คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : SHOT 2 : warm cocoa
SHOT
2 : warm
cocoa
24
Dec,
เมียวอิ มินะ ไม่ได้นั่งเพียงลำพัง
ซน แชยอง ก็ไม่ได้เดินเพียงลำพัง
คนขี้เหงากับคนประหลาดอยู่ด้วยกันในร้านฟาสต์ฟู้ดเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง
เวลาที่ล่วงเลยจนเกือบข้ามพ้นวันทำให้บรรยากาศในร้านเริ่มเงียบสงัด มีลูกค้าแค่ไม่กี่คนนั่งกระจัดกระจายกันกับพนักงานกะดึกที่ดูเนือยเต็มทน—แชยองสั่งเบอร์เกอร์กับน้ำอัดลม
ไม่แยแสต่อข้อเท็จจริงที่ว่าการกินอาหารขยะตอนนี้มันจะส่งผลเสียต่อร่างกายมากเท่าไร
ขณะที่คนตรงหน้าเอาแต่นั่งเงียบ เพราะไม่ได้พิศวาสการกินมื้อดึก
มินะสั่งแค่โกโก้ร้อนหนึ่งแก้ว แก้วที่สามของวัน—คราวนี้หวานจัดจนแสบคอ
จิบเพียงครั้งสองครั้งเธอก็ทิ้งไว้บนโต๊ะ ไม่แตะต้องมันอีกเลย
ยังไม่ใช่โกโก้ร้อนที่เธอต้องการ
เหลือบมองคนฝั่งตรงข้ามเล็กน้อย
ก่อนเบือนหน้าออกไปนอกหน้าต่างแทน—ไม่มีอะไรน่าสนใจนอกจากความมืดและแสงไฟระยิบระยับตามทางเดิน มินะไม่ใช่แฟนพันธ์แท้ของการเหม่อมอง
สำหรับตอนนี้เธอแค่คิดว่ามันคงดีกว่าจ้องหน้าคนที่กำลังจัดการมื้อดึกอย่างเอร็ดอร่อยเท่านั้นเอง
คิดถูกหรือเปล่านะที่ตามมา
มินะจมกับความคิดในส่วนลึก เฝ้าถามตัวเองซ้ำไปมา
ตัดขาดจากโลกภายนอกชั่วคราว
เพราะเหตุนี้ เธอจึงไม่รู้ตัวว่าการกระทำของตัวเองล้วนอยู่ในสายตาของอีกคนตลอด
ไม่ใช่แค่ครั้งนี้—แต่รวมถึงตอนอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อนั่นด้วย
มีเหตุผลอะไรให้คนเราสั่งโกโก้ร้อนอีกแก้ว
ทั้งที่เมื่อกี้ก็ซื้อมาแล้วและดื่มไม่หมด? จากปริมาณที่แทบไม่พร่องลงเลย และการสุ่มสั่งไปเรื่อย
ดูเหมือนว่ามินะจะเป็นแค่คนที่กำลังทดลองดื่มโกโก้มากกว่าเสพติดเกินไป
แชยองจัดการกลืนเบอร์เกอร์ส่วนสุดท้ายลงคอ ก่อนปิดท้ายด้วยน้ำอัดลม
“ถ้าไม่ชอบแล้วสั่งทำไม”
มินะหันกลับมาเลิกคิ้วน้อย ๆ “อะไรนะ?”
