ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Silver Short Fiction~TVXQ [Yaoi] By SilverMoon

    ลำดับตอนที่ #2 : [S][F] Special~Chim ChangMin’s Birthday~!!!....Song Of Rain....

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.พ. 51


    Title :  [S][F] Special~Chim ChangMin’s Birthday~!!!....Song Of Rain....

    Author : Silver_Moon

    Couple : ChangMin x JeeHye

    Genre : Yaoi

    Category: SAD STORY/ROMANTIC

    First Edition : 13 FEB 2007

    Rate : PG

    NOTE: คุณ.........ชอบตอนที่ฝนตกมั้ย?????

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เธอชอบฝนไหม????

    .

    .

    .

    ...สายฝน.........สำหรับหลายคนอาจจะเชื่อว่าคือน้ำตาแห่งพระเจ้าที่ใช้ในการชำระบาปออกไปจากโลกอันโสมมนี้.......

     

    เจ้าน้ำหยดเล็กๆนี่....จะช่วยทำให้รู้สึกสบายใจ....เหมือนมีเวทมนต์เลยล่ะ^^”

     

     

    ...สายฝน........หลายคนเชื่อว่าคือสิ่งที่จะปัดเป่าความทุกข์หรือความทรงจำเลวร้ายไปจากตัวเองได้

     

    นาย............ชอบเล่นเปียโนเวลาฝนตกหรอ????

     

     

    รอยยิ้ม........น้ำตา....สิ่งต่างๆที่ชะล้างละลายหายไป.................กับน้ำฝน

    .

    .

    .

    แต่สำหรับบางคน........น้ำจากฟ้าที่กระหน่ำเทลงมานั้น คือเครื่องเตือนใจ...ที่จะนำหวนกลับไปถึงวันเวลาในอดีต............เป็นเครื่องมือในการตอกย้ำถึงสิ่งสำคัญ..................

     

     

    ...........ฝนแห่งการเริ่มต้น..................นำพามาซึ่งการพบเจอ..

    ยัยตัวเล็ก!!!!!!!........เดี๋ยว!!!!! หยุดก่อนสิ

    .

    .

    ..............ฝนแห่งจุดจบของเรื่องราว...........เพื่อที่จะเจอกับการจากลา........

    ความตาย....เบาเหมือนขนนก.......หนักดั่งขุนเขา.......ตัวเล็กแล้วเธอจะเข้าใจ^^”

     

     

    เพลงนี้จะเป็นเพลงสุดท้ายที่ฉันจะแต่งแล้วล่ะ.......ฉันให้เธอ

     

    อย่าจะให้ตาของเธอต้องมีน้ำตาอีกนะ...................

     

     

    นั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่า...............หัวใจ

     

     

    ฉันจะอยู่ข้างเธอตลอดไป.................

     

    เธอ.....คือสายฝน ของฉันนะ ยัยตัวเล็ก!!^^”

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ฝ่ามือบางค่อยๆวางดอกกุหลาบขาวลงบนแผ่นป้ายสลักชื่อหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์งดงามที่อยู่ข้างหน้าตัวอย่างแผ่วเบา.........เจ้าของร่างเพรียวบางนั้นทรุดตัวลงนั่งย่องๆตรงหน้าหลุมศพที่ถูกจัดไว้อย่างงดงาม

     

     

    ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อนเข้ากับพวงแก้มใสมีเลือดฝาดนั้นเปิดขึ้นพูดเสียงใสเจื้อยแจ่วเพื่อคุยกับคนที่นอนอยู่ใต้ผืนดินนี้ที่ยืนอยู่...

     

    ไง~!!.......นี่ก็ผ่านมา 2 ปีแล้วเนอะ!!!......รู้รึเปล่า??!! ชั้นหน่ะเอ็นท์ติดแล้วน้า~…….คณะนิเทศน์ศาสตร์การดนตรีด้วย~ มหาลัยโซลที่นายอยากจะไปเรียนไง...........มันคงดีกว่านี้นะ ถ้านายอยู่ด้วย...............

     

    ถึงแม้น้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นจะฟังสดใสและรื่นหูเพียงใด..........แต่..นัยน์ตากลมโตที่ปกติจะส่องประกายอยู่เสมอนั้น บัดนี้เริ่มฉายแววเศร้าใจเช่นที่เคยเป็นทุกๆปีเมื่อถึงวันนี้....

     

     

    รู้รึเปล่า..........ว่าเมื่อวานนี้นายทำให้พี่แจจุงร้องไห้อีกแล้วนะ.....เหนื่อยเฮียหมีเลยเห็นมั้ย???? ชิ!!!”

     

    ปากบางถูกเจ้าของบังคับให้เบะยื่นออกไปแสดงความไม่พอใจเจ้าคนต้นเหตุที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเป็นอย่างดี แต่ในขณะที่หยดน้ำใสๆนั้นเริ่มก่อตัวขึ้นบนเส้นขอบดวงตาสีดำสนิท พร้อมๆกับที่สภาพท้องฟ้าเหนือตัวค่อยๆแปรสีให้ครึ้มขึ้น

     

     

    นาย......ปะ...เป็นคนที่แย่...มะ...มาก....ระ........รู้มั้ย???....ไหนล่ะ!!!!สัญญาว่าจะอยู่ตลอดไป...ทำไม...ทำไมนายถึงต้องทิ้งของแทนตัวนายไว้กับชั้น แล้วจากไปล่ะ!!!!!! ชั้น.........ก็จะได้บอกนายเหมือนกันนะ...............

     

    เหมือนมีก้อนสะอึกเข้ามาจุกอยู่ในคอเรียว จนทำให้ร่างเพรียวต้องตะโกนเสียงออกมาเพื่อกลบคำที่เริ่มติดขัด แล้วจึงค่อยๆลดระดับให้แผ่วลงมาแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบ

     

     

     

     ฉันรักนายนะ............... หยาดน้ำใสค่อยรินลงมาจากแพรขนตายาวที่ถูกเลื่อนลงมาปิดนัยน์ตาสีดำคู่โต พร้อมๆกับที่เม็ดฝนเม็ดเล็กค่อยเคลื่อนตัวมากระทบบนพื้นดินข้างร่างสั่นเทาที่กำลังร้องไห้อยู่ท่ามกลางสายฝนอันหนาวเหน็บ.....................เพียงผู้เดียว

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    [Song Of Rain]

    .

    .

    .

    .

    ใบหน้าน่ารักของเด็กสาวในเสื้อสูทนักเรียนของโรงเรียนมัธยมปลายรัฐชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งกำลังเดินวนเวียนอยู่โรงเรียนของพี่ชายตัวเองนั้น บ่งบอกถึงอารมณ์หงุดหงิดได้ที่ หลังจากที่การรอคอยนั้น ยาวนานมาจนถึง 1 ชั่วโมง......

     

    ......ส่วนหนึ่งที่ทำให้คนร่างเล็กนั้นอารมณ์เสีย ก็ไม่ใช่เหตุใดอื่น นอกจากเจ้าฟ้าฝนที่ช่างจะเป็นดันลงมาตกเอาซะตอนนี้

     

     

    ...............เฮ้อ~!!!!=[]= ร่มก็ไม่มีแล้วทีนี้จะทำไงดีว่ะ!!!ไอ้พี่ยุนโฮนั้นก็ตัวดี......อย่าให้เจอนะแม่จับเจี๋ยนแน่~!!!!........................

     

    ชอง จีฮเย คิดขึ้นมาอย่างเคืองแค้นในเจ้าพี่ตัวดีที่โทรเรียกให้มารอหน้าโรงเรียนชายล้วนแต่ตัวเองกลับไม่ยอมออกมาเองซะที....... ก่อนที่ปากเล็กๆจะหลุดคำสบถออกมาด้วยพฤติกรรมที่หญิงสาวไม่สมควรจะพึงมีกัน.....

     

     

    .................สงสัยต้องตากฝนกลับบ้านแหงแซะ~!!! เฮ้อ~!!!...................

     

    ทันเท่าความคิดขาเรียวกำลังเตรียมตัววิ่งตากฝนเพื่อกลับบ้านที่ห่างจากที่ตัวเองอยู่พอดูนั้น ก็มีเสียงๆหนึ่งฉุกเรียกไว้ให้หยุดวิ่งเสียก่อน.....

     

     

    ยัยตัวเล็ก!!!!!!!!!!!! เดี๋ยว~รอก่อนสิ!!!!!”

     

    นัยน์ตากลมโตหันกลับไปมองทิศทางที่เสียงดังขึ้น แล้วจึงพบชายหนุ่มร่างเพรียวคนหนึ่งที่กำลังวิ่งกางร่มตากฝนตรงมาทางที่เธอยืนอยู่ จีฮเยตีหน้ายักษ์ใสทันทีที่คนๆนั้นวิ่งนั้นมาหยุดหอบหายใจแฮ่กๆอยู่ตรงหน้าของเธอ.........

     

    นายเรียกใครว่าตัวเล็ก หา~!!!!!!”

     

     

    เธอคือ ชอง จีฮเยใช่ป่ะ???!!!!” เสียงที่ไม่ออกทุ้มมาก เอ่ยถามขึ้นจากปากได้รูปของอีกฝ่าย โดยไม่สนใจเด็กสาวข้างหน้าที่เตรียมตัวจะกระโดดงับหัวของเขาแล้ว คนตัวเล็กแต่ใจโตกว่านั้นชะงักกึกแล้วจึงชี้นิ้วเรียวเข้าหาตัว

     

     

    ชั้น?????!!!!!!”

     

    อืม เธอนั่นแหละ!!!!” ฝ่ายผู้ที่ถูกทำหน้างงใส่นั้น ชักสีหน้าด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย ท่าทีของเขานั้น ทำให้จีฮเยที่ถึงแม้จะไม่เคยเห็นหน้าหรือรู้จักคนๆนี้มาก่อน ชักอยากจะเอารองเท้าหนังของเธอไปตะปบเข้าที่หน้าหล่อซักที...

     

     

    อืม...ใช่!!!!!! นายรู้จักชั้นได้ไงอ่ะ???

     

    จีฮเยถามกลับเสียงสูงอย่างเอาเรื่อง ประมาณว่า ถ้าเหตุผลนายไม่ดีพอ....เตรียมขุดหลุมฝังตัวเองได้เลยยยย~!!!’  แต่คนตัวสูงกว่าก็ไม่ใส่ใจในคำถาม.....ไม่เพียงเท่านั้น มือหนากลับฉุดข้อมือเล็กของเธอพลางดึงอย่างแกมบังคับให้เข้าไปในประตูโรงเรียน.....โดยมีเจ้าของข้อมือนั่นดิ้นพรวดพราดอยู่ข้างๆ พลางตะโกนอย่างเอาเรื่องใส่เจ้าคนเผด็จการ

     

     

    ไอ้หัวถั่วงอก~!!!!! นายจะพาชั้นไม่ไหนฟ่ะ!!!?? ปล่อยซะทีเด้~!!” ว่าพร้อมกับสะบัดแขนที่โดนรัดกุมอยู่แรงๆ แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าคนที่เดินจ้ำพรวดอยู่ข้างหน้าจะอ่อนแรงลง แต่กับกระชับข้อมือเล็กๆแน่นขึ้นกว่าเดิม....

     

    เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ~!!!!!!!!!!!!” ใบหน้าคมหันกลับมาตวาดคนที่เริ่มหอบแฮ่กจากกากรที่ออกแรงมากเกินไปอย่างเอาเรื่อง จนทำให้โฟกัสบนดวงโตกลมใสนั้นได้รับภาพของคนตรงหน้าเข้ามาอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก

     

     

    ผิวของใบหน้ารูปไข่สวยนั้นออกสีแทนน้ำผึ้งไม่เข้มนักที่ถูกล้อมไปด้วยผมดำที่เหลือบด้วยน้ำตาลเข้ม นัยน์ตาน้ำตาลเข้มคมกล้าที่ประดับอยู่ใต้คิ้วเข้มปรายมาหาเธออย่างโกรธเคือง จมูกโด่งเป็นสันนั้นรับเข้ากับปากหยักบางที่กำลังคมเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่อย่างไม่พอใจในคำพูดของน้องรุ่นพี่ที่เขานับถือ ร่างสูงเฉียด 190 เซนติเมตร ก้มมองเธอที่อยู่ต่ำลงไปอีกเกือบ 30 เซนฯโดยสีหน้า........ที่ใครเห็นก็บอกได้เลยว่า เขากำลังหงุดหงิดใจอย่างเป็นที่สุด!!!!!!!!!!!!!!!!

     

    .........และตอนนี้ คนๆนี้ ดูน่ากลัวสุดๆ~!!!!.........แต่มีหรือ ที่จะทำอะไรให้ ชองจีฮเยคนนี้กลัวได้~............................

     

     

    ก็ชั้นจะถามว่านายเป็นใคร?? จะพาชั้นไปไหน???? แล้วอีกอย่างก็..........ปล่อยมือชั้นได้แล้ว~........... ชั้นเจ็บโว้ยยยยยย~!!!!!!!!” เสียงใสเอ่ยด้วยน้ำเสียวจ๋อยก่อนที่คำสุดท้ายจะตวาดแว้ขึ้นมาจนคนที่ยืนกางร่มอยู่ข้างๆนั้นแทบปิดหูไม่ทัน..

     

     

    ทำบ้าอะไรของเธอเนี่ยะ~!!!!!.........ชั้นแค่จะพาเธอไปหาพี่ชายตามคำสั่งแค่นั้นเองนะ!!!” ร่างสูงตะโกนกลับ หลังจากเอานิ้วไปอุดหูเพื่อกันเสียงอันไม่พึงประสงค์ที่แทบจะทำให้หูพังไม่ให้เล็ดลอดเข้าไปได้

     

     

    จริงหรอ????? แล้วนายชื่ออะไรล่ะ.......ถ้าเป็นเพื่อนยุนโฮทำไมชั้นถึงไม่รู้จัก???? ใบหน้าน่ารักเอียงคอถามอย่างสงสัย พลางทำปากมุ้ยลงด้วยความที่ใช้ความคิดต่อ...

     

    ชั้นเป็นรุ่นน้อของพี่ชายเธอ..........

     

    และที่สำคัญ......ชั้นชื่อ ชิม ชางมิน!!!!!! จำไว้~!!!!” เอ่ยตอบอย่างเกินจะทนก่อนที่จะจัดการลากยัยตัวดีขี้สงสัยนี้เข้าไปในตึกเรียนที่ปราศจากละอองฝนที่จะทำให้เป็นหวัดได้

    .

    .

    .

    .

    .

    ร่างสูงเกือบ 190 เซนติเมตรของชางมินนั้น ก้าวเดินขึ้นบันไดของอาคารเรียนอย่างคล่องแคล่วโดยทิ้งคนตัวเล็กกว่าที่สูงไม่ถึง 160 เซนติเมตรไว้ให้วิ่งตามอยู่ข้างหลัง ขายาวเร่งสาวด้วยความรวดเร็วตามทางเดินที่เงียบสงบ ด้วยเหตุว่าตอนนี้เวลาใกล้จะหกโมงเย็น อีกทั้งสภาพอากาศที่แสนแย่อย่างนี้ ยิ่งทำให้ภายในตัวอาคารยิ่งโหวงเหวงวิเวกน่ากลัวเข้าไปกันใหญ่..........

