน์ศพ จะสามารถกระทำการผ่าศพได้ก็ต่อเมื่อเจ้าพนักงานสอบสวนผู้ชันสูตรศพ มีความเห็นสมควรให้ผ่าพิสูจน์ศพ รวมทั้งการส่งชิ้นเนื้อของศพให้นิติเวชแพทย์ เพื่อทำการตรวจพิสูจน์
ในกรณีที่แพทย์และพนักงานสอบสวนไปทำการชันสูตร ณ สถานที่พบศพ แพทย์และพนักงานสอบสวนต้องระมัดระวังที่จะไม่ทำและก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อการตรวจหาพยานหลักฐานของเจ้าพนักงาน ผู้ทำหน้าที่ตรวจสถานที่เกิดเหตุด้วย แพทย์สามารถใช้การตรวจสถานที่เกิดเหตุเพื่อสำหรับเป็นข้อมูลที่ช่วยประกอบการผ่าศพ เพื่อที่จะสันนิษฐานพฤติการณ์ตายได้ใกล้เคียงขึ้นดังคำว่า "การผ่าศพทางนิติพยาธิเริ่มตั้งแต่ที่เกิดเหตุ" แต่ถ้าเจ้าพนักงานสอบสวนทำการชันสูตรศพในเบื้องต้นและรู้สาเหตุการตายแล้ว รวมทั้งพอใจต่อผลของการพิสูจน์ศพในสถานที่เกิดเหตุ ให้ถือว่าการชันสูตรพลิกศพนั้น เสร็จสิ้นตามกฎหมาย
การชันสูตรพลิกศพในไทย
เป็นกระบวนการที่กำหนดขึ้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 148 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า "เมื่อปรากฏแน่ชัดหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่า บุคคลใดตายโดยผิดธรรมชาติ หรือตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงาน ให้มีการชันสูตรพลิกศพเว้นแต่ตายโดยประหารชีวิตตามกฎหมาย" ซึ่งการตายโดยผิดธรรมชาติคือ การตาย 5 ลักษณะ ดังต่อไปนี้
1.ฆ่าตัวตาย
2.ถูกผู้อื่นทำให้ตาย
3.ถูกสัตว์ทำร้ายตาย
4.อุบัติเหตุ
5.การตายโดยยังมิปรากฏเหตุ
การตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงาน ได้แก่การตายที่อยู่ในระหว่างควบคุมหรือขัง หรือกักขัง หรือจำคุก หรือคุมตัวของเจ้าพนักงานตามกฎหมาย หรือคำพิพากษา หรือตามคำสั่งของศาลแล้วแต่กรณี ไม่ว่าการตายนั้นจะเป็นการตายโดยผิดธรรมชาติ หรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเจ้าพนักงานผู้ควบคุมว่า เกี่ยวข้องกับการตายหรือไม่
วิธีการชันสูตรพลิกศพ
วิธีการชันสูตรพลิกศพในประเทศไทย มีด้วยกัน 2 วิธี คือ การชันสูตรพลิกศพโดยไม่ผ่าและการชันสูตรพลิกศพโดยการผ่าศพตรวจ สำหรับการการชันสูตรพลิกศพโดยไม่ผ่าคือ การตรวจสภาพภายนอกของศพ ดูเพศ อายุ เชื้อชาติ สิ่งของติดตัว ฯลฯ เพื่อพิจารณาว่าผู้ตายคือใคร ดูสภาพการเปลี่ยนแปลงของศพภายหลังตาย เพื่อประมาณเวลาตาย ดูลักษณะบาดแผลที่ปรากฏเพื่อสันนิษฐานสาเหตุของการตายการตรวจ ดังกล่าวจะต้องพลิกศพดูทั้งด้านหน้าและด้านหลังของศพ จึงใช้คำว่า "พลิกศพ"
การตรวจสอบด้วยการผ่าศพ
ส่วนการชันสูตรพลิกศพโดยการผ่าศพตรวจ เป็นการกระทำเมื่อมีเหตุจำเป็นเพื่อหาสาเหตุการตาย ในกรณีที่การพลิกศพไม่สามารถบ่งบอกสาเหตุการตายได้ชัดเจน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความคดีอาญา มาตรา 151 บัญญัติว่า "ในเมื่อมีความจำเป็นเพื่อพบเหตุของการตาย เจ้าพนักงานผู้ชันสูตรพลิกศพมีอำนาจสั่งให้ผ่าศพเพื่อแยกธาตุส่วนใด หรือจะให้ส่งทั้งศพ หรือบางส่วนไปยังแพทย์ หรือพนักงานแยกธาตุของรัฐบาลก็ได้" การผ่าศพเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการพิสูจน์หาสาเหตุการตาย สามารถตอบปัญหา และข้อสงสัยจากการพลิกศพได้เช่น เมื่อพลิกศพพบบาดแผลเป็นรูลึกเข้าไปในร่างกาย รูลึกนี้อาจเกิดจากกระสุนปืน หรือตะปูขนาดใหญ่ก็ได้ การผ่าศพจะทำให้ทราบว่าบาดแผลนั้นเกิดจากอาวุธหรือวัตถุอะไร และยังทำให้ทราบต่อไปว่าอาวุธหรือวัตถุนั้น ถูกอวัยวะสำคัญอะไรจึงทำให้ตาย หรือในกรณีที่การพลิกศพไม่พบบาดแผลปรากฏภายนอกให้เห็น การผ่าศพจะบอกได้ว่า การตายเกิดจากตับแตก ม้ามแตก ฯลฯ อันเป็นผลให้เกิดการบาดเจ็บ หรือเกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง เส้นโลหิตในสมองแตก ฯลฯ อันเป็นโรคธรรมดา เป็นต้น