“ฉันถามว่า”
เว้นจังหวะพลางชี้ไปที่แก้วโกโก้ซึ่งกำลังเป็นหัวข้อการสนทนา “ถ้าเธอไม่ชอบกินโกโก้
แล้วสั่งมาทำไม”
“ใครบอกเธอว่าฉันไม่ชอบ”
“จะบอกว่าชอบเหรอ? ทั้งที่เธอกินไม่หมดมาสองแก้วแล้วเนี่ยนะ”
“ยุ่งน่า”
ถ้าเป็นคนปกติโดนด่ากลาย ๆ ว่ายุ่งเรื่องชาวบ้าน ส่วนใหญ่คงยอมถอยและสงบปากสงบคำโดยดี—แต่ไม่ใช่กับแชยอง
เธอก้าวข้ามผ่านความละอายมานานแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าเสนอหน้ายื่นคุกกี้ให้คนไม่รู้จักแล้วนั่งตื๊อกันอยู่ตั้งนานหรอก
ในทางกลับกัน—ยิ่งโดนด่าโดนต่อต้าน
เธอกลับยิ่งชอบ
“ทำไมชอบพูดจารุนแรงใส่ฉันอยู่เรื่อย
เปิดใจหน่อยสิเมียวอิ มินะ” น้ำเสียงตัดพ้อสวนทางกับใบหน้าฉายรอยยิ้มกว้างและนัยน์ตาพราวระยับ ไม่ได้เรียกคะแนนความสงสารจากคนชอบพูดจารุนแรงได้แม้แต่เสี้ยวเดียว
ได้รับเพียงรังสีรำคาญทิ่มแทงกันเสียจนตัวแทบพรุน
แต่ถามว่าแชยองเข็ดมั้ย? ไม่ ยังเจื้อยแจ้วต่ออย่างไม่กลัวโดนสาดโกโก้ใส่
“ฉันถามเพราะเป็นห่วงหรอกนะ ซื้อของมากินทิ้งกินขว้างแบบนี้มันเปลือง—”
“แค่อยากลองกิน แล้วก็ยังไม่เจอแก้วที่อร่อยสักที—พอใจหรือยัง” มินะตัดบทกลางคัน
ใบหน้านิ่งเฉยแสร้งขมวดคิ้ว หรี่ตาลงราวกับไม่พอใจเสียเต็มประดา “เลิกถามได้แล้ว”
คราวแรกเธอนึกว่ามนุษย์ประหลาดผู้พกความช่างตื๊อเกินร้อยอย่างแชยองจะถามต่ออีกหน่อย
และยกคำพูดน่ารำคาญประเภทที่ว่า ‘ถ้าโกโก้ไม่อร่อยก็สั่งอย่างอื่นสิ’ อะไรทำนองนั้น
แต่ผิดคาด
“คืนนี้ฉันว่างทั้งคืน” แชยองพูดโพล่งขึ้น
เหมือนจะเปลี่ยนไปอีกเรื่อง
“แล้วยังไง”
“พยากรณ์อากาศบอกไว้ว่าอุณหภูมิจะติดลบต่ำสุดเจ็ดองศา
หนาวมาก แต่ลมไม่ค่อยแรง ฟ้าโปร่ง อากาศแจ่มใส เหมาะกับการอยู่ด้วยกันสองคน
และมีความเป็นไปได้สูงที่จะเจอโกโก้ร้อนอร่อยที่สุดในโลก”
“พยากรณ์พิลึก”
ให้ตายสิ
มินะกัดริมฝีปาก พยายามห้ามรอยยิ้มอีกครั้ง—แต่ก็นั่นแหล่ะ ต่อให้ไม่มีกระจก
ไม่ได้เห็นหน้าตัวเอง เธอยังรู้เลยว่ามันล้มเหลว
และยิ่งตอกย้ำความพ่ายแพ้เมื่อเจ้าของคำพยากรณ์พิลึกที่สุดในโลกนั่นส่งยิ้มกว้างให้กัน
“บางทีระหว่างทางเราอาจเจอคุณซานต้าด้วยก็ได้นะ”
“ฉันไม่เคยขอพรกับซานตาคลอส”
แชยองแค่ยิ้ม—ยิ้มเหมือนเดิม และคราวนี้มินะกลับรู้สึกว่ามันสดใสขึ้นอย่างน่าประหลาด
ประหลาดเหมือนเจ้าของรอยยิ้ม
“งั้นคืนนี้ลองอธิษฐานสักครั้งสิ”
--------------------
25 Dec,
ปัญหาแรกของการตามหาโกโก้ร้อนในคืนคริสต์มาสคือ
มันไม่ใช่สิ่งที่มีขายดาษดื่นเวลากลางคืน—โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาตีหนึ่งกว่า—ขยายความอีกหน่อยคือ
