ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : มหาธาตุต่างมิติ : ศึกอมตะธาตุ.....บทนำ
.................... สงครามครั้งยิ่งใหญ่ของหมู่มวลมนุษย์อุบัติขึ้นแล้ว แต่ทว่า... มันก็ผ่านพ้นไปแล้วเช่นกัน..................
Extraterrestrial Elements : The Immortal Element 's War
มหาธาตุต่างมิติ : ศึกอมตะธาตุ
บทนำ ( นี่คือโลก )
นี่เป็นเวลาหลังจากวันนั้นประมาณ 500 ปีเศษ ประชาชนพลุกพล่านอยู่แต่บริเวณตัวเมืองบนเกาะแห่งหนึ่ง รวมพื้นที่ราวๆ 1 ใน 10 ของพื้นดินบนโลกใบนี้
แล้วที่เหลือล่ะ?????
นับแต่สงครามวันนั้น หมู่มนุษย์ล้มตายเป็นจำนวนมาก การรุกรานแบบฉับพลันของมนุษย์ต่างดาวทำเอาชาวมนุษย์โลกขวัญเสีย ผู้คนแตกสามัคคี พบแต่ความเห็นแก่ตัวไปทุกท้องที่ สุดท้าย มนุษย์ที่หลงเหลืออยู่ก็ต้องยอมจำนนแก่เหล่ามนุษย์ต่างดาวนับล้านที่ยืนกุมอาวุธไว้อย่างครบครัน กำลังรายล้อมอยู่ตรงหน้ากลุ่มมนุษย์ที่ยังมีชีวิต
กองทัพของต่างดาวแบ่งเป็น 5 ทัพ ดิน น้ำ ลม ไฟและสายฟ้า ทัพหน้าสุดเป็นผู้ครองธาตุ เจ้าของขุมพลังธาตุอันมหาศาล เตรียมคร่าชีวิตมนุษย์กลุ่มสุดท้าย
มนุษย์ต่างดาวมีหน้าตาอัปลักษณ์แตกต่างกับมนุษย์โลกสามัญโดยสิ้นเชิง ผิวเป็นมันตกสะเก็ดเขียวคล้ำถูกหุ้มห่มด้วยชุดเกราะเหล็กแข็ง เกือบทุกตัวมีคราบเลือดเปรอะกระจายทุกซอกทุกมุม แต่ร่างเหล่านั้นแลดูแข็งแรงเปี่ยมไปด้วยพละกำลังอย่างบอกไม่ถูก
"กองทัพผู้วิเศษแห่งธาตุทั้ง 5 เตรียมพร้อมได้ ! ทุกๆคน ข้าขอประกาศให้รู้ว่า นี่คือวันที่เราจะได้ครองโลกใบใหม่อันอุดมสมบูรณ์ จงจดจำวันนี้เอาไว้ เพราะว่า...เราจะชนะ!!!!!!"
น้ำเสียงแหบพร่า ไร้เยื่อใยดังก้องขึ้นในวงของศัตรู ผู้พูดมีรูปลักษณ์ซึ่งเป็นชายแก่ผมเงินยวงทอประกาย ดวงตาอำหิตผิดกับแววตาของมนุษย์ทั่วไป แท้จริงแล้ว เขาผู้นั้นหาใช่มนุษย์ มันเป็น หัวหน้า ของเหล่า มนุษย์ต่างดาว ที่สามารถกลายร่างเป็นอะไรก็ได้ตามปรารถนา ร่างกายนั้นบอบช้ำเต็มทน ผ้าคลุมสีน้ำตาลอึมครึมฉีกขาดเป็นแนวยาวกลางแผ่นหลังของผู้นั้น ปากเผยออีกครั้งและแค่นเสียงกึกก้อง
"กองทัพแห่งเทพ ข้าขอประกาศศักดาแห่งชัยชนะ ขอประกาศเป็นครั้งสุดท้ายว่ามนุษย์โลกถึงคราปราชัย ชาว ครอโคนอสทุกคน จะก้าวสู่ยุครุ่งเรืองรุ่งโรจน์ด้วยฝีมือของพวกเรา ข้าของพลังจากเทพทั้ง 11 องค์ รวมถึงวิญญาณองค์เทพฟาร์ติสผู้หายจากไป โปรดทรงดลบันดาลด้วยเถิด"
ฉับพลันบังเกิดแสงสีทองส่องปราดลงจากฟากฟ้าสว่างจ้าเป็นทางยาว หมู่มนุษย์ที่ยังมีชีวิตที่ได้แต่ยืนรอพบกับมัจจุราชแห่งความตายตกใจกันยกใหญ่ แสงนั้นมารวมกลุ่มกันเบื้อหน้าทัพมนุษย์ต่างดาวแล้วจึงเปล่งแสงแยกออกเป็น 11 สายกระจายสู่ทัพมนุษย์ต่างดาวทั้งหมด
" องค์เทพทรงเปิดทางให้เราแล้ว พลังแห่งธาตุสามารถดึงมาใช้ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด อำนาจทวีคูณแกร่งกล้าแล้ว"
ผู้นำต่างดาวตะโกน สิ้นคำ มนุษย์ต่างดาวแถวหน้าสุดชูมือซ้ายขึ้นฟ้า ฝ่ามือขวากางออกข้างหน้า
" จงแผลงฤทธิ์เดช สมุนของข้า จัดการมันด้วย... ไฟบัลลัยกัลป์ วายุพัด พายุทราย สายอสุนีบาตและวารีพิโรธ"
สิ้นเสียงกังวาน มือซ้ายที่ชูขึ้นฟ้าของมนุษย์ต่างดาวพลันเปล่งแสงสีทองระเรื่อ ส่วนมือขวาบ้างเป็นสีแดงพร้อมเปลวไฟร้อนระอุ บ้างเป็นสีฟ้าที่มีกลุ่มไอน้ำจับตัวหมุนวนไปมา บ้างก็มีเม็ดทรายลอยว่อนอยู่รอบ ๆ บ้างก็มีกระแสไฟฟ้าสีเหลืองทองวิ่งเปรี้ยงปร้าง หรือไม่ก็มีลมหมุนวนแลดูคล้ายพายุหมุนขนาดย่อม
"ลุยยยยยยยย !!"
เปลวไฟร้อนระอุกว่าพันองศา ลมกรรโชกแรง สายฟ้าสีเหลืองอร่ามสลับกับเขียวอมม่วง ก้อนอิฐศิลาและทราย ปนกับสายน้ำอันมหาศาล พากันพวยพุ่งออกจากมนุษย์ต่างดาวสลับกันไปเป็นสายแลดูแล้วคล้ายการแสดงโชว์พิสดารที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน พลังทั้งหมดพุ่งเข้าล้อมกลุ่มมนุษย์ที่เหลืออยู่ตรงหน้า - - ไม่มีทางที่จะหนีหายนะเบื้องหน้าได้พ้นเป็นแน่... นอกเสียจาก ปาฏิหาริย์จะมีจริง !!
