ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [2-Shot:TWICE] Wish upon a Snowflake (MiChaeng)

    ลำดับตอนที่ #2 : SHOT 2 : warm cocoa

    • อัปเดตล่าสุด 7 ม.ค. 60





    SHOT 2 : warm cocoa




     

     

    24 Dec,



     

    เมียวอิ มินะ ไม่ได้นั่งเพียงลำพัง



    ซน แชยอง ก็ไม่ได้เดินเพียงลำพัง




    คนขี้เหงากับคนประหลาดอยู่ด้วยกันในร้านฟาสต์ฟู้ดเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง เวลาที่ล่วงเลยจนเกือบข้ามพ้นวันทำให้บรรยากาศในร้านเริ่มเงียบสงัด มีลูกค้าแค่ไม่กี่คนนั่งกระจัดกระจายกันกับพนักงานกะดึกที่ดูเนือยเต็มทนแชยองสั่งเบอร์เกอร์กับน้ำอัดลม ไม่แยแสต่อข้อเท็จจริงที่ว่าการกินอาหารขยะตอนนี้มันจะส่งผลเสียต่อร่างกายมากเท่าไร




    ขณะที่คนตรงหน้าเอาแต่นั่งเงียบ เพราะไม่ได้พิศวาสการกินมื้อดึก มินะสั่งแค่โกโก้ร้อนหนึ่งแก้ว แก้วที่สามของวันคราวนี้หวานจัดจนแสบคอ จิบเพียงครั้งสองครั้งเธอก็ทิ้งไว้บนโต๊ะ ไม่แตะต้องมันอีกเลย




    ยังไม่ใช่โกโก้ร้อนที่เธอต้องการ




    เหลือบมองคนฝั่งตรงข้ามเล็กน้อย ก่อนเบือนหน้าออกไปนอกหน้าต่างแทนไม่มีอะไรน่าสนใจนอกจากความมืดและแสงไฟระยิบระยับตามทางเดิน มินะไม่ใช่แฟนพันธ์แท้ของการเหม่อมอง สำหรับตอนนี้เธอแค่คิดว่ามันคงดีกว่าจ้องหน้าคนที่กำลังจัดการมื้อดึกอย่างเอร็ดอร่อยเท่านั้นเอง




    คิดถูกหรือเปล่านะที่ตามมา




    มินะจมกับความคิดในส่วนลึก เฝ้าถามตัวเองซ้ำไปมา ตัดขาดจากโลกภายนอกชั่วคราว





    เพราะเหตุนี้ เธอจึงไม่รู้ตัวว่าการกระทำของตัวเองล้วนอยู่ในสายตาของอีกคนตลอด 




    ไม่ใช่แค่ครั้งนี้แต่รวมถึงตอนอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อนั่นด้วย




    มีเหตุผลอะไรให้คนเราสั่งโกโก้ร้อนอีกแก้ว ทั้งที่เมื่อกี้ก็ซื้อมาแล้วและดื่มไม่หมด? จากปริมาณที่แทบไม่พร่องลงเลย และการสุ่มสั่งไปเรื่อย ดูเหมือนว่ามินะจะเป็นแค่คนที่กำลังทดลองดื่มโกโก้มากกว่าเสพติดเกินไป




    แชยองจัดการกลืนเบอร์เกอร์ส่วนสุดท้ายลงคอ ก่อนปิดท้ายด้วยน้ำอัดลม




    “ถ้าไม่ชอบแล้วสั่งทำไม”




    มินะหันกลับมาเลิกคิ้วน้อย ๆ “อะไรนะ?




    “ฉันถามว่า” เว้นจังหวะพลางชี้ไปที่แก้วโกโก้ซึ่งกำลังเป็นหัวข้อการสนทนา “ถ้าเธอไม่ชอบกินโกโก้ แล้วสั่งมาทำไม”




    “ใครบอกเธอว่าฉันไม่ชอบ”




    “จะบอกว่าชอบเหรอ? ทั้งที่เธอกินไม่หมดมาสองแก้วแล้วเนี่ยนะ”




    “ยุ่งน่า”




    ถ้าเป็นคนปกติโดนด่ากลาย ๆ ว่ายุ่งเรื่องชาวบ้าน ส่วนใหญ่คงยอมถอยและสงบปากสงบคำโดยดีแต่ไม่ใช่กับแชยอง เธอก้าวข้ามผ่านความละอายมานานแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าเสนอหน้ายื่นคุกกี้ให้คนไม่รู้จักแล้วนั่งตื๊อกันอยู่ตั้งนานหรอก