     

    เดี๋ยว~!!!!...รอกันหน่อยดิ...........ไอ้ตัวถั่วงอก เสียงเล็กๆจากคนที่อยู่ข้างหลังดังขึ้นมาทำลายโสตประสาทอัจฉริยะของชางมินอีกรอบ จนทำให้คิ้วเข้มขมวดเข้าหา จนแทบจะติดกัน แล้วจึงหันหน้ากลับไปแยกเขี้ยวตวาดใส่คนตัวเล็กแต่ไม่เจียมบอดี้อีกรอบของวัน..

     

     

    ช่วยไม่ได้นะ~........ก็เธอดันเกิดมาตัวเล็กเองนี่~....อีกอย่าง.......ชั้นเป็นรุ่นพี่ของเธอ ดังนั้นต่อไปนี้ ห้ามเรียกชั้นว่าถั่วงอก!!!!!!!! เข้าใจ๋??~”

     

    หนอย.......ไอ้โย่ง~ ที่นายยังเรียกชั้นว่า ตัวเล็กๆๆๆๆ แล้วทำไมชั้นจะเรียกนายว่าถั่วงอกมั้งไม่ได้ หา~!!!!” จีฮเยตั้งหน้าเถียงกลับคอเป็นเอ็นอย่างไม่ยอมแพ้ขณะที่เดินอยู่

     

    ..................ตัวเล็ก......ถีบหนัก ไม่เคยได้ยินหรอฟ่ะ~!!!!!!.................

     

     

    ยัยบ๊องนี่~!!!! ไม่รู้จักเคารพคนที่อาวุโสกว่าเธอรึไง????? ห๊ะ!!!!!” เสียงที่ไม่ออกทุ้มซักเท่าไหร่แว๊ดเข้าใส่ หลังจากคนตัวเล็กนี่ทำให้เส้นเลือดข้างๆตาของเขาเต้นตุ๊บตั๊บๆ จนแทบจะระเบิดออกมาอย่างคอมโบฯ

     

    ก็ว่านะ บ่นยิ่งกว่าตาเฒ่า สมแล้วที่จะถือเป็นผู้อาวุโส^[]^” พุดด้วยใบหน้ากวนตีนสุดฤทธิ์ แล้วเดินแย้มยิ้มลิ่วๆไป..

     

    อ๊ากกกกกกกก~!!!!! ยัยเตี้ย~ เธอนี่เป็นผู้หญิงที่ไม่สวยแล้วยังปากเสียที่สุดในโลกที่ชั้นเจอมาเลยนะเนี่ยะ~!!!!!”

     

    อ๊ะๆๆๆ!!! แล้วจะทำไม เหมือนนายจะรอตายแล้วนะนั้น~”

     

    ดะ!!!!!!!........................ ปากหยักของชางมินเตรียมตัวพ่นคำพูดออกมาทำซึกน้ำลายต่อ แต่ทันใดนั้นเสียงหวานของไวโอลีนอันแผ่วเบาดังลอดออกมาจากหน้าห้องๆหนึ่งท่ามกลางเสียงของฝนที่กระหน่ำหยดลงแตกกระจายบนพื้นดินข้างนอกและหน้าต่างที่ช่วยบังภายในอาคารไว้.........

     

     

    เสียงนุ่มนวลและอ่อนโยนนั้นค่อยๆเพิ่มระดับความดังขึ้นเมื่อทั้งสองคนเริ่มขยับตัวเข้าไปใกล้หน้าประตูห้องต้นเหตุของเสียงนั่น ประตูไม้ธรรมดาที่มีกรอบสีขาวเหลี่ยมและตัวอักษรสีน้ำเงินสดที่จับใจความได้ว่า ห้องซ้อมดนตรีติดอยู่ในระดับสายตาถูกมือกร้านบิดและดันเข้าไปเบาๆเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนที่บรรเลงบทเพลงนั่นอยู่

     

     

    ร่างสูงที่ตามติดขนาบด้วยร่างเล็กก้าวเท้าเข้าห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่ทั้งห้องถูกทาด้วยสีครีมอ่อนดูอบอุ่น ที่ว่างบนพื้นนั้นถูกจับจองเต็มไปด้วยเครื่องดนตรีหลากหลายชนิด เก้าอี้หลากหลายตัว และจะถูกใจจีฮเยที่สุดก็คงไม่พ้นเจ้าแกรนด์เปียโนสีขาวบริสุทธิ์ตัวใหญ่ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้อง

     

     

    นัยน์ตากลมโตกวาดมองไปรอบห้องอย่างสนองสนใจเหมือนเด็กที่ได้ของเล่นใหม่ เมื่อถูกคนที่พามาทิ้งให้นั่งอยู่ที่เก้าอี้น้วมตัวใหญ่คนเดียว ก่อนที่ชางมินจะพาตัวไปนั่งตรงแกรนด์สีขาว นิ้วเรียวค่อยๆพรมลงไปบนคีย์อย่างชำนาญ เกิดเป็นเสียงบรรเลงอันไพเราะ เพลงอันนุ่มนวลและอ่อนหวาน.........ขนตาหนาหลับพริ้มลงมาอย่างสบายใจ จนไม่เหลือเค้าคนปากเสียที่นั่งเถียงกับจีฮเยเมื่อครู่นี้เลย

     

    เพลงถูกบรรเลงด้วยแกรนด์ตัวใหญ่ดังก้องห้องสว่าง ก่อนที่จะถูกแทรกขึ้นด้วยเสียงไวโอลีนตัวเดิมที่เธอกับชางมินได้ยินตรงหน้าห้อง..

     

     

    ..........นัยน์ตากลมโตค่อยๆเคลื่อนไปหาบุคคลต้นเหตุเสียง....ปากบางค่อยๆอุทานขึ้นมาอย่างแผ่วเบา

     

     

     

    .......................................นางฟ้า........................................

     

     

    ร่างบอบบางที่ถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวบริสุทธิ์เหมือนดั่งปีกแสนสวยของเทพธิดา ใบหน้ารูปไข่งดงามยิ่งกว่าผู้หญิงทั่วไปที่เธอเคยพบกอปรด้วยกลุ่มผมสีดำสลวย มือขาวนวลกำลังถือไวโอลีนบรรเลงอยู่อย่างเพลิดเพลิน ขนตางอนยาวถูกยกลงมาทาบทับเปลือกตาล่างปิดบังนัยน์ตาแสนสวยสีรัตติกาลไว้ จมูกเล็กๆ รับเข้ากับริมฝีปากอิ่มสีสดอย่างเป็นธรรมชาตินั้นคลี่รอยยิ้มบริสุทธิ์ออกมาอย่างอารมณ์ดี...........

     

     

    เสียงเพลงหวานปนเศร้าถูกบรรเลงคู่กันระหว่างแกรนด์ตัวโตกับไวโอลีนแสนสวยต่อเป็นเวลาไม่นานนัก เครื่องดนตรีทั้งสองก็ถูกเจ้าของหยุดเพิ่อทำการจบเพลง

     

    จีฮเยแย้มรอยยิ้มกว้างขึ้นอย่างประทับใจพร้อมกับปรบมือเสียงก้อง จนทำให้ร่างบอบบางของนางฟ้าที่คนตัวเล็กอุปมาไว้ในใจหันกลับมายิ้มตอบให้ แต่เจ้าถั่วงอกนั้นกลับนั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ต่ออย่างน่าหมั่นไส้.....

     

     

    สวัสดีค่ะ........หนูชื่อ ชอง จีฮเยค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะค่ะ พี่............... หัวกลมโค้งให้คนสวยพร้อมๆกับที่เสียงเล็กเอ่ยเจื้อยแจ้วต่ออย่างเริงร่ากับคนสวย จนเรียกรอยยิ้มบางๆให้ก่อนจะยกมือขาวขึ้นมาลูบหัวกลมๆของเด็กสาวอย่างนึกเอ็นดูก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงทุ้มหวาน....

     

    สวัสดีครับ...พี่ชื่อคิม แจจุงนะ^^ จีฮเยนี่~น้องไอ้หมีมันล่ะสิ.........น่ารักจัง....ไม่รู้ทำไมพี่เกิดออกมาถึงเป็นอย่างงี้^^” สิ้นคำนินทาไม่เท่าไหร่ อยู่ดีๆหมีอายุยืนก็โผล่หัวเข้ามาทางประตูบานเดิม ก่อนที่จะเคลื่อนร่างใหญ่โตให้ย้ายเข้ามาตาม.....

     

     

    .....ชอง ยุนโฮ พี่ชายหมีสุดหล่อต้องเบะปากพร้อมทำตาปิ๊งๆเป็นประกายส่งมาเพื่อรักษาความแป๋วแหววของหน้าคมซึ่งส่งผลให้คนทั้งสามที่นั่งอยู่ด้วยโดยเฉพาะจีฮเยและชางมินทำหน้าเหมือนจะคายของเก่าออกมาเสียให้ได้

     

    ทำอะไรกันอยู่เอ๋ย~???????” เสียงโทนเบสที่ถูกดัดให้สูงขึ้นเพื่อให้คนในห้องซ้อมเห็นใจ ดังตามขึ้นมาเมื่อยุนโฮเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆร่างบอบบางของเพื่อนสนิทคนสวย.........แต่กลับรับรู้ถึงแรงโทสะของน้องสาวที่ระอุอยู่อีกฝั่งหนึ่งไม่ได้.....

    .

    .

    .

    .

    .

    ไอ้พี่ยุนโฮ~!!!!! ตายยยยยยยยย!!!!!!!”

     

    จีฮเยตีหน้าอาฆาตใส่พี่ชายหน้าหมีตัวดีทันทีที่ร่างใหญ่นั้นเดินเข้ามานั่งทำหน้าเง้ออยู่ข้างพี่แจจุงของเธอ ร่างเล็กๆพุ่งเข้ามาหมายทำร้ายร่างกายคนตัวโตที่อยู่อีกฝั่ง จนยุนโฮนั้นลุกพรวดขึ้นมาเพื่อที่จะวิ่งหนีเจ้าน้องสาวตัวเล็กแต่หมัดหนักไปรอบๆห้องสีเหลี่ยมท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของแจจุงที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างพี่น้องทั้งสองคนที่วิ่งไล่จับกัน ส่วนชางมินนั้นก็ยังคงนั่งกินเสบียงของแจจุงโดยไม่สนใจเสียงโวยวายรอบข้างตั้งแต่แรกเช่นเดิม

     

     

    แอ๊กๆๆๆๆ~โอ๊ยยยย~!!!!พี่ยอมแล้วจ้าๆ~” ยุนโฮร้องขึ้นอย่างยอมแพ้เมื่โดนน้องตัวแสบกระโดดขึ้นเกาะหลังเฮดล็อคเขา แค่นั้นยังไม่เพียงพอกับความแค้นที่พี่ชายปล่อยให้ยืนรอหน้าโรงเรียนเฉียดชั่วโมง ฟันซี่เล็กนั้นกลับงับเข้าที่หูอย่างเต็มเหนี่ยวจนทำให้เกิดเจ็บขึ้นได้เป็นอย่างดี

     

    พอๆๆๆ พอได้แล้วววว~!! กลับบ้านเหอะนี่มันจะทุ่มหนึ่งแล้วนะ แจจุงร้องขึ้นเพื่อห้ามศึกพี่น้องที่ดูจะยืดเยื้อด้วยความที่คนตัวจ๊อยนั้นยังคงไม่ยอมปล่อยคอแกร่งของยุนโฮ ทำให้พี่น้องทั้งคู่หยุดทะเลาะกันอย่างสันติ ก่อนที่จะยอมทำตามคำของคนสวยที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งไว้

     

     

    อ๊า~ แจจุงอา อย่าไปยืนข้างหน้าต่างให้ฝนสาดใส่สิ เดี๋ยวไม่สบายขึ้นมา ผมจะทำยังไงล่ะคร้าบบบ~” เมื่อร่างใหญ่หลุดพ้นจากการเกาะกุมของจีฮเย ยุนโฮก็สาวเท้าเข้าไปโอบไหล่คนตัวบางให้เดินออกไปทางประตูอย่างเป็นห่วงพลางพูดเตือนเสียงอ่อน

     

    ทำไมอะ ฉันไม่ได้อ่อนแอขี้โรคขนาดนั้นซะหน่อย~” เสียงหงุงหงิงหลุดออกจากปากสีสดในขณะที่เจ้าของนั้นกลับเดินตามคนที่โอบตัวอยู่โดยดี จนทำให้จีฮเยอดคิดขึ้นไม่ได้

     

    ...............สงสัย....อีกไม่นานนี้เราคงจะได้พี่สะใภ้ซะแล้วม้างงงง~ แต่ถ้าเป็นพี่แจจุง จีฮเยโอเชค่ะ~!!!!!^^........................

     

     

    .............หลังจากที่ทั้งสองคนออกไปจากห้องซ้อมแล้ว ห้องทั้งห้องก็เหลือเพียงความเงียบสงบระหว่างคนสองคนทิ้งไว้ จีฮเยเหลือบตาไปมองเจ้าโย่งที่จากแต่เดิมนั่งกินขนมอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ ตอนนี้ชางมินกลับไปนั่งอยู่หน้าแกรนด์เปียโนตัวเดิมที่ตั้งใกล้หน้าต่างพลางจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ดวงตาคู่คมดูเหม่อลอยออกไปทางที่สายฝนยังคงกระหน่ำอยู่ ใบหน้าคมดูอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ มือกร้านข้างหนึ่งถือปากกาเตรียมจรดลงไปในกระดาษขาวที่พอจะมีตัวโน๊ตทำนองเพลงเขียนอยู่บ้างแล้ว ในขณะที่มืออีกข้างกลับตั้งค้างไว้บนคีย์สีขาวเสียเฉยๆ.....

     

    ร่างเล็กค่อยๆกระดื๊บตัวไม่ยืนข้างคนที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่อย่างเงียบๆ นัยน์ตากลมโตกวาดมองโครงร่างตัวโน๊ตที่ตัวเองก็อ่านไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่นัก ก่อนที่นิ้วเรียวจะเคลื่อนตัวไปสะกิดที่ไหล่ของคนเหม่อ จนทำให้คนที่ถูกกกระทำนั้นหลุดจากภวังค์ แล้วหันกลับมาทำหน้าหงุดหงิดใส่เธอเหมือนเดิมแล้วจึงพูดด้วยเสียงรำคาญว่า..........

     

     

    ทำไม???มีอะไร หืม~!!!!”

     

    นาย............ชอบเล่นเปียโนเวลาฝนตกหรอ???? ถามต่ออย่างใคร่รู้พลางเอียงคอน้อยๆด้วยความเคยชิน จนชางมินนั้นอดยิ้มเอ็นดูคนข้างหน้าไม่ได้

     

    เธออย่ายุ่งน้า~!!” คำตอบที่ดูไม่เป็นคำตอบนั้นทำให้เส้นประสาทของจีฮเยถึงกับกระตุกขึ้นมาเพราะความกวนฮอร์โมนที่เท้าของคนข้างหน้า แต่ก่อนที่สงครามน้ำลายจะเกิดขึ้นมาอีกรอบ......หัวกลมๆของแจจุงนั้นก็โผล่แง้มเข้ามาทางประตู เสียงทุ้มหวานส่งเสียงเร่งคนทั้งคู่ให้รีบออกมา

     

    นี่~น้องจีฮเยคร้าบ ชางมิน~!!! กลับบ้านกันได้แล้ว หมีมันหรอจนจะเหงือกเหี่ยวแล้วน้า~!!! ชางมินล๊อคประตูด้วยนะ

     

    ครับ/ค่ะ พี่แจจุง

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    หลังจากนั้นเป็นต้นมาทุกๆเย็นที่โรงเรียนเลิกจีฮเยนนั้นก็จะรีบดิ่งมาที่โรงเรียนของพี่ชายเพื่อนั่งดู(เฝ้า)แจจุงและชางมินซ้อมกับพี่ชายเธอทุกครั้งโดยไม่ต้องรับเชิญ.........จนตอนนี้ก็กินเวลาไปเกินครึ่งปีได้แล้ว

     

    ซึ่งก็เป็นเหตุการณ์ปกติแล้วเช่นกัน ที่ทุกๆวันหน้าโรงเรียนนี้จะมีร่างสูงของคนที่ชื่อ ชิม ชางมินนี้มายืนรอเธอหน้าประตูเพื่อพาเข้าไปตามคำสั่งนางฟ้าเจ้าเก่า................และเช่นกันกับวันนี้

    .