เปรี้ยง ๆ ๆ !!!!!!
"โล่พลังเวทย์ศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพจงคุ้มครองพวกเขา"
เสียงของชายผู้หนึ่งก้องสะท้านไปทุกแห่งหน ดังมาจากที่ใดมิทราบได้ แต่แล้วปาฏิหาริย์ก็บังเกิดขึ้น แสงสีครามอมม่วงและเทาปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเป็นแผ่นกลมกว้าง ก่อนจะยืดตัวออกและกระจายแผ่คลุมกลุ่มมนุษย์ไว้เป็นปราการรูปโดมขนาดยักษ์ คลื่นสายฟ้า พายุลม น้ำ ดิน หิน และเปลวเพลิง ไม่สามารถเจาะทะลวงเข้าไปได้เลยแม้แต่น้อยและที่น่าตกตะลึงจนมนุษย์ต่างดาวหยุดปล่อยพลังไปตาม ๆ กัน - - โล่ศักดิ์สิทธิ์ดูดกลืนอาณุภาพพลังธาตุทั้งหมดให้หายไปในชั่วพริบตา
ช่วยมันไว้ พวกมันไร้พลัง!!! ไร้พลังศักดิ์สิทธิ์ !!!!"
หัวหน้าต่างดาวในร่างชายแก่ตะคอกเสียงดัง แต่ต้องหยุดชะงักเพราะมีน้ำเสียงเดิมที่คราวแรกไม่ทราบที่มา แต่คราวนี้ ... มันดังอยู่บนท้องฟ้าเหนือหัวพวกเขา
"พวกเจ้าเป็นเจ้าของโลกใบนี้มานานแสนนาน จะยอมให้ศัตรูมายึดไปและฆ่าพวกเจ้าทิ้งงั้นหรือ ข้าบอกตรง ๆ ถ้าเป็นข้า ข้าไม่ยอมแน่ ๆ ย้ากกกกกกกก!!!!!!"
กลุ่มเมฆม้วนตัวเป็นทิวยาวสีดำจาง ๆ ก่อนจะเคลื่อนตัวสนั่นหวั่นไหวราวพายุคลั่ง สายฟ้าแลบแปลบปลาบดูแล้วน่ากลัวยิ่ง ผู้นำของมนุษย์ต่างดาวสีหน้าเริ่มส่อแวววิตกกังวล แต่แล้วมันก็เสกลูกพลังยักษ์สีดำพร้อมประกายสีไข่มุกที่กระจายอยู่รอบ ๆ แล้วจึงปล่อยให้พุ่งขึ้นฟ้า ณ จุดที่เมฆแปรปรวนทันที
"อัคนีทมิฬ ทำลายมันซะ!!!! ไม่ว่าจะเป็นเทพที่มาจากไหนหรือเป็นอะไรก็ตาม"
ตูม!!!! ควันสีเทาหม่นลอยอยู่เต็มท้องฟ้า เมฆยักษ์สลายตัวออกในบัดดล เสียงจากฟ้าดังขึ้นอีกครั้ง
"เวลาวิกฤตจริง ๆ กองทัพเทพครอโคนอสบุกดินแดนข้าถึงปราสาทแล้ว ข้าคงช่วยพวกเจ้าไม่ได้อีก ไม่ว่าจะยังไง ขอเจ้าจงมีความหวังก็พอแล้ว ลาก่อน..."
ท้องฟ้ากลับคืนมาในสภาพปกติ เสียงก้องนั้นหยุดลงและไม่มีเสียงใดดังขึ้นอีกเลย โล่พลังสีครามที่คลุมกลุ่มมนุษย์ไว้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และสลายเป็นผุยผง - - กลุ่มมนุษย์ตกเป็นเป้าโจมตีอีกระลอก - - ครั้งนี้ ปาฏิหาริย์คงไม่มีอีกแล้ว
ท่ามกลางความร้อนระอุ ฝุ่นละอองที่กระจัดกระจายไปทั่ว และเศษซากวัตถุที่กองระเนระนาด กลิ่นเขม่าควันลอยคลุ้งทั่วสารทิศกระจายตัววูบไหวเป็นสีเทาขมุกขมัว ร่างชายฉกรรจ์ชาวโลกคนหนึ่งฉายแววตาท้อแท้สิ้นหวัง แต่ภายในใจยังร้อนระอุประดุจเปลวอัคคีในขุมลึกแห่งนรกโลกันตร์ เขาสาวเท้าวิ่งออกจากกลุ่มพวกพ้องอย่างว่องไวโดยไม่มีใครสังเกตได้ทัน และเมื่อถึงเป้าหมาย เขาถีบตัวสุดแรงจนร่างลอยคว้างขึ้นกลางเวหา ในใจคิดแต่เพียงว่า - - เราต้องมีความหวัง - -
ขณะเดียวกัน หัวหน้ามนุษย์ต่างดาวประกาศอีกครั้ง
"ทีนี้ก็ไม่มีอะไรมาช่วยพวกมันได้ ถึงเวลาแล้ว จงจัดการมัน เหล่าสมุนของ..."
พลั่ก!!! ห้วงเสียงขาดหายไป ร่างชายฉกรรจ์ชาวโลกที่ทุกคนเพิ่งสังเกตเห็นคร่อมทับหัวหน้าของศัตรู มีดพกสีเงินมันวาวและคมกริบจี้ไว้ เตรียมปาดเชือดที่คอของอีกฝ่าย....
ท่ามกลางความตึงเครียด เสียงของชายผู้นั้นดังขึ้น
"ถ้าพวกเจ้าต้องการโลกทั้งใบ ข้าก็จะขอแลกกับ...คอเจ้านี่ !" ชายฉกรรจ์ชาวโลกกล่าว
"ท่านหัวหน้า !!!!! "
"อย่าทำอะไรหัวหน้านะ !!!!!"