    ในทางกลับกันยิ่งโดนด่าโดนต่อต้าน เธอกลับยิ่งชอบ




    “ทำไมชอบพูดจารุนแรงใส่ฉันอยู่เรื่อย เปิดใจหน่อยสิเมียวอิ มินะ” น้ำเสียงตัดพ้อสวนทางกับใบหน้าฉายรอยยิ้มกว้างและนัยน์ตาพราวระยับ ไม่ได้เรียกคะแนนความสงสารจากคนชอบพูดจารุนแรงได้แม้แต่เสี้ยวเดียว




    ได้รับเพียงรังสีรำคาญทิ่มแทงกันเสียจนตัวแทบพรุน




    แต่ถามว่าแชยองเข็ดมั้ย? ไม่ ยังเจื้อยแจ้วต่ออย่างไม่กลัวโดนสาดโกโก้ใส่




    “ฉันถามเพราะเป็นห่วงหรอกนะ ซื้อของมากินทิ้งกินขว้างแบบนี้มันเปลือง




    “แค่อยากลองกิน แล้วก็ยังไม่เจอแก้วที่อร่อยสักทีพอใจหรือยัง” มินะตัดบทกลางคัน ใบหน้านิ่งเฉยแสร้งขมวดคิ้ว หรี่ตาลงราวกับไม่พอใจเสียเต็มประดา “เลิกถามได้แล้ว”




    คราวแรกเธอนึกว่ามนุษย์ประหลาดผู้พกความช่างตื๊อเกินร้อยอย่างแชยองจะถามต่ออีกหน่อย และยกคำพูดน่ารำคาญประเภทที่ว่า ถ้าโกโก้ไม่อร่อยก็สั่งอย่างอื่นสิ อะไรทำนองนั้น




    แต่ผิดคาด




    “คืนนี้ฉันว่างทั้งคืน” แชยองพูดโพล่งขึ้น เหมือนจะเปลี่ยนไปอีกเรื่อง




    “แล้วยังไง”




    “พยากรณ์อากาศบอกไว้ว่าอุณหภูมิจะติดลบต่ำสุดเจ็ดองศา หนาวมาก แต่ลมไม่ค่อยแรง ฟ้าโปร่ง อากาศแจ่มใส เหมาะกับการอยู่ด้วยกันสองคน และมีความเป็นไปได้สูงที่จะเจอโกโก้ร้อนอร่อยที่สุดในโลก





    “พยากรณ์พิลึก”




    ให้ตายสิ



    มินะกัดริมฝีปาก พยายามห้ามรอยยิ้มอีกครั้งแต่ก็นั่นแหล่ะ ต่อให้ไม่มีกระจก ไม่ได้เห็นหน้าตัวเอง เธอยังรู้เลยว่ามันล้มเหลว และยิ่งตอกย้ำความพ่ายแพ้เมื่อเจ้าของคำพยากรณ์พิลึกที่สุดในโลกนั่นส่งยิ้มกว้างให้กัน




    “บางทีระหว่างทางเราอาจเจอคุณซานต้าด้วยก็ได้นะ”




    “ฉันไม่เคยขอพรกับซานตาคลอส”





    แชยองแค่ยิ้มยิ้มเหมือนเดิม และคราวนี้มินะกลับรู้สึกว่ามันสดใสขึ้นอย่างน่าประหลาด ประหลาดเหมือนเจ้าของรอยยิ้ม





    “งั้นคืนนี้ลองอธิษฐานสักครั้งสิ”


     

     

    --------------------

     



    25 Dec,



     

    ปัญหาแรกของการตามหาโกโก้ร้อนในคืนคริสต์มาสคือ มันไม่ใช่สิ่งที่มีขายดาษดื่นเวลากลางคืน—โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาตีหนึ่งกว่า—ขยายความอีกหน่อยคือ ช่วงหยุดยาวส่งท้ายปี คล้ายกับว่าร้านส่วนใหญ่พร้อมใจกันปิด พักผ่อนจากการทำงานหนัก เพื่อใช้เวลาอยู่กับครอบครัวให้เต็มที่ก่อนเริ่มต้นปีใหม่อีกครั้ง