ช่วงหยุดยาวส่งท้ายปี คล้ายกับว่าร้านส่วนใหญ่พร้อมใจกันปิด
พักผ่อนจากการทำงานหนัก เพื่อใช้เวลาอยู่กับครอบครัวให้เต็มที่ก่อนเริ่มต้นปีใหม่อีกครั้ง
ปัญหาต่อมาคือถึงจะเจอร้านอันน้อยนิดที่มีโกโก้ร้อน
ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่เป็นที่พอใจสักที
ปัญหาสุดท้าย—ซึ่งร้ายแรงที่สุดคือ
คนสองคนใช้เวลาด้วยกันมาก ๆ มักเป็นบ่อเกิดแห่งความผูกพัน
และความผูกพันจะยิ่งพัฒนาง่ายขึ้นเมื่อสองคนที่ว่านั้นต่างเคยใช้ชีวิตเพียงลำพัง
มันง่ายต่อการอ่อนไหวมากเป็นพิเศษ
มินะไม่ทันรู้สึกตัวด้วยซ้ำ—เธอมองเพื่อนร่วมโต๊ะมากกว่าบรรยากาศนอกหน้าต่าง
หรือแม้กระทั่งโกโก้ร้อนที่เป็นสาเหตุให้พวกเธอมานั่งกันอยู่ตรงนี้เสียอีก—ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ? บางทีอาจจะเป็นโกโก้ร้อนแก้วที่สี่หรือห้า
มันแทบจะหลุดจากวงโคจรความสนใจของเธอ
เธอเริ่มใส่ใจต่อรสชาติของมันน้อยลงทุกที
คล้ายกับว่ากลายเป็นแค่พร๊อบประกอบฉากในหนังสักเรื่อง ระหว่างที่ตัวละครหลักสองคนกำลังใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
“ปกติออกมาแบบนี้ทุกคืนเลยเหรอ”
“ไม่อ่ะ แค่คืนนี้—มันเป็นคืนพิเศษสำหรับฉัน”
“คริสต์มาส?”
“ช่ายยยย”
“ทำไมถึงพิเศษล่ะ”
“เพราะหนึ่งปีมีคริสต์มาสแค่ครั้งเดียวไง”
แชยองพูดซื่อ ๆ ประกายความสดใสในดวงตาราวกับเป็นเด็กวัยอนุบาล “เธอเข้าใจมั้ย? ไม่ใช่ทุกวันที่อากาศหนาว ไม่ใช่ทุกวันที่คนส่วนใหญ่พากันออกมาเฉลิมฉลอง
ไม่ใช่ทุกวันที่เกือบทั้งเมืองประดับไฟน่ารัก ๆ เห็นต้นคริสต์มาสกับกล่องของขวัญเกลื่อนขนาดนี้—แล้วก็ไม่ใช่ทุกวันที่คุณซานต้าจะได้ยินคำอธิษฐานของเราด้วย”
“...”
อยากฟังเรื่องตลกของวันนี้มั้ย?
คนไม่เชื่อเรื่องซานตาคลอสกำลังนั่งฟังเรื่องความพิเศษของคริสต์มาส—ฟังอย่างตั้งใจ
เธอสนใจทุกอย่างที่เป็นแชยอง
ผู้หญิงที่ดูจะต่างจากเธอไปเสียหมด
แชยองไม่เคยหยุดยิ้ม—เหมือนถูกจัดอยู่ในประเภทคนที่มองโลกแง่ดีตลอดเวลา
ถึงจะพูดมากไปหน่อย แต่มินะก็เริ่มรู้สึกว่ายิ่งอยู่ด้วยกันนานเท่าไร
เสียงเจื้อยแจ้วนั่นก็ดูจะน่าฟังขึ้นทุกวินาที
“แล้วก็—ถ้าคืนนี้ฉันไม่ออกมาข้างนอก เราคงไม่ได้เจอกัน
เพราะงั้นมันก็เลยพิเศษขึ้นอีกหน่อย”
สวนทางกับความสามารถในการห้ามรอยยิ้มของมินะที่ลดต่ำลง
วันนี้เผลอยิ้มไปกี่ครั้งแล้วนะ
“เธอควรยิ้มให้มากกว่านี้นะ” แชยองพูดประโยคนี้ซ้ำรอบที่ร้อยแปด
ทุกครั้งที่เห็นมินะยิ้ม และเธอก็รู้สึกว่ามันยังไม่พอ—เหมือนตัวเองกำลังจะกลายเป็น สไมล์เคาน์เตอร์