"หัวหน้าครับ !!!!! "
"เราไม่ยอมให้แกฆ่าเขาเด็ดขาด"
"เดี๋ยวข้าจะช่วยท่านเอง หัวหน้า !!! "
เสียงตะโกนด้วยความห่วงใยที่มีต่อหัวหน้าของชาวต่างดาว ประสานขึ้นแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน แม้ว่าจะพูดต่างประโยคกันก็ตาม
" ข้ายอมรับว่าครั้งนี้มนุษย์เสียทีแก่พวกน่าขยะแขยงอย่างพวกเจ้า แต่ว่าถ้าจะให้พวกข้าต้องมาตายอย่างไร้ประโยชน์ ไร้ศักดิ์ศรี ทั้งๆที่โลกนี้เป็นที่อยู่ของพวกข้ามาก่อน ข้าขอยอมเชือดคอตัวเองให้ขาดเสียตอนนี้ไม่ง่ายกว่าหรือ ข้ารู้ว่าทุกคนที่ตายไปล้วนต้องการชีวิตกลับคืนมา อยากจะมาดำรงชีพตามวิถีที่ตนเคยเป็นอยู่ แม้จะสุขสบายเหมือนอยู่บนสวรรค์ หรือจะทุกข์ทรมานเหมือนตกนรก..." ชายฉกรรจ์กล่าวด้วยน้ำเสียงอันเข้มแข็ง "ข้าคิดว่าเจ้าตาแก่นี่คงอยากตายมากสินะ"
" ไม่ต้องช่วยข้าก่อนหรอก..ทุกๆคน " คราวนี้ ฝ่ายที่ถูกจี้เอ่ยขึ้นบ้าง แม้น้ำเสียงจะแหบพร่าแต่ก็ฟังดูไร้เยื่อใย มันพูดกับลูกน้องของมัน ก่อนจะชำเลืองหางตามาทางผู้ที่จี้คอมัน " แกต้องการอะไรกันแน่ ข้าไม่ใช่พวกกระจอกอย่างเจ้า ข้าเหนือกว่าเจ้าเป็นร้อย...ไม่สิ เป็นล้านเท่าได้มั้ง"
"แต่ชีวิตเจ้าก็ไม่ได้อมตะนี่" ชายฉกรรจ์พูดด้วยน้ำเสียงฟังดูเจ้าเล่ห์พิกล "ไม่เช่นนั้น ร่างกายคงไม่โทรมขนาดนี้หรอก"
"แกยังไม่ตอบข้าเลยว่าต้องการอะไรกันแน่" หัวหน้าต่างดาวเอ่ย
"อ้อ...ข้อเสนอไงล่ะ"ชายฉกรรจ์พูด
"อะไร" หัวหน้าต่างดาวถาม
"ทิ้งที่ดินไว้ส่วนหนึ่งให้พวกข้าได้อยู่อาศัย"
"จะเอาเท่าไรล่ะ? อย่าโลภนักนะ"
"ก็สัก....เอาเกาะนี้ทั้งเกาะ พื้นที่สักหนึ่งในสิบของที่ทั้งหมดน่าจะได้...พวกเจ้าจะว่าไง...เกาะ...หรือคอ" เขาหันไปถามพวกต่างดาวตนอื่นๆ "อ้อ! ลืมไป อีกอย่างเจ้าห้ามมายุ่งกับพวกข้าด้วย เข้าใจไหม ต่างฝ่ายต่างห้ามยุ่งกันและก้น"
มีเสียงตะโกนตอบกลับมาว่า
"แล้วแต่หัวหน้าครับ"
"แล้วแต่เจ้า..." ชายฉกรรจ์พูด แล้วหันหน้ามามองหัวหน้าชาวต่างดาว มือยังคงกำมีดแน่น จี้ตรงคอหัวหน้าต่างดาวแรงกว่าเดิม "แล้วเจ้าจะว่าไง"
"เจ้ารู้ว่าชีวิตข้าไม่อมตะ แล้วทำไมไม่ฆ่าข้าเสียเลยล่ะ" หัวหน้าต่างดาวถามต่อไป
"ใช่ว่าทั้งทัพจะมีเจ้าเพียงผู้เดียวที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำได้" มนุษย์ผู้นั้นยังคงกล่าวต่อไป "ถ้าข้าทำเจ้าตาย ข้านี่แหละจะตายเสียเอง"
"ถ้าร่างกายข้ายังมีเรี่ยวแรงมากกว่านี้ละก็..." หัวหน้าชาวต่างดาวพูด " ไม่ใช่แค่เจ้าหรอกที่จะตาย แค่พริบตาพวกที่ยืนอยู่ข้างหน้าโน่นก็คงตายหาซากไม่เจอแน่ แต่เสียดาย... ถ้าข้ายั้งมือไม่อยู่ปล่อยพลังแม้เป็นแค่ลูกไฟดวงน้อย พลังเดินชีพจรของข้าก็คงไม่เหลือ และสุดท้ายก็ต้องตาย พลังชุดสุดท้ายไปกับอัคนีทมิฬลูกเมื่อกี้แล้ว"
"แล้วเจ้าจะยอมตายเพื่อพวกพ้องหรือจะยอมมอบพื้นที่บนเกาะให้พวกข้าล่ะ"
"ข้า..." หัวหน้าต่างดาวพูดด้วยใบหน้าอึดอัดใจเล็กน้อย "ตกลง! เอามีดออกจากคอข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะยกเกาะนี้ให้แก่พวกเจ้าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป"
"ไม่! พวกพ้องของเจ้าต้องกลับขึ้นยานให้หมดก่อน"ชายฉกรรจ์ตะเบ็งเสียงแข็ง
"ก็ได้...ทุกคน! กลับขึ้นยานเดี๋ยวนี้เลย" มนุษย์ต่างดาวกล่าว
ไม่ช้า พลทหารต่างดาวก็เคลื่อนทัพกลับขึ้นยานรบลำมหึมาทันที จนบริเวณนั้นไร้ซึ่งชาวต่างดาวนอกจากตัวหัวหน้าที่กลายร่างได้ ชายฉกรรจ์ผู้นั้นปล่อยมีดออกจากคอมนุษย์ต่างดาว ก่อนที่มันจะกระโดดสูงลิ่ว แหวกอากาศและกลุ่มควันสีเทา หายลับขึ้นไปบนยานอวกาศลำยักษ์ที่เพื่อนชาวต่างดาวของมันยืนรออยู่แล้ว รอ...เพื่อวางแผนและเตรียมตัวที่จะยกทัพกลับมายึดเกาะแห่งนี้ โดยครั้งนี้ พวกมันลืมคิดไปว่าแค่กดปุ่มปืนแล้วยิงใส่มนุษย์ที่ยืนเป็นเป้านิ่งอยู่เบื้องล่าง เรื่องของเราก็คงจะจบโดยพวกต่างดาวได้ครองโลกทั้งใบไว้ในกำมืออย่างแน่นอน
***********************
ทันทีที่ยานรบคันมหึมาลงจอดในอีกซีกโลก ชาวต่างดาวจึงเริ่มงานทันที ฝ่ายแรกกำลังออกแบบสิ่งก่อสร้าง อีกฝ่ายพยายามรื้อถอนเศษซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างโดยน้ำมือมนุษย์ ส่วนอีกฝ่ายก็วุ่นกับการปรับปรุงระบบการปกครองจนไม่มีเวลาที่จะหยุดพักเลย
ทางฝ่ายมนุษย์ นับว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่งที่สิ่งก่อสร้างบางแห่งยังไม่ถูกทำลาย ความเห็นแก่ตัวถูกขจัดไปโดยสิ้นเชิง ความสามัคคีประสานกันแน่นแฟ้นทำให้งานเร่งรุดไปอย่างต่อเนื่อง วันเวลาผ่านไป จากคนเพียงร้อยคนก็กลายเป็นสองร้อยคนและยังคงเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง มีสิ่งก่อสร้างมากมายผุดขึ้นราวดอกเห็ดกลางลานกว้าง และส่วนมากจะชุกชุมอยู่ในกลางเมืองที่ได้รับการขนานนามว่า "อาฟเตอร์-เด็ธ" ( After Death ) ที่มีความหมายว่า หลังความตาย...