    ปัญหาต่อมาคือถึงจะเจอร้านอันน้อยนิดที่มีโกโก้ร้อน ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่เป็นที่พอใจสักที




    ปัญหาสุดท้าย—ซึ่งร้ายแรงที่สุดคือ คนสองคนใช้เวลาด้วยกันมาก ๆ มักเป็นบ่อเกิดแห่งความผูกพัน




    และความผูกพันจะยิ่งพัฒนาง่ายขึ้นเมื่อสองคนที่ว่านั้นต่างเคยใช้ชีวิตเพียงลำพัง




    มันง่ายต่อการอ่อนไหวมากเป็นพิเศษ




    มินะไม่ทันรู้สึกตัวด้วยซ้ำ—เธอมองเพื่อนร่วมโต๊ะมากกว่าบรรยากาศนอกหน้าต่าง หรือแม้กระทั่งโกโก้ร้อนที่เป็นสาเหตุให้พวกเธอมานั่งกันอยู่ตรงนี้เสียอีก—ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ? บางทีอาจจะเป็นโกโก้ร้อนแก้วที่สี่หรือห้า




    มันแทบจะหลุดจากวงโคจรความสนใจของเธอ เธอเริ่มใส่ใจต่อรสชาติของมันน้อยลงทุกที คล้ายกับว่ากลายเป็นแค่พร๊อบประกอบฉากในหนังสักเรื่อง ระหว่างที่ตัวละครหลักสองคนกำลังใช้เวลาอยู่ด้วยกัน




    “ปกติออกมาแบบนี้ทุกคืนเลยเหรอ”



    “ไม่อ่ะ แค่คืนนี้—มันเป็นคืนพิเศษสำหรับฉัน”



    “คริสต์มาส?



    “ช่ายยยย”




    “ทำไมถึงพิเศษล่ะ”




    “เพราะหนึ่งปีมีคริสต์มาสแค่ครั้งเดียวไง” แชยองพูดซื่อ ๆ ประกายความสดใสในดวงตาราวกับเป็นเด็กวัยอนุบาล “เธอเข้าใจมั้ย? ไม่ใช่ทุกวันที่อากาศหนาว ไม่ใช่ทุกวันที่คนส่วนใหญ่พากันออกมาเฉลิมฉลอง ไม่ใช่ทุกวันที่เกือบทั้งเมืองประดับไฟน่ารัก ๆ เห็นต้นคริสต์มาสกับกล่องของขวัญเกลื่อนขนาดนี้—แล้วก็ไม่ใช่ทุกวันที่คุณซานต้าจะได้ยินคำอธิษฐานของเราด้วย”




    “...”




    อยากฟังเรื่องตลกของวันนี้มั้ย?



    คนไม่เชื่อเรื่องซานตาคลอสกำลังนั่งฟังเรื่องความพิเศษของคริสต์มาส—ฟังอย่างตั้งใจ




    เธอสนใจทุกอย่างที่เป็นแชยอง



    ผู้หญิงที่ดูจะต่างจากเธอไปเสียหมด




    แชยองไม่เคยหยุดยิ้มเหมือนถูกจัดอยู่ในประเภทคนที่มองโลกแง่ดีตลอดเวลา ถึงจะพูดมากไปหน่อย แต่มินะก็เริ่มรู้สึกว่ายิ่งอยู่ด้วยกันนานเท่าไร เสียงเจื้อยแจ้วนั่นก็ดูจะน่าฟังขึ้นทุกวินาที




    “แล้วก็ถ้าคืนนี้ฉันไม่ออกมาข้างนอก เราคงไม่ได้เจอกัน เพราะงั้นมันก็เลยพิเศษขึ้นอีกหน่อย”




    สวนทางกับความสามารถในการห้ามรอยยิ้มของมินะที่ลดต่ำลง




    วันนี้เผลอยิ้มไปกี่ครั้งแล้วนะ





    “เธอควรยิ้มให้มากกว่านี้นะ” แชยองพูดประโยคนี้ซ้ำรอบที่ร้อยแปด ทุกครั้งที่เห็นมินะยิ้ม และเธอก็รู้สึกว่ามันยังไม่พอเหมือนตัวเองกำลังจะกลายเป็น สไมล์เคาน์เตอร์ นักนับจำนวนรอยยิ้มของเมียวอิ มินะ




    เหตุผลน่ะเหรอ? มันเริ่มตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอเจอคน ๆ หนึ่งอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อนั่นแล้ว