    .

    .

    ไง~ ยัยตัวเล็กมาแล้วหรอ???? วันนี้เลิกช้านะชั้นมายืนรอตั้งนานแหนะ ชางมินพูดพลางขยี้ผมสีดำยาวที่ถูกมัดไว้เรียบร้อยอยู่กลางหลังหัวของจีฮเยจนเริ่มยุ่งเหยิงจนแทบไม่เป็นทรง คนถูกแกล้งที่เริ่มชินกับคำพูดกวนฝ่าบาทของคนข้างหน้านี้นั้นได้แต่ยกมือขึ้นป้องไปเรื่อยแทบไม่ทันก่อนที่เสียงใสๆจะตวาดแว้ด่าคนขี้แกล้ง

     

    ไอ้พี่ชางมินบ้า~ ถั่วงอกขี้แกล้ง~!!!! หยุดได้แล้ว~!!ผมฉันยุ่งหมดแล้วนะเฟ้ย~”

     

    ทำไม หืม???? ยัยตัวเล็ก แล้วเราจะทำอะไรชั้นคืนได้~” คิ้วเข้มยกขึ้นอย่างเยาะเย้ยคนที่ตัวเองทะเลาะด้วยทุกครั้งที่เจอ

     

    กะ......ก็ๆ........ชิส์ ฮึ้ย~!!!!” เมื่อเถียงกลับไม่ได้ ร่างเล็กก็เดินสะบัดหางม้า(ยุ่งๆ)ของตัวเองเข้าไปในโรงเรียนด้วยความหงุดหงิดโดยไม่รอร่างสูงที่เดินยิ้มกับท่างอนของคนข้างหน้า

     

     

    แค่กๆๆ......อะ!!”

     

    หืม?? นายไม่สบายหรอ?? พี่ชางมิน???~”หลังจากที่ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยไอค่อกๆแค่กๆอยู่ด้านหลัง จีฮเยก็หันหน้ามามองด้วยความสงสัย แต่สิ่งที่ได้รับกลับไปมีเพียงอาการส่ายหน้าเบาๆเท่านั้น

     

    ไม่มีอะไรหรอกยัยตัวเล็ก เข้าไปกันเถอะ…….”

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ร่างสูงในเสื้อเสว็ตเตอร์สีดำเข้ารูปดูอบอุ่นสาวเท้ายาวๆบนทางเดินกระเบื้องสีขาวสะอาดที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อซึ่งก็ดูเป็นเรื่องปกติที่โรงพยาบาลทุกที่ที่จะต้องรักษาความสะอาดให้ปราศจากเชื้อโรคกันทุกตารางนิ้ว

     

    คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย เหตุมาจากหมอเจ้าของไข้คนสนิทที่เขาเพิ่งเข้ารับการตรวจอาการของตัวเอง เมื่อไม่กี่วันก่อนนั้น เกิดเรียกให้เขาคนนี้ต้องรีบจากบ้านมาโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนให้วันหยุดสิ้นเดือนของเดือนตุลาคมที่แสนหนาวเหน็บเช่นนี้

     

     

    เรียกผมมา......มีอะไรหรอครับ??? พี่ดองวุค ปากหนาเอ่ยถามหลังจากที่ขออนุญาตเจ้าของห้องเดินเข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามกับคนที่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาดูเอกสารอยู่อย่างสุภาพ

     

    ใบหน้าคมเรียวเงยขึ้นมาจากกองเอกสารการวิจัยเชื้อไวรัสปึกใหญ่ที่ถืออยู่ในมือกร้าน นัยน์ตาคมเรียวมองลอดแว่นสายตารูปวงรีก่อนที่ เชว ดองวุค หมอผู้อำนวยการสุดหล่อของโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ จะเปิดปากพูดขึ้น

     

    สวัสดีชางมิน........นายกินอะไรมารึยังล่ะ???

     

    ยังหรอกครับ....แต่พี่รีบเข้าเรื่องเถอะครับ ผมค่อยกลับไปกินที่บ้านก็ได้ ชางมินยิ้มอ่อนให้คนตรงหน้านั้นสบายใจ ใช่...........เขากิน....ถึงแม้ว่าพอกินเข้าไปเสร็จแล้วก็จะคายออกมาในเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็เหอะ..

     

     

    อืม........... ก่อนเข้าเรื่อง พี่ขอถามอะไรนายหน่อยซัก 2-3 คำถามนะ ดองวุคพูดด้วยใบหน้าจริงจังจนคนที่สนทนาด้วยเริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมาชอบกล..

     

    ครับ......มีอะไรหรอครับ

     

    นายมีอาการอย่างที่เล่ามาเมื่อวันก่อน มานานรึยัง???.... คำถามแรกถูกยิงเข้ามาใส่ จนทำให้ชางมินทำหน้างงเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับตามความเป็นจริง

     

    ก็.......ซักเกือบ 2 เดือนได้แล้วมั้งครับคำตอบที่ได้รับทำให้ ร่างโปร่งที่นั่งฟังอย่างตั้งใจนั้น ถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยใจ มือเรียวเอื้อมตัวขึ้นมากุมขมับ ก่อนจะยิงคำถามที่สองต่อ..

     

    แล้วไอ้อาการที่พอกินข้าวเสร็จซักสองชั่วโมงแล้วนายจะคลื่นไส้ อาเจียนออกมานี่....เป็นทุกครั้งรึเปล่า???

     

    อืม........ไม่ทุกครั้งหรอก....... แต่ก็บ่อยเหมือนกันล่ะครับ คนที่ถูกถามตั้งท่าคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบออกไปอย่างลังเล

     

     

    เฮ้อ~!!! เอาเถอะๆ ชางมิน........นายมาดูไอ้นี้กับชั้นดีกว่า

     

    ดองวุคว่าพลางก้มตัวลงไปหยิบฟิล์มขนาดค่อนข้างใหญ่ที่อยู่ใต้โต๊ะขึ้นมา ก่อนที่จะเอื้อมมือไปแปะแผ่นๆนั้นที่ฝาผนังซึ่งเป็นกระจกขุ่นขาว แล้วจึงเปิดไฟที่อยู่ข้างในกระจกนั้นให้สว่างขึ้น ภาพเอ๊กซเรย์ลำไส้เล็กที่เขาถ่ายชางมินไปเมื่อไปกี่วันก่อนก็ปรากฏขึ้น

     

    นี่คือภาพเอ๊กซเรย์ของนายที่ชั้นเพิ่งวิเคราะห์เสร็จ............นายเห็นสีขาวๆนี้มั้ย???? ดองวุคว่าพลางเอามือไปชี้รอบๆจุดบริเวณหนึ่งที่เป็นสีขาวขนาดย่อมๆจนสังเกตเห็นได้ง่าย คนที่ดูตามค่อยๆพยักหน้าอย่างเข้าใจ

     

    มันคืออะไรฮะ???

     

    เฮ้อ~!!! ชางมินถึงชั้นไม่อยากจะเชื่อก็เหอะนะ...........แต่จากอาการของนายแล้วก็ฟิล์มอันนี้....มันกำลังบอกว่านายเป็นมะเร็วลำไส้เล็ก……….ซึ่งไอ้สีขาวๆที่กระจายอยู่ทั่วไปนี้มันคือตัวเนื้อร้าย

     

    สิ้นคำพิพากษาของผู้เป็นหมอ เซลล์และเส้นประสาททุกเส้นของร่างสูงนั้นเกิดอาการชาขึ้นมากะทันหัน ปากหยักบังคับตัวเองให้ขยับขึ้นลงอย่างสงบนิ่ง

     

     

    แล้ว...........ผมจะมีชีวิตอยู่ได้นานอีกเท่าไหร่ครับหมอ น้ำเสียงเรียบนิ่งถามขึ้นจนทำให้ใบหน้าคมของคนที่เป็นหมอนั้น มองหน้าร่างสูงอย่างทำใจลำบากที่จะตอบความเป็นจริง แต่.....ถึงอยากจะปลอบใจคนไข้อย่างไร ตามจรรยาบรรณหมอนั้นยังคงต้องรักษาความสัตย์จริงที่จะบอกแก่คนไข้เสมอ

     

    ตามปกติถ้าคนไข้รู้ตัวและรีบรักษาหรือปลูกถ่ายเนื้อเยื่อใหม่นั้นจะสามารถที่จะหายเป็นปรกติได้ แต่.....กรณีของนายหนะ อาการหนัก ระบบการย่อยและดูดซึมอาหารกำลังทรุดตัวลงเรื่อยๆ เชื้อมะเร็งแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วจนไปถึงตัวกระเพราะและตับ...ถ้าให้ชั้นคาดการณ์............อย่างมากก็คงจะเป็น 3 เดือนไม่ก็มากกว่านั้น แต่ถ้าอย่างเร็วก็ประมาณ 2 เดือน…..”……………………………………………

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    อย่างมากก็คงจะเป็น 3 เดือนไม่ก็มากกว่านั้น แต่ถ้าอย่างเร็วก็ประมาณ 2 เดือน……..…

     

     

    เสียงสะท้อนจากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงนั้น ย้อนกลับมาก้องในหัวของร่างสูงอีกครั้ง…………….

     

     

    ………แล้ว.....ไอ้ 2เดือน กับ 3 เดือนนี้มันต่างกันตรงไหนล่ะ???...........

     

     

    ร่างเจ้าของผิวกายสีแทนน้ำผึ้งที่สะท้อนกับแดดอ่อนๆออกจะครึ้มเหมือนฝนกำลังจะตกในช่วงปลายฤดูหนาวนั้นกำลังนั่งชันเข่าอยู่บนพื้นหญ้าริมแม่น้ำที่ใกล้กับแถบบ้านของเขา ใบหน้าคมนิ่งเฉยคาดเดาอารมณ์ได้ยาก ในขณะที่มือแกร่งนั้นกอดฟิล์มสไลด์ที่เขาได้จากคุณหมอดองวุคมาไว้แน่น

     

    .......ไม่อยากลับบ้านเลย.........ไม่รู้จะบอกพ่อกับแม่ยังไงดี เฮ้อ~!!!!!!.............

     

     

    ตัวเขาเองนั้นก็ไม่ได้โง่ที่จะไม่พอรู้ว่าตัวเองนั้นเป็นอะไร.....จากอาการนั้นก็พอสรุปได้แล้วว่าคงไม่ใช่อาหารเป็นพิษกับไข้หวัดแน่นอน แต่ไม่คิดว่าเวลาของตัวเองจะสั้นขนาดนี้เท่านั้นเอง......

     

    ความคิดนั้นลอยขึ้นมาในหัวของคนที่นั่งทอดน่องอยู่อย่างเสียไม่ได้ ชางมินถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ทันใดนั้นภาพของเด็กสาวที่เขาเพิ่งรู้จักเมื่อประมาณครึ่งปีก่อนนั้นกลับแวบเข้ามาแทนภาพของพ่อแม่ของเขา...

     

     

    ......แล้ว.......ถ้าเจ้าตัวเล็กนี้รู้จะเป็นยังไงเนี่ยะ~!!!!..อย่าคิดมากเลยเรา.....................

     

     

    ตึกๆๆๆ....

     

    ร่างสูงนั่งคิดเรื่อยเปื่อยก่อนจะถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า จนไม่ได้ยินฝีเท้าเบาๆที่ย่องมาอยู่ข้างหลังตัวเองก่อนที่.......

     

     

    จ๊ะเอ๋~!!!!!!!!!!”

     

    ว๊ากกกกกกกกกกกก~!!!!!!!!!!!!!!!!!” เสียงโซปราโน่ดังแหวกอากาศขึ้นมาในทันทีเมื่อ มีมืออุ่นนั้นเข้ามาตะครุบที่ลูกตาของเขาพร้อมกับส่งเสียงใสๆของคนที่กำลังคิดถึงอยู่ ซี่งเล่นทีเขาเองตกใจหัวใจแทบวาย......

     

    ฮ่าๆๆๆๆๆ กร๊ากๆๆๆๆๆๆ>[]< อะ........โอ๊ย...ปวดท้องน้ำตาเล็ดT-T” เจ้าของเสียงใสผู้ที่เพิ่งจะแกล้งเขาสำเร็จนั้นหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจชาวบ้านชาวช่อง ก่อนที่มือเล็กๆสมตัวนั้นจะคลายความมืดมิดออกจากดวงตา แล้วกลับไปกุมท้องเจ้าของที่ตอนนี้หัวเราะมากไปจนถึงขึ้นปวดท้อง.......

     

    พี่ชางมิน~เพิ่งรู้นะเนี่ยะว่านายขี้ตกใจขนาดนี้~ฮ่าๆๆๆๆ^[]^”

     

    อาการหัวเราะค้างยังคงตามมาหลอกหลอนคนถูกแกล้งให้หงุดหงิดเล่น ร่างเล็กของคนคุ้นเคย ชอง จีฮเยในชุดฮู๊ดหนาตัวเก่งสีฟ้าอ่อนพร้อมกางเกงยีนส์สีซีดนั้นผมดำสนิทที่สยายยาวถึงกลางหลังนั้นสะบัดไปมาระหว่างเคลื่อนตัวลงมานั่งข้างๆชางมินที่มองตามอย่างเคืองไม่หายกับการล้อของเด็กสาว

     

     

    ทีหลังห้ามเล่นอะไรอย่างนี้อีกนะเรา.........รู้มั้ย???พี่แทบหัวใจวาย

     

    ก็งี้แหละ.............คนแก่ นิดๆหน่อยๆก็จะหัวใจจะวาย จีฮเยยังคงคิกคักไม่เลิกกลังจากแกล้งคนที่ชอบแกล้งเธอบ่อยๆนั้นสำเร็จ พลางนิ้วเขี่ยดินเล่นอย่างสบายใจ

     

    ตัวเล็ก!!!!!!เธอนี่น้า~…….แล้วนี่มาไงเนี่ยะ บ้านอยู่แถวนี้หรอ?? หรือว่าแอบชอบชั้นจนแอบสะกดลอยตามมา??

     

    ชางมินตอกกลับด้วยท่าทางกวนๆ แต่ประโยคสุดท้ายนั้นกลับทำให้แก้มยุ้ยที่มีเลือดฝาดอย่างคนสุขภาพดีของเด็กสาวผู้ฟังขึ้นสีจนเริ่มแดงเถือก ก่อนที่ปากบางนั้นจะเผยอขึ้นมาด่ากลับ

     

    ไอ้พี่บ้า ไม่ค่อยหลงตัวเองเลยนะนั่น~!!!!!!”