การผ่าศพ นอกจากจะใช้วิธีผ่าศพตรวจดูด้วยตาเปล่า (Gross Examination) แล้ว ยังรวมถึงการตัดเอาก้อนเนื้อไปตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Microscopic Examination) อีกด้วยอย่างไรก็ตาม การผ่าศพไม่สามารถกระทำได้ในกรณีผู้ตายเป็น อิสลามิกชน เนื่องจากหลักการของศาสนาอิสลามมีว่า มนุษย์ทุกคนที่พระองค์อัลลอย์ทรงสร้างมานั้นเป็นสิทธิของพระองค์ มุสลิมจึงเป็นสิทธิของพระผู้เป็นเจ้า ต้องรักษาไว้ในสภาพเดิมทุกประการ หมายถึงศพอยู่ในสภาพใดก็ให้อยู่ในสภาพนั้น ห้ามมิให้ผู้ใดตัด หรือทำลายศพโดยเด็ดขาด การยกเว้นผ่าศพชาวไทยอิสลามนั้น กระทรวงมหาดไทยได้ออกหนังสือที่ มท 387/2500 ลงวันที่ 31 มกราคม 2500 มีข้อความว่า ขอให้งดเว้น การผ่าศพชาวไทยอิสลามที่ถูกฆาตกรรมแทงตาย ยิงตายหรือโดยอุบัติเหตุ หรือถึงแก่กรรมโดยมิได้ปรากฏเหตุ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ออกระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยอำนาจและหน้าที่ในการชันสูตรพลิกศพฉบับที่ 3 พ.ศ. 2527 ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2527 ข้อ 319 มีข้อความว่า การชันสูตรพลิกศพ ผู้ที่เป็นชาวไทยอิสลาม ถ้าจะต้องทำการดังกล่าวในวรรคก่อน ก็ขอให้พยายามหลีกเลี่ยงการผ่าศพ ทั้งนี้เพื่อมิให้เป็นการผิดต่อลัทธิศาสนาอิสลาม
ในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทยยังแยกการชันสูตรพลิกศพกับการผ่าศพออกจากกันคือ ระบุว่าจะทำการผ่าศพต่อเมื่อเจ้าพนักงานผู้ชันสูตรเห็นควรส่งศพ หรือชิ้นส่วนของศพให้แพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐทำการผ่าศพหรือแยกธาตุ ถ้าเจ้าพนักงานเห็นว่าการชันสูตรพอรู้สาเหตุการตายแล้ว ถือว่าการชันสูตรศพรายนั้นเสร็จสิ้นแล้วตามกฎหมาย ทั้ง ๆ ที่วิชานิติเวชศาสตร์ในปัจจุบัน ถือว่าการชันสูตรพลิกศพแต่เพียงอย่างเดียวมักไม่เพียงพอ นิติพยาธิแพทย์ควรพิจารณาเป็นราย ๆ ไปว่าจะมีเพียงบางรายเท่านั้นที่อาจไม่จำเป็นต้องผ่าศพ
ปี พ.ศ. 2496 กรมตำรวจได้จัดตั้ง "ฝ่ายนิติเวชวิทยา" ขึ้นเป็นแห่งแรกในโรงพยาบาลกรมตำรวจ เพื่อทำหน้าที่ในการชันสูตรพลิกศพผู้ตาย ต่อมาปี พ.ศ. 2503 ได้ประกาศใช้พระราชกฤษฎีกา แบ่งส่วนราชการกองแพทย์ กรมตำรวจ ออกเป็น 4 แผนก โรงพยาบาลตำรวจเป็นแผนกหนึ่งของกองแพทย์ แบ่งออกเป็น 13 แผนกวิชา ฝ่ายนิติเวชวิทยาได้เปลี่ยนฐานะเป็น "แผนกวิชานิติเวชวิทยา " และสร้างตึก "ตวงสิทธิ์อนุสรณ์" เป็นที่ทำงานของฝ่ายนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจในปี พ.ศ. 2506 พร้อมกับจัดตั้งกรมตำรวจสร้างอาคาร 3 ชั้น เป็นที่ทำงานใหม่ของฝ่ายนิติเวชวิทยา โดยไม่ขึ้นตรงกับหน่วยงานใดในปี พ.ศ. 2515
1.ฆ่าตัวตาย
2.ถูกผู้อื่นทำให้ตาย
3.ถูกสัตว์ทำร้ายตาย
4.อุบัติเหตุ
5.การตายโดยยังมิปรากฏเหตุ
วิธีการชันสูตรพลิกศพ
ความคิดเห็น