จากเรือนไม้หลังโทรมที่เรียงตัวเป็นแนวยาวเขตชานเมือง ถูกรื้อถอนแล้วสร้างเป็นตึกที่ใช้วัตถุประเภทโลหะแทนการใช้ปูนซีเมนต์ที่นับว่าล้าหลังเป็นอย่างมาก นวัตกรรมชั้นเยี่ยมถูกประดิษฐ์คิดค้นโดยนักวิทยาศาสตร์อย่างหลากหลาย หุ่นยนต์นับล้านถูกผลิตขึ้นแต่มีเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่อยู่ปะปนกับมนุษย์ได้เนื่องจากพื้นที่ในเกาะมีไม่เพียงพอเท่าใดนัก ดังนั้นหุ่นที่เหลือจึงถูกบรรจุในโกดังกันน้ำชนิดพิเศษแล้วถูกหย่อนไปยังพื้นล่างของมมาสมุทรรอบๆเกาะแห่งนั้นเพื่อรอคอยเวลาการใช้งาน
ฝ่ายมนุษย์ต่างดาว...
เกิดฝ่ายกบฏเล็กๆบนพื้นที่อันกว้างขวางที่มันครอบครอง นักรบกลุ่มหนึ่งรวมตัวต่อต้านหัวหน้าชาวต่างดาวในร่างชายแก่ปลอมแปลงภายในที่พักของมันอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีใครทันตั้งตัว อาวุธคล้ายดาบแต่เรียวยาวกว่าถูกใช้จ้วงแทงกว่าสิบแผลลงบนอกของมัน ตามมาติดด้วยลูกไฟเล็กๆหลากสีสันจากพลังวิเศษของมนุษย์ต่างดาว ร่างชายแก่ลุกไหม้โชติช่วงจนมันสลบลงคาที่ แต่โชคยังคงเข้าข้าง... นายทัพสงครามห้านายที่ร่างกายสูงชะลูดกว่าปกติมาเห็นเหตุการณ์นี้เข้าพอดีจึงเกิดการสู้รบกันอีกครั้งด้วยพลังวิเศษที่ดูเหมือนว่าเหล่านายทัพสงครามยังเหนือชั้นกว่ามาก
ชั่วอึดใจเกิดสายฟ้าแลบแปลบปลาบ แผ่นดินสั่นสะเทือนแทบแยกตัวออกจากกัน เปลวเพลิงร้อนระอุลุกไหม้โชติช่วง ฝุ่นลอยตลบอบอวลด้วยลมโหมกรรโชก สุดท้าย น้ำก็พุ่งทะลักอย่างรวดเร็ว พวกกบฏสิ้นลมทันที แต่ทว่า ชายแก่ผู้นั้น...
นายทัพสงครามทั้งห้ายืนห้อมล้อมร่างหัวหน้าของตนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ทันใดนั้นพลันปรากฏแสงขาวสว่างวาบบาดตาพร้อมเสียง ตูม กึกก้องกำปนาท เพียงพริบตานั้นแสงสว่างเริ่มจางลง นายทัพทั้งห้าผงะล้มลงโดยเบื้องหน้าเป็นชายแก่ผู้นั้น ผมเงินยวงส่องแสงระยิบระยับกว่าเก่า แผลจ้วงแทงหายไปไร้แม้ซึ่งรอย แต่ที่นอกเหนือสิ่งอื่นใด...เสื้อผ้ายังคงขาดวิ่นเช่นเดิม
เป็นเรื่องราวเล่าขานกันมา ว่ากันว่า หัวหน้าของชาวต่างดาวผู้นั้นได้รับพลังธาตุทั้งห้า ทำให้เกิดการรวมตัวแล้วผนึกเป็นพลังธาตุใหม่ที่เรียกว่า อมตะธาตุ ใครได้ครอบครองจะมีชีวิตอยู่ยงคงกระพันและมีพลังเหนืออื่นใด
เนื่องด้วยชีวิตที่อมตะ แผนการยึดครองโลกส่วนที่ขาดหายไปถูกคิดค้นขึ้นมา สิ่งก่อสร้างที่ทำด้วยศิลาสีน้ำตาลแดง ถูกก่อขึ้นข้างๆที่พักของหัวหน้าชาวต่างดาวเพื่อใช้ทำงานอะไรสักอย่าง แต่ความลับนี้ยังไม่ถูกแพร่งพราย ไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลยเว้นเสียแต่ตัวหัวหน้าเองกับนายทัพหรือสมุนเอกทั้งห้าของเขา
กลับมาที่เมืองมนุษย์...
มาถึงวันนี้ ชื่อเมืองอาฟเตอร์-เดธ เปลี่ยนไปตามปากมนุษย์จนไดชื่อใหม่ว่า "อาฟเดธ" ( Afdeath ) สิ่งก่อสร้างใหม่ๆยังคงเพิ่มขึ้นเหมือนกับจำนวนประชากร ป่าไม้ถูกถากถางอยู่เรื่อยๆแต่พวกเขาก็ฉลาดพอที่จะเว้นป่าและภูเขาไว้จำนวนหนึ่ง หนึ่งในนั้นมีภูเขาไฟที่ดับมอดไปแล้วแต่คงอยู่ซึ่งแร่ธาตุอันอุดมสมบูรณ์ทาให้เป็นที่อยู่ชั้นเยี่ยมของสัตว์ป่าและหมู่แมกไม้นานาพันธุ์
อุปกรณ์ฉายแสงเลเซอร์สุดทันสมัยที่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อกันการรุกรานจากมนุษย์ต่างดาว วางต่อกันเป็นแนวยาวใต้ผืนน้ำรัศมีออกห่างจากตัวเกาะประมาณหนึ่งไมล์โดยมีลำแสงสีแดงพุ่งขึ้นจากใต้น้ำจนสิ้นสุดลงที่ชั้นบรรยากาศของโลก สิ่งใดพุ่งผ่านเป็นต้องเละในทันทีไม่เว้นแม้แมลงวันตัวน้อยๆ แผ่นเลเซอร์นี้ฉายแสงหุ้มตัวเกาะทั้งเกาะเอาไว้ ตัวเครื่องฉายสร้างด้วยวัตถุชั้นเยี่ยม เป็นโลหะที่สามารถละลาย แตกสลายหรือระเบิดเป็นจุลได้ภายในอุณหภูมิเกินกว่าหนึ่งพันองศาเซลเซียสเท่านั้น แต่การบังคับเปิดปิด ก็ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่กดปุ่ม ณ หอ บังคับการณ์บนยอดตึกสูงชะลูด ที่มีองกรณ์ลับตั้งอยู่ภายใน โดยมีชื่อแบบลับๆว่า เอฟ-ซี-เซ็ท ( F-C-SET หรือ Find-Check-Suppress Extraterrestrial Thing )
จบบทนำ โปรดติดตามตอนต่อไป
Extraterrestrial Elements : The Immortal Element 's War
มหาธาตุต่างมิติ : ศึกอมตะธาตุ
บทนำ ( นี่คือโลก )
นี่เป็นเวลาหลังจากวันนั้นประมาณ 500 ปีเศษ ประชาชนพลุกพล่านอยู่แต่บริเวณตัวเมืองบนเกาะแห่งหนึ่ง รวมพื้นที่ราวๆ 1 ใน 10 ของพื้นดินบนโลกใบนี้
แล้วที่เหลือล่ะ?????