นักนับจำนวนรอยยิ้มของเมียวอิ มินะ
เหตุผลน่ะเหรอ? มันเริ่มตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอเจอคน
ๆ หนึ่งอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อนั่นแล้ว
และยิ่งชัดเจนขึ้นหลังจากนั่งกินคุกกี้เคลือบน้ำตาลรสชาติฝืดคอด้วยกัน
เธอสนใจทุกอย่างที่เป็นมินะ
ผู้หญิงที่ดูจะต่างจากเธอไปเสียหมด
มินะชอบปั้นหน้านิ่ง
ฉาบรูปลักษณ์ภายนอกด้วยเกราะน้ำแข็ง—แต่เมื่อไรก็ตามที่เผลอยิ้ม จะเป็นรอยยิ้มน่ารักที่สุดในโลก
ระดับความน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับแชยอง เทียบเท่าการละลายน้ำแข็งแล้วเจอคุกกี้อร่อย
ๆ หรืออาจจะเป็นของขวัญจากคุณซานต้าข้างในนั้น
“ยิ้มบ่อยก็เหมือนคนบ้าสิ”
“ไม่เห็นเป็นไร จะได้มีคนบ้าสองคนไง เจ๋งดี”
และหัวใจของเธอจะเต้นแรงกว่าปกติ
--------------------
“เธอทำอะไรน่ะ” มินะถามขึ้น
ระหว่างนั่งรอโกโก้ร้อนแก้วที่หก ซึ่งเธอเกือบจะลืมไปแล้วจริง ๆ ว่าต้องสั่ง
ในคาเฟ่ขนาดเล็กกับที่นั่งและโต๊ะยาวติดกระจก แชยองหยิบกระดาษกับดินสอออกจากกระเป๋า
แล้วก้มเขียนบางอย่างลงในนั้น
“เขียนจดหมายไง” ตอบโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า
ทำเอาคนถามต้องกลอกตารอบทิศและถอนหายใจอย่างหงุดหงิด—ไหนเมื่อกี้บอกว่าเพราะเจอเธอ คริสต์มาสคืนนี้เลยพิเศษขึ้นไง? แสดงว่าคนในจดหมายที่แชยองกำลังเขียนถึงนั่นพิเศษยิ่งกว่าเธออีกเหรอ
เอาล่ะ เธอรู้ตัวว่าไม่มีสิทธิ์ไม่พอใจแบบนี้
กะอีแค่คนที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่ชั่วโมง—จะบอกว่าเป็นเพื่อนยังกระดากปากเลย
แต่มันก็ยังน่าหงุดหงิดอยู่ดี
ครั้นจะให้ถามต่อตรง ๆ ก็กลัวจะหลุดมาด มินะจึงยืดตัวขึ้นเล็กน้อย
ชะโงกหน้า หรี่ตาพยายามมองเนื้อความบนกระดาษ โดยมีอุปสรรคชิ้นโตคือแชยองที่ตั้งใจเขียนเหลือเกิน
แทบจะจุ่มหัวลงไปกับโต๊ะ บดบังทัศนียภาพการเห็นกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์
เธอจึงค่อย ๆ ขยับตัวทีละนิด ทีละนิด ทีละนิด—จนอีกนิดเดียวที่เกือบจะโฟกัสตัวอักษรได้แล้ว
แชยองก็เงยหน้าขึ้นราวกับรู้ว่ากำลังถูกคุกคาม—โชคดีที่มินะตั้งสติได้ทัน
เธอรีบถอยตัวออกห่าง นั่งหลังตรง ปั้นหน้านิ่งประหนึ่งว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
คนตัวเล็กฉีกยิ้มกว้างให้เหมือนเคย แล้วพับกระดาษใส่ซองจดหมายปิดผนึกอย่างเรียบร้อย
“อยากรู้มั้ยว่าฉันเขียนอะไร”
“ไม่”
แต่การปฏิเสธอย่างเล่นตัวนั่นดูจะไร้ความหมายสำหรับแชยองโดยสิ้นเชิง
“ขอบคุณสำหรับค่ำคืนที่ดี”
“...”