    และยิ่งชัดเจนขึ้นหลังจากนั่งกินคุกกี้เคลือบน้ำตาลรสชาติฝืดคอด้วยกัน




    เธอสนใจทุกอย่างที่เป็นมินะ



    ผู้หญิงที่ดูจะต่างจากเธอไปเสียหมด




    มินะชอบปั้นหน้านิ่ง ฉาบรูปลักษณ์ภายนอกด้วยเกราะน้ำแข็งแต่เมื่อไรก็ตามที่เผลอยิ้ม จะเป็นรอยยิ้มน่ารักที่สุดในโลก ระดับความน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับแชยอง เทียบเท่าการละลายน้ำแข็งแล้วเจอคุกกี้อร่อย ๆ หรืออาจจะเป็นของขวัญจากคุณซานต้าข้างในนั้น




    “ยิ้มบ่อยก็เหมือนคนบ้าสิ”




    “ไม่เห็นเป็นไร จะได้มีคนบ้าสองคนไง เจ๋งดี” 




    และหัวใจของเธอจะเต้นแรงกว่าปกติ



     

    --------------------

     



    “เธอทำอะไรน่ะ” มินะถามขึ้น ระหว่างนั่งรอโกโก้ร้อนแก้วที่หก ซึ่งเธอเกือบจะลืมไปแล้วจริง ๆ ว่าต้องสั่ง ในคาเฟ่ขนาดเล็กกับที่นั่งและโต๊ะยาวติดกระจก แชยองหยิบกระดาษกับดินสอออกจากกระเป๋า แล้วก้มเขียนบางอย่างลงในนั้น




    “เขียนจดหมายไง” ตอบโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า ทำเอาคนถามต้องกลอกตารอบทิศและถอนหายใจอย่างหงุดหงิดไหนเมื่อกี้บอกว่าเพราะเจอเธอ คริสต์มาสคืนนี้เลยพิเศษขึ้นไง? แสดงว่าคนในจดหมายที่แชยองกำลังเขียนถึงนั่นพิเศษยิ่งกว่าเธออีกเหรอ




    เอาล่ะ เธอรู้ตัวว่าไม่มีสิทธิ์ไม่พอใจแบบนี้




    กะอีแค่คนที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่ชั่วโมงจะบอกว่าเป็นเพื่อนยังกระดากปากเลย




    แต่มันก็ยังน่าหงุดหงิดอยู่ดี




    ครั้นจะให้ถามต่อตรง ๆ ก็กลัวจะหลุดมาด มินะจึงยืดตัวขึ้นเล็กน้อย ชะโงกหน้า หรี่ตาพยายามมองเนื้อความบนกระดาษ โดยมีอุปสรรคชิ้นโตคือแชยองที่ตั้งใจเขียนเหลือเกิน แทบจะจุ่มหัวลงไปกับโต๊ะ บดบังทัศนียภาพการเห็นกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์




    เธอจึงค่อย ๆ ขยับตัวทีละนิด ทีละนิด ทีละนิดจนอีกนิดเดียวที่เกือบจะโฟกัสตัวอักษรได้แล้ว แชยองก็เงยหน้าขึ้นราวกับรู้ว่ากำลังถูกคุกคามโชคดีที่มินะตั้งสติได้ทัน เธอรีบถอยตัวออกห่าง นั่งหลังตรง ปั้นหน้านิ่งประหนึ่งว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น




    คนตัวเล็กฉีกยิ้มกว้างให้เหมือนเคย แล้วพับกระดาษใส่ซองจดหมายปิดผนึกอย่างเรียบร้อย




    “อยากรู้มั้ยว่าฉันเขียนอะไร”




    “ไม่”




    แต่การปฏิเสธอย่างเล่นตัวนั่นดูจะไร้ความหมายสำหรับแชยองโดยสิ้นเชิง



    “ขอบคุณสำหรับค่ำคืนที่ดี”



    “...”