นับแต่สงครามวันนั้น หมู่มนุษย์ล้มตายเป็นจำนวนมาก การรุกรานแบบฉับพลันของมนุษย์ต่างดาวทำเอาชาวมนุษย์โลกขวัญเสีย ผู้คนแตกสามัคคี พบแต่ความเห็นแก่ตัวไปทุกท้องที่ สุดท้าย มนุษย์ที่หลงเหลืออยู่ก็ต้องยอมจำนนแก่เหล่ามนุษย์ต่างดาวนับล้านที่ยืนกุมอาวุธไว้อย่างครบครัน กำลังรายล้อมอยู่ตรงหน้ากลุ่มมนุษย์ที่ยังมีชีวิต
กองทัพของต่างดาวแบ่งเป็น 5 ทัพ ดิน น้ำ ลม ไฟและสายฟ้า ทัพหน้าสุดเป็นผู้ครองธาตุ เจ้าของขุมพลังธาตุอันมหาศาล เตรียมคร่าชีวิตมนุษย์กลุ่มสุดท้าย
มนุษย์ต่างดาวมีหน้าตาอัปลักษณ์แตกต่างกับมนุษย์โลกสามัญโดยสิ้นเชิง ผิวเป็นมันตกสะเก็ดเขียวคล้ำถูกหุ้มห่มด้วยชุดเกราะเหล็กแข็ง เกือบทุกตัวมีคราบเลือดเปรอะกระจายทุกซอกทุกมุม แต่ร่างเหล่านั้นแลดูแข็งแรงเปี่ยมไปด้วยพละกำลังอย่างบอกไม่ถูก
"กองทัพผู้วิเศษแห่งธาตุทั้ง 5 เตรียมพร้อมได้ ! ทุกๆคน ข้าขอประกาศให้รู้ว่า นี่คือวันที่เราจะได้ครองโลกใบใหม่อันอุดมสมบูรณ์ จงจดจำวันนี้เอาไว้ เพราะว่า...เราจะชนะ!!!!!!"
น้ำเสียงแหบพร่า ไร้เยื่อใยดังก้องขึ้นในวงของศัตรู ผู้พูดมีรูปลักษณ์ซึ่งเป็นชายแก่ผมเงินยวงทอประกาย ดวงตาอำหิตผิดกับแววตาของมนุษย์ทั่วไป แท้จริงแล้ว เขาผู้นั้นหาใช่มนุษย์ มันเป็น หัวหน้า ของเหล่า มนุษย์ต่างดาว ที่สามารถกลายร่างเป็นอะไรก็ได้ตามปรารถนา ร่างกายนั้นบอบช้ำเต็มทน ผ้าคลุมสีน้ำตาลอึมครึมฉีกขาดเป็นแนวยาวกลางแผ่นหลังของผู้นั้น ปากเผยออีกครั้งและแค่นเสียงกึกก้อง
"กองทัพแห่งเทพ ข้าขอประกาศศักดาแห่งชัยชนะ ขอประกาศเป็นครั้งสุดท้ายว่ามนุษย์โลกถึงคราปราชัย ชาว ครอโคนอสทุกคน จะก้าวสู่ยุครุ่งเรืองรุ่งโรจน์ด้วยฝีมือของพวกเรา ข้าของพลังจากเทพทั้ง 11 องค์ รวมถึงวิญญาณองค์เทพฟาร์ติสผู้หายจากไป โปรดทรงดลบันดาลด้วยเถิด"
ฉับพลันบังเกิดแสงสีทองส่องปราดลงจากฟากฟ้าสว่างจ้าเป็นทางยาว หมู่มนุษย์ที่ยังมีชีวิตที่ได้แต่ยืนรอพบกับมัจจุราชแห่งความตายตกใจกันยกใหญ่ แสงนั้นมารวมกลุ่มกันเบื้อหน้าทัพมนุษย์ต่างดาวแล้วจึงเปล่งแสงแยกออกเป็น 11 สายกระจายสู่ทัพมนุษย์ต่างดาวทั้งหมด
" องค์เทพทรงเปิดทางให้เราแล้ว พลังแห่งธาตุสามารถดึงมาใช้ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด อำนาจทวีคูณแกร่งกล้าแล้ว"
ผู้นำต่างดาวตะโกน สิ้นคำ มนุษย์ต่างดาวแถวหน้าสุดชูมือซ้ายขึ้นฟ้า ฝ่ามือขวากางออกข้างหน้า
" จงแผลงฤทธิ์เดช สมุนของข้า จัดการมันด้วย... ไฟบัลลัยกัลป์ วายุพัด พายุทราย สายอสุนีบาตและวารีพิโรธ"
สิ้นเสียงกังวาน มือซ้ายที่ชูขึ้นฟ้าของมนุษย์ต่างดาวพลันเปล่งแสงสีทองระเรื่อ ส่วนมือขวาบ้างเป็นสีแดงพร้อมเปลวไฟร้อนระอุ บ้างเป็นสีฟ้าที่มีกลุ่มไอน้ำจับตัวหมุนวนไปมา บ้างก็มีเม็ดทรายลอยว่อนอยู่รอบ ๆ บ้างก็มีกระแสไฟฟ้าสีเหลืองทองวิ่งเปรี้ยงปร้าง หรือไม่ก็มีลมหมุนวนแลดูคล้ายพายุหมุนขนาดย่อม
"ลุยยยยยยยย !!"
เปลวไฟร้อนระอุกว่าพันองศา ลมกรรโชกแรง สายฟ้าสีเหลืองอร่ามสลับกับเขียวอมม่วง ก้อนอิฐศิลาและทราย ปนกับสายน้ำอันมหาศาล พากันพวยพุ่งออกจากมนุษย์ต่างดาวสลับกันไปเป็นสายแลดูแล้วคล้ายการแสดงโชว์พิสดารที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน พลังทั้งหมดพุ่งเข้าล้อมกลุ่มมนุษย์ที่เหลืออยู่ตรงหน้า - - ไม่มีทางที่จะหนีหายนะเบื้องหน้าได้พ้นเป็นแน่... นอกเสียจาก ปาฏิหาริย์จะมีจริง !!
เปรี้ยง ๆ ๆ !!!!!!