“ส่วนที่เหลือไว้เธอกลับไปอ่านต่อทีหลังนะ”
พูดจบก็ยัดซองจดหมายเจ้าปัญหานั่นใส่มือผู้รับทันที—ดวงตาส่องประกายวาววับเมื่อลองนึกเล่น
ๆ ว่าหากคุณซานตาคลอสมานั่งข้างเธอแบบนี้บ้างก็คงจะดี จะได้ไม่ต้องลำบากหย่อนใส่ตู้เหมือนเมื่อตอนค่ำ
ว่าแต่—ดึกป่านนี้
คุณซานต้าจะได้อ่านจดหมายที่เธอเขียนถึงหรือยังนะ
“ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นล่ะ” กลับสู่โลกปัจจุบัน แชยองหัวเราะ
พลางใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากของดวงหน้าเหวอซึ่งดูตลก ไม่เข้ากับมินะสักนิด “ยิ้มหน่อยเถอะน่า
บอกแล้วไงว่าอยากให้ยิ้มบ่อย ๆ ”
“ให้ฉันเหรอ” พึมพำเสียงเบาหวิวด้วยความที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
มินะมองซองจดหมายสีขาวสะอาดในมือสลับกับใบหน้าของคนให้ที่รักษามาตรฐานการแจกยิ้มพร่ำเพรื่อได้ดีจนน่าหมั่นไส้
ไม่เคยมีใครส่งจดหมายให้เธอแบบนี้มาก่อน
โดยเฉพาะจดหมายที่เขียน พับใส่ซอง
แล้วยื่นให้กันต่อหน้าเนี่ย
“ก็ใช่น่ะสิ ให้เธอเก็บไว้อ่านตอนคิดถึงฉันไง”
“แล้วทำไมฉันต้องคิดถึงเธอ?”
“ใจร้ายจัง เดี๋ยวพอหมดคืนนี้เราก็ต้องแยกกันแล้วนะ
เธอจะไม่คิดถึงฉันจริง ๆ เหรอ” แสร้งทำเสียงกระเง้ากระงอด ตบท้ายด้วยรอยยิ้มกว้างเหมือนอย่างเคย—ถ้าจะมีอะไรสักอย่างเปลี่ยนไป
คงเป็นความรู้สึกของคนฟังที่เหมือนโดนน้ำเย็นสาดจนชาหนึบแปลก ๆ
ก็แค่—ใจหายนิดหน่อยมั้ง
แค่ช่วงเวลาหนึ่งที่ใช้ร่วมกัน
แค่ช่วงเวลาหนึ่งที่พาตัวเองออกจากความโดดเดี่ยว ความสุข
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะไม่ได้ทำให้เธอเกือบลืมแค่โกโก้ร้อน—แต่ยังทำให้เธอเกือบลืมข้อเท็จจริงว่าเวลายังเคลื่อนไปข้างหน้าตามการหมุนรอบตัวเองของโลก
มันพาให้ผู้หญิงแปลกหน้าสองคนมาเจอกัน
และจากกันเมื่อถึงเวลา
แชยองแค่บอกว่าคืนนี้ว่าง แต่ไม่ได้สัญญาว่าจะอยู่ช่วยจนกว่าจะเจอโกโก้ร้อนอร่อยที่สุดในโลก—ไม่เช่นนั้นเธอคงหาข้ออ้างยืดเวลาได้อีกหน่อย
ซึ่งมันก็ทำไม่ได้ไง
เพราะแบบนี้ไงถึงเกลียดการเอาความรู้สึกตัวเองไปผูกไว้กับคนอื่น
และเธอก็คงปากหนักเกินกว่าจะเอ่ยรั้งอีกคนไว้ตอนเราต้องแยกทางกัน
“งั้น—ขอบคุณ”
“...”