    “ส่วนที่เหลือไว้เธอกลับไปอ่านต่อทีหลังนะ” พูดจบก็ยัดซองจดหมายเจ้าปัญหานั่นใส่มือผู้รับทันทีดวงตาส่องประกายวาววับเมื่อลองนึกเล่น ๆ ว่าหากคุณซานตาคลอสมานั่งข้างเธอแบบนี้บ้างก็คงจะดี จะได้ไม่ต้องลำบากหย่อนใส่ตู้เหมือนเมื่อตอนค่ำ




    ว่าแต่ดึกป่านนี้ คุณซานต้าจะได้อ่านจดหมายที่เธอเขียนถึงหรือยังนะ




    “ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นล่ะ” กลับสู่โลกปัจจุบัน แชยองหัวเราะ พลางใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากของดวงหน้าเหวอซึ่งดูตลก ไม่เข้ากับมินะสักนิด “ยิ้มหน่อยเถอะน่า บอกแล้วไงว่าอยากให้ยิ้มบ่อย ๆ ”




    “ให้ฉันเหรอ” พึมพำเสียงเบาหวิวด้วยความที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก มินะมองซองจดหมายสีขาวสะอาดในมือสลับกับใบหน้าของคนให้ที่รักษามาตรฐานการแจกยิ้มพร่ำเพรื่อได้ดีจนน่าหมั่นไส้




    ไม่เคยมีใครส่งจดหมายให้เธอแบบนี้มาก่อน



    โดยเฉพาะจดหมายที่เขียน พับใส่ซอง แล้วยื่นให้กันต่อหน้าเนี่ย




    “ก็ใช่น่ะสิ ให้เธอเก็บไว้อ่านตอนคิดถึงฉันไง”




    “แล้วทำไมฉันต้องคิดถึงเธอ?




    “ใจร้ายจัง เดี๋ยวพอหมดคืนนี้เราก็ต้องแยกกันแล้วนะ เธอจะไม่คิดถึงฉันจริง ๆ เหรอ” แสร้งทำเสียงกระเง้ากระงอด ตบท้ายด้วยรอยยิ้มกว้างเหมือนอย่างเคยถ้าจะมีอะไรสักอย่างเปลี่ยนไป คงเป็นความรู้สึกของคนฟังที่เหมือนโดนน้ำเย็นสาดจนชาหนึบแปลก ๆ




    ก็แค่ใจหายนิดหน่อยมั้ง



    แค่ช่วงเวลาหนึ่งที่ใช้ร่วมกัน แค่ช่วงเวลาหนึ่งที่พาตัวเองออกจากความโดดเดี่ยว ความสุข รอยยิ้มและเสียงหัวเราะไม่ได้ทำให้เธอเกือบลืมแค่โกโก้ร้อนแต่ยังทำให้เธอเกือบลืมข้อเท็จจริงว่าเวลายังเคลื่อนไปข้างหน้าตามการหมุนรอบตัวเองของโลก




    มันพาให้ผู้หญิงแปลกหน้าสองคนมาเจอกัน และจากกันเมื่อถึงเวลา




    แชยองแค่บอกว่าคืนนี้ว่าง แต่ไม่ได้สัญญาว่าจะอยู่ช่วยจนกว่าจะเจอโกโก้ร้อนอร่อยที่สุดในโลกไม่เช่นนั้นเธอคงหาข้ออ้างยืดเวลาได้อีกหน่อย ซึ่งมันก็ทำไม่ได้ไง




    เพราะแบบนี้ไงถึงเกลียดการเอาความรู้สึกตัวเองไปผูกไว้กับคนอื่น




    และเธอก็คงปากหนักเกินกว่าจะเอ่ยรั้งอีกคนไว้ตอนเราต้องแยกทางกัน




    “งั้นขอบคุณ”




    “...”




    “ฉันหมายถึงคุกกี้นะ” มินะเบือนสายตาออกมองภาพความมัวมืดหลังกระจกขึ้นฝ้า รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะพูดต่อโดยไม่ยอมหันกลับไปหาคู่สนทนาที่นั่งอยู่ข้างกัน




    “ขอบคุณที่แบ่งคุกกี้ให้”

     


     

    ช่างหัวคุกกี้ห่วยแตกนั่นเถอะ

    มันหมายความว่า ขอบคุณเธอที่เข้ามาในชีวิต ต่างหาก

     

    --------------------

     