"โล่พลังเวทย์ศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพจงคุ้มครองพวกเขา"
เสียงของชายผู้หนึ่งก้องสะท้านไปทุกแห่งหน ดังมาจากที่ใดมิทราบได้ แต่แล้วปาฏิหาริย์ก็บังเกิดขึ้น แสงสีครามอมม่วงและเทาปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเป็นแผ่นกลมกว้าง ก่อนจะยืดตัวออกและกระจายแผ่คลุมกลุ่มมนุษย์ไว้เป็นปราการรูปโดมขนาดยักษ์ คลื่นสายฟ้า พายุลม น้ำ ดิน หิน และเปลวเพลิง ไม่สามารถเจาะทะลวงเข้าไปได้เลยแม้แต่น้อยและที่น่าตกตะลึงจนมนุษย์ต่างดาวหยุดปล่อยพลังไปตาม ๆ กัน - - โล่ศักดิ์สิทธิ์ดูดกลืนอาณุภาพพลังธาตุทั้งหมดให้หายไปในชั่วพริบตา
ช่วยมันไว้ พวกมันไร้พลัง!!! ไร้พลังศักดิ์สิทธิ์ !!!!"
หัวหน้าต่างดาวในร่างชายแก่ตะคอกเสียงดัง แต่ต้องหยุดชะงักเพราะมีน้ำเสียงเดิมที่คราวแรกไม่ทราบที่มา แต่คราวนี้ ... มันดังอยู่บนท้องฟ้าเหนือหัวพวกเขา
"พวกเจ้าเป็นเจ้าของโลกใบนี้มานานแสนนาน จะยอมให้ศัตรูมายึดไปและฆ่าพวกเจ้าทิ้งงั้นหรือ ข้าบอกตรง ๆ ถ้าเป็นข้า ข้าไม่ยอมแน่ ๆ ย้ากกกกกกกก!!!!!!"
กลุ่มเมฆม้วนตัวเป็นทิวยาวสีดำจาง ๆ ก่อนจะเคลื่อนตัวสนั่นหวั่นไหวราวพายุคลั่ง สายฟ้าแลบแปลบปลาบดูแล้วน่ากลัวยิ่ง ผู้นำของมนุษย์ต่างดาวสีหน้าเริ่มส่อแวววิตกกังวล แต่แล้วมันก็เสกลูกพลังยักษ์สีดำพร้อมประกายสีไข่มุกที่กระจายอยู่รอบ ๆ แล้วจึงปล่อยให้พุ่งขึ้นฟ้า ณ จุดที่เมฆแปรปรวนทันที
"อัคนีทมิฬ ทำลายมันซะ!!!! ไม่ว่าจะเป็นเทพที่มาจากไหนหรือเป็นอะไรก็ตาม"
ตูม!!!! ควันสีเทาหม่นลอยอยู่เต็มท้องฟ้า เมฆยักษ์สลายตัวออกในบัดดล เสียงจากฟ้าดังขึ้นอีกครั้ง
"เวลาวิกฤตจริง ๆ กองทัพเทพครอโคนอสบุกดินแดนข้าถึงปราสาทแล้ว ข้าคงช่วยพวกเจ้าไม่ได้อีก ไม่ว่าจะยังไง ขอเจ้าจงมีความหวังก็พอแล้ว ลาก่อน..."
ท้องฟ้ากลับคืนมาในสภาพปกติ เสียงก้องนั้นหยุดลงและไม่มีเสียงใดดังขึ้นอีกเลย โล่พลังสีครามที่คลุมกลุ่มมนุษย์ไว้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และสลายเป็นผุยผง - - กลุ่มมนุษย์ตกเป็นเป้าโจมตีอีกระลอก - - ครั้งนี้ ปาฏิหาริย์คงไม่มีอีกแล้ว
ท่ามกลางความร้อนระอุ ฝุ่นละอองที่กระจัดกระจายไปทั่ว และเศษซากวัตถุที่กองระเนระนาด กลิ่นเขม่าควันลอยคลุ้งทั่วสารทิศกระจายตัววูบไหวเป็นสีเทาขมุกขมัว ร่างชายฉกรรจ์ชาวโลกคนหนึ่งฉายแววตาท้อแท้สิ้นหวัง แต่ภายในใจยังร้อนระอุประดุจเปลวอัคคีในขุมลึกแห่งนรกโลกันตร์ เขาสาวเท้าวิ่งออกจากกลุ่มพวกพ้องอย่างว่องไวโดยไม่มีใครสังเกตได้ทัน และเมื่อถึงเป้าหมาย เขาถีบตัวสุดแรงจนร่างลอยคว้างขึ้นกลางเวหา ในใจคิดแต่เพียงว่า - - เราต้องมีความหวัง - -
ขณะเดียวกัน หัวหน้ามนุษย์ต่างดาวประกาศอีกครั้ง
"ทีนี้ก็ไม่มีอะไรมาช่วยพวกมันได้ ถึงเวลาแล้ว จงจัดการมัน เหล่าสมุนของ..."
พลั่ก!!! ห้วงเสียงขาดหายไป ร่างชายฉกรรจ์ชาวโลกที่ทุกคนเพิ่งสังเกตเห็นคร่อมทับหัวหน้าของศัตรู มีดพกสีเงินมันวาวและคมกริบจี้ไว้ เตรียมปาดเชือดที่คอของอีกฝ่าย....
ท่ามกลางความตึงเครียด เสียงของชายผู้นั้นดังขึ้น
"ถ้าพวกเจ้าต้องการโลกทั้งใบ ข้าก็จะขอแลกกับ...คอเจ้านี่ !" ชายฉกรรจ์ชาวโลกกล่าว
"ท่านหัวหน้า !!!!! "
"อย่าทำอะไรหัวหน้านะ !!!!!"