“ฉันหมายถึงคุกกี้นะ” มินะเบือนสายตาออกมองภาพความมัวมืดหลังกระจกขึ้นฝ้า
รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะพูดต่อโดยไม่ยอมหันกลับไปหาคู่สนทนาที่นั่งอยู่ข้างกัน
“ขอบคุณที่แบ่งคุกกี้ให้”
ช่างหัวคุกกี้ห่วยแตกนั่นเถอะ
มันหมายความว่า ขอบคุณเธอที่เข้ามาในชีวิต ต่างหาก
--------------------
อากาศข้างนอกหนาวเป็นบ้า
มิหนำซ้ำโกโก้ร้อนกระป๋องจากตู้กดก็ไม่ช่วยให้อุ่นขึ้นสักเท่าไร
กุมกระป๋องร้อนที่ยังไม่เปิดไว้แน่น
ก่อนจะเลื่อนมันขึ้นมาอังแก้ม เธอรู้สึกได้ว่ามันหนาวกว่าปกติ—ทั้งที่อุณหภูมิบริเวณม้านั่งข้างตู้กดน้ำน่าจะไม่ต่างกับหน้าร้านสะดวกซื้อซอมซ่อนั่นสักเท่าไร
คราวนั้นเธอสามารถนั่งตากลมคนเดียวตั้งนานโดยไม่สะทกสะท้าน แล้วทำไมคราวนี้ถึงต่างออกไป
มินะนึกถึงความเป็นไปได้สองกรณี
ถ้าไม่ใช่เพราะอากาศหนาวขึ้น
ก็คงเป็นเพราะตัวเธออุ่นและอ่อนไหวง่ายกว่าเดิม
แบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรแฮะ
“คืนนี้พระจันทร์สวยจัง” ฟากแชยองก็กำลังดื่มด่ำกับการชื่นชมความงามยามค่ำคืนไปตามประสา
แม้เป็นเพียงพระจันทร์เสี้ยว ซ้ำยังโดนละอองเมฆบดบังจนแทบไม่เหลือ แต่เธอก็ยังอยากให้มินะรับรู้ถึงมันด้วยกัน
ครั้นสัมผัสได้ถึงความเงียบงันอย่างประหลาด
จึงก้มหน้ากลับลงมามองคนข้างกาย—เพื่อพบว่าผู้หญิงที่อยากให้ชมพระจันทร์ด้วยไม่ได้รับรู้ถึงคำกล่าวของเธอเลยสักนิด
“เฮ้ เธอ”
แถมคราวนี้ดูท่าว่าจะหนักกว่าคราวก่อนด้วย
“เมียวอิ มินะ”
เมื่อเรียกหลายครั้งแล้วยังไร้ปฏิกิริยาตอบกลับ
แชยองจึงตัดสินใจใช้การจู่โจมทางร่างกาย—ยกมือทั้งสองขึ้นประกบข้างแก้มคนเหม่อลอย
ดึงให้หันกลับมามองหน้ากัน
“อะ—อะไร”
“นึกว่าหนาวตายไปแล้วซะอีก”
คำพูดล้อเล่นแฝงความห่วงใยอยู่ในที “เป็นอะไรหรือเปล่า”
ไม่มีคำตอบใดเล็ดลอดจากริมฝีปากบางและใบหน้านิ่งเฉกงานประติมากรรม—แต่หากให้นึกอ้างอิงถึงคำกล่าวที่ว่าดวงตาเปรียบเสมือนหน้าต่างของดวงใจ
แชยองก็มั่นใจเหลือเกินว่าคนตรงหน้าไม่สามารถปิดบังความรู้สึกทั้งหมดจากเธอได้
แววความหม่นหมองและสั่นไหวมันชัดเจนขนาดนั้น
มินะพยายามทำตัวให้แข็งกระด้าง
แต่ไม่เก่งเอาเสียเลย
ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากจะดึงรอยยิ้มน่ารักและความอ่อนโยนที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้เกราะน้ำแข็งนั่นให้มากกว่านี้—ติดปัญหาแค่ว่าเวลาระหว่างเราไม่มีมากขนาดนั้น
ตีสามกว่าเกือบเหยียบตีสี่ มันใกล้ถึงเวลาเหมาะสมสำหรับการแยกย้ายไปคนละทาง
เธอมีทางของตัวเอง
และก็มั่นใจด้วยว่ามันไม่ใช่ทางเดียวกับมินะ
ให้ตายเถอะ—เธอรู้
รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าสุดท้ายมันต้องจบลงแบบนี้ จบที่การจากลา
แต่ก็ยังอดห้ามอาการโหวงในช่องท้องไม่ได้ ยิ่งสบตามินะในระยะใกล้ขนาดนี้
ใจเธอก็ยิ่งอ่อนยวบเสียยิ่งกว่าหิมะโดนความร้อน
การเอ่ยคำลามันยาก
มันต้องยากแน่นอนอยู่แล้ว
“แชยอง”
สะดุ้งเล็กน้อยตามเสียงเรียก ขมวดคิ้วอย่างงุนงงก่อนจะระลึกได้ว่าสภาพพวกเธอในตอนนี้ใกล้ชิดกันมากเกินไปแล้ว—เกินกว่าที่คนเพิ่งรู้จักกันไม่กี่ชั่วโมงจะทำกัน
มินะคงอยากเตือนว่าเธอกำลังล้ำเส้น
“โทษที”
หากไม่ทันที่แชยองจะได้ทำตามใจคิด ฝ่ามืออุ่น ๆ
ก็เคลื่อนมากุมซ้อนทับไว้ให้ต้องแปลกใจ ผลต่อเนื่องจากนั้นคือเกิดการทำงานหนักของก้อนเนื้อขนาดเท่ากำปั้นข้างในอกข้างซ้าย
เริ่มไม่แน่ใจว่าความเห่อร้อนบนใบหน้ามาจากร่างกายกำลังปรับตัวรับสภาพอากาศ
หรือมาจากเหตุผลอื่นกันแน่?