     

    คนมันหล่อช่วยไม่ได้อ่านะ~”

     

     

    ในระหว่างที่ศึกฝีปากของทั้งคู่เริ่มปะทะกันอย่างดุเดือดเผ็ดร้อน หยาดเม็ดฝนเม็ดแรกจากก้อนเมฆครึ้มลูกใหญ่ที่ตั้งเค้าว่าฝนจะตกตั้งแต่เมื่อกี้นั้นก็หยดแหมะลงมาบนหัวกลมๆของจีฮเย ก่อนที่จะตามมาด้วยเม็ดที่สอง สาม สี่ และอีกเรื่อยจนนับไปถ้วนจนทำให้คนทั้งคู่เปียกแฉะอย่างกับลูกหมาตกน้ำทั้งตัวอย่างช่วยไม่ได้..............

     

    พี่ชางมิน~ไปกลับกันเถอะ!!!!เดี๋ยวจะไม่สบายกันนะ จีฮเยส่งเสียงร้องเรียกคนตัวสูงกว่าที่ยังไม่มีท่าทีที่จะลุกขึ้นตาม แต่สัญญาณที่ได้รับกลับคือคำถามที่แทรกขึ้นมาแทน

     

     

    เธอชอบฝนไหม????.........

     

    หา~!!!! อืม ไม่รู้สิ.........................แล้วนายล่ะ??? ร่างเล็กย้อนคำถามเดิมกลับใส่คนที่เริ่มต้นถาม ริมฝีปากหยักของชางมินค่อยๆยกยิ้มอย่างอ่อนโยนขึ้นมาก่อนที่จะเปิดปากตอบกลับ

     

     

    สำหรับชั้น..........เจ้าน้ำหยดเล็กๆนี่....จะช่วยทำให้รู้สึกสบายใจ....เหมือนมีเวทมนต์เลยล่ะ^^ พูดง่ายๆ ฉันตกหลุมรักมันอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเลยล่ะ

     

    ......นัยน์ตาสีเข้มที่ดูอ่อนโยนจนไม่เห็นเค้ารุ่นพี่ขี้แกล้งเจ้าหงุดหงิดคนเดิมนั้นหันมาประสานตากับจีฮเยที่มองร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆอย่างลืมตัวเข้า ส่งผลให้ใบหน้าน่ารักขึ้นสีระเรื่ออย่างอดไม่ได้ ก่อนที่จะแก้เขินด้วยการสะบัดน้ำฝนใส่ จนทำให้ชางมินนั้นโวยวายกลับ

     

    เฮ้ย~!!!จีฮเย ทำงี้ได้ไง ห๊ะ!!!!........อย่าหนีนะ เจ้าตัวเล็ก!!!!!!มาให้พี่เอากลับซะดีๆเลย~!!!!!”

     

    ท่ามกลางสายฝนเย็นเยียบที่ตกกระหน่ำลงมาบนผืนดินอยู่นั้น.....ยังคงมีหนี่งร่างสูงกับอีกหนี่งร่างเล็กที่วิ่งไล่กันอย่างสนุกสนาน ส่งเสียงร้องโวยวายกันอย่างมีความสุขจนถ้าเกิดมีคนใดที่หันมามองตามนั้น อาจจะยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว........

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ห๊ะ!!!!!!! จะให้หนูไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น!!!!” เสียงใสที่เคยพูดเจื้อยแจ้วนั้น ตะโกนแว้ขึ้นหน้าของผู้มีศักดิ์เป็นบุพการีทั้งสอง ซี่งทำให้ ชอง จีวุนแทบอยากเอามือทั้งสองข้างไปปิดปากของเจ้าลูกสาวตัวเล็กที่เสียงไม่น้อยไปตามตัว............นี่กะจะประกาศให้ชาวบ้านเขารู้เลยใช่มั้ยเนี่ยะ~!!! ว่าจะได้ไปญี่ปุ่น!!!........

     

     

    อืม ใช่จ๊ะ......อาจารย์ของลูกส่งข่าวมาบอกพ่อกับแม่ว่า.......ลูกได้ทุนไปศึกษาวัฒนธรรมที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา 1 ปีจ๊ะ^^”

     

    ชอง ยูนา ผู้เป็นแม่พูดกับลูกสาวที่รักคนเดียวของบ้านพลางยิ้มหวานให้ จนทำให้จีฮเยนั้นแทบอยากเอาหัวไปโขกกับโต๊ะกินข้าวที่อยู่ข้างหน้าตัวเองเสียให้ได้........และแน่นอนว่าหัวๆนั้นจะต้องเป็น หัวของอาจรย์ผู้หวังดีคนนั้นนั่นเอง!!!!~

     

    ไม่ไปค่ะ ยังไงหนูก็ไม่ไป!!!!!!!!!!” จีฮเยตอบกลับเสียงกร้าว จนทำให้ยุนโฮ พี่ชายผู้นั่งอยู่ข้างๆเธอแต่กลับทำตัวเป็นผู้ช่วยที่ดีโดยการพยายามทำตัวเป็นสสารบนโต๊ะอาหารนั้น แอบยกนิ้วโป้งขึ้นให้น้องสาวใจกล้าของตัวเองในใจ

     

     

    ..............น้องสาวกรู มันเจ๋งเว้ยยยยยยย~!!!!!!>[]<d.........

     

     

    จีฮเย......ทำไมไม่ไปล่ะลูก~ มีเหตุผลอะไรมั้ย?? ผู้หญิงอีกคนในบ้านถามเหตุผลคนอารมณ์ร้อนเสียงหวาน แต่กลับทำเอาเหล่าคนที่นั่งร่วมโต๊ะหงาดผวากับน้ำหวานอาบยาพิษนั้น

     

    คะ......คือ....หนูเป็นพวกโฮมซิกนะค่ะ หนูต้องคิดถึงบ้านมากจนขาดใจตายแน่ๆเลยคะTT^TT” จีฮเยพูดพลางทำหน้าน่าสงสารสุดชีวิตให้แก่แม่ของตัวเอง ซึ่งอาจจะได้ผลถ้าไม่มีเสียงเข้มของพ่อผู้แสนดีนั่นขัดขึ้นมาเสียก่อน....

     

    ก็ดีแล้วนี้.........จะได้ทำให้ลูกนั้นฝึกการใช้ชีวิตแบบคนที่โตแล้วเหมือนกับลูกของคนอื่นเค้าซะที

     

    ไม่!!!!!!!ยังไงหนูก็ไม่ไปเด็ดขาด~!!!!!!!!!”

     

    แต่ชั้นสั่งให้แกไป!!!!!!!!!!!!”

     

    สิ้นคำขาด ร่างเล็กก็วิ่งพุ่งบันไดของบ้านขึ้นไปยังห้องของตัวเองทันที ทิ้งให้บุพการีทั้งคู่นั้นต้องส่ายหน้าไปกับความเอาแต่ใจของลูกสาวคนเดียวของครอบครัว ยุนโฮค่อยๆลุกขึ้นจากเก้าอี้นั่งเบาๆ ก่อนจะย่องเตรียมชิ่งขึ้นข้างบนเช่นเดียวกันกับน้องสาวตัวเอง

     

    ยุนโฮ!!!!!!” เสียงเรียกจากคนเป็นพ่อนั้นทำให้ร่างใหญ่สะดุ้งด้วยความตกใจสุดตัว ก่อนที่จะขานรับแล้วหันหน้าไปหา

     

    ครับ!!!!!”

     

    ลูกช่วยกล่อมน้องหน่อยนะยุนโฮ..........คงมีแต่ลูกเท่านั้นแหละที่จะช่วยได้ ยูนาเอ่ยอย่างอ่อนใจกับลูกชายคนโตของบ้าน

     

    ง่า.........ยะ....ครับๆ ผมจะพยายาม ปากหยักเตรียมคำปฏิเสธให้แก่แม่ตัวเอง แต่รังสีเหี้ยมที่ถูกส่งออกมาจากคนที่นั่งข้างมารดามันเปล่งประกายกระแทกตาเขาเข้าอย่างจัง จนทำให้ยุนโฮเอ่ยคำตอบรับอย่างเสียไม่ได้........

    .

    .

    .

    .............จีฮเย ร่างใหญ่เรียกชื่อน้องสาวก่อนที่จะเปิดประตาสีอ่อนเข้าไปในห้องนอนสีฟ้าสดใสของคนร่างเล็กที่ตอนนี้กำลังนั่งดูดาวอยู่บนเก้าอี้ข้างหน้าต่างอย่างเหม่อลอย

     

    ยุนโฮกล่าวเข้ามาในห้อง ขายาวสาวนำพาตัวของเจ้าของเดินเข้ามาใกล้เก้าอี้นวมสีขาวอีกตัวที่อยู่คนละมุมห้องกับคนที่เขาต้องการจะคุยด้วย ก่อนที่จะหย่อนสะโพกลงไปนั่ง...

     

     

    พี่รู้นะว่า ที่เธอไม่อยากญี่ปุ่นนี่ก็เพราะใคร เสียงเบสกล่าวเกริ่นพลางลอบมองปฏิกิริยาจากคนข้างๆ ที่ยังคงไม่สนใจกับการมาของเขาแต่อย่างไร

     

    ชางมินใช่มั้ย????? สิ้นคำกล่าว อยู่ดีๆร่างเล็กที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆหน้าต่างนั้นก็ตกลงจากเก้าอี้ไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนพื้นอย่างไม่มีสาเหตุ ดวงตากลมโตที่ประดับอยู่บนหน้าที่ขึ้นสีแดงๆนั้นมองกลับมาที่เขาอย่างเอาเรื่องก่อนที่ปากบางจะขยับเถียง..

     

    ทำไมฉันจะต้องสนใจหมอนั่นด้วยล่ะ???? เหตุผลอื่นมีตั้งร้อยพันแปดอย่าง หน้าคมส่ายอย่างอ่อนใจกับความปากแข็งของน้องสาวตัวดี

     

     

    .......ไอ้พวกปากหนัก....เป็นกันทั้งคู่.....แล้วชาติไหนจะได้แต่งงานกันล่ะว่ะ~!!!!.........

     

    ร่างสูงคิดพลางกุมขมับก่อนที่ปากหยักจะกล่าวต่อโดยไม่สนใจคำค้านจากคนที่ไม่ยอมรับตัวเอง

     

    จีฮเย........พี่จะบอกอะไรให้อย่างหนึ่ง...ลองไปถามเขาเรื่องนี้สิ.....พี่รับรองได้เลยว่าคนอย่างชางมิน ถึงจะตาย....มันก็ไม่เคยคิดจะขัดขวางอนาคตของใครเค้าหรอก......โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเธอ..............ราตรีสวัสดิ์นะไอ้น้องรัก

     

    ร่างสูงใหญ่พูดคำทิ้งไว้คาใจจีฮเยก่อนที่จะพาตัวเองออกไปจากห้องนอนสีฟ้าอ่อนนี้ โดยทิ้งให้เจ้าของห้องนั้นแทบนอนไม่หลับทั้งคืนจากคำกล่าวนั้น......

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ชิม ชางมิน!!!!!!” ร่างสูงโปร่งที่นั่งแต่งเพลงอยู่หน้าแกรนด์สีขาวตัวโปรดในห้องซ้อมดนตรีนั้นสะดุ้งขึ้นมาสุดตัว ซึ่งต้นเหตุนั้นก็ไม่ได้มาจากที่ไหนเลย.........นอกจากเสียงหวานที่อยู่ดีๆก็ตวาดแว้ขึ้นมาตั้งแต่เจ้าของเสียงยังไม่เดินก้าวพ้นเข้ามาในห้องเลย

     

    พี่แจจุง.......อย่าตวาดผมสิครับ

     

    ชางมินเอ่ยกลับเสียงอ่อนหลังจากหันกลับไปมองร่างบอบบางของรุ่นพี่คนสนิทที่ตอนนี้กำลังเดินเข้ามายืนจังก้าอยู่หน้าเขา ใบหน้าหวานน่ารักนั้นหยู่ลงมา นัยน์ตากลมโตนั้นส่อถึงแววโกรธเคืองอย่างชัดเจน ก่อนที่กำปั้นเล็กๆจากคนตรงหน้านั้นจะลงมาตุ๊บตั๊บอยู่บนไหล่กว้างของเขา.....

     

     

    ชางมิน....ฮะ...ฮึกๆ ทะ..........ทำไมนายถึงเป็นเด็กนิสัยไม่ดีอย่างงี้..นายไม่เห็น...วะ...ว่าเราเป็นพี่น้องกันแล้ว....ระ....รึไง.....ฮึกๆ

     

    เสียงสะอื้นไห้ดังขึ้นในระหว่างที่คนที่ตัวเล็กกว่าเขานั้นกำลังทำการประทุษร้ายเขาอย่างไม่หยุดหย่อน........ แต่ด้วยความที่สนิทกันมานานและชางมินนั้นแทบจะไม่เคยเห็นรุ่นพี่ร่างบางแต่ข้างในแสนแกร่งคนนี้เสียน้ำตาให้กับอะไรง่ายๆนั้น ทำให้ชางมินตกใจและทำอะไรไม่ถูกนอกจากดึงตัวของแจจุงที่ตอนนี้ที่น้ำตาเม็ดใสดูเหมือนจะไม่หยุดไหลง่ายๆเอาเสียแล้วมากอดปลอบ

     

    พี่แจจุง......ทำไมพี่ถึงร้องไห้ล่ะ......ใครทำอะไรพี่ ห๊ะ!!!! เดี๋ยวผมจะไปจัดการมันให้นะ บอกผมมาเหอะ ไอ้พี่ยุนโฮรึเปล่า????.......เดี๋ยวผมจะไป........... ชางมินถามขณะที่มือกร้านลูบหลังเล็กๆของรุ่นพี่คนสวยไว้อย่างทะนุถนอม ปากหยักรัวถามถึงสาเหตุที่ทำให้นางฟ้าผู้เข้มแข็งคนนี้ร้องไห้ไม่มีหยุด จนถูกแจจุงพูดขัดขึ้นมา...

     

     

    ชิม ชางมิน.....ฮึก....เพราะชิม ชางมิน......คะ..คนๆนี้ไงที่ทำให้พี่ร้องไห้

     

    ร่างบางพูดตอบพลางเงยใบหน้าใสที่ประเปื้อนไปด้วยน้ำตานั้นขึ้นมา ดวงตาคู่สวยที่คลอไปด้วยน้ำตาเม็ดใสเกลือกกลิ้งไปมาสบเข้ากับตาคมเข้มของรุ่นน้องที่ตัวสูงกว่าเกือบ 10 เซนติเมตร คนที่ได้รับคำตอบกลับตีหน้าสงสัยกับสิ่งที่คนในอ้อมกอดนี้พูด

     

    ผม????......ผมหรอ.....ผมทำอะไรให้พี่ สายตางุนงงถูกตอบกลับโดยเจ้าของอ้อมแขน แจจุงผละตัวออกจากแขนแกร่งของรุ่นน้องคนสำคัญ ก่อนที่ปากอิ่มสีสดจะกลั้นเสียงสะอื้นไว้แล้วเปิดขึ้นพูดตอบคำถามโดยการถามกลับ

     

     

    ชางมิน...........นายยังเห็นพี่เป็นพี่นายอีกมั้ย????? แจจุงถามด้วยน้ำตานองหน้า นิ้วเรียวยึดชายเสื้อคนข้างหน้าไว้แน่นราวกับกลัวว่าคนๆนี้จะหายไปต่อหน้าต่อตา..