    อากาศข้างนอกหนาวเป็นบ้า



    มิหนำซ้ำโกโก้ร้อนกระป๋องจากตู้กดก็ไม่ช่วยให้อุ่นขึ้นสักเท่าไร




    กุมกระป๋องร้อนที่ยังไม่เปิดไว้แน่น ก่อนจะเลื่อนมันขึ้นมาอังแก้ม เธอรู้สึกได้ว่ามันหนาวกว่าปกติทั้งที่อุณหภูมิบริเวณม้านั่งข้างตู้กดน้ำน่าจะไม่ต่างกับหน้าร้านสะดวกซื้อซอมซ่อนั่นสักเท่าไร คราวนั้นเธอสามารถนั่งตากลมคนเดียวตั้งนานโดยไม่สะทกสะท้าน แล้วทำไมคราวนี้ถึงต่างออกไป




                มินะนึกถึงความเป็นไปได้สองกรณี




                ถ้าไม่ใช่เพราะอากาศหนาวขึ้น ก็คงเป็นเพราะตัวเธออุ่นและอ่อนไหวง่ายกว่าเดิม




                แบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรแฮะ





                “คืนนี้พระจันทร์สวยจัง” ฟากแชยองก็กำลังดื่มด่ำกับการชื่นชมความงามยามค่ำคืนไปตามประสา แม้เป็นเพียงพระจันทร์เสี้ยว ซ้ำยังโดนละอองเมฆบดบังจนแทบไม่เหลือ แต่เธอก็ยังอยากให้มินะรับรู้ถึงมันด้วยกัน




    ครั้นสัมผัสได้ถึงความเงียบงันอย่างประหลาด จึงก้มหน้ากลับลงมามองคนข้างกายเพื่อพบว่าผู้หญิงที่อยากให้ชมพระจันทร์ด้วยไม่ได้รับรู้ถึงคำกล่าวของเธอเลยสักนิด




                “เฮ้ เธอ”



                แถมคราวนี้ดูท่าว่าจะหนักกว่าคราวก่อนด้วย




    “เมียวอิ มินะ”




                เมื่อเรียกหลายครั้งแล้วยังไร้ปฏิกิริยาตอบกลับ แชยองจึงตัดสินใจใช้การจู่โจมทางร่างกายยกมือทั้งสองขึ้นประกบข้างแก้มคนเหม่อลอย ดึงให้หันกลับมามองหน้ากัน




    “อะอะไร”




    “นึกว่าหนาวตายไปแล้วซะอีก” คำพูดล้อเล่นแฝงความห่วงใยอยู่ในที “เป็นอะไรหรือเปล่า”




    ไม่มีคำตอบใดเล็ดลอดจากริมฝีปากบางและใบหน้านิ่งเฉกงานประติมากรรมแต่หากให้นึกอ้างอิงถึงคำกล่าวที่ว่าดวงตาเปรียบเสมือนหน้าต่างของดวงใจ แชยองก็มั่นใจเหลือเกินว่าคนตรงหน้าไม่สามารถปิดบังความรู้สึกทั้งหมดจากเธอได้




    แววความหม่นหมองและสั่นไหวมันชัดเจนขนาดนั้น




    มินะพยายามทำตัวให้แข็งกระด้าง แต่ไม่เก่งเอาเสียเลย




    ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากจะดึงรอยยิ้มน่ารักและความอ่อนโยนที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้เกราะน้ำแข็งนั่นให้มากกว่านี้ติดปัญหาแค่ว่าเวลาระหว่างเราไม่มีมากขนาดนั้น ตีสามกว่าเกือบเหยียบตีสี่ มันใกล้ถึงเวลาเหมาะสมสำหรับการแยกย้ายไปคนละทาง




    เธอมีทางของตัวเอง และก็มั่นใจด้วยว่ามันไม่ใช่ทางเดียวกับมินะ




    ให้ตายเถอะเธอรู้ รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าสุดท้ายมันต้องจบลงแบบนี้ จบที่การจากลา แต่ก็ยังอดห้ามอาการโหวงในช่องท้องไม่ได้ ยิ่งสบตามินะในระยะใกล้ขนาดนี้ ใจเธอก็ยิ่งอ่อนยวบเสียยิ่งกว่าหิมะโดนความร้อน




    การเอ่ยคำลามันยาก



    มันต้องยากแน่นอนอยู่แล้ว





    “แชยอง”



    สะดุ้งเล็กน้อยตามเสียงเรียก ขมวดคิ้วอย่างงุนงงก่อนจะระลึกได้ว่าสภาพพวกเธอในตอนนี้ใกล้ชิดกันมากเกินไปแล้วเกินกว่าที่คนเพิ่งรู้จักกันไม่กี่ชั่วโมงจะทำกัน มินะคงอยากเตือนว่าเธอกำลังล้ำเส้น