ที่แน่ใจได้เรื่องหนึ่งคืออย่างน้อยแชยองก็ไม่ใช่คนเดียวที่หน้าแดง—เพราะตอนนี้เราสองคนตกอยู่ในสภาวะพร้อมใจกันหน้าแดงทั้งคู่
บางทีอาจจะเป็นอากาศหนาวติดลบ มืออุ่นที่กอบกุม
หรือนัยน์ตาสองคู่ที่ตรึงกัน ดังว่ามีมวลดาวนับล้านทอประกายอยู่ข้างในห้วงจักรวาลกว้างใหญ่ที่รอการค้นหา
และมีแรงดึงดูดเข้าหากันอย่างน่าประหลาด
เพียงจรดริมฝีปากแผ่วเบา ก็สัมผัสถึงความอ่อนละมุนและอบอุ่นเหมือนโกโก้ร้อน
ไม่—ถ้าจะพูดให้ถูก แชยองไม่ใช่โกโก้ร้อน แต่เป็นโกโก้อุ่น
และเป็นโกโก้อุ่นที่อร่อยที่สุดในโลก
เหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ แค่ไม่กี่วินาทีราวกับเนิ่นนานเป็นชั่วโมง
ผละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่งด้วยยังต้องการซึมซับความรู้สึกนี้จวบจนเสี้ยวสุดท้าย
คริสต์มาสไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน
เพราะฉะนั้นมันเลยพิเศษ
“...”
“...”
“เอ่อ—” เป็นครั้งแรกที่คนอย่างแชยองตะกุกตะกักและทำตัวไม่ถูก
รู้สึกถึงความร้อนแล่นผ่านทั่วผิวหน้า—ยิ่งสบตากันอีกครั้ง ภาพความทรงจำและความรู้สึกเมื่อครู่ก็แล่นขึ้นมาเป็นฉาก
ๆ พาลให้หัวใจยิ่งทำงานหนักจนต่างฝ่ายต่างต้องเบือนหน้ากันคนละทาง
แชยองหัวเราะเก้อ ๆ
พยายามกลบร่องรอยความไหวสั่นและความประหม่า—แหงล่ะ มันไม่ได้ผล
“อ—อากาศดีเนอะ” เลยหลุดพูดประโยคงี่เง่าที่บังเอิญผ่านเข้ามาในหัว
หวังให้มันช่วยทำลายความเงียบและความกระอักกระอวนนี้
“อื้อ” มินะรับคำเพียงสั้น ๆ ขณะก้มมองมือขยุกขยิกบนหน้าตัก
แล้วเฝ้านึกทบทวนเหตุการณ์เมื่อครู่—มันเกิดขึ้นเร็วมาก เธอต้องสติแตกไปแล้วแน่
ๆ ถึงได้ทำแบบนั้น ใช่
มันบ้าเกินไปกับการจูบคนที่เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง
และกำลังจะจากกันในอีกไม่นาน
และสิ่งที่บ้ากว่านั้นคือ
เธอรู้สึกดีกับโกโก้อุ่นแก้วนี้ ดีเกินไปด้วย
ดีจนต้องฟุบหน้าร้อน ๆ ลงบนฝ่ามือเพราะไม่ยังอยากยอมรับความจริงว่าตอนนี้เธอสูญเสียความสามารถกลั้นยิ้มไปหมดแล้ว
น่าอายชะมัด
กระนั้นก็ยังมิวายลอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคู่กรณีที่กำลังจดจ่อพระจันทร์เสี้ยวราวกับว่ามันคือสิ่งสวยงามที่สุดในโลก
แล้วพอแชยองก้มลงมาจะแอบมองมินะบ้าง จนสายตาประสานกันอีกครั้ง เพียงเสี้ยววิก็พร้อมใจหันกันไปคนละทาง
ราวกับเด็กถูกจับได้ว่ากำลังลอกข้อสอบเพื่อน