     

    แน่นอนอยู่แล้วสิครับ............พี่สาว เอ๊ย~!!! พี่ชายที่ผมรักและเคารพที่สุดอยู่แล้ว^^” ชางมินพูดล้อด้วยน้ำเสียงร่าเริงพร้อมกับรอยยิ้มสดใสเพื่อให้คนตรงหน้านี้สบายใจขึ้น

     

    แล้วทำไม นายถึงไม่บอกชั้นเรื่องที่นายป่วย......... นัยน์ตาสีรัตติกาลมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างปวดร้าว แก้วตาใสสั่นคลอนเต็มไปด้วยความเสียใจที่เกินจะบรรยายได้...

     

    ผมบอกแล้วนี่นา.......ว่าผมไม่ได้เป็นอะไรมากซักหน่อย...แค่ไข้หวัดธรรมดากับโรคกระเพราะอาหารเท่านั้นเอง คำอ้างเดิมถูกนำมาใช้เช่นทุกครั้งที่พี่ชายคนสวยข้างหน้านี้ถามไถ่เรื่องอาการแปลกๆของเขาที่ปัจจุบันนี้เริ่มเป็นบ่อยและแสดงอาการชัดเจนมากขึ้น

     

     

    งั้น...........ชางมิน........แล้วบอกพี่หน่อยสิว่าขวดยานี้มันคืออะไร???

     

    แจจุงถามพลางยื่นขวดยาทรงกระบอกสีขาวที่ภายในบรรจุเม็ดยาสีเดียวกับภาชนะที่ใส่ ชางมินแสดงสีหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะยื่นมือกร้านไปรับขวดยาประจำตัวเขาเอามาเก็บเข้ากระเป๋ากางเกงข้างตัว เสียงที่ไม่ทุ้มมากนั้นส่งคำถามที่เจ้าตัวสงสัยให้กับร่างบอบบาง

     

    ..........พี่ไปเอามันมาจากไหน????แจจุงยิ้มอย่างอ่อนแรง ปากอิ่มค่อยๆขยับขึ้นลงเพื่อตอบข้อสงสัยของชางมิน

     

    พี่เห็นมันหล่นลงมาจากกระเป๋วนายเมื่อวาน.............พี่สงสัยมากว่าช่วงนี้นายเป็นอะไรกันแน่.......พี่ก็เลยไปถามหายาตัวนี้จากเภสัชกร.......จากนั้นพี่ก็ไปหาพี่ดองวุค รู้มั้ย??? ว่าพี่ได้คำตอบอะไรกลับมา น้ำตาหยดใสเริ่มก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งบนขอบตาล่าง ก่อนที่มันจะตกผลึกตกลงมาเกลือกกลิ้งบนแก้มเนียนใส

     

     

    เภสัชกรเจ้าบอกว่า....ขายให้ไม่ได้นอกจากจะมีใบรับรองแพทย์ พอ.....ฮึก....พี่ถามวะ...ว่าเป็นยาอะไร คะ.....เค้าก็บอกว่าเป็นยา..ฮึก...ตะ....ต้านมะเร็ง........พอพี่ไปหาพี่ดองวุคถามเรื่องนาย....พะ..ฮึก.....พี่เค้าก็บอกว่า........นายเป็นโรคมะเร็งลำไส้!!!!!!!!!! คำสุดท้ายหลุดออกมา ก่อนที่ร่างบอบบางนั้นจะทรุดตัวลงไปนั่งบนพื้นข้างหน้าเขาพร้อมกับร้องไห้ออกท่ามกลางเสียงหยาดฝนกระทบหน้าต่างนอกอาคารเรียน..................

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ร่างเล็กของเด็กสาววิ่งสุดตัวอยู่ท่ามกลางสายฝนปลายเดือนพฤษจิกายนที่หนาวเหน็บแทบกรีดลงไปในเนื้อขาว รสชาติความเค็มของน้ำบนใบหน้าที่เจือปนอยู่กับน้ำฝนที่ได้สัมผัสบนปลายลิ้นทำให้จีฮเยรู้ว่าเธอกำลังร้องไห้อยู่.......

     

    ภาพของร่างสองร่างที่กอดกัน โดยหนึ่งคนคือรุ่นพี่ที่เธอชื่นชอบนั้นกำลังร้องไห้อย่างหนักและถูกอ้อมแขนอันอบอุ่นของอีกหนึ่งคนที่เธอเพิ่งรู้ว่าตัวเองรักเขานั้นโอบกอดอย่างแน่นหนา เสียงนุ่มกล่าวปลอบโยนคนบอบบางอย่างอ่อนโยน.......ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอคนนี้ไม่มีวันจะได้รับ!!!!!!

     

     

    จีฮเยก้าวผ่านประตูรั้วบ้านของเธอเข้าไปก่อนที่มือเรียวจะเอื้อมไปเปิดบานประตูซึ่งข้างหลังนั้น มีพี่ชายของเธอที่รีบกลับบ้านมาแต่เช้าเพื่อเคลียงานคณะกรรมการนักเรียนนั้นกำลังเดินเตรียมตัวจะออกไปข้างนอกอีกรอบ...

     

    ร่างเปียกม่อล่อกม่อแลกที่สั่นเทาด้วยความหนาวเหน็บจากน้ำฝนทรุดตัวลงในอ้อมแขนอันอบอุ่นของผู้เป็นพี่ชายที่รับด้วยความตกใจในสภาพของน้องสาวตัวเอง ปากบางที่ตอนนี้กลับซีดเผือกนั้นส่งเสียงแหบแห้งออกมาเป็นใจความสั้นๆแก่ยุนโฮก่อนที่สติทั้งหมดนั้นจะดับวูบไป...

     

    พี่.............ชั้น.....จะไป....ญี่ปุ่น.......

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ร่างสูงที่ตอนนี้ผิวดูซูบซีดและผายผอมลงอย่างรวดเร็วจนไม่เหลือเค้าคนที่เคยดูอุดมสมบูรณ์เมื่อสองเดือนที่แล้วนั้น นั่งเหม่อลอยอยู่กลางกองกระดาษเนื้อเพลงมากมายที่เขาตั้งใจจะแต่งเพื่อการแข่งขันเปียโนระดับชาติครั้งสุดท้ายในชีวิตนี้..............อาการของเขาหลังจากที่พี่แจจุงรู้เรื่องว่าเขาป่วยนั้นเริ่มรุนแรงและถี่ขึ้นเรื่อยๆ

     

    .......อาการปวดท้องตรงช่องบริเวณลำไส้นั้นเริ่มต้นทรมานเค้าทีละน้อยๆ จนแทบจะฆ่าร่างสูงทั้งเป็นได้ น้ำย่อยในกระเพราะตีขึ้นมาตีบตันอยู่ตรงคอจนแทบจะกินอะไรไม่ได้เลย การอาเจียน....จากที่ของเก่านั้นจะออกมาพร้อมกับน้ำย่อยเนื่องจากเอมไซน์ในกระเพราะทำงานแทบจะไม่ได้แล้ว กลับกลายเป็นทุกครั้งที่ชางมินคายอาหารที่เพิ่งจะได้รับนั้น สิ่งเหล่านั้นจะออกมาพร้อมเลือดมากมายกว่าที่ใครจะคาดคิด......อีกทั้งเมื่อไอเมื่อใด การไอก็จะสำลักออกมาพร้อมเลือดสีข้นเช่นกัน.....

     

     

    ................ยัยตัวเล็กนี้~ ไม่ได้มาหาเขาเกือบสองอาทิตย์ได้แล้วสินะ.................

     

    ห้วงคิดของเจ้าของมือเรียวที่กำลังนั่งขีดเขียนท่อนทำนองของเพลงตัวเองอยู่นั้น ปรากฏภาพของคนตัวเล็กที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงมานั่งพูดเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ข้างๆหูจนทำให้เขาหัวหมุนจนแทบไม่เป็นอันได้ทำอะไร ที่ไม่โผล่หน้าน่ารักมาที่ห้องซ้อมของพวกเขาเป็นเวลาเกือบสองอาทิตย์ได้แล้ว....ซึ่งถึงจะเดินไปถามหาจากพี่ชายของเจ้าตัวดีนี้ซักกี่ล้านครั้ง ก็ได้คำตอบที่ไม่ช่วยอะไรนักกลับมาพร้อมกับสายตารัศมีอาฆาตจากพ่อหมี

     

     

    ยัยนั่นไม่ว่าง...........นายไม่ต้องมาถามหาหรอก ยังไงเดี๋ยวเค้าก็ไม่อยู่แล้ว....

     

    เสียงโทนเบสนั้นยังคงก้องสะท้อนอยู่ในหัว เหมือนมีคนมาเล่นรีเพลย์ให้ฟังหลายร้อยรอบ แน่นอน ยุนโฮก็เป็นอีกคนที่ชางมินยังคงไม่บอกว่า......เขาป่วย.....ก็คงไม่แปลกอะไรที่ยุนโฮจะทำท่าเหมือนโกรธเขา.........

     

     

    มือกร้านขีดเขียนตัวอักษรและโน้ตเพลงไปตามกระดาษว่างเปล่าสีขาวอย่างช้าๆ ก่อนที่จะหยุดลง เมื่อสายตาคมนั้นไปหยุดสะดุดกับเม็ดฝนปรอยๆข้างนอกหน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งไว้ อาการเจ็บจี๊ดขึ้นมาบริเวณลำไส้เล็กเริ่มต้นเล่นงานเขาอีกระลอก........

     

     

    ชางมิน~” เสียงหวานใสจากรุ่นพี่คนสนิทที่เคยมาร้องห่มร้องไห้ใส่อกของร่างสูงนี้ ดังแว่วมาเรียกสติของชางมินให้กลับมา นัยน์ตาสีเข้มทั้งคู่เงยขึ้นมามองคนที่เดินมาวางชามข้าวต้มข้างๆตัวเขา แจจุงยิ้มบางๆให้กับคนตรงหน้า

     

    กินข้าวได้แล้ว.........ดูสิ วันนี้พี่ทำข้าวต้มกุ้งที่นายชอบมาให้ด้วยน้า~!!!!” ปากอิ่มกล่าวอย่างร่าเริงพลางคะยั้นคะยอให้รุ่นน้องผู้ได้รับฉายาว่า ตู้เย็น ที่ตอนนี้ซูบลงจนน่าเป็นห่วง ให้กินอาหารที่เขาทำเพื่อคนๆนี้

     

    ริมฝีปากหยักยกยิ้มขึ้นน้อยๆกับความพยายามของร่างบางข้างหน้าที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่ว่าเขานั้นจะกินอะไรเข้าไปก็จะอาเจียนออกมาหมด แต่กลับทำกับข้าวที่เขาชอบมาให้ทุกๆวัน อีกทั้งยังลงทุนทะเลาะกับหมีจนตัวเองนั้นแทบจะร้องไห้เพื่อมาดูแลเค้า............มือทั้งสองข้างของชางมินประกบกันก่อนที่จะพูดเสียงดัง

     

    ขอบคุณสำหรับอาหารคร้าบผมมมม~!!!!!!” พูดจบ มือกร้านก็ตักข้าวต้มหน้าตาน่าทานที่ตั้งอยู่ข้างหน้าขึ้นมาจ่อหน้าก่อนที่จะส่งช้อนสีเงินคันสวยเข้าไปในปากตัวเอง..

     

     

    ..........รสชาติแรกที่ลิ้นเรียวได้สัมผัสนั้นมันเฝืองฝืดคอของเขายิ่งนัก คอขมปร่าที่บ่งบอกถึงว่าไม่สามารถรับรสใดๆได้อีกแล้วนั้นทำให้ชางมินรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่เมื่อหันไปมองคนทำที่ยืนใหกำลังใจอยู่ข้างๆแล้วทำให้ร่างสูงพยายามที่กล้ำกลืนมันลงไปในลำคอ

     

     

    ชางมินฝืนนำอาหารรสอ่อนนี้ยัดใส่กระเพราะที่ถูกเจ้ามะเร็งตัวร้ายที่ลามขึ้นมาเล่นงานจนทำงานแทบจะไม่ได้แล้ว

     

    .......จนกระทั่งข้าวต้มในชามกระเบื้องนั้นพร่องลงไปเกินครึ่งเล็กน้อย...ซึ่งนั่นก็หมายถึงการเหยียบเส้นลิมิตของผู้ที่กินเข้าไปแล้วเช่นกัน แขนแกร่งดันชามสีสวยออกไปจากตัวเองก่อนที่ร่างสูงนั้นจะวิ่งพุ่งพรวดออกจากห้องซ้อมดนตรีไปยะชังห้องน้ำที่ตั้งอยู่ข้างๆ แล้วจึงเริ่มต้นอาเจียนอาหารออกมาซึ่งปนมากับสีเลือดจางๆในชักโครก ร่างบอบบางที่วิ่งตามคนป่วยมาด้วยความตื่นตกใจนั้นยืนมองหลังกว้างด้วยความสงสารและเจ็บปวดที่ตัวเองไม่สามารถช่วยอะไรรุ่นน้องที่รักได้…………

     

    มือขาวนวลเอื้อมไปแตะไหล่สั่นเทาด้วยความเหนื่อยอ่อนของร่างสูงที่ยังคงอาเจียนอยู่ก่อนออกแรงลูบขึ้นอย่างแผ่วเบา ชางมินหันมายิ้มบางให้รุ่นพี่ผู้แสนใจดีที่เขาเคารพ ปากซีดที่แห้งผากนั้นจะค่อยๆขยับเพื่อเปล่งเสียงอันแหบแห้งออกมา

     

     

    ขอโทษ.....นะฮะพี่แจจุง................ที่ผมกินข้าวต้มของพี่.....ไม่หมด

     

    มะ.......ฮึก......ไม่เป็นไรหรอก...ฮึกๆ ชะ......ชางมิน...นะ......นายพยายามมากพอแล้วนะ แจจุงพูดพลางกลั้นเสียงสะอื้นไห้ที่เริ่มมาพร้อมกับน้ำตาใสๆบนใบหน้างามอีกรอบ......ชางมินเอื้อมนิ้วโป้งของตัวเองไปใกล้ๆนัยน์ตาพราวระยับสีดำสนิทเพื่อเช็ดน้ำตา ก่อนที่ร่างโปร่งนั้นจะทรุดหมดสติอยู่บนไหล่บางของคนตัวเล็กกว่า

     

     

    ชางมิน ตื่นสิ ชางมิน!!!!!!!!!!!!!!!!”

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    หืม?????? จีฮเยหันกลับไปมองด้านหลังของตัวเธอเอง ก่อนที่ร่างเล็กจะโคลงหัวกลมๆเล็กน้อยอย่างใช้ความคิด

     

    .........สงสัย..หูคงจะฝาดแล้วมั้งเรา........

     

    เร็วๆเข้า จีฮเย~!!!!!!!! เครื่องบินจะออกแล้วนะ!!!!!” เสียงหวานเสนาะหูของผู้เป็นมารดาตะโกนจากด้านหน้าของจีฮเยเพื่อเร่งรัดลูกสาวที่แทบจะตกเครื่องบินอยู่ร่อมร่อแล้ว.......

     

    มือเรียวกระชับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของตัวเองแน่นก่อนที่ขาสั้นๆทั้งสองข้างจะรีบสาวให้เร็วขึ้น เมื่อใกล้เวลาที่เครื่องบินจะออกเต็มที่แล้ว.....

     

     

    เอาล่ะ~!! เจ้าตัวเล็ก ดูแลตัวเองให้ดีๆนะ!!!!! กินข้าวให้ครบมื้อแล้วก็นอนให้พอด้วยล่ะ จีวุนพูดพลางลูบหัวกลมๆของลูกสาวไปมาด้วยความเอ็นดูและความเป็นห่วง ซึ่งจีฮเยก็ได่แต่พยักหน้ารับคำ ก่อนที่ร่างเล็กจะหันไปกอดแม่คนสวย....