"หัวหน้าครับ !!!!! "
"เราไม่ยอมให้แกฆ่าเขาเด็ดขาด"
"เดี๋ยวข้าจะช่วยท่านเอง หัวหน้า !!! "
เสียงตะโกนด้วยความห่วงใยที่มีต่อหัวหน้าของชาวต่างดาว ประสานขึ้นแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน แม้ว่าจะพูดต่างประโยคกันก็ตาม
" ข้ายอมรับว่าครั้งนี้มนุษย์เสียทีแก่พวกน่าขยะแขยงอย่างพวกเจ้า แต่ว่าถ้าจะให้พวกข้าต้องมาตายอย่างไร้ประโยชน์ ไร้ศักดิ์ศรี ทั้งๆที่โลกนี้เป็นที่อยู่ของพวกข้ามาก่อน ข้าขอยอมเชือดคอตัวเองให้ขาดเสียตอนนี้ไม่ง่ายกว่าหรือ ข้ารู้ว่าทุกคนที่ตายไปล้วนต้องการชีวิตกลับคืนมา อยากจะมาดำรงชีพตามวิถีที่ตนเคยเป็นอยู่ แม้จะสุขสบายเหมือนอยู่บนสวรรค์ หรือจะทุกข์ทรมานเหมือนตกนรก..." ชายฉกรรจ์กล่าวด้วยน้ำเสียงอันเข้มแข็ง "ข้าคิดว่าเจ้าตาแก่นี่คงอยากตายมากสินะ"
" ไม่ต้องช่วยข้าก่อนหรอก..ทุกๆคน " คราวนี้ ฝ่ายที่ถูกจี้เอ่ยขึ้นบ้าง แม้น้ำเสียงจะแหบพร่าแต่ก็ฟังดูไร้เยื่อใย มันพูดกับลูกน้องของมัน ก่อนจะชำเลืองหางตามาทางผู้ที่จี้คอมัน " แกต้องการอะไรกันแน่ ข้าไม่ใช่พวกกระจอกอย่างเจ้า ข้าเหนือกว่าเจ้าเป็นร้อย...ไม่สิ เป็นล้านเท่าได้มั้ง"
"แต่ชีวิตเจ้าก็ไม่ได้อมตะนี่" ชายฉกรรจ์พูดด้วยน้ำเสียงฟังดูเจ้าเล่ห์พิกล "ไม่เช่นนั้น ร่างกายคงไม่โทรมขนาดนี้หรอก"
"แกยังไม่ตอบข้าเลยว่าต้องการอะไรกันแน่" หัวหน้าต่างดาวเอ่ย
"อ้อ...ข้อเสนอไงล่ะ"ชายฉกรรจ์พูด
"อะไร" หัวหน้าต่างดาวถาม
"ทิ้งที่ดินไว้ส่วนหนึ่งให้พวกข้าได้อยู่อาศัย"
"จะเอาเท่าไรล่ะ? อย่าโลภนักนะ"
"ก็สัก....เอาเกาะนี้ทั้งเกาะ พื้นที่สักหนึ่งในสิบของที่ทั้งหมดน่าจะได้...พวกเจ้าจะว่าไง...เกาะ...หรือคอ" เขาหันไปถามพวกต่างดาวตนอื่นๆ "อ้อ! ลืมไป อีกอย่างเจ้าห้ามมายุ่งกับพวกข้าด้วย เข้าใจไหม ต่างฝ่ายต่างห้ามยุ่งกันและก้น"
มีเสียงตะโกนตอบกลับมาว่า
"แล้วแต่หัวหน้าครับ"
"แล้วแต่เจ้า..." ชายฉกรรจ์พูด แล้วหันหน้ามามองหัวหน้าชาวต่างดาว มือยังคงกำมีดแน่น จี้ตรงคอหัวหน้าต่างดาวแรงกว่าเดิม "แล้วเจ้าจะว่าไง"
"เจ้ารู้ว่าชีวิตข้าไม่อมตะ แล้วทำไมไม่ฆ่าข้าเสียเลยล่ะ" หัวหน้าต่างดาวถามต่อไป
"ใช่ว่าทั้งทัพจะมีเจ้าเพียงผู้เดียวที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำได้" มนุษย์ผู้นั้นยังคงกล่าวต่อไป "ถ้าข้าทำเจ้าตาย ข้านี่แหละจะตายเสียเอง"
"ถ้าร่างกายข้ายังมีเรี่ยวแรงมากกว่านี้ละก็..." หัวหน้าชาวต่างดาวพูด " ไม่ใช่แค่เจ้าหรอกที่จะตาย แค่พริบตาพวกที่ยืนอยู่ข้างหน้าโน่นก็คงตายหาซากไม่เจอแน่ แต่เสียดาย... ถ้าข้ายั้งมือไม่อยู่ปล่อยพลังแม้เป็นแค่ลูกไฟดวงน้อย พลังเดินชีพจรของข้าก็คงไม่เหลือ และสุดท้ายก็ต้องตาย พลังชุดสุดท้ายไปกับอัคนีทมิฬลูกเมื่อกี้แล้ว"
"แล้วเจ้าจะยอมตายเพื่อพวกพ้องหรือจะยอมมอบพื้นที่บนเกาะให้พวกข้าล่ะ"
"ข้า..." หัวหน้าต่างดาวพูดด้วยใบหน้าอึดอัดใจเล็กน้อย "ตกลง! เอามีดออกจากคอข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะยกเกาะนี้ให้แก่พวกเจ้าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป"
"ไม่! พวกพ้องของเจ้าต้องกลับขึ้นยานให้หมดก่อน"ชายฉกรรจ์ตะเบ็งเสียงแข็ง
"ก็ได้...ทุกคน! กลับขึ้นยานเดี๋ยวนี้เลย" มนุษย์ต่างดาวกล่าว
ไม่ช้า พลทหารต่างดาวก็เคลื่อนทัพกลับขึ้นยานรบลำมหึมาทันที จนบริเวณนั้นไร้ซึ่งชาวต่างดาวนอกจากตัวหัวหน้าที่กลายร่างได้ ชายฉกรรจ์ผู้นั้นปล่อยมีดออกจากคอมนุษย์ต่างดาว ก่อนที่มันจะกระโดดสูงลิ่ว แหวกอากาศและกลุ่มควันสีเทา หายลับขึ้นไปบนยานอวกาศลำยักษ์ที่เพื่อนชาวต่างดาวของมันยืนรออยู่แล้ว รอ...เพื่อวางแผนและเตรียมตัวที่จะยกทัพกลับมายึดเกาะแห่งนี้ โดยครั้งนี้ พวกมันลืมคิดไปว่าแค่กดปุ่มปืนแล้วยิงใส่มนุษย์ที่ยืนเป็นเป้านิ่งอยู่เบื้องล่าง เรื่องของเราก็คงจะจบโดยพวกต่างดาวได้ครองโลกทั้งใบไว้ในกำมืออย่างแน่นอน
***********************
ทันทีที่ยานรบคันมหึมาลงจอดในอีกซีกโลก ชาวต่างดาวจึงเริ่มงานทันที ฝ่ายแรกกำลังออกแบบสิ่งก่อสร้าง อีกฝ่ายพยายามรื้อถอนเศษซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างโดยน้ำมือมนุษย์ ส่วนอีกฝ่ายก็วุ่นกับการปรับปรุงระบบการปกครองจนไม่มีเวลาที่จะหยุดพักเลย
ทางฝ่ายมนุษย์ นับว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่งที่สิ่งก่อสร้างบางแห่งยังไม่ถูกทำลาย ความเห็นแก่ตัวถูกขจัดไปโดยสิ้นเชิง ความสามัคคีประสานกันแน่นแฟ้นทำให้งานเร่งรุดไปอย่างต่อเนื่อง วันเวลาผ่านไป จากคนเพียงร้อยคนก็กลายเป็นสองร้อยคนและยังคงเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง มีสิ่งก่อสร้างมากมายผุดขึ้นราวดอกเห็ดกลางลานกว้าง และส่วนมากจะชุกชุมอยู่ในกลางเมืองที่ได้รับการขนานนามว่า "อาฟเตอร์-เด็ธ" ( After Death ) ที่มีความหมายว่า หลังความตาย...