นานเท่าไรไม่รู้ที่เราตกอยู่ในสภาพนี้
ได้แต่ลอบส่งสายตาและหลบกันอยู่อย่างนั้นจนเหนื่อย
“ฉันว่าถ้าเรานั่งแบบนี้จนถึงเช้าคงไม่ดีแน่เลย”
แชยองลุกจากเก้าอี้ เธอจัดการความรู้สึกปั่นป่วนข้างในใจได้ก่อน เหยียดยิ้มเกร็ง ๆ
และหัวเราะแห้ง ๆ “ไปกันเถอะ”
ไปกันเถอะ ที่เป็นคำบอกลา
มินะเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า—รู้สึกเหมือนเดจาวู
เหมือนภาพยนตร์ฉายภาพซ้ำ
เหมือนนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นหน้าร้านสะดวกซื้อ
ตอนนั้นแชยองก็ลุกขึ้นก่อน พูดอะไรสักอย่าง ยื่นมือให้
และตบท้ายด้วยรอยยิ้มประหลาด ๆ
สิ่งเดียวที่ต่างคือหลังจากนี้พวกเธอจะไม่ได้เดินทางเดียวกันแล้ว
“แชยอง”
“หืม”
“ที่เมื่อคืนเธอบอกให้ฉันลองอธิษฐาน”
มินะเปรยด้วยเสียงราบเรียบอย่างเคย “ฉันขอให้เราได้เจอกันอีก”
แชยองนิ่วหน้า
แสดงความแปลกใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“ไหนว่าไม่เชื่อเรื่องซานตาคลอส”
“ไม่—ฉันขอเธอ”
หนึ่งคนคือเจ้าของรอยยิ้มบาง ๆ
ที่น่ารักที่สุดในโลก
อีกคนมีรอยยิ้มประหลาดอ่อนละมุนเหมือนโกโก้อุ่น
กับความสัมพันธ์ชั่วคราวในคืนคริสต์มาส—ถึงจะเริ่มต้นได้ดีจนน่าเหลือเชื่อ ดีเหมือนหลุดมาจากนิยายเพ้อฝัน
แต่อะไรคือหลักประกันว่าจะดีได้ตลอดรอดฝั่งล่ะ? และแน่นอน การเอาใจตัวเองไปผูกกับคนอื่นมากเกินไปนั้นไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมนุษย์เปราะบาง
บางความสัมพันธ์ก็เหมาะสมแค่ในขอบเขตที่รู้จักกันเพียงผิวเผิน
เก็บไว้เป็นความทรงจำให้หวนนึกถึงคงจะดีกว่า
เราสองคนต่างรู้ดี
ยังไม่ใช่ตอนนี้
“ถ้าถึงคริสต์มาสหน้าแล้วเธอยังไม่ลืมฉัน
ถ้าเรายังคิดถึงกันอยู่”
“...”
“เราต้องได้เจอกันอีกแน่”
สายลมแผ่วเบาพัดผ่านมา
ได้ยินเสียงกรุ้งกริ้งจากกระดิ่งบนต้นคริสต์มาส
คุณคิดว่าผู้หญิงสองคนนั้นจะได้เจอกันอีกมั้ย?
ลองอธิษฐานสิ
-Wish upon a Snowflake-
The
End
--------------------
แอนด์อะแฮปปี้นิวเยียร์
สวัสดีวันเสาร์แรกของปี2560ค่ะ 55555555555555555555555
แหม
มาช้าขนาดนี้ ไม่อัพตอนจบอีกทีวันคริสต์มาสหน้าเลยล่ะ
ค่ะ
เราแซะตัวเองแล้ว เพราะงั้นคุณห้ามแซวเราเรื่องนี้ อย่านะคะ เราใจบาง
เรารับไม่ดั้ย
55555555555
ขอบคุณที่เข้ามา และขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ
ปล.ยังยืนยันคำเดิมนะคะ นี่เป็นนิยายโรแมนติก แต่ไม่ใช่นิยายรัก :)
ความคิดเห็น