     

    ลูกสาวของแม่......รักษาตัวให้ดีๆนะ......อย่าป่วยไข้ขึ้นมาเลยนะ รอยยิ้มอ่อนโยนถูกถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก จีฮเยยิ้มกว้างรับ พร้อมกับหันไปยืนประจัญหน้ากับพี่ชายสุดหล่อที่อุตส่าห์โดดเรียนเพื่อมาส่งเธอไปญี่ปุ่นถึงสนามบิน.....

     

    พี่จะคิดถึงเธอนะ...เจ้าตัวเล็ก!!!!!!........และก็คงมีคนอีกคนคิดถึงเธอด้วย ร่างใหญ่พูดด้วยเสียงดังก้อง ก่อนที่จะลดระดับเสียงลงในประโยคสุดท้าย...ใบหน้าขาวน่ารักนั้นหมองเศร้าลง ร่างเล็กผละออกจากครอบครัวของตัวเอง...แล้วบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย

     

    ลาก่อนนะค่ะ พ่อ....แม่......พี่หมีแล้วหนูจะโทรมาหานะ!!!!” สิ้นคำไหล่บางก็หันหลังกลับเพื่อมุ่งเดินไปข้างหน้า......ออกจากประเทศบ้านเกิด..........ออกจากหัวใจที่กำลังจะหายไปของตัวเอง........!!!!..

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ...............ที่นี้ที่ไหน...........เขาตายแล้วใช่มั้ย?????................

     

     

    ความคิดแรกผุดขึ้นหลังจากร่างของชางมินนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่บนเตียงเป็นเวลานานถึง 3 วันตื่นขึ้น ศอกแกร่งท้าวตัวเพื่อลุกขึ้นนั่งแต่ความเมื่อยล้าและเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปทั่วทั้งตัวบวกด้วยสายระโยงรยางค์ของเครื่องมือแพทย์ที่ส่งเสียงบ่งยกถึงการทำงานอยู่รอบๆตัวเขานั้นทำให้ความคิดนั้นต้องเป็นอันล้มเลิกไป.......

     

     

    ชางมิน........นายฟื้นแล้วหรอ??? เสียงทุ้มกังวานที่มาพร้อมกับร่างสูงของคุณหมอดองวุคซึ่งเพิ่งจะเดินเข้ามาหาคนที่นอนหมดแรงอยู่บนเตียง ส่วนชางมินนั้นได้แต่พยักหน้าน้อยๆและจึงทอดสายตาไปทางอื่นแทนด้วยความเบื่อหน่าย

     

    ชั้นจะอธิบายอะไรหน่อยล่ะกันนะ ปากหนาพูดพลางเอามือขยับแว่นสายตาทรงรีที่ตั้งอยู่บนดั้งจมูก ต่อไปนี้......นายจะต้องมารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแทนแล้วนะ......ชั้นติดต่อพ่อแม่นายให้เรียบร้อยแล้ว....ส่วนอาหารการกินเราจะเปลี่ยนเป็นการฉีดเข้าสายน้ำเกลือและก็ฉีดยาเสริมเข้าเส้นเลือดแทนนะ ~!!!”

     

     

    ใบหน้าหล่อเหลาพยักหน้าเบาอย่างอ่อนแรง ก่อนจะหันไปอีกข้างหนึ่งของเตียงที่ไม่มีใครนั่งอยู่...

     

    พี่แจจุงหายไปไหนหรอครับ.....???? ชางมินเอ่ยถามคนยืนตรวจการทำงานของอุปกรณ์การแพทย์อยู่ทันทีที่สังเกตเห็นว่าคนที่น่าจะเป็นคนพาเขามาและเฝ้าเขาให้ตื่นขึ้นมานั้นกลับไม่อยู่

     

    ดองวุคเงยหน้าขึ้นมาจากเครื่องตรวจเช็คอัตราการเต้นของหัวใจและสมุดที่ใช้จดบันทึกอาการ ปากเรียวตอบคำถามคนป่วย แจจุง......เขาไปทำเรื่องขอดร๊อปเรียนให้นายอยู่นะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก……..ชั้นไปก่อนนะ........ถ้ามีปัญหาอะไรก็กดปุ่มสีแดงที่อยู่ข้างๆมือขวาเรียกพยาบาลเค้าให้มีช่วยล่ะกัน หันหน้ากลับมาพูดหลังจากที่สาวขายาวไปหยุดยืนตรงหน้าประตูห้อง พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ

     

     

    ปึง!!!!!!!!!!!!!.........เสียงปิดประตูดังพร้อมกับความเงียบที่ค่อยๆโรยลงมารอบตัวทำให้ถายในห้องสีขาวบริสุทธิ์นี้เงียบสงัดดั่งไม่มีใครอยู่ ชางมินที่นอนอยู่บนเตียงกว้างสีเดียวกับผนังห้อง ลมหายใจแผ่วเบาดังขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอ

     

    ..............จนในที่สุดมือกร้านก็ตัดสินใจเอื้อมมือไปหยิบมือถือที่อยู่ข้างตัวเพื่อจะติดต่อรุ่นพี่คนสวยผู้แสนดีกับเขาเสมอ นิ้วเรียวกดหมายเลขอันคุ้นเคย ก่อนจะนำขึ้นมาแนบกับหู..........สัญญาณการติดต่อเริ่มดังดังขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เสียงหวานของแจจุงจะดังลอดออกมาจากโทรศัพท์

     

     

    //“เบายอแซโย????? แจจุงพูดครับ........”//

     

    “…………………..พี่แจจุง....เสียงกังวานถูกกรอกลงไปตามสาย ทันทีที่อีกฝ่ายได้รู้ว่าชางมินเป็นผู้โทรเอง คำพูดมากมายก็พรั่งพรูถ่ายทอดออกมาตามสัญชาตญาณของผู้เป็นพี่ที่ขี้ห่วงน้องอย่างเขา

     

    //ชางมินหรอ!!!!??? ฟื้นแล้วใช่มั้ย?? เดี๋ยวพี่จะกลับไปเฉ่งนายให้ได้เลยเคยดู~!!!.....เนี่ยะ~!!!ตัวก็หนักเป็นตัน สูงก็สูง ยังทำให้พี่ต้องแบกเข้าโรงพยาบาล ถ้าตัวนายมันเบาเหมือนนุ่นนะชั้นจะไม่บ่นเล๊ย~”//

     

    เอ่อ...........ขอโทษครับ

     

    //ชั้นก็ไม่ได้โกรธอะไรนายหรอก......ทีหลังเธอทำอะไรไม่ได้ก็อย่าฝืนรู้มั้ย??~ พี่เป็นห่วงนายมากนะ................//

     

    คำตวาดแว๊ดบ่นนั้นเริ่มอ่อนเสียงลงเรื่อยๆจนทำให้ชางมินต้องรีบเปลี่ยนเรื่องคุย ก่อนที่เจ้าของร่างบางปลายสายเขาจะรู้สึกผิดที่ทำให้เขาอาการทรุดหนักกว่าเดิม

     

    แล้ว......พี่กำลังทำอะไรอยู่หรอครับ??

     

    //“อ๋อ~!!!....ตอนนี้ชั้นอยู่ที่โรงเรียนนะ กำลังรอดำเนินการดร็อปเรียนให้นายอยู่........เพราะฉะนั้นนายไม่ต้องเป็นห่วงนะ// แจจุงพูดดักทางน้องชายคนเล็กเขาอย่างรู้ทันว่า ชางมินคนนี้รักและขยัน ตั้งใจเรียนแค่ไหน

     

    มีใครรู้มั้ยครับว่า.....ผมเป็นอะไร

     

    ชางมินพูดอย่างเป็นกังวล เขาไม่ต้องการจะให้เพื่อนๆในห้องของเขานั้นต้องเป็นห่วงแล้วแห่กันมาบุกที่โรงพยาบาล โดยเฉพาะเจ้าลิงฮยอกกับฟักทองสีชมพูซองมินนั้น มันต้องเป็นเดือดเป็นร้อนแล้วมาถล่มโรงพยาบาลแห่งนี้เป็นแน่~

     

    แจจุงยิ้มให้กับความเป็นห่วงคนอื่นก่อนตัวเองของคนที่ยู่ปลายสาย ก่อนที่ปากอิ่มจะกรอกเสียงหวานลงไป //ไม่มีหรอก........พวกนั้นก็ถามถึงนายนะ...แต่ว่าชั้นก็บอกแค่ว่านายป่วยเลยต้องเข้าโรงพยาบาลด่วนนะ ไม่ได้บอกหรอกนะว่าเป็นอะไร......... //

     

    ขอบคุณครับ......... สิ้นคำพูด สมองของร่างสูงประมวลผลถึงสิ่งๆหนึ่งที่เขาเกือบจะลืมได้ขึ้นมา เดี๋ยวครับ~……..พี่แจจุงยังอยู่โรงเรียนใช่มั้ยฮะ??

     

    เมื่อคนปลายสายส่งเสียงตอบรับกลับมา ปากหยักก็ออกคำร้องขอความช่วยเหลือรุ่นพี่คนสำคัญ พี่ฮะ........ช่วยเดินขึ้นไปที่ห้องซ้อมหน่อยได้มั้ยครับ แล้วก็หยิบซองน้ำตาลกับพวกกระดาษที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือข้างเปียโนหน่อยนะครับ............ครับๆ......ขอบคุณครับ

     

    มือกร้านขยับเอามือถือสีเงินรุ่นใหม่เครื่องบางเฉียบออกมาหูก่อนที่จะปิดฝาพับลงเมื่อตัดสายสัญญาณโทรศัพท์ทิ้ง หลังจากคนปลายสายรับคำร้องขอนั้น...

    .

    .

    .

    ผ่านไปครึ่งชั่วโมง....

     

     

    ร่างบอบบางของแจจุงก็มาถึง มือเรียวผลักประตูปิดลงเมื่อเคลื่อนตัวผ่านเข้าไปในห้องผู้ป่วยที่เจ้าของนอนแกร่วอยู่บนเตียงอย่างน่าอึดอัดเนื่องจากสุขภาพของชางมินตอนนี้นั้นไม่เอื้อต่อการที่จะขยับไปไหนต่อไหนได้เพียงลำพัง...

     

    มาแล้วจ้า~!!!!!! เสียงสดใสดังขึ้นกระทบโสตประสาทของคนที่นอนจ้องเพดานคนเดียวมานาน ก่อนที่ใบหน้าสวยเกินผู้หญิงนั้นจะโผล่ออกมาให้เขาเห็น พร้อมกับของที่เขาสั่งในมือบางนั้น.......

     

    ขอบคุณครับ.........พี่

     

    ไม่เป็นไรเรื่องจิ๊บจ๊อย~!! เอาเหอะนายอยากจะเขียนเพลงใช่มั้ยล่ะ มาๆเดี๋ยวพี่จะช่วยยกหัวเตียงขึ้นให้นะ แจจุงพูดอย่างมีน้ำใจพลางช่วยร่างสูงที่นอนอยู่กดปุ่มยกระดับเตียงขึ้นมา

     

    ขอบคุณมากเลยฮะ............พี่แจจุง

     

    หืม???? แจจุงขานรับเสียงเรียกขณะที่เดินไปนั่งเขียนเคลียร์ตารางเรียนและตารางงานของตัวเอง เพื่อให้มีเวลามานั่งดูแลคนป่วย

     

     

    นี่...............คงจะเป็นเพลงสุดท้าย....ที่ผมจะเขียนในชีวิตแล้วนะฮะ

     

    ปากหยักค่อยๆเอ่ยขึ้น จนเรียกสีหน้าตื่นตกใจจากคนที่นั่งอยู่ได้ แต่ก่อนที่ปากสีแดงสดนั้นจะเปิดขึ้นเถียง น้ำตาเม็ดเล็กก็ค่อยๆร่วงออกมาจากขอบตาของคนที่ขึ้นชื่อว่า บ่อน้ำตาลึกที่สุดผู้แทบที่จะไม่เคยเสียน้ำตาไม่ว่าเหตุผลอะไร พร้อมกับเสียงสั่นสะท้านที่คนฟังรับรู้ถึงคลื่นความเศร้าในน้ำเสียงดังขึ้นขัด

     

    ผม..........ฝากพี่....ไปให้เธอคนนั้นด้วยนะครับ....

     

     

     

    .................คนที่ผมรักที่สุด................

    .

    .

    .

    .

    .

    ………………………………………………………………………………………………………

     

    ผมซ่อนน้ำตาที่จะไหลออกมาไว้ภายในดวงตาของผม ไม่ให้มันไหลออกมาได้อีก

    รอยยิ้มแห่งความรัก ที่ผมได้รู้จัก……..

    มันจะค่อยๆแห้งหายไป เหมือนกับสายฝนที่ตกลงมาเมื่อวาน....

     

    .........................................................................................................

     

    หลังจากวันนั้นร่างสูงของชางมินก็ถูกย้ายมาอยู่ที่ห้องพิเศษเป็นเวลาเกิน 3 เดือนแล้ว.........ร่างโปร่งที่เคยดูมีเนื้อมีหนังแม้จะซูบไปบ้างหลังจากที่ป่วยนั้น ตอนนี้กลับแทบกลายเป็นโครงกระดูก ความเจ็บปวดในช่องท้องที่เมื่อก่อนเป็นเพียงครั้งคราวนั้น กลับมาทำร้ายชางมินแทบจะทุกวินาทีที่หายใจ อวัยวะภายในถูกเจ้าวายร้ายที่ขึ้นชื่อว่า มะเร็ง นั้นกัดกินจนแทบไม่เหลือให้ใช้สลายสารอาหารที่ดูดซึมเข้าไปทางเลือดโดยอาศัยผ่านท่อสายยางสีใส.........เรี่ยวแรงที่แขนซ้ายกับขาทั้งสองข้างนั้นหายไปจนไม่สามารถขยับตัวได้อีกแล้ว...ปลายนิ้วที่เคยพลิ้วไหวไปกับโน้ตเพลงบนแกรนด์ตัวโปรดไม่แม้แต่ที่จะกระดิกได้ เหลือเพียงแขนข้างขวาที่เคลื่อนไหวอย่างอ่อนแรงไปมาเพื่อต่อเพลงสุดท้ายให้จบกับดวงตาพร่ามัวที่ค่อยๆมองสิ่งรอบกายไม่เห็นทีละน้อย.........ซึ่งตอนนี้เพลงๆนั้นก็ได้เสร็จสิ้นลงด้วยตัวของเขาเอง........