จากเรือนไม้หลังโทรมที่เรียงตัวเป็นแนวยาวเขตชานเมือง ถูกรื้อถอนแล้วสร้างเป็นตึกที่ใช้วัตถุประเภทโลหะแทนการใช้ปูนซีเมนต์ที่นับว่าล้าหลังเป็นอย่างมาก นวัตกรรมชั้นเยี่ยมถูกประดิษฐ์คิดค้นโดยนักวิทยาศาสตร์อย่างหลากหลาย หุ่นยนต์นับล้านถูกผลิตขึ้นแต่มีเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่อยู่ปะปนกับมนุษย์ได้เนื่องจากพื้นที่ในเกาะมีไม่เพียงพอเท่าใดนัก ดังนั้นหุ่นที่เหลือจึงถูกบรรจุในโกดังกันน้ำชนิดพิเศษแล้วถูกหย่อนไปยังพื้นล่างของมมาสมุทรรอบๆเกาะแห่งนั้นเพื่อรอคอยเวลาการใช้งาน
ฝ่ายมนุษย์ต่างดาว...
เกิดฝ่ายกบฏเล็กๆบนพื้นที่อันกว้างขวางที่มันครอบครอง นักรบกลุ่มหนึ่งรวมตัวต่อต้านหัวหน้าชาวต่างดาวในร่างชายแก่ปลอมแปลงภายในที่พักของมันอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีใครทันตั้งตัว อาวุธคล้ายดาบแต่เรียวยาวกว่าถูกใช้จ้วงแทงกว่าสิบแผลลงบนอกของมัน ตามมาติดด้วยลูกไฟเล็กๆหลากสีสันจากพลังวิเศษของมนุษย์ต่างดาว ร่างชายแก่ลุกไหม้โชติช่วงจนมันสลบลงคาที่ แต่โชคยังคงเข้าข้าง... นายทัพสงครามห้านายที่ร่างกายสูงชะลูดกว่าปกติมาเห็นเหตุการณ์นี้เข้าพอดีจึงเกิดการสู้รบกันอีกครั้งด้วยพลังวิเศษที่ดูเหมือนว่าเหล่านายทัพสงครามยังเหนือชั้นกว่ามาก
ชั่วอึดใจเกิดสายฟ้าแลบแปลบปลาบ แผ่นดินสั่นสะเทือนแทบแยกตัวออกจากกัน เปลวเพลิงร้อนระอุลุกไหม้โชติช่วง ฝุ่นลอยตลบอบอวลด้วยลมโหมกรรโชก สุดท้าย น้ำก็พุ่งทะลักอย่างรวดเร็ว พวกกบฏสิ้นลมทันที แต่ทว่า ชายแก่ผู้นั้น...
นายทัพสงครามทั้งห้ายืนห้อมล้อมร่างหัวหน้าของตนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ทันใดนั้นพลันปรากฏแสงขาวสว่างวาบบาดตาพร้อมเสียง ตูม กึกก้องกำปนาท เพียงพริบตานั้นแสงสว่างเริ่มจางลง นายทัพทั้งห้าผงะล้มลงโดยเบื้องหน้าเป็นชายแก่ผู้นั้น ผมเงินยวงส่องแสงระยิบระยับกว่าเก่า แผลจ้วงแทงหายไปไร้แม้ซึ่งรอย แต่ที่นอกเหนือสิ่งอื่นใด...เสื้อผ้ายังคงขาดวิ่นเช่นเดิม
เป็นเรื่องราวเล่าขานกันมา ว่ากันว่า หัวหน้าของชาวต่างดาวผู้นั้นได้รับพลังธาตุทั้งห้า ทำให้เกิดการรวมตัวแล้วผนึกเป็นพลังธาตุใหม่ที่เรียกว่า อมตะธาตุ ใครได้ครอบครองจะมีชีวิตอยู่ยงคงกระพันและมีพลังเหนืออื่นใด
เนื่องด้วยชีวิตที่อมตะ แผนการยึดครองโลกส่วนที่ขาดหายไปถูกคิดค้นขึ้นมา สิ่งก่อสร้างที่ทำด้วยศิลาสีน้ำตาลแดง ถูกก่อขึ้นข้างๆที่พักของหัวหน้าชาวต่างดาวเพื่อใช้ทำงานอะไรสักอย่าง แต่ความลับนี้ยังไม่ถูกแพร่งพราย ไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลยเว้นเสียแต่ตัวหัวหน้าเองกับนายทัพหรือสมุนเอกทั้งห้าของเขา
กลับมาที่เมืองมนุษย์...
มาถึงวันนี้ ชื่อเมืองอาฟเตอร์-เดธ เปลี่ยนไปตามปากมนุษย์จนไดชื่อใหม่ว่า "อาฟเดธ" ( Afdeath ) สิ่งก่อสร้างใหม่ๆยังคงเพิ่มขึ้นเหมือนกับจำนวนประชากร ป่าไม้ถูกถากถางอยู่เรื่อยๆแต่พวกเขาก็ฉลาดพอที่จะเว้นป่าและภูเขาไว้จำนวนหนึ่ง หนึ่งในนั้นมีภูเขาไฟที่ดับมอดไปแล้วแต่คงอยู่ซึ่งแร่ธาตุอันอุดมสมบูรณ์ทาให้เป็นที่อยู่ชั้นเยี่ยมของสัตว์ป่าและหมู่แมกไม้นานาพันธุ์
อุปกรณ์ฉายแสงเลเซอร์สุดทันสมัยที่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อกันการรุกรานจากมนุษย์ต่างดาว วางต่อกันเป็นแนวยาวใต้ผืนน้ำรัศมีออกห่างจากตัวเกาะประมาณหนึ่งไมล์โดยมีลำแสงสีแดงพุ่งขึ้นจากใต้น้ำจนสิ้นสุดลงที่ชั้นบรรยากาศของโลก สิ่งใดพุ่งผ่านเป็นต้องเละในทันทีไม่เว้นแม้แมลงวันตัวน้อยๆ แผ่นเลเซอร์นี้ฉายแสงหุ้มตัวเกาะทั้งเกาะเอาไว้ ตัวเครื่องฉายสร้างด้วยวัตถุชั้นเยี่ยม เป็นโลหะที่สามารถละลาย แตกสลายหรือระเบิดเป็นจุลได้ภายในอุณหภูมิเกินกว่าหนึ่งพันองศาเซลเซียสเท่านั้น แต่การบังคับเปิดปิด ก็ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่กดปุ่ม ณ หอ บังคับการณ์บนยอดตึกสูงชะลูด ที่มีองกรณ์ลับตั้งอยู่ภายใน โดยมีชื่อแบบลับๆว่า เอฟ-ซี-เซ็ท ( F-C-SET หรือ Find-Check-Suppress Extraterrestrial Thing )
จบบทนำ โปรดติดตามตอนต่อไป
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น