    “โทษที”




    หากไม่ทันที่แชยองจะได้ทำตามใจคิด ฝ่ามืออุ่น ๆ ก็เคลื่อนมากุมซ้อนทับไว้ให้ต้องแปลกใจ ผลต่อเนื่องจากนั้นคือเกิดการทำงานหนักของก้อนเนื้อขนาดเท่ากำปั้นข้างในอกข้างซ้าย เริ่มไม่แน่ใจว่าความเห่อร้อนบนใบหน้ามาจากร่างกายกำลังปรับตัวรับสภาพอากาศ หรือมาจากเหตุผลอื่นกันแน่?




    ที่แน่ใจได้เรื่องหนึ่งคืออย่างน้อยแชยองก็ไม่ใช่คนเดียวที่หน้าแดงเพราะตอนนี้เราสองคนตกอยู่ในสภาวะพร้อมใจกันหน้าแดงทั้งคู่




    บางทีอาจจะเป็นอากาศหนาวติดลบ มืออุ่นที่กอบกุม หรือนัยน์ตาสองคู่ที่ตรึงกัน ดังว่ามีมวลดาวนับล้านทอประกายอยู่ข้างในห้วงจักรวาลกว้างใหญ่ที่รอการค้นหา





    และมีแรงดึงดูดเข้าหากันอย่างน่าประหลาด




    เพียงจรดริมฝีปากแผ่วเบา ก็สัมผัสถึงความอ่อนละมุนและอบอุ่นเหมือนโกโก้ร้อน




    ไม่ถ้าจะพูดให้ถูก แชยองไม่ใช่โกโก้ร้อน แต่เป็นโกโก้อุ่น




                และเป็นโกโก้อุ่นที่อร่อยที่สุดในโลก




                เหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ แค่ไม่กี่วินาทีราวกับเนิ่นนานเป็นชั่วโมง ผละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่งด้วยยังต้องการซึมซับความรู้สึกนี้จวบจนเสี้ยวสุดท้าย




     

    คริสต์มาสไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน เพราะฉะนั้นมันเลยพิเศษ

               




                “...”



                “...”



                “เอ่อ” เป็นครั้งแรกที่คนอย่างแชยองตะกุกตะกักและทำตัวไม่ถูก รู้สึกถึงความร้อนแล่นผ่านทั่วผิวหน้ายิ่งสบตากันอีกครั้ง ภาพความทรงจำและความรู้สึกเมื่อครู่ก็แล่นขึ้นมาเป็นฉาก ๆ พาลให้หัวใจยิ่งทำงานหนักจนต่างฝ่ายต่างต้องเบือนหน้ากันคนละทาง




                แชยองหัวเราะเก้อ ๆ พยายามกลบร่องรอยความไหวสั่นและความประหม่าแหงล่ะ มันไม่ได้ผล




                “ออากาศดีเนอะ” เลยหลุดพูดประโยคงี่เง่าที่บังเอิญผ่านเข้ามาในหัว หวังให้มันช่วยทำลายความเงียบและความกระอักกระอวนนี้




                “อื้อ” มินะรับคำเพียงสั้น ๆ ขณะก้มมองมือขยุกขยิกบนหน้าตัก แล้วเฝ้านึกทบทวนเหตุการณ์เมื่อครู่มันเกิดขึ้นเร็วมาก เธอต้องสติแตกไปแล้วแน่ ๆ ถึงได้ทำแบบนั้น ใช่ มันบ้าเกินไปกับการจูบคนที่เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง และกำลังจะจากกันในอีกไม่นาน




                และสิ่งที่บ้ากว่านั้นคือ



                เธอรู้สึกดีกับโกโก้อุ่นแก้วนี้ ดีเกินไปด้วย




                ดีจนต้องฟุบหน้าร้อน ๆ ลงบนฝ่ามือเพราะไม่ยังอยากยอมรับความจริงว่าตอนนี้เธอสูญเสียความสามารถกลั้นยิ้มไปหมดแล้ว




                น่าอายชะมัด




                กระนั้นก็ยังมิวายลอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคู่กรณีที่กำลังจดจ่อพระจันทร์เสี้ยวราวกับว่ามันคือสิ่งสวยงามที่สุดในโลก แล้วพอแชยองก้มลงมาจะแอบมองมินะบ้าง จนสายตาประสานกันอีกครั้ง เพียงเสี้ยววิก็พร้อมใจหันกันไปคนละทาง ราวกับเด็กถูกจับได้ว่ากำลังลอกข้อสอบเพื่อน