     

     

    ชางมิน~ เอาอีกแล้วน้า~!!! ถ้านายไม่สบายขึ้นมาชั้นจะทำยังไงเนี่ยะ~!!! แจเอาชั้นถึงตายเลยนะ!!!!!!” เสียงทุ้มโทนเบสกล่าวขึ้นอย่างอ่อนใจเมื่อเห็นคนที่ตัวเองรักและถือว่าเปรียบเสมือนน้องชายนั้นบอกให้เพื่อนที่มาเยี่ยมก่อนหน้าเขานั้นเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ให้เจ้าคนที่นอนนิ่งๆนี้ได้สัมผัสถึงสายฝนที่ช่วงนี้โหมกระหน่ำอย่างไม่ถูกฤดูกาลเท่าไหร่นัก

     

     

     

    เมื่อสองเดือนก่อน......ความลับเรื่องชางมินป่วยด้วยโรคมะเร็งที่ถูกเก็บไว้อย่างดีนั้นก็ถูกเปิดเผย จนทำให้เพื่อนๆของเขานั้นแห่กันมาเยี่ยมเยียนโดยเฉพาะเจ้าสองคนที่สนิทกับเขาที่สุดที่ทุกวันแทบจะโดดเรียนมานั่งเฝ้าเขาเลยทีเดียว

     

    .......ส่วนอีกคนที่ได้รู้ด้วยนั้นก็คือ ชอง ยุนโฮผู้ที่ให้คำสัญญากับเค้าว่าจะไม่บอกเรื่องที่เขาป่วยกับเจ้าตัวเล็กตัวดีที่ตอนนี้ยังคงดูสุขสบายดีที่ญี่ปุ่นเด็ดขาด ตอนนี้ทุกๆวันชางมินจะมี แจจุง หรือยุนโฮ หรือไม่......ก็ทั้งคู่....จะมานั่งดูแลพร้อมกับเล่าเรื่องความเป็นมาต่างๆภายนอกห้องสี่เหลี่ยมนี้ให้ฟัง เนื่องจากคนทั้งสองเอ็นท์ติดไปเรียบร้อยแล้วจึงลดภาระไปได้ อีกทั้งดูเหมือนแจจุงจะตกลงปลงใจคบกับยุนโฮแล้วด้วยซ้ำ.......

     

     

    ชางมิน พี่จะปิดหน้าต่างให้เอามั้ย??? ยุนโฮถามพลางตั้งท่าเอื้อมมือไปแตะที่ขอบหน้าต่างพร้อมที่จะปิด แต่ใบหน้าหล่อเหลาที่ตอนนี้กลับดูซูบซีดและขาวจนแทบกลายเป็นกระดาษนั้นกลับส่ายหน้าช้าๆ ก่อนที่ริมฝีปากแห้งผากจะค่อยๆขยับเปิดขึ้นถ่ายทอดเสียงแหบแห้งออกมาอย่างติดขัด

     

     

    ..แล้ว...พะ....พี่ แจ....จุงล่ะครับ

     

    อ๋อ~เดี๋ยวเขาก็ตามมานะ..... ยุนโฮเอ่ยตอบพลางยกยิ้มอ่อนโยนให้กับคนตรงหน้า

     

    พี่........................

     

    หืม???? เสียงทุ้มส่งเสียงเชิงรับรู้เสียงเรียกขณะที่กำลังเรียงจัดวางของกินต่างๆสำหรับเขาและแจจุงใส่ในตู้เย็นที่มีในห้องพิเศษอยู่.....

     

    พรุ่งนี้............ผม...จะ..อะ..ออกไปข้างนอก......ได้มั้ย?? ชางมินเอ่ยคำถามที่ชายหนุ่มผู้ฟังได้แต่อึ้งแต่ก่อนที่จะตอบกลับไปนั้น เสียงทุ้มหวานเสียงหนึ่งก็ดังขัดขึ้นมาจากทางประตู

     

    ไม่ได้!!!!! ชางมิน.......ตอนนี้นายต้องการการดูแลที่ดีที่สุดเข้าใจมั้ย???....นายจะได้หายเร็วๆไง แจจุงสาวขาเรียวเข้ามาหลังจากที่วางของที่เพิ่งซื้อมาบนโต๊ะตัวเล็กเรียบร้อยแล้ว ปากอิ่มพูดปลอบพลางเอามือเรียวบางนั้นดึงผ้าห่มผืนหนาขึ้นมาคลุมถึงใต้คางของคนที่ป่วย

     

     

    พี่........ผม...รู้ว่า..เวลาของผม.....นะ...น้อยลงเต็มที่แล้ว......ขอร้อง...ล่ะ.....ถะ...ถ้าผมจะตาย....ขะ......ขอให้ผมอยู่ที่อื่น...ที่..มะ.....ไม่ใช่โรงพยาบาล..... นัยน์ตาคมจ้องมองคนตัวที่ยืนอยู่ข้างเตียงอย่างเว้าวอน แต่คำที่ชางมินพูดออกมาด้วยเสียงแห้งพร่านั้น มันตอกย้ำร่างบางเข้าไปลึกทำให้แจจุงนั้นแทบน้ำตาไหลออกมา กับความคิดที่ว่า.....ตัวของเขาไม่สามารถช่วยน้องคนสำคัญของตัวเองได้เลย............

     

    พี่.............ขอโทษนะ....ชางมิน ไหล่บางสั่นเทาจนคนที่ยืนมองห่างๆนั้น แทบจะวิ่งเข้ามาโอบปลอบ เสียงหวานที่แฝงความเศร้าเอาไว้ ดังขึ้น พร้อมๆกับน้ำตาหยดแล้วหยดเล่านี้ดังเช่นสายฝนที่หลั่งลงมากระทบพื้นดินอยู่ข้างนอก......

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    มือถือเครื่องจิ๋วสีสดที่ถูกเจ้าของวางทิ้งไว้บนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ กำลังสั่นตัวเองอยู่อย่างบ้าคลั่ง.......จนเรียกสติร่างเล็กผู้เป็นเจ้าของที่กำลังมองสายฝนที่ตกลงพร่ำตั้งแต่เย็นวันก่อนไม่ยอมหยุดอย่างเหม่อลอยไปหาใครบางคนที่อยู่ห่างกันคนละประเทศ..........

     

     

    เบายอแซโย~????” เสียงใสกรอกลงไปตามลำโพงมือถือ แต่เมื่อสมองได้ประมวลผลคำที่ปลายสายพูดสั่งรัวอย่างรวดเร็วแล้วนั้น คนตัวเล็กแทบทรุดลงพื้นในทันที...........หลังจากวางสายที่โทรเข้ามาแล้วนั้น.........นิ้วเรียวแสนสั่นเทานั้นก็รีบจิ้มเบอร์โทรศัพท์อีกเบอร์ด้วยความร้อนใจ

     

    ค่ะ.................จองตัวด่วน..ของเย็นวันนี้ค่ะ......ไฟท์ปลายทางที่เกาหลีใต้ค่ะ!!!!!!!!”

     

    ปากเรียวพูดสั่งอย่างรวดเร็วในการจองตั๋วเครื่องบิน ทันทีที่มีโอเปอร์เรเตอร์รับสายขึ้นมา ก่อนที่จะทำการวิ่งลงไปยังชั้นล่างของตัวบ้านเพื่อกล่าวลาคนในครอบครัวที่ตัวเองมาอาศัยในครอบครัวเป็นเวลาเกือบครึ่งปีแล้ว........หลังจากที่ได้ยินข้อความจากพี่ชายตัวเองดังลอดมาจากลำโพงโทรศัพท์

     

     

    ......จีฮเย!!!!........รีบกลับมาด่วนเลยนะ~!!!.........ชางมิน......เขาป่วยหนัก.......

     

     

     

    ............................................................................................................

     

    สำหรับชีวิต การที่จะได้รู้ถึงสิ่งไหนแล้ว...................มันช่างเป็นการเดินทางอันแสนสั้น

    ฤดูกาลก็จะมาอีกครั้งแต่ว่า...แม่น้ำแห่งกาลเวลาก็ไหลผ่านไปอีกครั้ง

    ใบไม้สีน้ำตาล ที่ร่วงหล่นจากต้นไม้ริมถนน ถูกสายลมพัดกวาดไป

    สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีแต่ความปวดร้าว  ชะตากรรมของผม………….

     

    ……………………………………………………………………………………………………………

     

     

    กว่าจะถึงก็เกือบตีหนึ่งแล้ว........

     

    เสียงน้ำไหลเอื่อยๆฟังแล้วดูน่าสบายใจดังขึ้นแผ่วเบาในบริเวณแทบบ้านเก่าของชางมินที่ อยู่ติดกับลำธารใหญ่ ซึ่งตอนนี้แทบไม่มีใครอยู่ในบ้านแล้ว…..

     

    ท่ามกลางสายฝนที่ยังคงเทลงมาอย่างต่อเนื่อง ร่างใหญ่กำลังแบกร่างอ่อนแรงของชางมินไว้บนหลังกว้างอันอบอุ่นเพื่อลงมาจากรถยนต์คันหรูของยุนโฮโดยมีเสื้อคลุมผืนใหญ่กันเอาไว้ไม่ให้คนที่ถูกแบกอยู่นั้นโดนละอองฝน ร่างบอบบางของแจจุงเดินมองตามคนที่อยู่บนหลังแฟนตัวเองอย่างเป็นห่วง

     

     

    ………กว่าที่ทั้งสามคนนี้จะได้เดินเตร็ดเตร่อยู่ริมชายหาดเช่นนี้..แจจุงกับยุนโฮนั้นแทบ เถียงกับคุณหมอดองวุคคอเป็นเอ็น เพื่อที่จะให้น้องชายของเขาได้ออกมาข้างนอก เพราะการที่จะออกมาอยู่ข้างนอกโรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันและมลพิษ อีกทั้งยังปราศจากผู้ที่จะช่วยเหลือได้ทันท่วงทีอย่างหมอแล้วนั้น..........นับว่าเป็นการเสี่ยงอย่างมากที่จะให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายอย่างชางมินนั้นออกมาได้....โดยเฉพาะกลางฝนอย่างนี้แล้วยิ่งเข้าไปกันใหญ่...................

     

     

    ขาทั้งสองคู่สาวเข้าใกล้ตัวบ้านขนาดไม่ใหญ่มากนักแต่ดูอบอุ่น.....ทั้งสามก็ได้พากันเข้าไปในตัวบ้านที่ถูกทิ้งร้างไว้เป็นเวลานานแล้ว..........

     

    .....เมื่อยุนโฮวางร่างป้วกเปี้ยกของชางมินบนเตียงนอนเก่าของเจ้าตัวที่ถูกรักษาสภาพไว้อย่างดีเยี่ยมเช่นเดิมเสร็จแล้วนั้น ร่างสูงใหญ่ก็ผลุบหายไปทิ้งไว้เหลือเพียงแจจุงที่กำลังเตรียมน้ำอุ่นไว้เพื่อเช็ดตัวให้คนป่วยที่นอนอยู่บนเตียง.....

     

    ผ้าขาวเนื้อนุ่มถูกลูบไล้ไปใบหน้ารูปไข่ที่เหมือนดั่งถูกสลักไว้อย่างแผ่วเบา ก่อนที่มือบางจะไล่ลงมาเช็ดตามซอกคอและเนื้อตัวที่คาดว่าจะถูกฝนได้.......แต่มือกร้านที่เย็นเยียบของชางมินข้างที่ยังคงใช้การได้นั้นกลับจับข้อมือบอบบางของคนที่ลงมือเช็ดตัวให้เขาอยู่อย่างแผ่วเบา.......

     

     

    พี่แจจุง.........ขอบ....คุณมาก.......นะครับ เสียงติดขัดดังขึ้นจากริมฝีปากสีซีด แต่คำๆนั้นกลับทำให้สายน้ำจากดวงตาคู่งามนั้นเริ่มต้นไหลลงเงียบๆอีกครั้ง...

     

    ขอบคุณ...........สำหรับ...ทุกๆ..สิ่งทุก....อย่าง อาการเหนื่อยหอบจากการพยายามพูดของคนไม่มีแรงนั้นทำให้ถูกนิ้วเรียวของแจจุงนั้นแตะอย่างแผ่วเบา ก่อนที่เจ้าของจะส่ายหน้ารับพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง

     

    ผมคะ.....................

     

     

     

    ชิม ชางมิน~!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” คำพูดของร่างโปร่งนั้นถูกขัดด้วยเสียงใสที่ชางมินไม่เคยลืมว่าเป็นของใครก่อนที่ร่างเล็กๆของจีฮเยนั้นจะวิ่งเข้ามาภายในห้องสีเขียวอ่อนดูสบายตาที่มีชางมินนอนอยู่บนเตียง...

     

    ...............จี......ฮเย.......... ปากหยักนั้นขยับเรียกชื่อคนที่ตอนนี้น่าจะอยู่ที่ญี่ปุ่นด้วยงงงวย แล้วเรื่องทั้งหมดก็ถูกเฉลยขึ้นเมื่อสายตาพร่ามัวนั้น เหลือบไปเห็นร่างตะคุ่มๆของร่างสูงผู้ที่เขานับถืออย่างใจจริง ก่อนที่มุมปากทั้งสองข้างจะถูกยกยิ้มออกมาหลังจากที่ได้ยินคำสารภาพจากยุนโฮ

     

    ขอโทษนะ........ชางมินที่พี่ผิดคำสัญญา...แต่พี่ทนเห็นนายเป็นอย่างนี้ไม่ไหวแล้วว่ะ!!!!!”

     

    ชางมินยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะเรียกเด็กสาวคนเดียวในห้องที่ยืนร้องไห้เงียบๆอยู่ข้างหลังพี่แจจุงให้เขยิบตัวมาเข้าใกล้เขา..... ...จีฮเย.............มาใกล้ๆพี่หน่อยสิ......

     

    ร่างเล็กๆนั้นยอมทำตามคำสั่งคนป่วยแต่โดยดีก่อนที่เสียงเล็กๆจะโวยวายขึ้นมาด้วยเสียงแผ่วเบาในขณะที่ตัวเองก็กำลังสะอื้นไห้อย่างหนัก

     

    ไอ้พี่ชางมินบ้า~!!!! ทะ.....ฮึกๆ.......ทำไมไม่บอกกันซักคำล่ะ!!!!!!!! วะ......ว่า......ฮึก พี่ป่วย...ฮึก!!!!”

     

    มือกร้านซึ่งตอนนี้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงแล้ว ค่อยๆพยายามฝืนยกขึ้นมาแตะลงบนหน้าใส ก่อนที่จะเอานิ้วหัวแม่มือค่อยๆเกลี่ยลงไปบนขอบตาโตที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา.......เสียงแหบแห้งนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน.......

     

     

    ความตาย....เบาเหมือนขนนก.......หนักดั่งขุนเขา.......ตัวเล็กแล้วเธอจะเข้าใจ^^”

     

    หัวกลมๆนั้นส่ายดุกดิกด้วยความไม่อยากจะเข้าใจในสิ่งที่คนตรงหน้าที่เธอพยายามหลอกตัวเองมาตลอดว่ารักเพียงในฐานะพี่ชายคนหนึ่งนั้นพูดออกมา..ชางมินถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับหยิบซองสีน้ำตาลที่ตัวของเขาเองเป็นคนกอดมันไว้แน่นตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล ก่อนที่จะยื่นให้แก่คนตัวเล็กข้างกายที่ยังคงก้มหน้าก้มตาอยู่.....

     

     

    เพลงนี้จะเป็นเพลงสุดท้ายที่ฉันจะแต่งแล้วล่ะ.......ฉันให้เธอ

     

    จีฮเยเอื้อมมือไปหยิบซองเอกสารธรรมดาออกจากมือของชางมินด้วยสีหน้างงงวยทั้งๆที่ใบหน้าน่ารักนั้นยังคงเปราะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา............

     

    อย่าจะให้ตาของเธอต้องมีน้ำตาอีกนะ................... ชางมินพูดเบาๆก่อนที่จะพยายามเขยื้อนตัวไปใกล้จีฮเยปากกว่าเดิม........ปากหยักอันแห้งผากของชางมินนั้นค่อยๆบรรจงลงไปประทับอยู่บนปากบางสีชมพูอ่อนอย่างแผ่วเบา เหมือนดั่งเป็นคำสัญญา.....