                นานเท่าไรไม่รู้ที่เราตกอยู่ในสภาพนี้ ได้แต่ลอบส่งสายตาและหลบกันอยู่อย่างนั้นจนเหนื่อย   





    “ฉันว่าถ้าเรานั่งแบบนี้จนถึงเช้าคงไม่ดีแน่เลย” แชยองลุกจากเก้าอี้ เธอจัดการความรู้สึกปั่นป่วนข้างในใจได้ก่อน เหยียดยิ้มเกร็ง ๆ และหัวเราะแห้ง ๆ “ไปกันเถอะ”




    ไปกันเถอะ ที่เป็นคำบอกลา




    มินะเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้ารู้สึกเหมือนเดจาวู เหมือนภาพยนตร์ฉายภาพซ้ำ เหมือนนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นหน้าร้านสะดวกซื้อ




    ตอนนั้นแชยองก็ลุกขึ้นก่อน พูดอะไรสักอย่าง ยื่นมือให้ และตบท้ายด้วยรอยยิ้มประหลาด ๆ




    สิ่งเดียวที่ต่างคือหลังจากนี้พวกเธอจะไม่ได้เดินทางเดียวกันแล้ว




                “แชยอง”



                “หืม”




                “ที่เมื่อคืนเธอบอกให้ฉันลองอธิษฐาน” มินะเปรยด้วยเสียงราบเรียบอย่างเคย “ฉันขอให้เราได้เจอกันอีก”




                แชยองนิ่วหน้า แสดงความแปลกใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง



    “ไหนว่าไม่เชื่อเรื่องซานตาคลอส”




    “ไม่—ฉันขอเธอ”





    หนึ่งคนคือเจ้าของรอยยิ้มบาง ๆ ที่น่ารักที่สุดในโลก



                อีกคนมีรอยยิ้มประหลาดอ่อนละมุนเหมือนโกโก้อุ่น




                กับความสัมพันธ์ชั่วคราวในคืนคริสต์มาสถึงจะเริ่มต้นได้ดีจนน่าเหลือเชื่อ ดีเหมือนหลุดมาจากนิยายเพ้อฝัน แต่อะไรคือหลักประกันว่าจะดีได้ตลอดรอดฝั่งล่ะ? และแน่นอน การเอาใจตัวเองไปผูกกับคนอื่นมากเกินไปนั้นไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย




                โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมนุษย์เปราะบาง



    บางความสัมพันธ์ก็เหมาะสมแค่ในขอบเขตที่รู้จักกันเพียงผิวเผิน



    เก็บไว้เป็นความทรงจำให้หวนนึกถึงคงจะดีกว่า




     

    เราสองคนต่างรู้ดี



    ยังไม่ใช่ตอนนี้




               

                “ถ้าถึงคริสต์มาสหน้าแล้วเธอยังไม่ลืมฉัน ถ้าเรายังคิดถึงกันอยู่”




                “...”





    “เราต้องได้เจอกันอีกแน่”





               

                สายลมแผ่วเบาพัดผ่านมา ได้ยินเสียงกรุ้งกริ้งจากกระดิ่งบนต้นคริสต์มาส





                           

                คุณคิดว่าผู้หญิงสองคนนั้นจะได้เจอกันอีกมั้ย?

                

     

                ลองอธิษฐานสิ




     

    -Wish upon a Snowflake-

    The End

     



    --------------------

     

    แอนด์อะแฮปปี้นิวเยียร์ สวัสดีวันเสาร์แรกของปี2560ค่ะ 55555555555555555555555

    แหม มาช้าขนาดนี้ ไม่อัพตอนจบอีกทีวันคริสต์มาสหน้าเลยล่ะ

    ค่ะ เราแซะตัวเองแล้ว เพราะงั้นคุณห้ามแซวเราเรื่องนี้ อย่านะคะ เราใจบาง เรารับไม่ดั้ย

    55555555555 ขอบคุณที่เข้ามา และขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ


     ปล.ยังยืนยันคำเดิมนะคะ นี่เป็นนิยายโรแมนติก แต่ไม่ใช่นิยายรัก :)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×