     

    ฉันจะอยู่ข้างเธอตลอดไป.................แขนอันอ่อนแรงนั้นถูกยกขึ้นมาลูบหัวกลมๆของร่างเล็กที่ดูเหมือนตอนนี้จะร้องไห้หนักกว่าเดิมเสียแล้ว.....ก่อนที่คำพูดสุดท้ายจากปากหนานั้นจะหลุดออกมา

     

     

     

    เธอ.....คือสายฝน ของฉันนะ ยัยตัวเล็ก!!^^”

     

     

     

    เปลือกตาหนาค่อยๆเคลื่อนตัวมาลงมาประกบกันเพื่อปิดกันความงดงามของนัยน์ตาคมสีเข้ม หยาดน้ำใสหยดสุดท้ายไหลลงมาจากปลายหางตาก่อนที่มันจะเคลื่อนตัวลงมีตามสันหน้าหล่อเหลา

     

    จีฮเยบีบมือร่างไร้วิญญาณของชางมินไว้แน่นกอดที่จะร้องไห้กับมือคู่นั้น ส่วนแจจุงนั้นกำลังร้องไห้อย่างหนักโดยมียุนโฮโอบกอดไว้อย่างปลอบประโลม........

     

     

    ..........รอยยิ้มสุดท้ายที่ถูกฉายชัดบนริมฝีปากบาง ลมหายใจของร่างสูงบนเตียงสีขาวสะอาดนั้นค่อยๆถูกพรากไปพร้อมกับแสงอาทิตย์ที่ฉาดฉายขึ้นมาบนขอบฟ้าสะท้อนเสี้ยวหน้าคมของคนที่จากไป.......จากไปพร้อมกับสายฝนอันอบอุ่นนั้น.........อย่างไม่มีวันกลับ................

     

    ริมฝีปากบางได้รูปสวยของเด็กสาวนั้นค่อยๆเคลื่อนตัวลงไปโน้มบนริมฝีปากหยักของอีกฝ่ายก่อนที่จะจุมพิตกลับไปอย่างแผ่วเบา เพื่อเป็นการอำลา...........

     

     

    รับให้สบายนะ.......ชางมิน.......ลาก่อนหัวใจ......ของฉัน

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    [Song Of Rain]

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    เดินผ่านผู้คนไปมากมาย.....ไม่ว่าจะฤดูไหน ก็ผ่านเลยไปแล้ว

    เดินไปตามทิวทัศน์ที่คุ้นตา......จนผมได้พบกับเธอในตอนนั้น

    ตั้งแต่วันนั้น จนถึงตอนนี้ยังคงไม่ลืม

    ภาพวาด 2 ใบที่เก็บเอาไว้เหมือนกับฤดูที่ได้พบเธออีกครั้ง

    ถึงฝนจะตกหนัก ลมจะพัดแรงแค่ไหนก็ตาม

    ในที่ๆมีผู้คนมากมายบนโลก ผมได้พบเธอ It’s destiny

    ผมรักในน้ำเสียงใสๆของคุณ ใบหน้าที่ไร้เดียงสาของคุณ

    เพราะว่าคุณเป็นดั่งแสงแดดที่ทอประกายให้ความอบอุ่น

    ความรู้สึกนี้นับวันมันยิ่งเอ่อล้น และผมจะถ่ายทอดความรู้สึกนี้ให้คุณ

    ผมรู้สึกถึงช่วงเวลาที่แสนสุข พอๆกับหัวใจที่เต้นระรัวของผม ที่ถึงแม้จะไม่เคยพูดออกมาก็ตาม

    ผมคิดว่าความรู้สึกนี้เค้าคงเรียกกันว่าความรักสินะ

    หัวใจที่อ่อนล้าเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ และเวลาที่ผ่านพ้นไปทั้งหมดอยู่ในมือ
    ผมกลั้นน้ำตาไว้ ก้าวเดินต่อไปเพื่อเรียนรู้น้ำหนักของหัวใจผม

    ผมยังมีเธออยู่ตรงนี้

    ทุกวันช่วยจับมือผมไว้ ให้เธอได้รู้ถึงคำขอบคุณนั้น

    ผมได้ยินลมหายใจอันอบอุ่นของเธอ

    ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน

    ผมขอสาบานว่าความรักนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

    ผมจะร้องเพลงที่นิ่มนวลและอ่อนโยนนี้แด่เธอผู้เดียว

    I'll be there for U

    ท่ามกลางของฟ้ายามค่ำคืน ..ผมจะเป็นดวงดาวที่คอยปกป้องคุณ คุณคือสุดที่รักของผม

    เจ้าหญิงตัวน้อย... ผมจะแสดงความรักของผมที่มีต่อคุณทุกวัน

    ความรักที่คอยซ่อนไว้เสมอมาจนกระทั่งถึงวันนี้

    หัวใจของผมจะไม่มีวันเปลี่ยนตลอดไป

    แม้ว่าต้องเจ็บปวดเพราะความรัก

    แม้ว่าช่วงเวลานั้นจะกลายเป็นแค่ความทรงจำสำหรับผม

    You only love รักเดียวที่ฉันไม่สามารถสละทิ้งไป

    เธอคือทุกอย่างของฉัน ..............ความสุขแห่งรักนั้นก็สั้นลง

    ฉันต้องอดทนในวันที่สิ้นหวัง จนคุ้นเคยแม้แต่กับความสิ้นหวังนั้น In Your Eyes

    ในที่เงาแคบๆ ผมยังไม่ลืมเสียงๆนั้น

    ความเจ็บปวดนั้นไม่เคยลดลง ผมไม่สามารถกันความเจ็บปวดที่ตกลงมาดั่งสายฝนได้

    ผมซ่อนน้ำตาที่จะไหลออกมาไว้ภายในดวงตาของผม ไม่ให้มันไหลออกมาได้อีก

    เหมือนกับคนโง่ที่ยังคิดผูกพัน เหมือนกับคนโง่

    รอยยิ้มแห่งความรัก ที่ผมได้รู้จัก

    มันจะค่อยๆแห้งหายไป เหมือนกับสายฝนที่ตกลงมาเมื่อวาน

    ผมไม่สามารถลบมันออกไปจากใจได้ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ผมเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม

     นั่นก็เพราะผมยังคงร้องให้อยู่

    ท้องฟ้าโรยความมืดลงมาพร้อมกับ ดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆลาลับ

    ผมไม่สามารถลบภาพคุณออกจากหัวใจของผมได้

    มันยังคงชัดเจน แม้ว่าผมจะพยายามทำใจให้ว่างเปล่า

    สายลมก็กำลังพัดผ่านกระซิบที่หู ว่าในโลกใบนี้ ไม่มีสิ่งไหนที่ปราศจากความงดงาม

    สำหรับชีวิต การที่จะได้รู้ถึงสิ่งไหนแล้ว...................มันช่างเป็นการเดินทางอันแสนสั้น

    ฤดูกาลก็จะมาอีกครั้งแต่ว่า...แม่น้ำแห่งกาลเวลาก็ไหลผ่านไปอีกครั้ง

    ใบไม้สีน้ำตาล ที่ร่วงหล่นจากต้นไม้ริมถนน ถูกสายลมพัดกวาดไป

    สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีแต่ความปวดร้าว  ชะตากรรมของผม

    ลมหายใจของผมที่มีไว้เพื่อคุณ

    ผมอยากจะพบคุณอีกเป็นครั้งสุดท้าย เพราะหัวใจผมเต้นอยู่ได้ก้อเพราะคุณ

    You just stay forever

    and you're my last one like so ever .............forever

    ในชีวิตที่เหลืออยู่สั้นลงทุกทีไม่ว่าวันไหน

    ฟังเพลงของผมเถอะนะ......ผมจะได้ฝันถึงคุณได้

    แค่ทำอย่างนั้น............เป็นอย่างนี้ตลอดไป

    รักจะไม่มีวันสิ้นสุด

    ถึงแม้ว่าในตอนนั้นที่ลมหยุดพัด

    รอยยิ้มและการบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย

    ผมรักคุณ....

     

    ไม่เป็นไรหรอก...ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่คุณอยากจะร้องไห้

    ผมจะมองลงมาจากบนฟ้าและร้องไห้ไปพร้อมกับคุณ

    น้ำตานั้นจะกลายเป็นหยาดฝนพัดแผ่วปลอบโยนให้คุณยิ้มได้

    อย่ากังวลไปเลย......เมื่อหยาดน้ำตาแห้งเหือดหายไป รอยยิ้มจะฉายแสงบนใบหน้าอีกครั้ง

    จงจำไว้.....ว่าผมจะอยู่เคียงข้างกายคุณชั่วนิรันดร์............ลาก่อนนะ......

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    [Song Of Rain]

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    เนื้อเพลงหวานที่ถ่ายทอดถึงความรัก การพบเจอ และการลาจาก ถูกขับร้องโดยเสียงใสท่ามกลางตรงหน้าหลุมศพสีขาวของคนที่ตัวเธอรักหมดใจจนถึงปัจจุบัน.......เสียงเพลงที่ยังคงตอกย้ำความรู้สึกของเธออยู่เรื่อยๆเสมอที่ร้องขึ้นมา.......

     

     

    สายฝนที่เคยโหมกระหน่ำนั้นหยุดลงไปแล้วทิ้งไว้เพียงแอ่งน้ำเล็กๆมากมายล้อมรอบบริเวณนั้น ดอกไม้ใบหญ้าที่ลู่ลงเมื่อคราวถูกฝนเทใส่กลับผลิบานและส่องประกายระยิบระยับอีกครั้ง.......เช่นเดียวกับคนที่นั่งตากฝนเป็นนานสองนาน.....

     

    ใบหน้าขาวน่ารักนั้นเงยขึ้นมา ก่อนที่จะรีบเอามือบางมาขยี้ดวงตาคู่โตที่เคยเต็มไปด้วยน้ำตาของเธอเอง ริมฝีปากสีชมพูสดใสนั้นส่งยิ้งอย่างเริงร่าให้คนใต้ผืนดิน พร้อมกับเอื้อนเอ่ยคำสัญญา

     

     

    ขอบใจนะ..........พี่ชางมิน ที่พี่มาปลอบชั้น........ชั้นจะไม่ร้องไห้แล้วล่ะ ไม่เด็ดขาด เพราะว่าทุกๆวันชั้นก็มีพี่อยู่ข้างฉัน เฝ้าดูฉันตลอดไปไง!!!” คำปฏิญาณตนแนวแน่ ก่อนที่จีฮเยจะหันหน้ากลับไปเมื่อคนที่เดินมาจากไกลๆนั้นส่งเสียงหวานเรียกเธอ...

     

     

    ค่า~~!!!!!! พี่แจจุง

     

     

     

     

    ............................................................................................................

     

    สายฝนที่พัดผ่านลงมายังพื้นดินมักมามักทำให้ภาพข้างหน้าเรานั้นพน่ามัว..............ซี่งจะปิดบังความจริงไว้เสมอ

     

    เหมือนกับคน......ที่ไม่ยอมรับใจของตัวเอง.

     

    .............สายฝนมักจะบดบังสิ่งสำคัญ.....ทำให้ดวงตาของเรามองไม่เห็น

     

    แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้น............กลับต้องค้นหาด้วยหัวใจ

     

    ถึงแม้ว่ามันจะสายไปหรือไม่..................

     

    แต่แค่การเชื่อมั่นในรัก...........และรู้จักรัก........

     

    มันก็คือสิ่งสำคัญ...................ที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่

     

    ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างกับสายฝนที่แสนอบอุ่นได้...............

    .

    .

    .

    เพราะสายฝนนั้นคือจุดเริ่มต้น............ของทุกสิ่ง......

     

     

     

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    Talk

     

     

    AnYoung~HaSaeYo~!!!!!!!!!!!!!!!

     

    ซำหวัดดีเจ้าค้า~!!!!!!!!!! หลังจากหายไป และดองไว้ซะนาน

    เรื่องนี้คือเรื่องเศร้า (มั้ง??) ของกี้จังเรื่องแรกนะค่ะ

    ภาษาอาจจะสื่อมาไม่ดีเท่าไหร่ แต่ก็พยายามสุดฤทธิ์...............

    แถมยังเป็นเรื่องที่ยาวที่สุดเท่าที่กี้คนนี้เขียนด้วย~TT^TT....ภูมิใจมากมายที่ปั่นเรื่องนี้จนจบได้>.,<~

     

    คราวนี้ขอมาย้อนวันเกิดหนูมินกันเคอะ~!!

     

    HAPPY BIRTHDAY นะค่า~~!!!! Oppa ChangMin~!!! ^^

     

    ขอให้โอปป้าหล่อ&สวยทุกๆคืนวัน (มินนี่จะเมะหรือเคะ กี้น้อยรับได้หมด><!!!!~)

    หาเงินเอาไปให้พี่ๆเค้ายืมเก่งๆ... ร้องเพลงเสียงโซปราโน่

    และเป็นลูกที่ดีของป๊ะยุนกะมี๊แจ และน้องที่น่ารักของโลมาน้อยกับไก่มิคตลอดไปเน้อ~!!!!>[]<~

     

    อิอิ ส่วนเรื่อง SUMMER CHRISTMAS~!! เนี่ยะ ขอเวลาเคลียร์นิหน่อยนะฮะ

    พอดีเกิดปัญหาทางเทคนิค.........พล็อตเรื่องที่เขียนตั้งไว้เกิดดันหายไป...เดี๋ยวว่างๆแล้วค่อยมาอัพต่อนะงับ ซึ่งน่าจะเป็นหลังจากเรื่องนี้เว้นไปอีก 3 สัปดาห์ 555+ ^[]^~

     

    เนื่องจากคนเขียนมันจะสอบแล้ว....แต่ไม่แม้แต่แตะหนังสือ กร๊ากๆๆ <ออกโหมดคลั่งเละน้อย>

    ส่วน HSG ก็เป็นอีกเรื่องที่นั่งปั่นกันสุดฤทธิ์แต่ก็ต้องหลังสอบอยู่ดีอ่าฮะ เหอๆๆ

    เจอตอนหน้าเรื่องเดิมตอนที่สองต่อค้า~!!!(SUMMER CHRISTMAS 555+)

     

    P.S.=> พี่นู๋ถามว่าทำไมวันเกิดมินแต่ต้องให้มินตาย........นู๋ขอตอบว่า....คนเขียนมัน       อยากแต่งอยากนี้อ่ะTT^TT อย่าว่ากันเลยนะคะ

     

    P.S. 2 => มีเพื่อนมาถามว่าไมถึงไม่มีสเปเชี่ยลวันเกิดมี๊กะป๊ะ.........กี้น้อยคนนี้ก็ขอตอบกลับไปว่า......พอดีคนแต่งมันจะแต่งของแจ พอได้ครึ่งเรื่องก็ดันถึงวันเกิดเฮียหมีซะแย้ว~ ซึ่งอิชั้นเนี่ยะก็ติดภารกิจสู้เพื่อแม่ต้องไปขายจองตรุษจีนให้กะที่บ้าน...ดังนั้นขออภัยทุกท่านด้วยนะงับ...........ดังนั้นสปเชี่ยลของแจกะยุนก้อจะถูกยกไว้เปนเรื่องหน้าต่อจากซัมเมอร์นะฮะ.........

     

    คติเตือนใจสำหรับนักอ่านทุกท่าน!!!!!!!!><

    เม้นท์วันละจิตแจ่มใส........ท่านไม่เสียอะไร แค่เพียงสละเวลามาเม้นท์แค่นิ๊ดดดดดดดดเดียว~>[]<!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×